พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    โธ่ ไว้ผมโทร.ไปคุยดีกว่านะครับ เขียนไม่ได้อรรถรสครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันนี้ผมล้างจานเรียบร้อยแล้วครับ งานหลวง(งานที่ทำงานและงานบ้าน)ไม่ให้ขาด งานราษฎร์(งานบุญ)ไม่ให้พร่อง

    พรุ่งนี้ผมจะโทร.ไปนะครับ

    (glass)
     
  2. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ถ้าเช่นนั้นผมจะได้ชาร์ทแบทก่อน

    ขอบคุณครับ
    โมทนาสาธุ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=135654&NewsType=1&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top>สืบสานปณิธาน...งานของพ่อ : ศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา นมสดพาสเจอไรซ์เพื่อสุขภาพคนไทย
    "การเลี้ยงโคนมและกิจการโคนมนี้เป็นสิ่งที่ยาก...เมื่อมีมากขึ้นผลิตภัณฑ์นมนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะเสียได้ง่ายจึงต้องหาตลาดให้กว้างขวางขึ้นก็ต้องขายส่งหรือใช้วิธีที่จะทำให้สามารถเก็บไว้"
    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    นับจากที่ พระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้าง “โรงโคนม สวนจิตรลดา” ในปี พ.ศ. 2505 ในบริเวณ พระตำหนักสวนจิตรลดารโหฐาน เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การ เลี้ยงโคนม รวมทั้งส่งเสริมให้มีการบริโภคนมสดให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้นนั้น ในปี พ.ศ.2512 ได้เกิดวิกฤติการณ์นมล้นตลาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยการรับซื้อน้ำนมดิบมาทำการ พาสเจอไรซ์ และจัดตั้ง “ศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา” ขึ้น ภายในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา กลายเป็นอีกโครงการหนึ่งที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานให้กับประชาชน ชาวไทย โดยเฉพาะเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคนม

    ศูนย์รวมนมสวนจิตร ลดา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวกับการแปรรูปน้ำนมเป็นผลิตภัณฑ์นมพาส เจอไรซ์ประเภทต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อศึกษา ค้นคว้า และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูปน้ำนมดิบเป็นผลิตภัณฑ์นมพาสเจอ ไรซ์ และเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคนมสด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในราคาย่อมเยา

    การดำเนินงานของศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา จะรับน้ำนมดิบจากโรงโคนม สวนจิตรลดา ซึ่งทำการรีดนมในเวลาเช้าและเย็น รวมทั้งรับซื้อน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมหนองโพ (จ.ราช บุรี) สหกรณ์โคนมไทยเดนมาร์ค (ห้วยสัตว์ใหญ่ จ.ประจวบคีรี ขันธ์) และบริษัทโชคชัยแดรี่ฟาร์ม ประมาณวันละ 15 ตัน โดยจะมีรถขนน้ำนมดิบมาส่ง ในช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งจะมีการตรวจคุณภาพน้ำนมดิบ ทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ ก่อนเข้ากระบวนการผลิต

    น้ำนมดิบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจะถูกส่ง เข้าถังพักน้ำนมดิบ และรักษาอุณหภูมิให้ไม่เกิน 6 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการโฮโม จิไนซ์ (homogenization) คือ การทำให้โมเลกุลของไขมัน เล็กลง ทำให้น้ำนมมีเนื้อสัมผัสเนียนขึ้นเป็นเนื้อเดียวกัน สำหรับนมปรุงแต่ง จะทำการเติมน้ำตาล สี และกลิ่น มีทั้ง วานิลลา สละ กาแฟ และโกโก้

    ส่วนการพาสเจอไรซ์ (pasteurization) หรือการฆ่าเชื้อเบื้องต้น จะให้ความร้อนกับน้ำนมดิบที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 72 องศาเซลเซียส ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 16 วินาที หลังจากนั้น จึงผ่านน้ำเย็นเพื่อลดอุณหภูมิน้ำนมไม่ให้เกิน 5 องศาเซลเซียส แล้วทำการบรรจุ ซึ่งขวดพลาส ติกที่ใช้บรรจุจะทำการลวกและฉายรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่ฝาปิดอะลูมิเนียมบรรจุภัณฑ์ เพื่อฆ่าเชื้อโรค

    เมื่อเสร็จกระบวนการ ผลิตในแต่ละวัน จะทำการล้างเครื่องที่ใช้ในกระบวนการพาส เจอไรซ์ทั้งหมดด้วยสารละลายกรด ด่าง และน้ำร้อน

    สำหรับผลิตภัณฑ์จะมีการเก็บไว้ประมาณ 1 วันในห้องเย็น เพื่อตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ก่อนจัดจำหน่าย

    ในปี พ.ศ. 2543 มีโครงการนมฟลูออไรด์สำหรับนมโรงเรียน (รสจืด) ซึ่งเป็นความร่วมมือของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องค์การอนามัยโลก และมูลนิธิ Borrow Dental Milk Foundation ประเทศอังกฤษ โดยจะเติมสารฟลู ออไรด์ลงในน้ำนม เพื่อเพิ่ม สารฟลูออไรด์ ซึ่งจะดำเนิน การในกรณีของโรงเรียนที่มี สารฟลูออไรด์ในน้ำดื่มในปริมาณต่ำ

    นมพาสเจอไรซ์ของ ศูนย์รวมนม โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ไม่มีการใส่วัตถุกันเสีย จึงต้องเก็บในที่ที่มีความเย็นอุณหภูมิไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส โดยจะสามารถเก็บได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่เช่นนั้นเชื้อแบคทีเรียจะทำปฏิกิริยากับนม ทำให้นมเสียได้

    จากโรงโคนม สวนจิตร ลดา สู่ศูนย์รวมนมสวนจิตร ลดา ทำให้พสกนิกรชาวไทยซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ในพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใย ปรารถนาดับความทุกข์ยาก ของราษฎรใต้พระบารมีของพระองค์เป็นสำคัญ.
    เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมพึ่งพาตนเอง จากแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
    “เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์สกลนคร และทรงมีพระราชดำรัสให้กรมปศุสัตว์ร่วมกับจังหวัดสกลนครดำเนินการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรในเขตจังหวัดสกลนคร และให้จัดทำโครงการโรงนมพาสเจอไรซ์ โดยในขั้นแรกให้ดำเนินการใช้เครื่องมือขนาดเล็ก เพื่อเป็นการสาธิตและเป็นตัวอย่างให้แก่เกษตรกรในการแปรรูปนมสด รวมทั้งการตรวจสอบคุณภาพนม เมื่อการดำเนินงานได้ผลดีพร้อมทั้งได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ตลอดจนราษฎรในพื้นที่ให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น อาจขยายและปรับปรุงการดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์ในโอกาสต่อไป” ธีระ บัวทะราช วัย 50 ปี สมาชิกกลุ่ม ผู้เลี้ยงโคนมของศูนย์รวมนม สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์สกลนคร โครงการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ย้อนถึงแนวพระราชดำริให้ฟัง

    เริ่มเลี้ยงโคนมมานานกว่า 15 ปี ปัจจุบันมีโคนม 39 ตัว มีแม่วัวพร้อมรีดน้ำนมดิบ 17 ตัว ซึ่งสามารถส่งน้ำนมดิบให้กับทางศูนย์รวมนมได้ วันละ 170 ลิตร ในราคาของน้ำนมดิบที่รับซื้อกิโลกรัมละ 12.50 บาท ซึ่งขณะนี้มีเพื่อนสมาชิกในรูปแบบสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมที่ผลิตน้ำนมดิบส่ง มีจำนวนกว่า 180 ราย

    “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเกษตร กร จากอดีตที่ฐานะค่อนข้างยากจนมีเพียงผืนนาเพียงเล็กน้อยเป็นที่ทำกิน ซึ่งในแต่ละปีต้องอาศัยน้ำฝนในการปลูกข้าวถ้าปีไหนฝนไม่ตกหรือแล้ง ก็ไม่สามารถทำนาได้ หลังจากที่ศูนย์รวมนมถูกจัดตั้งขึ้น ทำให้ตนและครอบครัวสามารถลืมตาอ้าปากได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถส่งลูกเรียนหนังสือได้ มีเงินออมเหลือพอที่จะซื้อรถและจัดซื้อวัวนมเพิ่มเพื่อขยายผลผลิต โดยไม่ต้องพึ่งพาฝนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความขยัน และอดทน นับเป็นแบบอย่างที่ดีของ เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางพระราชดำริที่ ทำให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ อยู่อย่างพึ่งตนเองได้จากศูนย์รวมนมแห่งนี้” ธีระ กล่าวด้วย สีหน้าที่อิ่มเอมใจ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_16_oldnews1_dlsONews style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงนมผงสวนดุสิต
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ปลานิลพระราชทาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">พระบิดาแห่งการโคนมไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ป่าไม้สาธิต
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">นาข้าวทดลอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">สมเด็จพระเทพฯทรงสาธิตการไถนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">สวมเสื้อเหลืองเทิดพระเกียรติ 80 พรรษา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘พระเทพฯเปิดงานประชุมวิชาการ’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์เสด็จโครงการฟื้นฟูฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 07:55 น.

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=44042&NewsType=2&Template=1

    วอแหวนแสนรัก

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:04 น.

