พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    [​IMG]
    อาจจะตอบช้าไปเพราะไม่ค่อยมีเวลา ...

    แท้นะครับ,หลวงปู่เจ้าประคุณสมเด็จฯโต ท่านเมตตาเสกให้
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีคำถามมาถามผม

    พี่ครับเราควรจะมีการทำบุญหรือปฏิบัติอย่างไรครับ ติดขัดการงานการเงินครับเผื่อพี่จะมีคำแนะนำดีๆครับ ขอบคุณครับพี่

    .++++++++++++++++++++++++++++++++++++.

    ผมตอบอย่างนี้ครับ

    สำหรับคำครูบาอาจารย์ที่สอนผมมา ท่านสอนว่า "อยากรวยให้ทำทาน อยากไปนิพพานให้ภาวนา"

    เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราปัจจุบัน เกิดจากเหตุ เหตุที่เกิดจากการกระทำของเราในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในชาติก่อนๆหน้าหลายๆร้อยหลายล้านชาติ หรือจะเป็นในชาตินี้

    เราไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้

    แต่เราสามารถที่จะทำปัจจุบันในดีได้

    แล้วทำดี ทำอย่างไร

    พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาสอนว่า ให้ทำ "ทาน" ให้มี "ศีล" ให้ "ภาวนา"

    การทำทาน หรือ ทำบุญ ในทุกๆครั้ง ควรกรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา ส่วนการกรวดน้ำ ผมเคยลงไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ ลองไปหาอ่านดูนะครับ

    ส่วนการปฎิบัติทางโลก เราควรที่จะมีการวางแผน และ การจัดสรร การเงินของเราตั้งแต่วันนี้ อะไรที่ควรใช้จ่าย ก็ใช้จ่าย อะไรที่ไม่ควรใช้จ่าย ก็หยุด สิ่งฟุ้งเฟ้อต่างๆ ที่ไม่จำเป็นในชีวิต ก็ไม่ต้องใช้

    ในเดือนๆหนึ่ง เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ควรจัดสรรว่า ในแต่ละเดือนควรใช้จ่ายอะไร ควรมีเงินออมเท่าไหร่

    ผมมีสูตรมาฝาก

    เงินเดือน - เงินออม = ค่าใช้จ่าย


    เมื่อนำเงินเดือน หัก เงินออม ในส่วนที่เหลือคือค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

    การออมเงิน ก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งที่เป็นการออมเงิน และ การลงทุนเพื่อให้เงินที่มีอยู่งอกเงยขึ้น

    1.ฝากธนาคาร

    2.การทำประกันชีวิต มีอยู่ด้วยกันหลายหลากรูปแบบ

    3.การฝากเงินของกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนที่ไปลงทุนในที่ต่างๆ ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะมีอายุของกองทุน 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง หรือ 1 ปีกว่าๆบ้าง แล้วแต่นโยบายแต่ละกองทุน

    ส่วนกองทุนที่ใช้เก็บเงินในระยะยาว ที่ไม่สามารถถอนออกได้ก่อนครบอายุ และ นำไปหักลดหย่อนในการเสียภาษีได้ก็จะมี กองทุน RMF และ กองทุน LTF

    กองทุน RMF เป็นกองทุนที่ต้องใช้ระยะเวลาในการฝากเงินจนครบอายุ 55 ปี และไม่น้อยกว่า 10 ปี กองทุนนี้มีการลงทุนในแต่ละประเภทที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งการลงทุนในตลาดทุน (ตลาดหุ้น) , การลงทุนในตลาดเงิน ประเภทตราสารหนี้ หรือ ตั๋วเงินคลัง หรือ เป็นลักษณะที่ผสมกัน

    และ กองทุน LTF เป็นกองทุนที่ใช้ระยะเวลาในการฝากเงิน 5 ปี ส่วนการลงทุน ส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในตลาดทุน (ตลาดหุ้น)

    ความเสี่ยงในแต่ละกองทุนที่นำไปลงทุน มีความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน หากกองทุนไหนที่ลงทุนในตลาดทุน (ตลาดหุ้น) ก็จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากกองทุนไหนที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ หรือ ตั๋วเงินคลัง ก็จะมีความเสี่ยงต่ำ

    การลงทุนในความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนจะสูง แต่หากมีการขาดทุน ก็จะสูงเช่นกัน

    ส่วนการลงทุนในความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำ การขาดทุนก็จะต่ำตามไปด้วย

    4.การซื้อทองคำ

    5.การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

    ในการลงทุนทุกประเภท ต้องเข้าไปศึกษาข้อมูลให้ดี ให้เข้าใจก่อน จึงจะไปลงทุนได้


    ส่วนเรื่องของการทำงาน
    การทำงานร่วมกับคน ย่อมมีปัญหาในทุกๆที่ จะมีมากหรือมีน้อยก็เป็นอีกเรื่อง สิ่งนี้ไม่ยากนัก หากเราได้ศึกษาธรรมะจากพระพุทธองค์ แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องศึกษาอีกเช่นกันครับ

    ผมเองไม่สามารถที่จะตอบตรงๆได้ว่า ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น แต่ต้องคิด และ พิจารณา ตามที่ผมได้บอกตั้งแต่ต้น ในแต่ละคน แต่ละเรื่อง ย่อมมีวิธีการแก้ไขที่ไม่เหมือนกันครับ




    .




    .



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เพิ่มเติมสูตรให้อีกหน่อยครับ ลองนำไปพิจารณาดู


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, psombat+, ล่าวิญญาณ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับ


    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระธรรมเทศนา เรื่อง เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร?
    แสดงเมื่อ ?วันพุธที่ 19 กันยายน 2533 ?
    นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)?
    ปุญญานิ ปรโลกัสมิง ปติฏฐาโหนติ ปาณินันติ
    ณ โอกาสบัดนี้ อาตภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ในอานิสงส์ทำบุญวันสารท เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดา
    ท่านบริศราทานบดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลในวันสำคัญ??วันสารท ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10?คือวันที่ 18
    กันยายน 2533 การบำเพ็ญ?ของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีผลมาก จึงต้องบอกถึงอานสิงส์ก่อน ในการที่ท่านทั้งหลายเข้า
    มาบูชาพระรัตนตรัย คือ เข้ามาในวัด หนึ่ง จิตใจคิดถึงพระพุทธเจ้า สอง ที่จิตใจคิดถึงพระธรรมสาม มีจิตคิดถึงพระสงฆ์ อย่างนี้
    เป็นการตั้งใจเคารพองค์พระรัตนตรัย 3 ประการ การที่มีใจตเคารพในพระไตรสรณาคมน์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีอานิสงส์
    มาก อย่างน้อยที่สุดตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนางฟ้า เทวดาได้ ถ้ามีกลังใจเข้มแข็งก็สามารถเป็นพรหมได้ ถ้ามีจิตใจเบื่อ
    หน่ายในร่างกายก็ไปนิพพานได้ และประการที่สอง ท่านบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจถวายสังฆทานแต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา
    การถวายสังฆทานมีแต่ผ้าไตรจีวร หรือ สบงผืนเดียวก็ดี ก็เป็นสังฆทาน

    การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถวายทานแต่พระสงฆ์ มีข้าวและอาหารเป็นต้น ถือว่าเป็นสังฆทาน คำว่า สังฆทาน มีอานิสงส์
    ใหญ่มากพระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลใดเคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคนก็เป็นนางฟ้า เทวดา
    จะมีทิพยสมบัติมาก ถ้ายังเกิดเป็นคนเพียงใดยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่า ยากจนเข็ญใจจะไม่มี
    นี่เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายบำเพ็ญกุศลบุญราศีเพื่อตนเองเป็นวันสำคัญเพื่อตนเอง แต่ทว่าวันสารทนี้บรรดาพุทธ
    บริษัททุกท่าน ตามโบราณจารย์ท่านบอกว่า เป็นวันที่เขาปล่อย เขาปล่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาถือว่าวันสารทเป็นวันปล่อยผี
    ผีทั้งหลายถูกปล่อยไป ปล่อยมาให้รับบุญกุศลจากบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ความจริงอาตมาว่า ไม่ใช่นะ เขาลือกันว่าอย่างนี้ วัน
    สารทนี่เราต้องบำเพ็ญบุญกุศลให้ผีทั้งหลาย ?

    ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องผีที่มีความสุขกับผีที่มีความทุกข์ ก็อยู่ตามปกติของผี แต่ภาวะ
    ของคำว่าผีนี้ ผีที่มีความทุกข์หมายความว่า คนที่เป็นญาติของใครอยู่กี่อสงไขยกัปแล้วก็ตามที่ ถ้าเผอิญเขาตายไปเป็นเปรตก็ดี เป็น
    สัตว์นรกก็ดี หรือไม่มีโอกาสโมทนาส่วนกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตายไปจากความเป็นคนนะ ท่านพุทธบริษัท มันรับบุญกุศลยาก
    ถ้าไปเสวยสุขเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี แต่ถ้าเผอิญไปเกิดในอบายภูมิเป็นเปรตเป็นต้นองค์

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ว่า จะรับโมทนาได้จากบุคคลที่เป็นญาติโดยตรง ถ้าคนอื่นที่ไม่ได้เป็นญาติไม่ได้นับเนื่องกันมา ก็ไม่
    สามารถรับโมทนาได้ นี่เป็นความลำบากของผี

    ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ที่มาบำเพ็ญกุศลในคราวนี้อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติของท่านที่ตายไปแล้ว
    เขาตายในเวลาวันใกล้ๆ หรือเวลาไกล หรือนานกี่กัปแล้วก็ตามที บางทีเขาตายมาเป็นกัป ๆ เวลาที่เราทำบุญกับเขาจะมารับ บังเอิญ
    ญาติไม่ได้มา ญาติไม่ทำบุญ โอกาสที่จะโมทนาส่วนกุศลก็ไม่มี คนอื่นให้ ก็ไม่สามารถจะโมทนาได้ ตัวอย่างเรื่องนีก็มีใน
    พระธรรมบท ใน พระไตรปิฏก ก็มีก็มีความอยู่ว่า องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสำเร็จสัมมาสัมโพธิ

    ญาณแล้ว เวลานั้นปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสาร พระบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอ อาราธนาสมเด็จพระบรมประทีปแก้วประทับอยู่ที่
    พระเวฬุวัน คือ สวนไม้ไผ่ ในสถานที่นั้นมีมหาวิหาร บรรจุพระได้ 1000 องค์ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้บำเพ็ญกุศลแต่องค์สมเด็จและ
    พระสงฆ์ทั้งหลายกระทำทุกวัน ?แต่ปรากฏว่าในคืนวันหนึ่ง มีเสียงประหลาดเกิดขึ้น เสียงประหลาดจะมาปรากฏในเวลากลางคืน เวลา
    ที่ พระเจ้าพิมพิสาร กำลังจะบรรทม เสียงประหลาดนี้บอกตรงๆ ว่าเป็นเสียงเปรตบรรดาเปรตเป็นอันมาก บันดาลเสียงให้ปรากฏ แต่
    ไม่เห็นตัว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ตกใจ คิดว่า เสียงนี้ ไม่เคยได้ยินมา แต่กาลก่อนเมื่อตื่นขึ้นเช้าก็ไปเฝ้าองค์พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่ เวฬุวัน ถามว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เมื่อคืนนี้มีเสียงประหลาด ทำให้
    ข้าพระพุทธเจ้าหวั่นหวาดเป็นอันมาก ไม่ทรายว่าประสงฆ์อะไร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียง
    เปรตเปรตเหล่านั้นเป็นญาติกับพระองค์มาแต่กาลก่อน คำว่า ญาติ ไม่ต้องหมายความว่า เป็นพี่เป็นน้องกันนะ การคบหาสมาคมกัน
    เขาก็ถือว่าเป็นญาติ ท่านก็เล่าความเป็นมาของเปรตทั้งหลายว่า ?ในสมัยก่อนโน้น สมัย สมเด็จพระพุทธกัสสป พระพุทธเจ้าองค์
    หนึ่งไม่ใช่ พระมหากัสสป?เวลานั้นมีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระราชโอรส 4 องค์ แต่ว่าพระราชโอรสองค์แรกเป็นพระพุทธเจ้า

    คือว่าเข้ามาโปรดพุทธบิดา พระพุทธบิดาก็บอกว่า เวลานี้ ฉันแก่แล้ว ในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ห้ามีคนอื่นถวายทานกับพระพุทธเจ้า
    บิดาจะถวายคนเดียว พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงทราบว่า พระพุทธบิดาของพระองค์มีชีวิตไม่นานนัก ก็ทรงอนุญาต เป็นอันว่า ท่านพุทธ
    บิดา ถวายทานเป็นธรรมทายกประจำ ?ต่อมาปรากฏว่า มีข้าศึกมาติดเมือง ก็สั่งให้น้องชายพระพุทธเจ้าทั้ง 3 องค์คุมกองทัพไปรบ

    กับข้าศึก เมื่อน้องชายของพระพุทธเจ้าไปรบกับข้าศึก เมื่อข้าศึกแพ้ พ่อก็ดีใจให้พรว่า เจ้าทั้งหลาย?ต้องการอะไร บอกพ่อ พ่อจะให้
    ทุกอย่าง เป็นอันว่า น้องชายพระพุทธเจ้าทั้ง 3 องค์ ได้แก่ ชฏิล ทั้ง 3?องค์ ไม่ใช่เรอะ ภายหลังเป็น ท่านชฏิล ทั้ง 3 ชฏิล 3 คนนะ

    ก็ขอว่า ?ต่อแต่นี้ไปขอถวายทานแด่พระพุทธเจ้า ถวายทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พ่อก็ตกใจว่า เฮ้ย อย่างอื่นข้าให้
    ได้ อย่างนี้ข้าให้ไม่ได้ต้องข้าตายเสียก่อน ต่อมาก็ต่างคนต่างขอลดว่า ขอให้ทานคนละปี พ่อก็ไม่ยอมต่อมาขอลดให้เพียง 3 เดือน
    พ่อก็ไม่ยอม ต่อมาขอลดให้ทานเพียง 1 เดือน พ่อยอม คนละ 1 เดือน ก็เป็น 3 เดือน เมื่อพ่อยอมแล้ว ท่านชฏิล ทั้ง 3 ลูกชาย

    ทั้ง 3 องค์ก็บวชเณร 3 เดือน และได้สั่งกับนายบัญชี คนทำเงินคงคลังว่า
    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะถือศีล 10 บวชเป็นสามเณรในสำนักของพระพุทธเจ้าทรัพย์สินของเราที่มีอยู่จำนวนมากมาย เจ้าจงช่วย
    จัดการเลี้ยงพระสงฆ์จำนวนแสนเวลานั้นพระสงฆ์ที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีอยู่ 2 แสนองค์ และบรรดาประชาชนที่มาร่วมในงานเลี้ยง
    พระ ให้เลี้ยงทั้งหมดเวลานั้น พระเจ้าพิมพิสาร พระบรมท้าวเธอเป็นนายบัญชี ท่านเป็นนายคลัง เมื่อมีความจำเป็น เลี้ยงพระเป็นแสน
    และเลี้ยงคนด้วย คนที่มีอยู่ประจำก็ไม่พอต้องสั่งให้บรรดาญาติมั่งเพื่อนมั่งคนที่ชอบพอกันมั่งให้มาช่วยงานเป็นการจ้างจ้างในการ
    เลี้ยงพระ ที่นี้บุคคลพวกนั้นก็มีความโลภไม่ใช่บางคน หลายๆ คน ของที่ถวายพระเป็นของดี เขาก็ทำเป็นจำนวนมาก เพราะต้องการ
    ถวายพระพุทธเจ้าผู้เป็นประธานด้วย เวลาพระฉันเสร็จ ก็ปรากฏว่าของดีๆ ก็แบ่งๆไว้ กันไว้ แทนที่จะไว้เลี้ยงคนทั่วไป อันนี้ลูกหลาน
    ฉันชอบ ความจริงตัวเองชอบ กันของที่พระฉันเสร็จเก็บไว้เพื่อตนเหลือแต่อันที่ไม่ชอบไว้ให้คนมาในงาน

    อันนี้แหละท่านบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้กินของสงฆ์ แต่ว่า
    กินของสงฆ์ที่เหลือแล้วที่ไม่ต้องการ แต่ว่าเจ้าของเดิมบอกว่าเมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำอาหารที่เหลือแล้วเลี้ยงคน
    ทั้งหมดที่มา ท่านได้กำกับไว้ มันอยู่ตรงนี้ จำให้ดีนะ ในเมื่อเธอไม่ทำอย่างนั้น บาปของเธอก็มี เมื่อเวลาตายไป ไปเกิด

    เป็นเปรต เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คนที่จะให้ถ้าไม่ใช่ญาติไม่ใช่เพื่อน ก็ไม่มีโอกาสที่จะโมทนาอย่างท่านบรรดาญาติโยมพุทธ
    บริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ากัน คนที่ทำบุญกันในวันนี้บรรดาพวกเปรตก็ดี สัมภเวสีก็ดี จะล้อมบริเวณที่ท่านทำบุญนี้เป็นจำนวนมาก
    ต่างคนต่างต้องการบุญกุศล ถ้าเปรตคนไหนเห็นเป็นญาติกับคนไหนก็มีโอกาสได้โมทนา ถ้าไม่ใช่ญาติ โอกาสโมทนาก็ไม่มี ต้องจำ
    ให้ดีนะ และฟังเรื่องนี้ให้ดีต่อไป เป็นอันว่า

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาองค์นี้นิพพานไปแล้ว คนพวกนี้ก็ต่างคนต่างตายเมื่อตายแล้ว ต่างคนต่างเป็นเปรต เป็นเปรต
    นานเท่าไหร่ในบาลีไม่ได้บอก เป็นแค่เพียงว่า ถอยหลังจากกัปนี้ไป กัปนี้ไม่นับ ถอยหลังไป 91 กัป นี่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
    พระปทุมุตตระ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาบรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้น จึงพากันมาหาพระพุทธเจ้าบอกว่า เวลานี้บรรดาข้า
    พระพุทธเจ้าอดข้าว อดน้ำ มีความหิวมานานแล้ว ต้องการกำลังขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วท่านช่วยสงเคราะห์ พระพุทธเจ้าทรง
    พิจารณาแล้ว ถึงแม้ว่าพระองค์เองเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะช่วยได้ จึงบอกบรรดาเปรตทั้งหลายว่าฉันเป็นพระพุทธเจ้าก็จริง
    แหล่ ?แต่ว่าไม่สามารถจะช่วยเธอได้ พวกเธอต้องรอไปข้างหน้าอีก 91 กัป ท่านบอกว่า อีก 91 กัป กัปนี้ไม่นับ จะมี่พระพุทธเจ้าเกิด
    ขึ้นในโลก มีนามว่า พระสมณโคดม และเวลานั้นญาติของเจ้าจะเกิดเป็นพระราชา มีนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร ในเมื่อเวลาที่ พระ
    เจ้าพิมพิสาร บำเพ็ญกุศลแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกเธอ พวกเธอจะมีความสุข จะมีร่างกายเป็นทิพย์เป็นเทวดาทั้งหมด