    ท่านว่าถ้าไม่มีอะไรอ้างท่านก็ให้อ้างพจนานุกรมไทยจะเป็นฉบับหลวงหรือฉบับราษฎร์ก็ว่าไป ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก นอกเสียจากคำสะกดที่ผิดเพี้ยนกันไปตามกาลเวลาและตามแกนของโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ในพจนานุกรมไทยได้กล่าวถึงแหวนไว้เป็นนาม หมายถึงเครื่องประดับสำหรับสวมนิ้วมือมีรูปร่างเป็นวง เรียกสิ่งที่มีลักษณะเป็นวง ๆ ว่า วงแหวน เช่น รัศมีที่มีวงรอบดาวพระเสาร์

    นอกจากแหวนเป็นเครื่องประดับแล้วยังมีแหวนตรา คือแหวนที่ทำด้วยโลหะมีค่าเช่น เงิน ทอง หยก หินและอื่น ๆ และเป็นเงินตราใช้ประทับลงบนครั่งปิดผนึกจดหมายหรืออื่น ๆ เป็นสัญลักษณ์แทนการเซ็นชื่อ

    แหวนหัว หมายถึง แหวนที่ฝังพลอยเม็ดใหญ่เดี่ยวนูน แหวนปลอกมีด คือ แหวนทองเกลี้ยง ๆ แบบปลอกมีด แหวนมณฑปเป็นแหวนที่หัวทำเป็นยอดคล้าย มงกุฎ นอกจากนี่ยังมีแหวนหางช้าง แหวนงา แหวนพระ แหวนยันต์ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ มีแหวนพิรอด ซึ่งแหวนพิรอดมีลักษณะเป็นเชือกทำจากกระดาษสา หรือที่รู้จักกันว่ากระดาษทำว่าวหรือกระดาษว่าวนั้นเอง ซึ่งมีใยทำจากเปลือกข่อยหรือกระดาษสา นอกจากนี้ยังทำจากผ้าบังสุกุลหรือผ้าห่อศพตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร ซึ่งในทางวิชาอาคมถือว่าเป็นผีดุ อาจารย์จะไป พลีมาจากป่าช้าเพื่อนำมาเขียนยันต์ตามกรรมวิธีและการสร้างตามตำราต่อไป ส่วนใหญ่จะเขียนเลขยันต์ อุอะมะ และเสกด้วยคาถาอิติปิโสมงกุฎพระพุทธเจ้า คือ อิติ ปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ หรือลง เป็นสายรกพระพุทธองค์ยันต์พระพุทธเจ้า ๑๖ พระองค์หรือห่อด้วยผงตรีนิสิงเหขมวดผ้าหรือกระดาษสาเป็นเส้นวงแหวนมี ๙ หัว เช่นเดียวกับแหวนนพเก้าที่จะกล่าวต่อไปนี้

    นอกจากนี้ยังมีแหวนของสำนักต่าง ๆ มากมายทั้งทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักเมืองกาญจนบุรี และจังหวัดนครปฐม เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่นิยมทำแหวนพิรอด แหวนนี้มีสองขนาด คือ แหวนมือและแหวนปลอกแขน นอกจากนี้ยังมีแหวนมงคลเก้า คือ แหวนวัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ แหวนนี้นับว่าเป็นแหวนดังของคนกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ มีพระเกจิอาจารย์ร่วมกันปลุกเสก ๑๐๘ องค์ เป็นแหวนที่อยู่ในความนิยมถือกันว่าขลังทำจากเงินทองและทองแดง ที่กล่าวมาพอเป็น
    น้ำจิ้มก็เพื่อความเข้าใจในเรื่องราวของแหวนที่ชาวบ้านชาวเมืองมีความเชื่อกันในยุคก่อนยุคเก่าเท่านั้นเอง

    ส่วนแหวนสำคัญ ๆ มีกล่าวอธิบายไว้ในวรรณกรรมที่ชาวโลกและชาวไทยรู้จักกันดีก็คือ รามเกียรติ์นั่นเองในห้องภาพจิตรกรรมวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในห้องที่ ๓๔ กล่าวถึง ทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดา และนางสีดาผูกคอ (ไม่ตาย) หนุมานทหารเอกมาพบช่วยแก้แล้วถวายแหวนโดยหนุมานแปลงเป็นลิงป่า แอบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ในสวนขวัญ รอเวลากลางคืนค่อยลงมาเฝ้านางสีดา ครั้นตกค่ำทศกัณฐ์มาหานางสีดา ด้วยความคิดถึง อ้อนวอนนางให้ตามเสด็จยังพระราชวัง แต่ถูกนางสีดาเปรียบเปรยด่าว่าภาษาหญิง ทศกัณฐ์พาลโกรธนางกำนัลที่ไม่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมนางสีดาให้ใจอ่อนผ่อนตาม จึงคาดโทษไว้แล้วกลับวัง พวกนางกำนัลรู้สึกโกรธเคืองแค้นพากันต่อว่า ทำให้นางสีดาคับแค้นใจ หนีออกไปผูกคอตายกับกิ่งโศก หนุมานจึงโจนเข้าไปช่วยไว้ทัน แล้วทูลข้อความที่พระรามฝากมาถึงนาง พร้อมกับถวายแหวนและภูษาไป จึงทำให้นางสีดาค่อยระงับความโศกเศร้า

    อีกตอนหนึ่งคือเรื่องของแหวนพระอิศวร ความว่า มีอสุรพรหมตนหนึ่งชื่อ อังคุพรหม เห็นพระพรหมธาดาขี่หงส์ทองเป็นพาหนะ ก็มีจิตริษยาทำร้ายเทวดาพระอิศวรจึงถอดแหวนขว้างใส่อังคุพรหมตายลงมาเกิดเป็นม้าชื่อ สุกัณฐกะ มีความพยาบาทพระอิศวรมากจึงมาที่เชิงเขาไกรลาสท้าพระอิศวรรบ พระอิศวรจึงให้พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นมนุษย์มีนามว่าทุลกี่ ขี่ม้ามีแส้เป็นอาวุธสู้กับสุกัณฐกะ
    สุกัณฐกะสู้ไม่ได้หนีมาจนถึงแม่น้ำพบฤษีสัชนาไลยจึงไล่กัดพระฤษีจนศีรษะขาด ต่อมา
    ทุลกี่ขี่ม้าตามมาทันจึงใช้แส้ตัดศีรษะสุกัณฐกะตายแล้วนำศีรษะสุกัณฐกะมาต่อร่างของฤษีและฤษีนั้นได้นามใหม่ว่า กัลไลยกะ เรื่องราวในวรรณคดีไทยเกี่ยวกับแหวนยังมีอีกมาก เช่น รามเกียรติ์ ตอนนิ้วเพชร เป็นเรื่องของเทวดาแกล้งยักษ์นนทุกข์ จากหลักฐานและบัญชีโบราณศิลปวัตถุที่จัดแสดงไว้ในราชพิพิธภัณฑ์ไว้แต่เดิมนั้น (พ.ศ. ๒๔๘๓) ได้กล่าวว่าได้มีการจัดแสดงไว้ในตู้แสดงว่า

    อีกชั้นหนึ่งมีพระธำมรงค์องค์ที่ตั้งอยู่บนเบาะในพานมีเพชรเม็ดใหญ่ เป็นพระธำมรงค์ใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก นอกนั้นพระธำมรงค์เป็นเรือนโบราณประดับด้วยแก้วมณีต่าง ๆ ตอนกลางมีนวมพระศอ พระเกี้ยว ทองพระกร เครื่องโสกันต์ ชั้นล่างสุด
    มีสายรัดพระองค์ ทองพระบาท ทองพระกร พระดุม เครื่องผูกข้อพระกร สร้อยนวม ทับทรวง บานพับ เป็นต้น
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:04 น.

    ในรายการบัญชีเครื่องต้นพระมหากษัตริย์นั้นกล่าวถึงของ ๑๑ สิ่งคือ ๑.พระมหาพิไชยมงกุฎ ๒.พระแสงขรรค์ไชยศรี ๓.ธารพระกร ๔.พัดวาลวิชนี ๕.ฉลองพระบาท ๖.พระภูษารัตนกัมพล ๗.พระมหาสังวาลย์นพเก้า ๘.พระนบ ๙.พระธำมรงค์ ๑๐.พระมาลาเพชร ๑๑.พระแส้หางช้าง

    พระธำมรงค์ ยังคงเป็นเครื่องหมายสำคัญของพระมหากษัตริย์ทั้งใช้ในงานส่วนพระองค์หรือใช้ในงานพระราชพิธีในสมุดไทยคำว่าด้วยตำรารัตนศาสตร์ฉบับต้น
    กรุงรัตนโกสินทร์ ได้พรรณนาไว้อย่างน่าฟังว่า นพรัตน์บริบูรณ์ (สะกดตามแบบโบราณมิได้สะกดตามพจนานุกรมในยุคปัจจุบัน)

    เพ็ชรด์ มณีแดง เขียวแสงมรกฏ เหลืองใสสดบุษราคำ
    ศรีแดงก่ำโกเมลเอก ศรีหมึกเมฆนิลกาล มุกดาหารหมอกบัว
    ศรีศระสลัวเพทาย สังวารสายไพทูลฯ ตำราฟังนพรัตน์

    จากตำราฟังนพรัตน์ซึ่งอาจทำให้เกิดสิริมงคลการทำแหวนและตรานพรัตน์อาจจะเกิดขึ้นด้วยความเชื่อเกี่ยวกับท้องฟ้าดวงดาว เทวดานพเคราะห์อันเป็นสีแห่งรัตนทั้ง ๙ มีมากมายหลายตำรามีทั้งคล้าย ๆ กันเหมือนกันและแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่มุกแทนสีพระจันทร์ ทับทิมแทนสีพระอาทิตย์ บุษราคัมแทนสีพระพฤหัสบดี เพชรแทนสีพระศุกร์ มรกตแทนสีพระพุธ กัลปังหาแทนสีพระอังคาร ไพลินแทนสีพระเสาร์ ไพฑูรย์
    แทนสีพระราหู หรือพระจันทร์ข้างขึ้น โกเมนแทนสีพระเกตุ ดังนี้เป็นต้น ส่วนในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและเชี่ยวชาญในวิชาดาราศาสตร์โหราศาสตร์ได้กำหนดเรื่องแหวนนพเก้าในจดหมายกำหนดว่าด้วยเครื่องประดับสำหรับยศในสยามให้มีแหวนทองคำเป็นทองเนื้อสูงอย่างเอกคือ ทองแร่บางตะพานก็ดีหรือทองที่หุงชำระจนสิ้นมือตีเป็นอย่างเอกก็ดี หนักกึ่งตำลึงบ้าง สิบสลึงบ้าง สามบาทบ้าง ทำทั้งแท่งไม่ให้โพรงในตีให้แน่นดีแล้ว ขุดหลุมพลอย ๙ แห่ง แล้วจึงฝังพลอย ๙ อย่าง อย่างที่ ๑.เพชร ๒.ทับทิม ๓.มรกต ๔.เพทาย ๕.บุษย์ ๖.นิล ๗.มุกดา ๘.โกเมน ๙.ไพฑูรย์ แล้วประดับเพชรเล็ก ๆ เป็นเนื่องสองข้างบ้างเป็นลายต่าง ๆ สองข้างบ้าง ทำให้งามดีแล้วสอดไว้ในประคดที่คาดกับเอว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพระราชทานให้ผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่ ๆตั้งแต่ผู้เป็นที่สองรองจากพระเจ้าแผ่นดินลงไปจนเสนาบดี