    บรรดาเปรตทั้งหลายนั้นได้ฟังแล้ว อีก 91 กัปข้างหน้า ก็รู้สึกดีใจ จะได้กินข้าว กินน้ำ นี่แสดงว่า แกอดมานานแล้ว บรรดาญาติโยม
    พุทธบริษัททุกอย่างอย่าลืมว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยัง?ช่วยไม่ได้นะ ต่อมา 91 กัป หรือ 92 กัป นับถอยหลังมาก็มีพระพุทธเจ้าเกิด
    ขึ้นแล้ว 3 องค์ข้างหน้าคือ หนึ่ง พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระพุทธกัสสป บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    เหมือนกัน เข้าไปขอโมทนาส่วนกุศล พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ก็เหมือนกันหมดว่า ?
    บรรดาเปรตทั้งหลาย ตถาคตถึงแม้จะเป็นพระพุทธเจ้าแต่ก็ไม่สามารถจะช่วยพวกเธอได้ นี่ขนาด ?พระพุทธเจ้าช่วยไม่ได้นะ ฟังให้ดี
    นะเธอต้องรอท่านสมณโคดม ถ้าพระสมณโคดมขึ้นมาแล้วในโลก ญาติของเจ้าจะเกิดเป็นพระราชา มีพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร
    เมื่อ พระเจ้าพิมพิสาร ทำบุญกับพระสมณโคดมแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เธอ เธอทั้งหมดก็จะมีร่างกายเป็นทิพย์ จะพ้นจากความเป็น

    เปรต เป็นนางฟ้า เป็นเทวดา จะมีแต่ความสุข บรรดาเปรตพวกนี้ก็คอยมานาน?จนกระทั่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมา
    สัมพุทธเจ้าพระองค์นี้อุบัติขึ้นแล้วในโลก อันดับแรก ขอเทศน์ลัดๆ นะ เรื่องมันยาว
    ทรงเทศน์โปรดฤาษีทั้ง 5 แล้วก็ตั้งใจจะไป กรุงราชคฤห์มหานคร เพราะว่าเวลาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกสู่มาหภิเนษกรมณ์
    ได้พบ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสาร ก็ว่าขัดคอกับใครจึงออกบวช พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้ขัดคอใคร ?ฉันต้องการพระ
    โพธิญาณ พระเจ้าพิมพิสาร ขอสัญญาว่า ถ้าได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้โปรดข้าพเจ้าก่อน พระพุทธเจ้าก็ทรง
    ถือสัญญานี้แต่เผอิญมีความจำเป็น เมื่อพบกับ ปัญจวัคคีย์ พระองค์ก็ได้สอน ปัญจวัคคีย์ เป็นต้น

    ต่อมาเมื่อถึงเขต พระเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์ เมื่อ พระเจ้าพิมพิสาร ทราบแล้ว ก็พาบรรดาชาวบ้านเมืองทั้งหลาย ติดตามไปมี
    ข้าราชการเป็นต้น ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระเจ้าพิมพิสาร กับคนจำนวนเกือบ
    ทั้งหมดอีกครึ่งหนึ่ง เป็นพระโสดาบัน และมีครึ่งหนึ่งเข้าถึงไตรสรณคมน์ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เมื่อฟัง
    เทศน์จบแล้ว ต่างคนต่างถวายทานกับพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็พักอยู่ที่ เวฬุวัน
    ทีนี้บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยมานานตั้ง 92 กัป และก่อนหน้านั้นอดมากี่กัปก็ไม่ทราบ เมื่อเห็นพระเจ้าพิมพิสาร ถวายทานก็
    ถวาย ถวายภัตตาหารก็ถวาย ถวายผ้าก็ถวาย ถวายอาหารก็ถวาย ถวายเครื่องดื่มก็ถวาย ถวายกันทุกวัน ก็คอยกันทุกวัน แต่ก็ไม่
    ปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทุทิศส่วนกุศลแกก็ทนไม่ไหว ก็ทำการประท้วงส่งเสียง ?พระเจ้าพิมพิสาร ก็ไปถามพระพุทธเจ้า เมื่อ
    พระพุทธเจ้าเล่าให้ฟังเสร็จก็บอกว่า เปรตต้องการการอุทิศส่วนกุศลจากพระองค์ ขอพระองค์ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และอุทิศ
    ส่วนกุศลให้ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทำ บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้เสวยภัตตาหารในราชนิเวศน์ เมื่อถวายทาน
    เสร็จพระพุทธเจ้าโมทนา พระเจ้าพิมพิสาร ก็อุทิศส่วนกุศลก็จัดพระเต้าทองกรวดน้ำ พระเจ้าพิมพิสาร เดิมเป็นพราหมณ์มาก่อน
    พราหมณ์มีประเพณีของเขา ใครต้องการให้อะไรแก่ใครให้เทน้ำลงฝ่ามือ แสดงว่าเป็นการให้
    ฉะนั้นการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ท่านจึงหยิบพระเต้าทองแล้วหลั่งน้ำ เอาน้ำหยดลงไป มีที่รับ และตั้งใจอุทิศส่วนกุศล อิทัง โน ญาติ
    นัง โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ขอผลบุญจงสำเร็จแก่ญาติข้าพเจ้า เขาว่ากันสั้นๆ แค่นี้เองนะ ?บรรดาเปรตทั้งหลายที่คอยกันมานาน
    อยู่แล้ว ก็ละอัดภาพจากความเป็นเปรตทันที มีร่างกายสวย ผู้ชายก็เหมือนเทวดา ผู้หญิงก็เหมือนนางฟ้า มีความสวยเอิบอิ่มขึ้นมา
    เต็มที่ กำลังดีหน้าตาก็สวย แต่ทว่าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไร้เครื่องแต่งตัว ไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ไม่มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์

    หลังจากทำบุญเสร็จ พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับ ตอนกลางคืน บรรดาเทวดาแก้ผ้าทั้งหมดก็ได้แสดงตนแก่ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นอันว่า
    พระเจ้าพิมพิสาร กำลังจะเข้าที่บรรทม ก็เริ่มจิตจับพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติ อย่างที่บางคนภาวนาว่า พุทโธ ก็มีสภาพเดียวกัน
    เมื่อกำลังใจเข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตเริ่มเป็นทิพย์ ก็เห็นบรรดาเทวดา นางฟ้าทั้งหลาย เข้ายืนข้างที่นอน เห็นเทวดานางฟ้าทั้งหลาย
    ยืนแก้ผ้าหมด แต่หันหลังให้นะ เห็นแก้ผ้าทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสาร ก็แปลใจ คิดว่าเป็นลาง เปรตวันนั้นมาขอส่วนบุญ แต่วันนี้ทั้งหมด
    ที่แสดงตนสวยสดงดงาม แต่ไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่งไม่มีเสื้อผ้าจะใส่

    ตอนเข้าก็ไปถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อวานนี้พระองค์แนะนำข้า
    พระพุทธเจ้า ให้เลี้ยงภัตตาหารแต่พระสงฆ์ก็ทำแล้ว อุทิศส่วนก็อุทิศแล้ว แต่ว่าเมื่อคืนนี้แปลกไม่มีเปรต แต่มีเทวดา นางฟ้าจำนวน
    มาก แต่ทุกคนไม่มีผ้านุ่งไม่มีผ้าห่ม พระพุทธเจ้าก็บอกว่า บรรดาเปรตทั้งหลายที่แสดงตนเป็นเทวดานางฟ้า ก็เปรตพวกนั้นเอง เมื่อ
    ได้โมทนาส่วนกุศล แต่ว่าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา คำว่า ผ้าไตรจีวร

    นี้ก็หมายถึงว่า ผ้าเช็ดหน้า 1 ผืน หรือสบง 1 ตัวก็ใช้ได้ก็เหมือนอย่างบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายถวายสังฆทาน มีผ้าไตร 1 ผืน มี
    อาหารเป็นต้น ต้องมีผ้า 1 ผาเป็นอย่างน้อย อย่างกว้างคืบ ยาวคืบก็ใช้ได้เพราะว่าบรรดาเปรตพวกนี้ชาติก่อนไม่เคยทำไว้ เมื่อถึง
    เวลาเป็นเทวดา จึงไม่เครื่องแต่งกาย ?พระเจ้าพิมพิสาร ก็ถามว่า จะให้ช่วยอย่างไร องค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้ว
    กันถ้าตั้งใจจะสงเคราะห์เขาก็ให้ตั้งใจถวายฟ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา จะเป็นผ้าไตรชุดเดียว หรือผ้าผืนเดียวก็ได้แล้วทุทิศส่วน
    กุศลให้เขาทั้งหลายก็จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ทันที

    เมื่อ พระเจ้าพิมพสาร ถามองค์สมเด็จพระชินศรีแล้ว ก็ปฏิบัติตามนั้นนิมนต์พระพุทธเจ้าใหม่ นิมนต์พระสงฆ์ใหม่ ถวายภัตตาหาร และ
    ถวายผ้าไตรจีวรแล้วอุทิศส่วนกุศลก็เป็นอันว่าเทวดาทุกคนก็มีสุขกันไป
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันสารทเขาว่าเป็นวันปล่อยผี ในความจริงแล้ว เขาก็ไม่ได้ปล่อย ท่านทั้งหลายที่มีญาติตาย
    ไปแล้วกี่กัปก็ตามทีเขามีทุกขเวทนาอยู่ก็ดี เป็นเปรตก็ตามเป็นสัมภเวสีก็ตาม เวลานี้เขากำลังรอโมทนาส่วนกุศลอยู่

    ฉะนั้นวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมครูซึ่งมีอานิสงส์ใหญ่ แต่เป็นมหากุศล นั่นก็คือ หนึ่ง
    ถ้ามาถึงวัด ตั้งใจนมัสการพระพุทธรูปเป็น พุทธานุสสติ ตั้งใจไหว้พระสงฆ์ เคารพพระสงฆ์เป็น สังฆานุสสติ ตั้งใจฟังธรรมเป็น ธัมมา
    นุสสติ ถ้าถวายทานแต่ พระสงฆ์เป็นอานิสงส์ใหญ่มาก ถ้าทุกท่านต้องการให้ญาติของท่านที่ตายไปแล้วมีความสุขเป็นการปล่อยผี
    ให้ทุกท่านปล่อยกัน ดังนั้นเวลาเทศน์จบทายกแนะนำให้อุทิศส่วนกุศล จะใช้คำสั้นๆ ก็ได้นะ เพราะคำญาติ ไม่รู้ว่ากี่กัป กี่ร้อย ญาติกี่
    แสนคนที่ตายไปแต่กาลก่อน คำว่าญาติมันรวมหมด ให้ใช้คำอุทิศส่วนกุศลสั้นๆ ก็ได้เหมือน พระเจ้าพิมพิสาร ว่า อิทัง โน ญาตินัง
    โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่าขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติข้าพเจ้า เพียงแต่นี้ ท่านบรรดาพุทธบริษัท ที่เขาตั้งใจมารับโมทนาได้
    จะเปลี่ยนเป็นสภาพจากความเป็นเปรต เป็นสัมภเวสี เป็นเทวดานางฟ้าทันที และก็ส่วนใหญ่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
    ก็ได้เคยถวายผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนาแล้ว ?เฉพาะผ้าไตรจีวรทั้งชุดก็ดี สบงตัวเดียวผ้า อังสะตัวเดียวก็ตาม หรือผ้าเช็ดหน้าหนึ่ง
    ผืนก็ใช้ได้ ใช้ได้หมด เพียงเท่านี้เขาก็มีเครื่องประดับความเป็นทิพย์

    เอาละบรรดาพุทธบริษัท วันนี้ร่างกายก็ยังไม่ดีนัก เมื่อคืนนี้ก็ยังปวดมากอยู่เวลานี้ก็ปวด ก็

    ขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทซึ่งเป็นสาวกของพระบรมครูว่าการทำบุญวันนี้ ทุกคนจงอย่าคิดว่า อุทิศส่วนกุศล แล้วบุญท่านจะ
    หมดไปนะ ว่าเราทำเกือบตาย เสียไปหมด ไม่ใช่อย่างนั้น บุญที่ทุกคนทำ ทุกคนได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งหมด ท่านถวายทานก็ดี
    ท่านสารทานศีลก็ดี ฟังเทศน์ก็ดี ฟังพระสวดก็ดี ทั้งหมดนี่เป็นบุญ รวมทั้งหมดนี้ทุกคนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และ
    ประการที่ 2 เมื่ออุทิศส่วนกุศลแล้ว บุญร้อยเปอร์เซ็นต์ นี้ท่านไปหมดไปไม่ยุบไป มีแต่เพิ่มขึ้น เพราะการที่เขาโมทนา เขาก็มีความ
    สุขเท่าท่าน เป็นเทวดานางฟ้าได้ แต่บุญที่ท่านให้ไปไม่ได้หมด ตัวอย่างปรากฏเหมือนเรื่อง พระอนุรุทธ เวลามันเหลือ 2 นาที

    เมื่อ พระอนุรุทธ ตั้งใจให้เจ้านายโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็ถามท่านปัจเจกพุทธเจ้าว่า บุญที่เราให้เขาโมทนาจะยุบไปไหน พระปัจเจก
    พุทธเจ้าก็ถาม พระอนุรุทธ ว่า สมมติว่า ท่านมีคบเพลิงแต่ก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟทุกคน ต่างเอาคบมาต่อไฟจาก
    คบของโยม แสงสว่างจากคนเสมอกันหมด ถามว่าแสงไฟจากคบของโยมมันจะหมดลงหรือน้อยไปไหม พระอนุรุทธ ตอบว่า

    ไม่น้อย เป็นอันว่า การอุทิศส่วนกุศลนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เขามีความสุขได้ แต่บุญกุศลที่ให้เขาไปไม่ยุบตัวลง มีเท่าเดิม และยังเพิ่ม
    เมตตาบารมีเอาละ บรรดาท่านญาติโยมพุทธบริษัททั้งหน้า วันนี้เทศน์ไม่ค่อยไหว เพราะเมื่อคืนก็หลับนอนน้อยไปหน่อย ขอให้
    บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่ได้ทำบุญแล้ววันนี้ทั้งหมด จงมีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลและจงเจริญไปด้วย
    จตุรพิธพรชัย มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ขอทุกคนปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมปรารถนาทุกประการ อาตมภาพ
    แสดงพระธรรมเทศนามาในปุญญาภิกถา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงแต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้



    .

    พระธรรมเทศนา เรื่อง เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  7. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    สวัสดีครับตอนเที่ยงกว่า
    วันนี้ผมได้รับพระที่คุณสิทธิพงศ์ส่งไปให้แล้วครับ ขอบคุณมากๆนะครับที่กรุณา

    ขอให้คุณสิทธิพงศ์มีความสุขตลอดกาลนะครับ

    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, newcomer+, Phocharoen+, psombat+, นายเฉลิมพล, พ่อน้องหนุน </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนบ่ายนิดๆครับ วันนี้งานเยอะมากจริงๆครับ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่งรายละเอียดองค์ผู้อธิษฐานจิตไปให้แล้วนะครับ

    โมทนาบุญทุกประการครับ
     
  10. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    วันนี้กระผมได้รับพระที่คุณอาส่งไปให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ขอบพระคุณมากครับคุณอา
     
  11. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    เข้ากับประเพณีทางใต้เลยครับคุณอางานบุญชิงเปรต ในวันที่8นี้ละครับทางใต้งานใหญ่ ที่นครศรีธรรมราชจัดใหญ่มากทุกปีครับ เรียกงานทำบุญเดือน10
    รึงานชิงเปรต เขาถือกันว่าญาติที่ตายไปเกิดเป็นเปรตเขาจะปล่อยให้มาเจอญาติมารับส่วนบุญได้ ญาติใครญาติมันมีขนมและอาหารมาเลี้ยงผีเปรตครับ
    ถ้าเปรตตนไหนไม่มีญาติมาก็จะอดครับ พระท่านว่าอย่างนั้นนะครับผมไม่เห็นหรอกครับหุหุหุหุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘

    ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา


    ๖. ทัททัลลวิมาน


    ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในทัททัลลวิมาน


    นางภัททาเทพธิดาผู้พี่สาว ได้ถามนางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวว่า
    [๓๔] ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมี ทั้งเป็นผู้เรืองยศ ย่อมรุ่งเรืองโรจน์ล่วงเทพเจ้าชาว
    ดาวดึงส์ทั้งหมด ด้วยรัศมี ดิฉันไม่เคยเห็นท่านเพิ่งจะมาเห็นในวันนี้
    เป็นครั้งแรก ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จึงมาเรียกดิฉันโดย
    ชื่อเดิมว่า ภัททา ดังนี้เล่า?
    นางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวตอบว่า
    ข้าแต่พี่ภัททา ฉันชื่อว่าสุภัททา ในภพก่อนครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ดิฉัน
    ได้เป็นน้องสาวของพี่ ทั้งได้เคยเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกับพี่มาด้วย
    ดิฉันตายจากมนุษยโลกนั้นมาแล้ว ได้มาเกิดเป็นเทพธิดาประจำสวรรค์
    ชั้นนิมมานรดี.
    นางภัททเทพธิดาจึงถามต่อไปอีกว่า
    ดูกรแม่สุภัททา ขอเธอได้บอกการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้า เหล่า
    นิมมานรดี ซึ่งเป็นที่ๆ สัตว์ได้สั่งสมบุญกุศลไว้มาก แล้วจึงได้มา
    บังเกิด เธอได้มาเกิดในที่นี้ เพราะทำบุญกุศลสิ่งใดไว้ และใครเป็นครู
    ผู้แนะนำสั่งสอนเธอ เธอเป็นผู้เรืองยศ และถึงความสุขพิเศษไพบูลย์
    ถึงเช่นนี้ เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ ดูกรแม่เทพธิดา
    ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดตอบฉันด้วย?
    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
    เมื่อชาติก่อน ดิฉันมีใจเลื่อมใส ได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่ แก่สงฆ์
    ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูป ด้วยมือของตน เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉัน
    จึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะ
    บุญกรรมนั้น.
    นางภัททาเทพธิดาได้ถามต่อไปอีกว่า
    พี่ได้เลี้ยงดูพระภิกษุทั้งหลาย ผู้สำรวมดี ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้
    อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ ด้วยมือของตนเอง มากกว่าเธอ ครั้น
    ให้ทานมากกว่าเธอแล้ว ก็ยังได้บังเกิดในเหล่าเทพเจ้าต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอ
    ได้ถวายทานเพียงเล็กน้อย อย่างไรจึงมาได้ผลอย่างพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้
    เล่า แน่ะแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรด
    ตอบฉันด้วย?
    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
    เมื่อชาติก่อน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุผู้อบรบทางจิตใจเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่
    จึงได้นิมนต์ท่านรวม ๘ รูปด้วยกัน มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วย
    ภัตตาหาร ท่านพระเรวตเถระนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ อนุเคราะห์แก่
    ดิฉัน จึงบอกดิฉันว่า จงถวายสงฆ์เถิด ดิฉันได้ทำตามคำของท่าน
    ทักขิณาของดิฉันนั้น จึงเป็นสังฆทาน ดิฉันให้เข้าตั้งไว้ในสงฆ์เป็นทาน
    ที่ไม่อาจปริมาณผลได้ว่า มีอยู่เท่าไร ส่วนทานที่คุณพี่ได้ถวายแก่ภิกษุ
    ด้วยความเลื่อมใสเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก.
    นางภัททาเทพธิดา เมื่อจะรับรองความข้อนั้นจึงกล่าวว่า
    พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานนี้ มีผลมาก ถ้าว่าพี่ได้ไป
    บังเกิดเป็นมนุษย์อีก จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความ
    ตระหนี่ ถวายสังฆทาน และไม่ประมาทเป็นนิตย์.
    เมื่อสนทนากันแล้ว นางสุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่ทิพยวิมานของตนบนสวรรค์ชั้น
    นิมมานรดี ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับการสนทนานั้น เมื่อนางสุภัททาเทพธิดากลับไปแล้ว
    จึงตรัสถามนางเทพธิดาว่า
    ดูกรนางภัททา เทพธิดาผู้นั้นเป็นใคร มาสนทนาอยู่กับเธอ
    ย่อมรุ่งโรจน์กว่าเทพเจ้าเหล่าดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี?
    นางภัททาเทพธิดา เมื่อจะบรรยายข้อที่สังฆทานของเทพธิดาผู้น้องสาวว่ามีผลมาก
    จึงทูลว่า
    ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ เทพธิดาผู้นั้น เมื่อชาติ
    ก่อนยังเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็นน้องสาวของหม่อมฉัน และ
    ได้เคยร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉันด้วย เธอสั่งสมบุญกุศลคือถวาย
    สังฆทาน จึงได้ไพโรจน์ถึงอย่างนี้ เพคะ.
    สมเด็จอัมรินทราธิราช เมื่อจะทรงสรรเสริญสังฆทาน จึงตรัสว่า ดูกร
    นางภัททา น้องสาวของเธอไพโรจน์กว่าเธอ ก็เพราะเหตุในปางก่อน
    คือการถวายสังฆทานที่ไม่อาจจะปริมาณผลได้ อันที่จริง ฉันได้ทูลถาม
    พระพุทธเจ้า ครั้งประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ถึงผลแห่งไทยธรรม
    ที่ได้จัดแจงถวายในเขตที่มีผลมาก ของมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญให้ทาน
    อยู่ หรือทำบุญปรารภเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย จะถวายใน
    บุคคลประเภทใดจึงจะมีผลมาก พระพุทธเจ้าตรัสตอบข้อความนั้น
    แก่ฉันอย่างแจ่มแจ้งว่า ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก และ
    ท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยมรรค ๔ จำพวก พระอริยบุคคล ๘ จำพวกนี้
    ชื่อว่าสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติตรงดำรงมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์
    ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ หรือทำบุญปรารภการเวียน
    เกิดเวียนตาย ทานที่ถวายในสงฆ์ ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็น
    ผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ยังผลให้เกิดแก่ผู้ถวายทานในท่านอย่างไพบูลย์
    ยากที่ใครจะปริมาณว่าเท่านี้ๆ ได้ เหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเน
    ได้ว่ามีน้ำเท่านี้ๆ ได้ ฉะนั้น พระสงฆ์เหล่านี้แล เป็นผู้ประ-
    เสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นเยี่ยมในหมู่
    นรชนเป็นแหล่งสร้างแสงสว่าง คือ ญาณของชาวโลก ได้แก่ นำ
    เอาแสงสว่าง คือพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วมาชี้
    แจง ปวงชนที่ใคร่ต่อบุญเหล่าใด ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทักขิณา
    ของเขาเหล่านั้นชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เป็นยัญวิธีที่เซ่นสรวงถูก
    ต้อง จัดเป็นบูชากรรมที่บูชาแล้วชอบ เพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทาน
    มีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญชน
    เหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก มาหวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้ เกิดปีติ
    โสมนัส ก็จะกำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่พร้อมทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    ความลังเลในใจ และการตีตนเสมอท่าน อันเป็นมูลฐานเสียได้
    ทั้งจะไม่เป็นผู้ถูกผู้รู้ติเตียน แต่นั้นก็จะเข้าถึงสถานที่ๆ เป็นแดน
    สวรรค์.



    จบ ทัททัลลวิมานที่ ๖.



    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๑๑๗๑ - ๑๒๕๒. หน้าที่ ๔๗ - ๕๐.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=26&A=1171&Z=1252&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=34
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๖</U>
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_26

    .

     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์การถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ.?"
    หลวงพ่อ : "ได้ แต่พระไปกินองค์เดียวพระองค์นั้นลงนรก นี่เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียวนี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ พระองค์เดียวหรือพระ 3 องค์ ถือว่าเป็นตัวแทนสงฆ์ พระ 3 องค์ก็แบ่งไปใช้แค่ 3 องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่"

    ผู้ถาม : "ลูกเป็นคนยากจนมีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มาก ๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ...?"
    หลวงพ่อ : " คืออานิสงส์จริง ๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สมมุติว่าเรามีเงินอยู่ 10 บาท จะไปมาที่นี่เสียค่ารถ 6 บาท กินก๋วยเตี๋ยว 3 บาท ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป 9 บาท เหลือ 1 บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่า เงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทาน และ ธรรมทาน อันนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ
    การทำบุญมาก ๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อย ๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามาก เวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่ายเรามีความจำเป็นเพียงไร ไอ้เงินที่มีความจำเป้นอย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้า แล้วแบ่งทำบุญพอสมควร
    และประการที่ 2 การทำบุญถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อยก็มีอานิสงส์น้อย ถ้าหากใช้วัตถุน้อยกำลังใจมีมากก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทานที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล
    ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านหรือที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทานเราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวล การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทานในหมู่ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็น ปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก
    เรื่องนี้ก็ตัวอย่างคนที่มีทรัพย์น้อยทรัพย์มาก อย่าง ท่านอินทกะเทพบุตร กับ อังกุระเทพบุตร ไงล่ะ
    ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน 80 โรง ให้ทานถึงหมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็น เทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม..?
    ตรงกันข้าม ท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยง แม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วัน ๆ พอกินพอใช้ไปวัน ๆ วันหนึ่งพระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทานในฐานะไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน คนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียว ในชีวิตเท่านั้น อาศัยคุณความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่ง แล้วก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้วไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้วไม่มีใครโตกว่า"
    การทำบุญใส่บาตร
    ผู้ถาม : "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ.?"
    หลวงพ่อ : "คือว่า การใส่บาตรตามหน้าบ้านไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่ อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามที่พระชอบ ใช่ไหม..?"

    ผู้ถาม : "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"
    หลวงพ่อ : "ชอบกับศรัทธาก็ครือ ๆ กันละ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ 4 องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ 1 องค์ ถึง 3 องค์ อย่างนี้เป็น "ปาฏิปุคคลิกทาน""
    ผู้ถาม : "มีอานิสงส์มากไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคนไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
    ถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง
    ถวายทานกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง
    และถ้าถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือ สร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่น สร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
    การถวายสังฆทาน 1 ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจ ไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวาย สังฆทาน
    คำว่า "ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน" หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยัง ไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
    ฉะนั้นการถวายทานเป็นส่วนบุคคล กับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจาก สมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระมีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่ พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ 5 ประการ อย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสนอานิสงส์มันก็ไม่มาก
    ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึง ฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็น พระอริยะเจ้า หมายความว่าให้คนเดียวนะ ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วนได้ผลวันนั้นเลย"

    ผู้ถาม : "แล้วอย่างการใส่บาตรโดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือ เด็กของเราใส่แทน อย่างไหนจะได้บุญมากกว่าคะ..?"
    หลวงพ่อ : "เราไปไม่ได้แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

    ผู้ถาม : "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "บุญมันเริ่มได้ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจนในชาติหน้า อันดับรองลงมาก็ "ทานัง สัคคโส ปาณัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์
    ทีนี้พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจน่ะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่น คิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตรข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเอง ตั้งแต่วันนี้คิดว่าจะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้
    แต่พอถึงพรุ่งนี้ต้องใส่จริง ๆ นะ อย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวัน ๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักที นี่ดีไม่ดีฉันพูดไปพูดมาเสียท่าเขานะ
    แต่คิดว่าจะทำจริง ๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ 100 เปอร์เซ็นต์เลย ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ
    "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ"
    "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญ"
    พระพุทธเจ้าบอกว่า มันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำ อารมณ์มันตัดตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"
    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การใส่บาตรวิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ..?"
    หลวงพ่อ : "อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้ วิระทะโย (คาถาภาวนากันจน) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่บาตรทุกวัน สวดมนต์อยู่เสมอ ถ้าจะหมดก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิละก็ขลังมาก รวยมากหน่อย"
    เนื้อนาบุญที่ดี
    ผู้ถาม : "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น เนื้อนาบุญ
    ถ้าหว่านพืชลงไปในนาลุ่มน้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะสม ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร
    แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะ ความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานนี้มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวหนึ่ง ที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็น จาคานุสสติกรรมฐานจาคานุสสติกรรมฐานนี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็ไม่แปลก การถวายสังฆทานมันก็มีผล สำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง"

    ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ..?"
    หลวงพ่อ : "การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา 2 คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกใส่บาตรดีกว่า
    พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม.." ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน"
    ทานมี 3 ประเภท
    หลวงพ่อ : "คำว่า ทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้ เวลาที่เราใช้สอย มันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลว
    ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้
    ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทานเขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามี เขาแปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผลเราก็จะได้ของเลิศ
    ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดุตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้ว ใกล้จะขาดแกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ"
    หลวงพ่อปรารภเพิ่มเติมว่า
    หลวงพ่อ : "การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดี ๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้
    การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิคสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้าง อันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้ดังนี้
    1.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวย เวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลส ถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์
    2.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริง ๆ นะ ถ้าถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องห่วง ผู้รับบริสุทธิ์แน่ พระองค์ไหนถ้าไม่บริสุทธิ์ กินแล้วตกนรก
    3.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญ เป็นของที่เราหามาได้โดยชอบธรรม
    อย่างนี้ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก
    ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง
    แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้
    รวมความว่า ต้องบริสุทธิ์ 3 อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่งอานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี"
    เจตนาครบ 3 กาล
    หลวงพ่อ : "แต่ว่าการให้ทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประเภทหนึ่ง ต้องให้ครบ 3 กาล จึงจะมีอานิสงส์สูง คือ
    1. ก่อนที่จะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    2. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    3. เมื่อให้แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส
    มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จนลง ขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว แต่ว่าศรัทธาของท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่า ข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดองเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ทำเป็นกับมาถวายพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้า
    "เวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานมีความรู้สึกอย่างไร..?"
    ท่านบอกว่า "ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อน มหาเศรษฐี สุขัง วา ปะณีตัง วา" หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง 3 กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศ มีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน
    ถ้าหากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานอานิสงส์สูงมาก รองจากวิหารทาน"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้าบังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไป เพราะความจำเป็นอย่างนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ..?"
    หลวงพ่อ : "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"

    ผู้ถาม : "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ..?"
    หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นเทวดา นี่เป็นจริง ๆ นะ"

    ผู้ถาม : "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ"
    หลวงพ่อ : "เดี๋ยวก่อน..เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้าใช่ไหม พร้อมกับพระสงฆ์ ก็มีพราหมณ์คนหนึ่งบอกว่า
    "อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์เกรงจะเป็นบาป"
    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า"
    เขาบอกว่าเปล่า เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ" แล้วท่านก็ตรัสต่อไป "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือ กินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ"
    การทำบุญมี 3 วิธี
    หลวงพ่อ : "อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสปะท่านเทศน์ไว้อย่างนี้คือ
    "บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อนขาดบริวารสมบัติ"
    "ถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไปมีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน"
    "ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"
    นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่าเขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของเขา คือ แนะนำเขา ว่าเวลานี้เราทำโน่นทำนี่ จะทำบุญร่วมด้วยไหม .. ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยก็อย่าไปโกรธ เราถือว่าเราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด"

    ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่า การถวายสังฆทานควรมี พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวี และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบ ตามนี้ไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "ความจริงเราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทาน ในที่บางแห่งใช้เครื่อง 5 เครื่อง 8 น่ะเป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่ง น้ำเพียงช้อนหนึ่งแล้วถวายไป บอกว่า เป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้เพราะว่า ผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตามมาขอกันแบบนี้เรื่อย คือขอเหมือนกัน ที่ฉัน แนะนำเขาตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง..?" เขาบอกว่า
    1. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    2. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    3. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

    ผู้ถาม : "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวะโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ..?"
    หลวงพ่อ : "อานิสงส์ตามมา คือ
    1. มีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัว นี่อำนาจพุทธานุภาพนะ
    2. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยากเพราะอาศัยทาน
    ตัวอย่าง นางวิสาขา เป็นคนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อนได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูป และปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป) จึงเป็นปัจจัยได้ เบญจกัลยาณี คือมี ความงาม 5 ประการ
    และนางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา 16 โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเป็นผู้ชายออกบวชในสำนักพระพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ ก็จะได้ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ลอยลงมา สวมตัวทันที
    ทั้งนี้ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จังเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาเป็นทั้งคนสวยคนรวย และเป็นคนที่มีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ"

    ผู้ถาม : "ทีนี้ก็มีคนสงสัยเรื่องสังฆทานครับ ถามว่าสังฆทานที่มาถวายหลวงพ่อ แล้วก็ ผาติกรรมไป แล้วก็กลับมาถวายหลวงพ่ออีก ครั้งหนึ่ง อานิสงส์จะสมบูรณ์หรือไม่อย่างไรครับ..?"
    หลวงพ่อ : "เท่ากันแหละ เขาเอาแบงค์มาถวายก็เป็นสังฆทาน ถ้าอยากจะมีของ ไปรับเอามาก็เท่ากัน"

    ผู้ถาม : "ซื้อมาเองกับผาติกรรมนะครับ..?"
    หลวงพ่อ : "แต่อย่าลืมว่าสตางค์ของใคร นั่นมันเป็นสัญลักษณ์ เป็นนิมิตออกมา มีของสักหน่อยใจมันสบายกว่าไม่มีของใช่ไหม ถ้าเจตนาให้เงินมันเป็นอะไรมันก็เป็นไปตามนั้น และก็ตั้งใจเฉย ๆ เกรงว่าไม่เป็นไปตามเน้นให้มันมีของตั้งอยู่ ถ้าต้องการจีวรต้องการพระพุทธรูปก็เป็นนิมิตจับ
    อย่าลืมว่าอานิสงส์ของสังฆทาน อะไร ๆ ก็ต้องไปดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย สังฆทานกับวิหารทาน จุดแรกต่ำที่สุดคือ ดาวดึงส์ หลังจากนั้นจะไปเลวกว่านั้นก็ตามใจ แต่อย่าลืม นะ ดาวดึงส์นี่เข้ายากนะ ไม่ใช่เข้าง่ายนะ นอกจากทำบุญขั้นสังฆทานและวิหารทานแล้ว ถ้าเป็นบุญเล็กน้อย ก็ต้องเป็นการทำบุญตัดชีวิต
    คำว่า "ทำบุญตัดชีวิต" ก็หมายความว่า ถ้าเราเดินทางไป เอาข้าวไปจำกัด ขณะกินข้าวอยู่ก็เห็นสุนัขเดินมา หรือไก่เดินมา นึกสงสารมัน "ให้มันกินหน่อยเถอะวะ"อย่างนี้ ไปดาวดึงส์ก็ได้"
    ทำบุญวันเกิด
    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิดดี หรือก่อนวันเกิดดีคะ..?"
    หลวงพ่อ : "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่งเรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจ ถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตายอานิสงส์ได้ทันที
    ตัวอย่าง สาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุกระดูกของพระอรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวะโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 1,000 เป็นบริวาร
    อย่างนี้เขาถือว่าเป็น อนุสสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็นจาคานุสสติ คิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ ก็เป็น สังฆานุสสติ ถ้าเราคิด จะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธก็เป็น พุทธานุสสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรง ๆ เท่านั้นเอง"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ แล้วอย่างทำบุญแค่เพียงเล็กน้อย เช่น การสร้างโบสถ์นี่นะคะ คือไม่ได้ทำทั้งหลังค่ะ ทำเฉพาะประตูไม้ เขามาเรี่ยไรก็ร่วมทำบุญไปกับเขาค่ะ อย่างนี้บุญคงน้อยกว่าการทำบุญทั้งหลังใช่ไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "ถ้าเราทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างกุฏิ สร้างศาลา ทั้งหมดนี่เราไม่ได้ทำเต็มหลัง คือราคาไม่เต็มหลังแต่ว่าไม่ใช่เราได้นิดเดียวนะ เราก็ได้เต็มหลัง วิมานจะปรากฏเลย ถ้าเราได้มโนมยิทธิจะสามารถไปเที่ยวดูได้"

    ผู้ถาม : "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ"
    หลวงพ่อ : "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อลอตเตอรี่ใบเดียวถูกรางวัลที่หนึ่งน่ะ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่า วิหารทาน อันนี้จัดเป็นบุญสูงสุด
    ตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก 32 คน ช่วยกันทำศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้หนึ่งเชือก มีนายช่างหนึ่งคน
    เวลาตายไปแล้ว ท่ามฆมานพก็ไปเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก 32 คนก็ไปเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็น วิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลัง นี่เป็นเรื่องอานิสงส์นะ"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ..?"
    หลวงพ่อ : " "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซิคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียน ของผู้ใหญ่ หนังสือเรียนของพระ หนังสือธรรมะต่าง ๆ
    ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรมซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุดเป็นพระที่มีปัญญามาก
    อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้างโดยเฉพาะเทปคาสเซทที่ขายม้วนละ 25 บาท ถ้าเอาทุนจริง ๆ แล้วมันไม่พอ รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล 4 อย่าง
    1. สร้างพระพุทธรูป
    2. วิหารทาน
    3. สังฆทาน
    4. ธรรมทาน
    ทั้งหมดนี้ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก 50 สตางค์ เป็นอันว่าการทำบุญเอาแค่พอควรนะ แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกัน ไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"

    ผู้ถาม : "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์จะต่างกันหรือไม่ขอรับ..?"
    หลวงพ่อ : "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ก็เหมือน ท่านจูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ 2 จิตเป็นห่วงยาย ที่บ้านไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ 3 ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวายแล้วประกาศว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎกและทรัพย์สินต่าง ๆ มาให้มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่ง
    ต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้นจะได้เป็น มหาเศรษฐี ถ้าถวายยามที่ 2 จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ 3 จะได้เป็นคหบดีใหญ่ ที่ได้น้อยเพราะถวายช้าเกินไป" พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผลความดีในศาสนาของเรานี้จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" คือ เร็ว ๆ ไว ๆ"
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธะ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"






    คำอุทิศส่วนกุศล
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ



    .

    parin_na: อานิสงส์การถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน

    .



    .



    .
     