    เมื่อเวลาการพิธีซึ่งสมมุติว่าเป็นมงคลผู้ใหญ่จะได้ทำเพื่อตัดจุกเด็กแลเจิมจุณ เครื่องหอมแลรดน้ำอวยชัยให้พร ในที่แต่งตั้งฐานันดรแลการบ่าวสาว แลวางศิลาฤกษ์ในการก่อตึกก่อกำแพงแลป้อมใด ๆ ที่พระเจ้าแผ่นดินหรือผู้ใหญ่แทนพระเจ้าแผ่นดินจะได้ลงมือฤกษ์ผู้ลงมือทำการมงคลนั้นย่อมเอาแหวนนั้นสอดในนิ้วชี้ขวา แล้วทำการมงคลนั้น ๆ แล้วทำการมงคลนั้นก็คาดแหวนสอดในประคดนั้นเป็นที่สำแดงยศของผู้ใหญ่ในสยามแต่โบราณมา

    แลแหวนพลอย ๙ อย่างนี้ ฝ่ายสยามนับถือว่าเป็นมงคลใหญ่หลวง อนึ่งของสำหรับพนักงานผู้ปฏิบัติพระเจ้าแผ่นดินถวายเครื่องใหญ่ (ตัดผม) คือถูกต้องที่สุดในเวลาที่ต้องการ

    เรื่องของแหวนนั้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ส่วนพระองค์เรื่องแหวนวิเศษเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นเรื่องราวความโหดร้ายทารุณระหว่างพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงจนเทวดาทนไม่ได้แปลงกายเป็นพรายน้ำมอบแหวนวิเศษให้ลูก ๆ ซึ่งก็ได้ขอให้พ่อเลี้ยงกลายเป็นสุนัขแต่ตอนหลังขอใหม่ให้พ่อเลี้ยงเปลี่ยนใจกลับนิสัยให้เป็นคนดีตามที่สังคมต้องการ ถ้ามีจริงผู้เขียนเองก็จะขอให้พวกสมองหมาปัญญาควายปากอีแร้ง จงกลับตัวกลับใจหันมาพัฒนาชาติบ้านเมืองให้สงบสามัคคีกู้ศักดิ์ศรีชาวไทยกันเสียที ที่กลัวที่สุดก็คือกลัวจะเหมือน เทพนิยายของ T.R.R. ในเรื่อง The Lord Of the Ring แหวนวิเศษวงที่ ๒๐ อาจจะไปตกอยู่กับ Lord Saron ทำให้ป่วนกันไปทั้งโลกเดือดร้อนกับไปทุกหย่อมหญ้าเหมือนเมืองไทยในปัจจุบันนี้
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:04 น.

    เรื่องของแหวนวิเศษหรือแหวนนพเก้านั้นเคยพบหลักฐานมีผู้ถวายเป็นพุทธบูชาบนยอดพระบรมธาตุเมืองนครอยู่หลายวง ซึ่งบนปลียอดทองคำยอดพระบรมธาตุเมืองนครนั้นจะแต่งด้วยลูกปัดสีส้มสีแดงหลายร้อยเม็ด ร้อยเป็นสร้อยเป็นพุ่มแบบระทางานบุญในยุคเก่าก่อนนี่ย่อมแสดงความสำคัญในงานมงคลที่มีการนำแหวนนพเก้าไปถวายเป็นพุทธบูชา โดยเจ้าเมืองหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เพราะแหวนนั้นเป็นลักษณะดังกล่าวในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องนี้ผู้เขียนได้สัมผัสและประจักษ์กับสายตาตัวเองเมื่อคราวบูรณะครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ย่อมเป็นพยานยืนยันถึงความเชื่อถือเรื่องแหวนมงคลสืบเนื่องติดต่อมายาวนานจนกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีปฏิบัติสืบมาในยุคปัจจุบัน

    ในพระราชนิพนธ์อิเหนาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จอมกวีในสมัยรัตนโกสินทร์ ทรงพระราชนิพนธ์ตอน แต่งองค์ทรงเครื่อง เนื้อหาสาระกล่าวไว้ดังนี้

    “..ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลา สอดใส่สนับเพลาสายกระสัน
    ทรงภูษาพื้นขาวเขียนสุวรรณ กรวยเชิงสามชั้นบรรจงโจง

    ฉลององค์โหมดเทศทรงอร่าม อินทนูดูงามอ่าโถง
    เจียระบาดตาดเงินเงาโง้ง ปั้นเหน่งลายปรุโปร่งประดับพลอย

    กรองศอสังเวียนวิเชียนช่วง ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย
    ทองกรจำหลักเป็นรักร้อย ธำมรงค์เพ็ชรพลอยร่วงรุ้ง

    กรรเจียกแก้วแพรวพรายทั้งซ้ายขวา ทรงชฎาห้ายอดสอดสดุ้ง
    ห้อยอุบะตันหยงส่งกลิ่นฟุ้ง ครั้นรุ่งก็เสด็จจรจรัล..”

    ในพระราชนิพนธ์ทรงกล่าวถึงพระธำมรงค์ เพ็ชรพลอยร่วงรุ้ง อาจหมายถึงเพชรพลอยสีต่าง ๆ ตามจักรราศีที่สดใสของดาวนพเคราะห์ ซึ่งให้คุณกับมวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งถือกันว่าสีแห่งดวงดาวนั้นเป็นสีมงคล ป้องกันสิ่งอัปมงคลความ
    ชั่วร้ายนานัปการ อันหมายถึงแหวนมงคลนพเก้านั่นเอง.
    ภุชชงค์ จันทวิช

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วอแหวนแสนรัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ถมเงิน ถมทอง ถมตะทอง ประณีตศิลป์ที่เลือนหาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เสาชิงช้า-ประตูสู่สวรรค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เรียนรู้ และเข้าใจ พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ในจานมีปลา ในนามีข้าว’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ตู้พระไตรปิฏกลายรดน้ำ’ หนึ่งในสยาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">คณฑี-พิธีกรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ป.ปืนใหญ่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ต.โสภาเดินหน้า ฆ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=43680&NewsType=2&Template=1

    ถมเงิน ถมทอง ถมตะทอง ประณีตศิลป์ที่เลือนหาย

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:13 น.

    บ้านพานถม เป็นย่านเดียวกับบ้านถนนดินสอ ติดกับแขตแขวงเสาชิงช้า ตึกดิน (ปืน) มีคลองเล็กกั้นเป็นคูเมืองชั้นนอกผ่านวัดมหรรด์นภาราม วัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดาราม วัดศิริอามาตย์ ไปโผล่ตรงโรงแรมรัตนโกสินทร์หรือบริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม คลองนี้ออกแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านท่าพระอาทิตย์และออกคลองเมืองโผล่ภูเขาทองเลี้ยวขวาไปสะพานหันออกสะพานเหล็ก ไปคลองโอ่งอ่าง ตลาดพาหุรัด ย่านตลาดแขก ออกแม่น้ำเจ้าพระยาย่านวัดเชิงเลนหรือวัดบพิตรพิมุข วัดสามปลื้ม เขตจักรวรรดิ ถิ่นฐานชาวมังกรนั้นเอง

    บ้านพานถม จึงเป็นย่านไปมาค้าสะดวก โดยมีสะพานเล็ก ๆ เชื่อมระหว่างสะพานวันชาติเดิม ย่านนี้มีบ้านเล็กซอกน้อยขายของกระจุกกระจิก ร้านเสริมสวย โรงพิมพ์ ร้านอาหาร เต็มสองฝั่งคลองทางด้านเชิงสะพานเป็นร้านขายดอกไม้สด พวงมาลัย ธูปเทียน และของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จำเป็น เช่น น้ำมันตะเกียง เทียนไข ไม้ขีดไฟ ถ่านหม้อดินต้มยาไทย ขี้ไต้ รวมทั้งด้านหลังของร้านเป็นร้านทำหม้อดินและตุ๊กตาดินเผาใช้สำหรับศาลพระภูมิ เป็นทั้งที่ผลิตและจำหน่ายขายส่งไปในตัว เรือถ่าน เรือข้าว เรืออิฐมอญ มีอยู่ดาษดื่นเป็นของที่เห็นกันชินตา

    บ้านพานถม จึงเป็นแหล่งคึกคักเมื่อเดินไปก็จะได้ยินเสียงตอกทุบโปกเปกตึกตักติ๊ก ๆ อยู่ทั่วไปบ้างก็หาย บ้างก็แบกถุงขันเงินรูปพรรณ บ้างก็แบกถุงขัน ถุงชัน เพื่อนำไปใช้ในการทำเครื่องถม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นถมดำ ถมยานั้นเอง ผู้เขียนเองมีคุณย่าชื่อถมยา เพราะท่านเป็นคนผิวดำแบบแขก บ้านอยู่บ้านดอกไม้ ย่านสะพานดำ เดินทะลุไปทางบ้านบาตรหลังภูเขาทอง พ่อเคยเป็นข้าราชการทำงานอยู่ที่เรือนจำเมืองนครศรีธรรมราชจึงมีความสนใจใฝ่รู้เรื่องงานช่างฝีมือชนิดนี้ ที่นับวันจะเลือนหายไปกับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ๆ ของโลก เรื่องของถมเงิน ถมทอง อาจจะเป็นประณีตศิลป์ของผู้ดีมีเงินหรือผู้ร้ายมีเงินก็ว่าได้ เพราะต้องมีเงินมีทองมีฐานะอันดีจึงจะมีเครื่องถมเงินถมทองได้ด้วยวัสดุก็คือวัสดุที่มีค่าเป็นสากลอยู่แล้ว ยิ่งที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วออกจะประกวดประชันกันในเรื่องนี้ ขันน้ำพานรอง ขันล้างหน้า พวงแก้วน้ำ กรอบรูป ซองบุหรี่ หัวเข็มขัด กำไล แหวน สร้อยข้อมือ สร้อยคอ ล้วนนิยมใช้ถมเงินถมทองทำกันทั้งนั้น ยิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อนแล้วนายทหาร นายตำรวจ และข้าราชการระดับจังหวัดของนครศรีธรรมราชนิยมเลี่ยมพระพิมพ์พระเครื่องรางสำคัญด้วยตลับหรือเลี่ยมด้วยถมทองทั้งสิ้น พระที่ว่านี้ก็คือ “พระนางตรา พระท่าเรือ พระวงเขน” มักมีไว้บูชาตามบ้าน เพราะเป็นพระองค์ใหญ่ นอกนั้นก็เป็นพระบ้างเปิดโลกของกรุต่าง ๆ ที่พบในนครศรีธรรมราช เรื่องราวของเครื่องถมนครศรีธรรมราช เรื่องสืบต่อกันยาวนาน แต่ดูเหมือนจะเป็นศิลป์ดั้งเดิมเป็นศิลป์ไม่ค่อยเป็นไทยเท่าไร อาจเป็นศิลป์แขกปนฝรั่งทำนองนั้น แต่คนไทยก็สามารถเรียนรู้และจับผสมให้รูปทรงเป็นความนิยมของไทยและกลายเป็นไทยในที่สุดนี่คือความเก่งอันเป็นแก่นแท้ของศิลปวัฒนธรรมแบบไทไทยนั่นเอง

    ในหนังสือเรื่องเครื่องเงินเครื่องทองและลายไทย ฉบับหนูเล็ก ลุงโกร่ง หรือหนังสือชุด “วัฒนธรรมไทย” ฉบับพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ ขึ้นไว้เป็นการวางรากฐาน บำรุงเทิดทูนและกระทำให้แพร่หลายดียิ่งขึ้นตามกาลสมัยอีกด้วย ในงานฉลองวันชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ พนะท่าน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ถ้าท่านผู้สนใจอ่านมาถึงตอนนี้คงต้องห่วง “วัฒนธรรมไทย” (วัธนธัมไทย) ในด้านภาษาของท่านผู้นำยุค ญ ไม่มีตีนเป็นแน่

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีหลักฐานทำเครื่องถมกันขึ้นบ้างแล้วและว่ากันว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เคยเป็นผู้ออกแบบลายอรหันต์ในสมัยนั้น ตัวยา เครื่องถมนั้นทำจาก เงิน ตะกั่ว ทองแดง เรียกตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เนื้อเมค พัตร” ซึ่งเป็นโลหะผสมแต่โบราณ ส่วนผสมถือเป็นความลับของแต่ละกลุ่มช่าง ต่างก็มีเคล็ดลับในวิชาและหวงแหนอยู่ในหมู่ลูก ๆ หลาน ๆ ไม่เผยแพร่ให้ช่างอื่นได้ร่วมรู้เห็น เมื่อได้ผสมส่วนผสมดีแล้วจึงหลอมมาป่นเป็นผงหรือเรียกว่า ผงถม ภาชนะที่เรียกว่าถมเงินนั้น ก็คือ พื้นดำมีลวดลายเป็นเงินเรียกกันในหมู่ช่างว่า “ถมยา” หรือถมเงินนั้นเอง
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 08:13 น.

    ถ้าเราจะทำพานถมเงินช่างจะขึ้นรูปพานด้วยเงินแล้วสลักพื้นแห่งที่จะให้มีสีดำนั้นลึกลงไป เหลือลวดลายสีเงินเดิมเด่นสูงอยู่ แล้วโปรยผงถมลงในช่องที่สลักลึกนั้น อบจนผงถมละลายดีทั่วทั้งหุ่นแล้วก็ขัดให้เนื้อสม่ำเสมอกัน ถมเงินจะเสร็จ เราจะเห็นลายเงินอย่างวิจิตรบนพื้นดำ

    การจำหลักลายนั้นต้องเสียเวลาในการทำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการสลักดุน จึงต้องใช้เวลายาวนานด้วยฝีมืออันประณีตราคาซื้อขายก็ต้องแพงไปตามฝีมือด้วย ความมักง่ายด้วยศิลป์ทางการค้าก็ได้เริ่มคิดขึ้น คือ ถมโรงงาน โดยนำเงินมากัดด้วยเคมี คือ กรดด้วยวิธีทำบล็อกหนังสือพิมพ์ ซึ่งประหยัดเวลาและดูเหมือนฝีมือก็หดหายไป โดยวิธีนี้ช่างเงินช่างทองก็อ่อนล้าลง เรียก ได้ว่าทำมาหากินสู้แบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ช่าง ก็หมดตัวไปจนไม่เหลือ ช่างถมเมืองนครเกือบ จะสูญสิ้นและสิ้นสูญ เมื่อ ๓๐ ปี ก่อนช่วงของขุนวิโรจน์ ตลาดท่าวัง และร้านคุณสุพจน์ หน้าสถานีรถไฟเมืองนครศรีธรรมราชยังพอให้มีดูอยู่บ้าง ปัจจุบันก็เงียบหายเจือจางบางเบาไปกับกาลเวลา แม้นที่บ้านพานถมสะพานวันชาติย่านถนนบ้านดินสอข้างวัดบวรนิเวศ ก็ดำรงอยู่ร้านเดียว คือ ที่ร้านเครื่องถมข้าง ๆ วัดตรีทศเทพ ก็ดูเหมือนแห้งเต็มทีก็เห็นจะมีแต่งานศิลป์ชีพเท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ให้ลูกให้หลานได้ชม ซึ่งก็เกือบจะเป็นตำนานไปเสียแล้ว

    แม้นแต่เครื่องถมขันน้ำพานรองจอกลอย ครอบน้ำพระพุทธมนต์ในกลุ่มช่างของสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก วังเพชรบูรณ์ก็เลือนหายไปด้วย

    ถมทองก็คล้ายกับถมเงิน แต่เปลี่ยนลายลงพื้นไว้เป็นสีทอง โดยวิธีเปียกทองทา คือการใช้ปรอทเป็นส่วนผสมเป็นสื่อสำคัญผสมกับแผ่นทองคำเปลวอย่างดี โดยการใช้พู่กันชุบน้ำทองเขียนทับบนเส้นเงินต้องใช้ฝีมือมากให้มีทองติดเฉพาะบนเส้นลวดลายเงินเท่านั้น ค่าแรงจึงแพงลิบลิ่วจึงทำให้ถมทองแพงขึ้นเป็นธรรมดา

    ถมตะทองหรือถมแต้มทอง คือ ถมเงินแต่มีทองแต้มทองตะทองแตะไว้เป็นแห่ง ๆ เช่น ถมนั้นมีลายเป็นเถาก็อาจจะระบายเฉพาะดอกไม้ให้เป็นสีทอง เป็นแห่ง ๆ แต่เราเรียกตามภาษาช่างทองว่า “ลายถมตะทอง” ไม่เรียกลาย “ดอกทอง” เพราะคนไทยถือเป็นคำหยาบรับไม่ได้

    ถมตะทองนั้นถือเป็นเครื่องถมชั้นดีที่สุดต้องเป็นช่างชั้นเอกเท่านั้น จึงจะทำได้เพราะการแต้มแต่งเติมต้องใช้สายตาที่แม่นยำผสมผสานงานศิลป์ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยจะต้องบวกจิตวิญญาณของช่างถมเงิน ถมทอง จึงออกมาในรูปที่งดงาม คือ ถมตะทอง ความงดงามประณีตจึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับแนวศิลปะผสมผสานกับธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอันเหมาะสม มิฉะนั้นก็จะดูแข็งกระด้างแบบทูลาซิลเวอร์ (TULA SILVER) ซึ่งเป็นลงยาชนิดหนึ่ง อาจเป็นยุคต้นแบบที่ขาดการพัฒนาของการทำเครื่องถมก็เป็นได้

    สรุปหลักฐานเก่าสุดของไทยคงจะอยู่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือทางฝ่ายเหนือ อาณาจักรล้านนา ก็ตรงกับสมเด็จพระติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ว่าขุนนางศักดินา ๑๐,๐๐๐ (หมื่น) “กินเมืองกินเจียดเงินถมยาดำรองตลุ่ม” นั้นย่อมหมายความว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาไทยเราได้ทำเครื่องถมเงินชั้นสูงได้แล้ว จนมีกฎระเบียบใช้เป็นเครื่องยศสำหรับพระราชทานขุนนางชั้นสูง ๆ ได้ และยังหาที่มาที่ไปของเครื่องถมว่า น่าเชื่อว่าน่าจะมาจากช่างโปรตุเกสที่เข้ามาติดต่อค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยาแผ่นดินพระรามาธิบดีที่ ๒ (พ.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๕๓) การทำเครื่องถมในระยะหลังสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถน่าจะได้มาจากแขกเจ้าเซ่นหรือพวกอิหร่านซึ่งเป็นต้นราชวงศ์ของพระยาจุฬาราชมนตรี แรกเข้ามาทำการค้าและตั้งหลักแหล่งอยู่ในพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่พระเจ้าทรงธรรมและไทยก็ได้มีสัมพันธไมตรีกับประเทศอิหร่านสืบต่อมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในรัชกาลนี้ได้ติดต่อกับประเทศฝรั่งเศสในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ อย่างสนิทสนมได้ส่งพระราชสาสน์และเครื่องบรรณาการไปถวายในรายการบัญชีเครื่องราชบรรณาการปรากฏว่ามี ไม้กางเขนถมทอง ซึ่งพระเจ้าวิชาเยนทร์ (ชาวกรีก เมืองเซฟาโรเนียนหรือนครรัฐเวนิช อิตาลี ขณะนั้น) กราบบังคมทูลเสนอให้สั่งทำเพื่อส่งไปถวายพระสันตะปาปาที่กรุงโรมด้วย

    ในพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า “ราชฑูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคำ รับพระราชสาสน์ม้วนบรรจุไว้ในผอบนั้นตั้งอยู่ในหีบตะถมทอง” จึงทำให้เราทราบว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การทำเครื่องถมของไทยได้เจริญรุดหน้าไปยิ่งนัก