  14. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    สวัสดีครับ
    วันนี้ไปทำบุญหล่อพระเชียงแสน ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี มาครับ เป็นพระเชียงแสนสิงห์หนึ่ง และเชียงแสนขนมต้ม
    ศิลปะองค์พระงดงามมากครับ ทั้งสององค์ถูกขโมยจากวัดไป แต่โชคดีที่ตำรวจสามารถตามกลับมาได้ภายใน 1 อาทิตย์ครับ ทางวัดเลย
    หล่อองค์จำลองขึ้นเป็นตัวแทนองค์จริงไว้ให้คนสักการะบูชาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0931.JPG
      IMG_0931.JPG
      ขนาดไฟล์:
      227 KB
      เปิดดู:
      64
    • IMG_0922.JPG
      IMG_0922.JPG
      ขนาดไฟล์:
      194.4 KB
      เปิดดู:
      61
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2010
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้ตั้งกระทู้ บทความธรรมะที่น่าสนใจ ใน PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล พระวังหน้า

    ลองไปหาอ่านกันดูครับ

    หมายเหตุ หากตัวอักษรเป็นสีน้ำเงิน และมีเส้นใต้ จะเป็นลิงค์ครับ

    .
     
  16. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    รู้สึกชื่อวัดที่ไปวันนี้คุ้นๆ เรยค้นจากอากู๋ดู เจอเรื่องสมเด็จแตงโมที่เคยอ่านตอนเด็กๆ เรยเอามาฝากครับ