    เครื่องถมที่ทำด้วยเงินหรือทองนี้ตามศัพท์โบราณเรียกว่า ถมปรักมาศ การทำเครื่องถมในกรุงเทพฯ ได้รับแบบจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ด้วยพระองค์ทรงสนพระทัยส่งเสริมสนับสนุนให้ช่างจากนครศรีธรรมราชมาเป็นครูสอนทำให้ถม นครจึงกลายมาเป็นถมบ้านพานถม บางขุนพรหม ดังได้กล่าวมาแล้ว

    เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๖ ผู้เขียนได้พบกับพนักกันยาเรือพระที่นั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทะเบียน ๔๒๘-๒๕๑๖ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันว่าเป็นชิ้นถมที่ใหญ่และประณีตงดงามที่สุดพบด้วยกัน ๓ ชิ้น ถูกซุกอยู่ในห้องครุภัณฑ์ หมดสภาพเตรียมขายเพราะไม่มีหมายเลขแสดงวัตถุและที่สำคัญหัวหน้างานซึ่งเป็นคนนครฯ แท้ ๆ แต่เป็นนครชายขอบบอกว่าจะเอาไปทำไม นั้นมันสังกะสีแท้ ๆ เพราะขณะนั้นสนิมเงินขึ้นจนดำปิ๊ดปี๋มองไม่เห็นลายผู้ที่สะสมย่อมรู้ว่าเงินดี ถ้าปล่อยไว้ก็ดำเช่นนี้เอง

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สมบัติของชาติ สูญเสียสูญหายไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างนี้มีมาก ขอยืนยันคนขยันแต่โง่ก็ต้องฆ่าลูกเดียว สมบัติทางวัฒนธรรมของชาติจึงจะดำรงอยู่สืบไป

    นอกจากนี้ยังพบงานโลหะของจีนพวกเครื่องถมปัดลงยาสีประเภท คลัวซอนเน่ (Cloisonne) และการลงยาเขียนสีแบบ (Painted enamels) ซึ่งของจีนนิยมใช้กันมาแต่ต้นสมัยราชวงศ์หยวน-หมิง แนะนำเข้ามาในสยามแต่โบราณเช่นกันจึงมีความเป็นไปได้ มีการปรับปรุงทางด้านศิลปะจนมีรูปแบบพิเศษดังกล่าวแล้ว เครื่องถมเงิน เครื่องถมทอง และถมตะทอง จึงน่าจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรดำรงรักษาไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยต่อไป.
    ภุชชงค์ จันทวิช

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วอแหวนแสนรัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ถมเงิน ถมทอง ถมตะทอง ประณีตศิลป์ที่เลือนหาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เสาชิงช้า-ประตูสู่สวรรค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เรียนรู้ และเข้าใจ พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ในจานมีปลา ในนามีข้าว’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ตู้พระไตรปิฏกลายรดน้ำ’ หนึ่งในสยาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">คณฑี-พิธีกรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ป.ปืนใหญ่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ต.โสภาเดินหน้า ฆ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แก้วิกฤตครอบครัวไทย ด้วยหลักธรรมพุทธศาสนา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6100​

    แก้วิกฤตครอบครัวไทย ด้วยหลักธรรมพุทธศาสนา


    คอลัมน์ สดจากหน้าพระ



    พระพุทธศาสนา ถือเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยน คนเริ่มหันหลังให้พระพุทธศาสนา ลืมหลักคำสอน ส่งผลกระทบต่อเด็ก ต่อครอบครัว ทำให้ครอบครัวอ่อนแอลง ไม่มีหลักคิดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต

    ดังนั้น ศูนย์จัดการความรู้เพื่อครอบครัวเข้มแข็ง สถาบันรักลูก โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จึงได้จัดเวทีวิชาการ Family Forum ประเด็น "หลักคำสอนศาสนาพุทธกับการแก้วิกฤตครอบครัวไทย"

    พระไพศาล วิสาโล พระนักวิชาการ กล่าวว่า วิกฤตครอบครัวไทยในปัจจุบัน สะท้อนออกมาใน 2 ปัญหา ปัญหาแรก คือพ่อแม่ไม่สามารถทำหน้าที่ของครอบครัวได้ ได้แก่ การไม่สามารถเลี้ยงดูลูกหรือหลานให้มีคุณธรรม หรือให้มีจริยธรรมได้ เพราะนี่ถือว่าเป็นหน้าที่พื้นฐานของครอบครัว ตามหลักพุทธศาสนาทิศ 6 คือ พ่อหรือแม่จะต้องทำหน้าที่ในการที่จะป้องปรามลูกจากความชั่ว ส่งเสริมให้ลูกทำความดี

    แต่ในปัจจุบันพ่อแม่ไม่สามารถทำตรงนี้ได้ บางครั้งก็ไม่สามารถปกป้องลูกให้ปลอดภัยได้ด้วยในทางกายภาพ เพราะบางครั้งความรุนแรงในครอบครัวก็เกิดขึ้นจากคนในบ้านนั่นเอง และบางทีก็เกิดขึ้นจากพ่อหรือแม่ด้วย

    ปัญหาที่ 2 คือ พ่อแม่ หรือครอบครัว ไม่สามารถที่จะรักษาสภาพครอบครัวได้ พบว่า 1 ใน 4 ของคนที่แต่งงานแล้วต้องหย่าร้าง ร้อยละ 30 ของเด็กในชนบทไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย ดังนั้นสภาพครอบครัวจึงไปคนละทิศคนละทาง และ 1.3 ล้านครอบครัว เป็นครอบครัวเดี่ยว คือ มีพ่อ หรือแม่ คนเดียว คือครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องมีพ่อแม่ลูก แต่ขณะนี้พ่อแม่แยกทางเพิ่มมากขึ้น วิกฤตตรงนี้ คือ ไม่สามารถรักษาสภาพครอบครัวไว้ได้

    ปัญหาของลูกที่ไม่สามารถทำหน้าที่ลูกของครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว การจะคงความเป็นครอบครัวไว้ได้ก็เป็นปัญหาหนักเช่นกัน ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เวลานี้เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว เรื่องของความรู้และคุณธรรม เป็นปัญหามาก แต่ก่อนเราคิดว่าเด็กไม่มีคุณธรรมเป็นเด็กนิสัยไม่ดี หรือไม่มั่นคงในจริยธรรม แต่ยังรับได้ที่ลูกมีความรู้ แต่ในเวลานี้ความรู้ของเด็กถดถอยลงไปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของครอบ ครัวทั้งหมด อาจจะเป็นโรงเรียนด้วย

    พระไพศาล กล่าวต่อว่า เวลาพูดถึงหลักธรรมคำสอนทางศาสนาหรือพูดถึงเรื่องคุณธรรม พ่อแม่จะรู้สึกเกร็ง เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีความรู้ แล้วก็รู้สึกว่าธรรมะมีมาก ไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้นก่อนที่จะพูดถึงวิธีการอยากให้พูดถึงหลักธรรมพื้นฐานที่สำคัญสำหรับในยุคปัจจุบันก่อน ได้แก่ ต้องช่วยให้เขาหรือส่งเสริมให้เขารู้จักคิดถึงคนอื่น เพราะเวลานี้เด็กคิดถึงตัวเองมาก คิดจนกระทั่งว่าไม่สนใจแม้แต่พ่อแม่หรือพี่น้อง ทำให้เด็กมีปัจเจกบุคคลสูงจนกระทั่งจะเสียสละเพื่อพ่อแม่หรือพี่น้องไม่ได้ สาเหตุเพราะพ่อแม่ไม่ได้สอนให้ลูกรู้จักคิดถึงคนอื่น ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องเริ่มต้นจากใกล้ตัวต่อไปเด็กก็จะมีความรู้สึกคิดถึงคนอื่นกว้างไปเรื่อยๆ

    นอกจากนี้ ต้องให้เด็กตระหนักว่าความที่ไม่ติดวัตถุมันมีแล้วก็ดีกว่า เวลานี้เด็กคิดอย่างเดียวว่าความสุขเกิดจากวัตถุ เกิดจากการเสพการบริโภค ถ้าเด็กเขาคิดได้แค่นี้จะไม่มีความสุขเลยเพราะชีวิตเขาอยากมีอยากได้อยู่ตลอด เพราะไม่ได้ตระหนักถึงความสุขที่เกิดจากการให้คนอื่น ความสุขที่เกิดจากการทำสิ่งที่ดีที่ยากก็มี ความสุขที่เกิดจากการได้อยู่กับธรรมชาติ หรือความสุขที่เกิดจากใจที่สงบก็มี แต่เวลานี้เด็กเขาไม่มีโอกาสที่จะรับรู้ตรงประสบการณ์ตรงนี้เลย เพราะพ่อแม่เขาให้แต่วัตถุ พ่อแม่ไม่เคยสอนให้เขาพบความสุขอย่างอื่น ถ้าพ่อแม่หรือว่าครูสอนให้เขาพบความสุขที่ไม่ยึดกับวัตถุ เขาจะไม่ยึดติดหรือคลั่งไคล้กับวัตถุ แต่เขาจะเห็นสิ่งอื่นที่มีคุณค่าต่อชีวิต

    สอนให้รู้จักฝึกความเกรงกลัว พึ่งความเพียร คนไทยเวลานี้ไม่ค่อยพึงความเพียรเพราะเราชอบทางลัด การพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากรวย แต่ไม่อยากทำงาน อยากรวยแต่ไม่อยากเหนื่อย ตรงนี้จะต้องทำให้เขาเชื่อมั่นในความดีของตัวเอง โดยที่ไม่ไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือว่าทางลัด

    สุดท้าย คือ ต้องให้เด็กได้เห็นความแตกต่างของความถูกต้องกับถูกใจว่าต่างกันอย่างไร อย่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับความถูกใจ แต่ให้ดูความถูกต้องเสมอ เป็นการที่เอาธรรมะเป็นหลักเอามาเป็นใหญ่คือความถูกต้อง