    คัดลอกจาก http://www.muangphet.com/herophet.htm#p12
    สมเด็จเจ้าแตงโม เดิมชื่อ ทอง เป็นชาวนาหนองหว้า กำพร้าพ่อแม่แต่เล็กอยู่กับพี่สาว พี่สาวใช้ให้ ตำข้าว หาฟืนทุกวัน วันหนึ่งตำข้าวหก พี่สาวคว้าฟืนไล่ตีเลยวิ่งหนีเอาตัวรอด (อายุประมาณ ๙ - ๑๐ ขวบ) แล้วระเหระหนเข้าเมืองเที่ยวตุหรัดตุเหร่เข้าหมู่ไปตามฝูงเด็ก ๆ จนมีเพื่อนเล่นเพื่อนเที่ยวมาก เช่น เด็กบ้าน เด็กวัด เด็กทองนี้ได้เที่ยวอด ๆ อยาก ๆ อาศัยแต่น้ำประทังความหิวไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความอดทน วันหนึ่งลงเล่นน้ำกับเด็กวัดใหญ่ที่ท่าหน้าวัด มีเปลือกแตงโมลอยน้ำมา ๑ ชิ้น ด้วยความหิวจึงคว้าเปลือกแตงโมได้แล้วก็ดำน้ำลงไปเคี้ยวกินแล้วโผล่ขึ้นมา เพื่อเด็กที่เล่นน้ำด้วยกันรู้ว่าเด็กทองกินเปลือกแตงโม ก็พากันเย้ยหยันต่าง ๆ ว่าจะกละกินเปลือกแตงโม จึงได้พากันเรียกว่าเด็กแตงโม ถึงอย่างไรก็ดี เด็กทองก็ไม่แสดงความเก้อเขินขัดแค้นต่อเพื่อเด็กด้วยกัน คงยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาเล่นหัวตามเคย ตั้งแต่วันนั้นมาก็กระจ๋อกระแจ๋กับเด็กวัดใหญ่จนได้เข้าไปเล่นหัวอยู่ในวัดกับเพื่อน ทั้งได้ดูเพื่อนเขาเขียนอ่านกันอยู่เนือง ๆ แล้วก็เลยนอนค้างอยู่กับเพื่อในวัดด้วยกัน วันหนึ่งเป็นพิธีมงคลการ เจ้าเมืองได้นิมนต์สมภารไปสวดมนต์เย็น ครั้นเสร็จแล้วกลับวัด พอตกเวลากลางคืนสมภารจำวัดตอนใกล้รุ่งฝันว่าช้างเผือกตัวหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในวัด แล้วขึ้นไปบนหอไตร แทงเอาตู้พระไตรปิฎกล้มลงหมดทั้งหอ ครั้นตื่นจากจำวัดท่านก็นั่งตรองความฝันจึงทราบได้โดยตำราลักษณะสุบินทำนาย พอได้เวลาท่านจะไปฉันที่บ้านเจ้าเมือง ท่านสั่งกับพระเผ้ากุฏิว่า ถ้ามีใครมาหาให้เอาตัวไว้ก่อนรอจนกว่าจะพบท่าน แล้วท่านก็ไปฉัน ครั้นเสร็จแล้วกลับมาวัดถามพระว่ามีใครมาหาหรือเปล่า พระตอบว่าไม่มีใครมาหา ท่านจึงคอยอยู่จนเย็นก็ไม่เห็นมีใครมาจึงไต่ถามพระสามเณรศิษย์ว่าเมื่อคืนมีใครแปลกหน้าเข้ามาบ้างหรือเปล่า เด็กวัดคนหนึ่งเรียนว่า มีเด็กทองเข้ามานอนด้วยคนหนึ่ง ท่านจึงได้ให้ไปตามตัวมา ครั้นเด็กทองมาแล้ว ท่านจึงได้พิจารณาดูรู้ว่าเด็กทองนี้เองที่เข้าสุบิน ท่านจึงไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ จนได้ความตลอดแล้ว จึงชักชวนให้อยู่ในวัดมิให้ระเหระหนไปไหน
    ธรรมเนียมวัดแต่โบราณ เมื่อใครพาเด็กให้มาเล่าเรียนแล้ว มักจะปล่อยให้เล่นหัวกันเสีย ให้คุ้นเคย สัก ๒ - ๓ เวลาก่อน จึงจะให้ลงมือเขียนอ่าน พอถึงวันกำหนดท่านจึงเรียกเด็กทองให้เขียนหนังสือ เด็กทองก็เขียนได้ตั้งแต่ ก, ข, ก. กา, ไปจนถึงเกยตลอดจนอ่านหนังสือพระมาลัยได้ ท่านมีความประหลาดใจจึงถามว่าเจ้ารู้มาจากไหน เด็กทองบอกว่ารู้ที่วัดนี้เอง เพราะดูเพื่อนเขาเขียนเขาอ่านจึงจำได้ ท่านสมภารจึงได้ให้บวชเป็นเณรหัดเทศน์ธรรมวัตรและมหาชาติ และเรียนอรรถแปลบาลีด้วย ครั้นเทศกาลเข้าพรรษา เจ้าเมืองให้สมภารเทศน์ ไตรมาส วันหนึ่งท่านสมภารไม่สบาย จึงให้สามเณรแตงโมไปแทน ครั้นสามเณรแตงโมไปถึงเจ้าเมืองเห็นเข้าก็ไม่ศรัทธา จึงบอกว่าเมื่อพ่อเณรมาแล้วก็เทศน์ไปเถิด แล้วกลับเข้าไปในห้องเสีย สามเณรแตงโมก็ขึ้นเทศน์ พอตั้งนะโมแล้วเดินบทจุลนีย์เริ่มทำนองธรรมวัตรสำแดงไป ผู้ทายกทั้งข้างหน้าข้างในได้ฟังเพราะจับใจ ทั้งกระแสเสียงก็แจ่มใส เมื่อเอ่ยถึงพระพุทธคุณมีพระอรหังเป็นต้น เสียงสาธุการและพนมมือแลเป็นฝักถั่วไปทั้งโรงธรรม ท่านเจ้าเมืองฟังอยู่ข้างในถึงกับนั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับมานั่งฟังข้างนอกอย่างเคย และเพิ่มเครื่องกัณฑ์ติดเทียนขึ้นอีก เมื่อเทศน์จบแล้ว โดยความเลื่อมใสเข้าไปประเคนของและซักไซ้ไต่ถามเหตุผลว่าอยู่ที่ไหนแล้วปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐาก อาราธนาให้มาแทนสมภารต่อไปว่า ท่านแก่เฒ่าชราอาพาธอย่าให้มาประดักประเดิดเลย ขอให้พ่อเณรมาเทศน์แทนท่านเถิด ต่อนั้นไปสามเณรแตงโมก็มาเทศน์แทนเสมอ สามเณรแตงโมนี้ได้เล่าเรียนศึกษายังอาจารย์ที่มีอยู่ในอารามต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี การศึกษาเช่นทางพระปริยัติธรรมและข้อกิจวัตรปฏิบัติจนสิ้นความรู้ของท่านสมภารในสมัยนั้น ท่านสมภารจึงได้พาตัวสามเณรแตงโมเข้ากรุงศรีอยุธยา ไปฝากไว้ต่อคุณวัดหลวงแห่งหนึ่งได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบพระไตรปิฎก นับได้ว่าเป็นเปรียญแล้ว ได้อุปสมทบเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดันนับถือ โปรดให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือพระราชบุตร พระราชนัดนา ให้เสด็จมาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา ปฏิบัติในคัมภีร์พระไตรย์เภธางค์สาตร์ นัยว่ากาลภายหลังมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นได้เสด็จเสวยราชย์แล้ว โปรดตั้งพระอาจารย์แตงโมเป็นพระราชาคณะที่พระสุวรรณมุนี ซึ่งปรากฏในฝูงชนภายหลังเรียกกันว่า สมเด็จเจ้าแตงโม เมื่อท่านได้มั่งคั่งด้วยสมณศักดิ์ฐานันดรแล้ว ภายหลังต่อมาท่านคิดถึงภูมิลำเนาบ้านเกิดเดิม และวัดอันเป็นสถานมูลศึกษาของท่าน จึงได้ถวายพระพรลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินว่า จะออกไปปฏิสังขรณ์พระอารามที่เคยอยู่พำนักอาศัยเป็นการบำเพ็ญพุทธบูชา ก็ทรงอนุญาตอนุโมทนาแล้วถวายท้องพระโรงในพระราชวังองค์หนึ่งเป็นการช่วย เจ้าคุณอาจารย์ท่านได้นำมาประดิษฐานเป็นศาลาการเปรียญไว้ในวัดใหญ่นั้น ตัวไม้และเสาไม้ใหญ่งามมาก ลวดลายที่เขียนและลายสลักก็เป็นฝีมือโบราณ บานประตูศาลาการเปรียญสลักงามเป็นลายก้านขดปิดทองอย่างวิจิตร
    สมเด็จเจ้าแตงโม ได้ให้ช่างหล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง แต่พระยาดำรงราชานุภาพว่า "ของสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั้น คือรูปพระสงฆ์หล่อเท่าตัวคนนั่งพับเพียบพนมมือ ฝีมือที่ปั้นและหล่อเหมือนคน ดีกว่ารูปของท่านขรัวโตหรือรูปสมเด็จพระราชาคณะที่ได้เคยเห็นในที่อื่น ๆ รูปนั้นเขาเรียกกันว่ารูปสมเด็จเจ้าแตงโม คือท่านผู้ที่สร้างวัดใหญ่นี้…รฤกถึงชาติภูมิจึงออกมาสร้างวัดที่เมืองเพชรบุรี ๒ วัด คือ วัดหนองหว้าวัด ๑ และวัดใหญ่นี้วัด ๑ ทำเท่ากันเหมือนกัน แลยังปรากฏอยู่ด้วยกัน จนตราบเท่าทุกวันนี้ทั้ง ๒ วัด วัดใหญ่นั้นมีนามใหม่เรียกว่า วัดสุวรรณาราม ตามชื่อของสมเด็จสังฆราชองค์นั้น และราษฎรพากันนับถือจึงให้ช่างจีปั้นรูปหล่อสังฆราชทองในเวลาท่านออกมาเมืองเพชรบุรี แล้วหล่อไว้สักการบูชาตราบเท่าจนกาลบัดนี้ รูปสมเด็จเจ้าแตงโมนี้มีเวลาเอาออกแห่งเป็นครั้งคราว
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับสมณศักดิ์ของสมเด็จเจ้าแตงโมไว้ในพระราชหัตถเลขาเมื่อเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีใน ร.ศ. ๑๒๘ ฉบับที่ ๕ ว่า
    "…มีรูปเจ้าอาวาสเดิมซึ่งว่าเป็นผู้ปฏิสังขรณ์นั่งประนมมือถือดอกบัวตูมอยู่รูปหนึ่ง ทำด้วยความตั้งใจจะให้เหมือนฝีมือดีพอใช้
    …ตั้งหน้าเรียนพระปริยัติธรรมจนได้เป็นพระราชาคณะ แล้วจึงกลับออกมาปฏิสังขรณ์วัดนี้ บางปากกล่าวว่าภายหลังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่น่าสงสัยอยู่บ้างว่ากลัวจะหลงที่สังฆราช ด้วยตำแหน่งพระครูเมืองเพชรบุรี ๕ อย่างเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง แต่ตามหนังสือเก่า ๆ เขานับว่าเป็นพระราชาคณะทั้งนั้น ชะรอยครู ๕ องค์นี้จะเป็นพระสังฆราชาองค์หนึ่ง เช่น พระพากุลเถรเป็นพระสังฆราชาเมืองสวางคบุรี เพชรบุรีนี้ในเวลานั้นน่าที่พระครูสุวรรณมุนีเป็นสังฆราชา ท่านสมเด็จเจ้าแตงโมนี้จะเป็นพระครูสุวรรณมุนีเสียดอกกระมัง จึงได้ชื่อวัดเพิ่มขึ้นว่า วัดใหญ่สุวรรณาราม ทุกวันนี้พระครูสุวรรณมุนีก็ยังเป็นเจ้าคณะอยู่"
    พระยาปริยัติธรรมธาดาได้เขียนบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าแตงโมว่า
    "…ท่านให้หล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง เรื่องหล่อรูปนี้เล่าว่าช่างปั้นหุ่นแสนยากทำไม่เหมือนได้เลย มาได้ตาแป๊ะหลังโกงคนหนึ่งเป็นช่างปั้นอย่างเอก หล่อเอาเหมือนมิได้เพี้ยนผิด ท่านจึงให้หล่อรูปตาแป๊ะไว้เป็นที่ระลึกด้วย รูปหล่อนั้นนั่งพับเพียบประนมมือถือดอกบัว ๆ นั้นถ้าเป็นของเดิมคงแปลว่านั่งทำพุทธบูชาเวลาไหว้พระ ลักษณะรูปทรงสัณฐานของท่านเป็นสันทัดคนทรงสูง ๆ ปากแหลมอย่างเรียกว่าปากครุฑ ถ้าใครเคยเห็นสมเด็จพระวันรัตแดงวัดสุทัศน์ อาจกล่าวว่ามีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันได้ ในโบสถ์วัดใหญ่นั้นยังมีของเป็นพยานสำคัญอยู่อีกสิ่งหนึ่ง คือฝาบาตรมุกซึ่งเจ้าอธิการวัดได้รักษาต่อ ๆ กันมาใส่ตู้กระจกโดยความเคารพนับถือ จารึกชื่อไว้ว่าฝาบาตรของสังฆราชทอง…เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดใหญ่นั้น เล่าว่าท่านได้ปฏิสังขรณ์วัดหนองหว้าซึ่งเป็นวัดอยู่ในตำบลชาติภูมิของท่านด้วย บานประตูวัดหนองหว้านั้นก็สลักเสลาลวดลายวิจิตรบรรจง จนบางคนมาเห็นบานประตูวัดสุทัศน์ลายสลักเครือไม้นกเนื้อสลับซับซ้อนกันหลายชั้น ที่วัดใหญ่เป็นลายสลักชั้นเดียว ถึงวัดหนองหว้าก็คงเป็นชั้นเดียว บานประตูวัดสุทัศน์ หนังสือพระราชวิจารณ์กล่าวชัดเจนเสียแล้วว่าเป็นของรัชกาลที่ ๒ ทรงสร้างซึ่งคนทั้งหลายเคยพิศวงว่าเอามาแต่ที่โน่นที่นี่นั้นผิดหมด
    พระราชพงศาวดาร แผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
    "…จึงเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคสถลมารค ขึ้นไปนมัสการพระพุทะบาทตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงานจัดการยกเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาทขณะนั้น สมเด็จพระสังฆราช ตามเสด็จขึ้นไปช่วยเป็นแม่งานด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระทัยปราโมทย์ยิ่งนัก จึงทรงพระกรุณามอบการทั้งปวงถวายให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่งาน แล้วก็เสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร…"
    และต่อมาเมื่อครั้งนั้นหลังคาพระมณฑปเป็นหลังคาเหมือนวัดพนัญเชิง อยู่มาสมเด็จเจ้าแตงโม จึงถวายพระพรแก่สมเด็จพระบรมกระษัตราธิราชเจ้าว่าจะล้างหลังคาลงเสียจะทำยอดพระมณฑปขึ้นไว้ สมเด็จพระบรมกระษัตราธิราชเจ้าจึงโปรดให้ขึ้นมาดูแล แต่โบราณมามีต้นไม้ต้น ๑ ใหญ่ประมาณ ๓ อ้อม มีดอกเท่าฝาบาตร ครั้นเพลาเช้าเพลาเย็นบาน กลางวันตูม เมื่อจะบานนั้นหันหน้าดอกเข้าไปข้างพระมณฑปทุกเพลา มีสัณฐานดอกนั้นเหมือนดอกทานตะวัน ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าแตงโมทำมณฑปขึ้นไป ว่าต้นไม้นั้นกีดทรงพระมณฑปอยู่ จึงฟันต้นไม้นั้นเสีย แต่วันนั้นไป ท่านสมเด็จพระเจ้าแตงโมก็ตั้งแต่ลงโลหิตไปจนเท่าวันตาย
    สมเด็จเจ้าแตงโมถึงแก่มรณภาพปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ชีวประวัติและผลงานของท่านในจังหวัดเพชรบุรีที่วัดใหญ่สุวรรณารามและวัดหนองหว้า รู้จักกันแพร่หลายมาแต่โบราณ (ปรากฏในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๕ และของบุคคลอื่น ๆ) จนถึงปัจจุบัน นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของวัดใหญ่สุวรรณารามและจังหวัดเพชรบุรีอีกทางหนึ่งด้วย
    "มีเจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้า ชาวต่างประเทศ เมื่อไปเที่ยวเมืองเพชรบุรี ได้ไปชมศาลาการเปรียญ และรูปสมเด็จเจ้าแตงโมมิได้ขาด" ปัจจุบันมีเจ้านาย ข้าราชการ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา นักเรียน ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้ไปชมโบราณวัตถุโบราณสถานที่วัดใหญ่สุวรรณารามมิได้ขาดเช่นกัน
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    5555555555 ท่านเพชร พระในตำนาน กรุพระธาตุดอยไซ ท่านมาเมตตา ตาลุงข้างบ้านแล้วครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2010
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไปพิพิธพันธ์วัดเพชรพลี รึยังครับ พระโบราณ องค์อายุกว่า 1700 ปีงามมากครับ
     
  19. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อิอิ ผมไม่ได้ชื่อเพชร แต่ชอบเพชร ขอชมด้วยครับ
     
  20. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ยังไม่มีโอกาสไปเรยครับ จริงๆเมืองเพชรนี่วัดเก่าๆน่าสนใจเยอะนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...