    "รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม" นักวิชาการชื่อดัง กล่าวว่า ปัญหาครอบครัวเราเกิดขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จากสังคมเกษตรกรรมที่คนอยู่ติดที่ อยู่ในบ้าน มีวัด อยู่กันเป็นกลุ่ม มีเครือญาติ มาเป็นคนไร้ญาติ เพราะคนต้องโยกย้ายถิ่นฐานและตัวชุมชนท้องถิ่นก็ถูกทำลายเลย โดยเฉพาะคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาดูลูก เป็นครอบครัวที่ว้าเหว่ที่โดดเดี่ยวมากเลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีชุมชน หมู่บ้านในปัจจุบันก็ไม่มีความสัมพันธ์ อยู่กันแต่ในรั้วกำแพงของตัวเอง

    สถาบันครอบครัวคือสถาบันการแต่งงาน สมัยก่อนเวลาแต่งงานต้องมีคนรับรองทั้งครอบครัว ชุมชนต้องรับรอง การแต่งงานและวิถีการที่มนุษย์จะสืบสานความเป็นมนุษย์ เป็นมิติทางสังคม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือขาดความเป็นมนุษย์ พ่อต้อง ไปทำงานหนัก หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว คนที่ให้ความอบอุ่นลูกก็คือแม่ บางรายเด็กต้องอยู่กับปู่ย่าตายายพ่อแม่ออกไปขายแรงงาน

    ในอดีตครอบครัวในชุมชนมันมีหลักศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว การเข้าถึงศาสนาไม่ได้หมายถึงการฟังพระเทศน์อย่างเดียว แต่รวมถึงการอบรมทางสังคม โดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ เช่น การทำบุญเป็นการโน้มน้าวให้จิตใจอ่อนโยน พ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาที่จะอบรม แต่เด็กอยู่ในชุมชนอยู่กับปู่ย่าตายายเขาอบรม สังคมมีสิ่งเหล่านี้แต่ปัจจุบันนี้เรามองแต่วัตถุเท่านั้น

    รศ.ศรีศักร กล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของคุณธรรมในชีวิตมนุษย์สำคัญอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องมิติสังคม ความเป็นกลุ่มของครอบครัว ชุมชนมีอยู่ไหม เพราะมนุษย์จะมีชีวิตรอดต้องอยู่เป็นกลุ่ม ต้องมีความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง ต่างคนต้องทำหน้าที่กันเพื่อจะมีชีวิตรอด เรื่องที่ 2 คือความสัมพันธ์ในทางโลกมันเปลี่ยนไปหรือโครงสร้างสังคมเปลี่ยนไปเยอะ มันเป็นการเปลี่ยนที่ไม่เป็นมนุษย์มันเป็นปัจเจกไปหมดเลย อันที่สองคือมนุษย์มีมิติทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมเป็นเรื่องของค่านิยม และอุดมคติต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญ อีกสิ่งหนึ่งที่จะเข้าไปสู่มิติทางศาสนา คือ คนจะสื่อเหนือธรรมชาติ ตรงนี้เป็นมิติทางจิตวิญญาณที่คนในโบราณ

    เขามีสิ่งเหล่านี้ ในการมองโลกของคนโบราณมีทั้งสามมิตินี้อยู่ แต่ปัจจุบันนี้ในการพัฒนาประเทศจะตัดมิติทางจิตวิญญาณออกไป ความเชื่อมี 2 อย่างด้วยกัน คือความเชื่อทางศาสนา เป็นความเชื่อที่จรรโลงศีลธรรมให้มนุษย์อยู่รวมกันอย่างเป็นธรรม อีกความเชื่อหนึ่งคือความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ สองอย่างนี้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ระบบสัญลักษณ์" สิ่งที่เป็นศาสนาความเชื่อจะไม่พูดถึงสิ่งที่เป็นความจริง จากทั้งหมด ความสัมพันธ์ตรงนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้เราเกิดความเป็นมนุษย์ขึ้นมา

    เวลานี้เราไปเน้นเรื่องคนกับคนก็เป็นปัจเจกไปแล้ว ต่างคนต่างอยู่เอาตัวรอด

    http://matichon.co.th/khaosod/khaoso...sectionid=0307
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/พ.ศ._2447

    พ.ศ. 2447

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --><TABLE id=toc style="MARGIN-LEFT: 15px" cellPadding=3 align=right><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2><SMALL>ปี :</SMALL>
    2444 2445 2446 - พ.ศ. 2447 - 2448 2449 2450</TD></TR><TR><TD align=middle><SMALL>พุทธศตวรรษ:</SMALL>
    พุทธศตวรรษที่ 24 - พุทธศตวรรษที่ 25 - พุทธศตวรรษที่ 26</TD></TR><TR><TD align=middle><SMALL>คริสต์ศตวรรษ:</SMALL>
    คริสต์ศตวรรษที่ 19 - คริสต์ศตวรรษที่ 20 - คริสต์ศตวรรษที่ 21</TD></TR></TBODY></TABLE>พุทธศักราช 2447 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1904 เป็นปีอธิกสุรทินที่วันแรกเป็นวันศุกร์ ตามปฏิทินเกรกอเรียน
    (ตามการนับศักราชแบบเดิม พ.ศ. 2447 เริ่มต้นในวันที่ 1 เมษายน)

    [แก้] เหตุการณ์

    [แก้] วันเกิด

    [แก้] วันถึงแก่กรรม

     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.aksorn.com/document/day_detail.asp?id=134

    [​IMG]

    <TABLE cellPadding=6 border=0><TBODY><TR class=px15><TD>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=px15 cellPadding=2 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
    เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช ฯ ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2435 ณ พระบรมมหาราชวัง เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 69 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 7 ในสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง ทรงเข้าพิธีโสกันต์เมื่อพระชันษาได้ 13 พรรษา และเมื่อเข้าพิธีโสกัณต์แล้ว ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าต่างกรม ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2447 และลาผนวชเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2447 ด้วยสมเด็จพระชนกนาถมีพระประสงค์ที่จะส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อในต่างประเทศ พระองค์จึงได้เสด็จไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษในปี พ.ศ.2448 ณ โรงเรียนกินนอน แฮร์โรว์ เมื่อทรงศึกษาจบจากโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ในปี พ.ศ. 2450 จึงเสด็จไปศึกษาต่อที่ Royal Prussian Military College เมืองโพสต์แดม ( Potsdam)ประเทศเยอรมนี ต่อจากนั้นทรงย้ายไปศึกษาต่อที่ Imperial German Naval College Flensburg และทรงจบการศึกษาในปี พ.ศ.2454 โดยทรงสอบไล่ได้ในอันดับที่ 2 นอกจากนั้นยังทรงชนะการประกวดออกแบบเรือดำน้ำอีกด้วย

    หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาในวิชาทหารเรือ ทรงเสด็จนิวัติกลับประเทศ ทรงเข้ารับราชการในกองทัพเรือประจำกรมเสนาธิการ ในตำแหน่ง นายเรือตรี นายเรือโท และนาวาเอก ตามลำดับ หลังจากนั้นทรงลาออกจากราชการทหารเรือ เพื่อศึกษาต่อในวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีพระราชดำรัสก่อนที่จะเสด็จไปศึกษาวิชาการแพทย์ต่อที่ต่างประเทศว่า" ฉันจะไปเรียนหมอหละ เพราะเป็นวิชาที่สนุกดี เรามีโอกาสรักษาคนได้ทั้งคนจนคนมั่งมี และเจ้านายต่าง ๆ ได้เต็มที่ หมอทำการกุศล ในการรักษาพยาบาลได้ดี เมืองไทยเราถ้าเจ้านายทรงทำหน้าที่อย่างสามัญชนเข้าบ้างเขาว่าเสียพระเกียรติ ฉันรู้สึกว่ามัวแต่รักษาพระเกียรติอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรกัน"

    ในปี พ.ศ. 2460 ทรงเดินทางไปศึกษาต่อวิชาเตรียมแพทย์ที่ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อจากนั้นในปี พ.ศ.2462 ทรงเข้ารับการศึกษาวิชาสาธารณสุขและปรีคลินิกบางส่วนที่ School of Health office Harvard University and the Massachusetts Institute of Technology ในปี พ.ศ.2463 ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นิวัติกลับประเทศครั้งหนึ่งเนื่องในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชริทรา บรมราชินีนาถ ระหว่างที่ประทับอยู่ในประเทศไทยทรงได้เข้าปฎิบัติร่วมกับนักศึกษา และเจ้าหน้าที่แพทย์ ภายในห้องทดลองวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลศิริราชทรงเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนเตรียมแพทย์ แผนกอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พระองค์พระราชทานทุนการศึกษาในต่างประเทศให้กับบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาในวิชาแพทย์ ชีววิทยา ฟิสิกส์และเคมีเป็นจำนวนเงินถึง 200,000 บาท อีกทั้งยังทรงนิพนธ์หนังสือชื่อว่า Tuberculosis เพื่อจัดพิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หลังจากนั้นจึงเสด็จกลับไปศึกษาจนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2464 ทรงได้รับประกาศนียบัตร C.P.H. เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้วจึงเสด็จประพาสยุโรป ในระหว่างนั้นทางกระทรวงธรรมการกำลังเจรจาขอทุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรฯได้ทรงรับมอบอำนาจในการเจรจาครั้งนั้น เนื่องจากทรงมีความรู้ความชำนาญในวิชาแพทย์มากกว่าผู้ใด ทรงเจรจาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ในการขยายและปรับปรุงด้านการศึกษาวิชาแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งทางมุลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือโดยการส่งอาจารย์แพทย์มามาถึง 6 ท่าน และมอบเงินเพื่อจัดสร้างตึกในโรงพยาบาลศิริราชเป็นจำนวนเงินถึง 400,000 บาท อีกทั้งยังมอบทุนให้กับแพทย์เพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศอีกด้วย นับว่าเป็นผลอันเกิดจากการเจรจาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก

    พระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่ง คือ เมื่อทรงเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการวชิรพยาบาล ทรงริเริ่มโครงการเพื่อปรับปรุงโรงพยาบาลแห่งนี้ ให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น ทรงดัดแปลงโรงพยาบาลวชิรพยาบาลเป็นโรงพยาบาลสำหรับคลอดบุตร และเป็นศูนย์อบรมพยาบาลผดุงครรภ์ พยาบาลสาธารณสุข สังคมศาสตร์ และหมอตำแย เพื่อให้การคลอดบุตรมีความทันสมัย และปลอดภัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมิใช่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเท่านั้นที่พระราชทานความช่วยเหลือจนมีความเจริญ แต่ยังพระราชทานความช่วยเหลือไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ อีก เช่น พระราชทานเงินให้กับโรงพยาบาลแมคคอมิค สำหรับจ้างแพทย์ชาวต่างประเทศ จำนวน 16,000 บาท และเพื่อซื้อเครื่องเอกซเรย์อีก จำนวน 6,750 บาท และพระราชทานเงินให้กับโรงพยาบาลสงขลาอีกปีละ 5,000 บาทเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกกรมต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาล

    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อภิเษกสมรสกับ นางสาวสังวาล ตะละภัฏ ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ณ วังสระปทุม มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 3 พระองค์ ได้แก่
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชการที่ 8
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประชวรด้วยพระโรคฝีบิดในพระยกน ประชวรนานถึง 4 เดือน ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาแต่อาการไม่ดีขึ้น ทำให้เกิดโรคพระอาการบวมน้ำในพระปัปผาสะแทรกซ้อน และพระหทัยวายในที่สุด และเสด็จทิวงคตเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2472

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=px15 cellPadding=2 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สกู๊ปพิเศษ

    [​IMG]

    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
    His Royal Highness Prince Mahidol of Songkla
    “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”
    “The Father of Modern Medicine in Thailand”
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

    [​IMG]
    พระราชสมภพ... ณ ตำหนักสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันศุกร์ เดือนยี่ ปีเถาะ ขึ้น 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2434 (ก่อนปี 2484 วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับวันที่ 1 เม.ย. ดังนั้นเดือน ม.ค. 2534 ซึ่งเป็นเดือนพระราชสมภพยังคงนับตามปฏิทินเก่า เมื่อเทียบกับปฏิทินสากลที่ใช้ในปัจจุบันจึงตรงกับ ม.ค.2435)

    [​IMG]
    เมื่อทรงพระเยาว์.... ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2447 ทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง และทรงเสด็จไปศึกษาต่อต่างประเทศที่ “โรงเรียนแฮร์โรว์” ประเทศอังกฤษ และวิชาการทหารเรือในประเทศเยอรมัน เมื่อจบการศึกษาได้รับพระราชอิสริยยศเป็นนายเรือตรีแห่งราชนาวีเยอรมันและนายเรือตรีแห่งราชนาวีสยาม แล้วเสด็จกลับมาทรงรับราชการในราชนาวีสยามอยู่ระยะหนึ่ง ทรงลาออกจากกองทัพเรือเมื่อ พ.ศ. 2459 แล้วเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุขและปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตชั้น Cum Laude

    [​IMG]
    พระราชกรณียกิจ... ทรงปรับปรุงการศึกษาแพทย์ พยาบาล และปรับปรุง ร.พ.ศิริราช ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลสยามทำความตกลงกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งมูลนิธิได้ให้ความช่วยเหลือ โดยส่งศาสตราจารย์มาจัดหลักสูตรและปรับปรุงการสอนของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ทุนอาจารย์ไทยไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ส่งอาจารย์พยาบาลเข้ามาช่วยปรับปรุงหลักสูตรและช่วยเรื่องการสอนในโรงเรียนพยาบาล
    พระราชทานทุนการศึกษาส่วนพระองค์ให้แพทย์และพยาบาล พระราชทานทุนสร้างตึกมหิดลบำเพ็ญ ตึกอำนวยการ ซื้อโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และพระราชทานเงินซ่อมแซม จ้างพยาบาลต่างประเทศมาช่วยสอนและปรับปรุงโรงเรียนพยาบาล นอกจากนั้นยังได้พระราชทานเงินเป็นทุนการสอนและค้นคว้า รวมทั้งสิ้น 994,876.08 บาท (ไม่รวมทุนพระราชทานส่วนพระองค์แก่แพทย์และพยาบาล) อีกทั้งยังทรงขอพระราชทานทุนจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและจากพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อสร้างตึกผู้ป่วยของ ร.พ.ศิริราช และทรงปรับปรุงวชิรพยาบาล รพ.แมคคอร์มิค รพ.สงขลา

    ด้านสาธารณสุข... ทรงร่วมในการพิจารณา พ.ร.บ. การแพทย์ พ.ศ. 2466 โดยทรงแก้ไขข้อขัดข้องและความขัดแย้งต่าง ๆ จนลุล่วงไปด้วยดี ทำให้กฏหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการแพทย์ฉบับแรกที่ประกาศใช้ได้ ทรงส่งเสริมการมารดาและทารกสงเคราะห์และทรงช่วยอบรมแพทย์สาธารณสุขมณฑล
    พระราชกรณียกิจทางวิชาอื่นๆ...ทรงดำริจะสร้างโรงเรียนสาธารณสุข พระราชทานทุนการศึกษาแก่ทันตแพทย์ การประมง จ้างครูต่างประเทศ ทรงวางรากฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และวิทยาศาสตร์พื้นฐาน โดยสร้างคณาจารย์วิทยาศาสตร์พื้นฐานรุ่นแรกของประเทศ การวางหลักสูตรวิทยาศาสตร์ และแพทย์ การก่อสร้างอาคารและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การค้นคว้าวิจัย การจัดหอพักนักศึกษา เป็นต้น
    นอกจากนี้ยังทรงสร้างรากฐานการวิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยพระราชทานทุนส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ณ ประเทศอังกฤษ ผลิตบัณฑิตเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย และในโรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งบัณฑิตในวิทยาศาสตร์ประยุกต์ อาทิ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร สถาปนิก บุคลากรงานสาธารณสุข ฯลฯ
    สิ้นพระชนม์... วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 รวมพระชนมายุ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน
    [​IMG]

    การพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯพระบรมชนก
    ณ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. 2472
    แรกเริ่มวันมหิดล...พิธีวันมหิดล เริ่มโดยสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดพระบรมรูปสมเด็จพระราชบิดา เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2493 แล้ว ในวันที่ 24 กันยายน ปีเดียวกัน สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช และนักศึกษาพยาบาล โดยการนำของ นายบุญเริ่ม สิงหเนตร นายกสโมสรนักศึกษาแพทย์ และ น.ส.ชายัญ ปรักกะมะกุล หัวหน้านักศึกษาพยาบาล นำนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาล ตั้งแถวตามถนนจักรพงษ์ หน้าพระบรมรูป จากนั้นหัวหน้านักศึกษาวางพวงมาลา แล้วผู้แทนนักศึกษาอ่านฉันท์ ทูลกระหม่อมสดุดีอศิรวาท ซึ่งประพันธ์โดย นายภูเก็ต วาจานนท์ หลังจากนั้น ศ.นพ.สุด แสงวิเชียร และ ศ.นพ.เติม บุนนาค วางพวงมาลาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ งานวันมหิดล เมื่อ พ.ศ. 2497
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จฯ งานวันมหิดล เมื่อ พ.ศ. 2501
    ในเวลาต่อมาก็มีงานอื่น ๆ ประกอบอีก เช่น ระยะแรกมีการออกรายการสดุดีสมเด็จพระบรมราชชนก ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยนักศึกษาแพทย์และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย มีการทำงานโยธาในวันมหิดล ต่อมาเมื่อมีโทรทัศน์ ก็เริ่มจัดรายการโทรทัศน์วันมหิดล...ธงวันมหิดล เริ่มมีครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2503 โดยสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราชจะรับหน้าที่ออกไปรับบริจาคพร้อมมอบธงเป็นที่ระลึกแก่ผู้ใจบุญ รายได้ทั้งหมดได้นำมาซื้ออุปกรณ์การรักษาผู้ป่วยอนาถา การจำหน่ายธงวันมหิดลนี้ทำติดต่อกันตลอดมา (เว้น พ.ศ. 2505 ซึ่งติดงานเรี่ยไรเงินสร้างตึก 72 ปี) มีผู้ศรัทธามากขึ้นและเงินบริจาคมากขึ้นตามลำดับ จนถึง พ.ศ. 2513 จึงเริ่มรับบริจาคทางโทรศัพท์...เงินจากทุนธงวันมหิดล ได้ช่วยเกื้อกูลและช่วยชีวิตผู้ป่วยอนาถาของศิริราชเป็นจำนวนมาก ผลพลอยได้ที่สำคัญ คือ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักวันมหิดล และทราบถึงพระเกียรติคุณของสมเด็จพระบรมราชบิดามากขึ้น ...

    [​IMG]

    นักศึกษาแพทย์ถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ และวางพวงมาลาถวายราชสักการะเนื่องในวันมหิดล
    ปัจจุบันพิธีวันมหิดลขยายไปทั่วประเทศ โรงเรียนแพทย์ทุกแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลบางแห่งทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัดต่างจัดพิธีวันมหิดลเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” ผู้ทรงเป็นปูชนียบุคคลของชาติที่พระเมตตาสถิตย์อยู่ในใจปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า สมควรที่โลกจะรับรู้และเทิดพระเกียรติพระองค์เป็นบุคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทางการศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ การพยาบาล และการสาธารสุขให้ขจรกำจายไปทั่วโลก


    เข้าสู่โรงพยาบาลศิริราช..........คลิ๊กเลย


    </TD></TR><TR><TD>
    ขอบคุณที่มา : วารสารศิริราชประชาสัมพันธ์ และ ทุ่งสง ดอทคอม </TD></TR><TR><TD class=px15>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.banramthai.com/html/lakhon9.html

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ละครพูด[/FONT]​
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ละครพูดเริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงละครพูดสมัครเล่นเป็นครั้งแรก เนื้อเรื่องละครพูดที่แสดงในสมัยนี้ ดัดแปลงมาจากบทละครรำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
    พ.ศ. 2422 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ลิลิตนิทราชาคริต จบบริบูรณ์แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมาคม "แมจิกัลโซไซเอตี" โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ เป็นนายกสมาคมจัดการแสดงละครเรื่องนี้ขึ้น ทรงเป็นผู้กำหนดตัวละครเอง โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ เป็นอาบูหะซัน พระองค์เจ้าจิตรเจริญ คือ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เป็นตัวนางนอซาตอล
    พ.ศ. 2425 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงละครเรื่องอิเหนาในงานเฉลิมพระราชมนเทียร พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ละครที่แสดงในครั้งนี้เป็นละครรำ แต่มีบทเจรจาที่ทรงพระราชนิพนธ์เองบ้าง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรและเจ้านายพระองค์อื่นๆ แต่งถวายบ้าง
    พ.ศ. 2447 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสำเร็จการศึกษา และเสด็จนิวัติประเทศไทยแล้ว ทรงตั้ง "ทวีปัญญาสโมสร" ขึ้นในพระราชอุทยานสราญรมย์ แต่ในสมัยเดียวกันนี้ได้มีการตั้ง "สามัคยาจารย์สโมสร" ซึ่งมีเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นประธานอยู่ก่อนแล้ว กิจกรรมของ 2 สโมสรที่คล้ายคลึงกัน คือการแสดงละครพูดแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากละครตะวันตก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงมีส่วนร่วมในกิจการการแสดงละครพูดของทั้ง 2 สโมสรนี้ จึงได้ถวายพระเกียรติว่าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดละครพูด
    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคทองของละครพูด ประชาชนให้ความสนใจต่อละครประเภทนี้มาก เพราะเห็นว่าเป็นของแปลกและแสดงได้ง่าย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนละครพูดอย่างดียิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดที่ดีเด่นเป็นจำนวนมาก และทรงร่วมในการแสดงด้วยหลายครั้ง
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ละครพูดแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
    1. ละครพูดล้วนๆ หรือละครพูดแบบร้อยแก้ว
    2. ละครพูดแบบร้อยกรอง
    3. ละครพูดสลับลำ
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ผู้แสดง
    ละครพูดล้วนๆ ในสมัยโบราณใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมานิยมใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วน ต่อมานิยมใช้ผู้แสดงชายจริงหญิงแท้
    ละครพูดแบบร้อยกรอง ใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง มีบุคคลิกและการแสดงเหมาะสมตามลักษณะที่บ่งไว้ในบทละคร น้ำเสียงแจ่มใสชัดเจนดี เสียงกังวาน พูดฉะฉาน ไหวพริบดี
    ละครพูดสลับลำ ใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง เหมือนละครพูดแบบร้อยกรอง
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] การแต่งกาย
    ละครพูดล้วนๆ แต่งกายตามสมัยนิยม ตามเนื้อเรื่องโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของตัวละคร
    ละครพูดแบบร้อยกรอง แต่งให้เหมาะสมถูกต้องตามบุคคลิกของตัวละคร และยุคสมัยที่บ่งบอกไว้ในบทละคร
    ละครพูดสลับลำ การแต่งกายเหมือนละครพูดล้วนๆ หรือแต่งกายตามเนื้อเรื่อง
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] เรื่องที่แสดง
    ละครพูดล้วนๆ เรื่องที่แสดงเรื่องแรก คือ เรือง"โพงพาง" เมื่อ พ.ศ. 2463 เรื่องต่อมาคือ "เจ้าข้าสารวัด" ทั้งสองเรื่อง เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ละครพูดแบบร้อยกรอง จำแนกตามลักษณะคำประพันธ์ดังนี้ คือ
    1. ละครพูดคำกลอน จากบทประพันธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น เรื่องเวนิสวาณิช ทรงแปลเมื่อ พ.ศ. 2459 เรื่องพระร่วง ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. 2460
    2. ละครพูดคำฉันท์ ได้แก่ เรื่องมัทนะพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. 2466
    3. ละครพูดคำโคลง ได้แก่ เรื่องสี่นาฬิกา ของอัจฉราพรรณ(อาจารย์มนตรี ตราโมท) ประพันธ์เมือปี พ.ศ. 2469

    ละครพูดสลับลำ ได้แก่ เรื่องชิงนาง และปล่อยแก่ ซึ่งเป็นของนายบัว ทองอิน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์บทร้องแทรก โดยใช้พระนามแฝงว่า "ศรีอยุธยา" และทรงแสดงเป็นหลวงเกียรติคุณ เมื่อ พ.ศ. 2449
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] การแสดง
    ละครพูดล้วนๆ การแสดงจะดำเนินเรื่องด้วยวิธีพูดใช้ท่าทางแบบสามัญชนประกอบ การพูดที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของละครชนิดนี้คือ ในขณะที่ตัวละครคิดอะไรอยู่ในใจ มักจะใช้วิธีป้องปากพูดกับผู้ดุ ถึงแม้จะมีตัวละครอื่นๆ อยู่ใกล้ๆ ก็สมมติว่าไม่ได้ยิน
    ละครพูดแบบร้อยกรอง การแสดงจะดำเนินเรื่องด้วยวิธีพูดที่เป็นคำประพันธ์ชนิด คำกลอน คำฉันท์ คำโคลง
    ละครพูดสลับลำ ยึดถือบทพูดมีความสำคัญในการดำเนินเรื่องแต่เพียงอย่างเดียว บทร้องเป็นเพียงสอดแทรกเพื่อเสริมความ ย้ำความ
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] ดนตร
    ละครพูดล้วนๆ บรรเลงโดยวงดนตรีสกลหรือวงปี่พาทย์ไม้นวม แต่จะบรรเลงประกอบเฉพาะเวลาปิดฉากเท่านั้น
    ละครพูดแบบร้อยกรอง บรรเลงดนตรีคล้ายกับละครพูดล้วนๆ
    ละครพูดสลับลำ บรรเลงดนตรีคล้ายกับละครพูดล้วนๆ แต่บางครั้งในช่วงดำเนินเรื่อง ถ้ามีบทร้อง ดนตรีก็จะบรรเลงร่วมไปด้วย
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] เพลงร้อง
    ละครพูดล้วนๆ เพลงร้องไม่มี ผู้แสดงดำเนินเรื่องโดยการพูด
    ละครพูดแบบร้อยกรอง เพลงร้องไม่มี ผู้แสดงดำเนินเรื่องโดยการพูดเป็นคำประพันธ์ชนิดนั้นๆ
    ละครพูดสลับลำ มีเพลงร้องเป็นบางส่วน โดยทำนองเพลงขึ้นอยู่กับผู้ประพันธ์ที่จะแต่งเสริมเข้ามาในเรื่อง
    [/FONT]
    [​IMG]
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช ๒๔๕๓ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ รวมพระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม ๑๖ ปี
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว และการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงทรงพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน
    พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างแล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. ๒๔๘๕ ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ ที่พระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชน เพื่อจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์แสดงสินค้าไทยแก่ชาวโลกเป็นครั้งแรก เพื่อบำรุงเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมของประเทศ (แต่มิทันได้จัดก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว จะพระราชทานเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแห่งแรกในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ในวันนั้นมีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าประชาชนจำนวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัย อีกด้วย
    ใน พ.ศ. ๒๕๒๔ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] พระนามเต็ม

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุทธสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"
    ต่อมาใน พ.ศ. 2459 ได้ทรงเปลี่ยนคำนำหน้าพระปรมาภิไธยของพระองค์เองใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ อรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ ฯลฯ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"<SUP class=reference id=_ref-1>[2]</SUP>

    [แก้] พระราชประวัติ

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 โดยได้รับพระราชทานพระนามว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษย์บรมนราธิราช จุฬาลงกรณนาถราชวโรรส มหาสมมติขัตติยพิสุทธิ์ บรมมกุฎสุริยสันตติวงศ์ อดิศัยพงศ์วโรภโตสุชาติคุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัตติยราชกุมาร" มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ
    1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ (พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๓๐)
    2. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๔๖๘)
    3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง (พ.ศ. ๒๔๒๔-๒๔๓๐)
    4. จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (พ.ศ. ๒๔๒๕-๒๔๖๓)
    5. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ (พ.ศ. ๒๔๒๘-๒๔๓๐)
    6. พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (พ.ศ. ๒๔๓๒-๒๔๖๗)
    7. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย (พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๖๖) และ
    8. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๓๖-๒๔๘๔)
    [แก้] พระคู่หมั้น พระมเหสี และพระสนม

    1. หม่อมเจ้าหญิงวัลลภาเทวี วรวรรณ พระคู่หมั้น ได้สถาปนาเป็น "พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี" แต่ภายหลังทรงถอนหมั้น และโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี"
    2. หม่อมเจ้าหญิงลักษมีลาวัณ (นามเดิม ม.จ.หญิง วรรณวิมล วรวรรณ) พระขนิษฐาของพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี หลังอภิเษกสมรส ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น "พระนางเธอลักษมีลาวัณ" แต่สุดท้ายประทับแยกกัน
    3. คุณเปรื่อง สุจริตกุล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งพระสนมเอกที่ "พระสุจริตสุดา"
    4. คุณประไพ สุจริตกุล (น้องของคุณเปรื่อง) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "พระอินทราณี" พระสนมเอก ต่อมาได้รับสถาปนาพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี" ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา"
    5. คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น เจ้าจอมสุวัทนา และได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น "พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี" ในที่สุด
    [แก้] พระราชธิดา

    มีเพียง ๑ พระองค์ ประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี คือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประสูติ ณ วันอังคารที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ (ก่อนหน้าพระองค์เสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว) ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง

    [แก้] พระราชลัญจกรประจำพระองค์

    [​IMG] [​IMG]
    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 6


    พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ พระวชิระ ซึ่งมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "มหาวชิราวุธ" ซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นศาตราวุธของพระอินทร์ พระราชลัญจกรพระวชิระนั้น เป็นตรางา รูปรี กว้าง ๕.๕ ซ.ม. ยาว ๖.๘ ซ.ม. มีรูปวชิราวุธเปล่งรัศมีที่ยอด ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ๒ ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง ๒ ข้าง <SUP class=reference id=_ref-2>[3]</SUP> <SUP class=reference id=_ref-3>[4]</SUP>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] เหตุการณ์สำคัญ

    ส่วนที่เหลือติดตามต่อไปเว็บไซด์ http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครับ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...