พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เสกทหารกลายเป็นจระเข้
    วันรุ่งขึ้น เสด็จในกรมได้ขึ้นไปสนทนากับหลวงปู่ศุขบนกุฏิ การสนทนาในวันนั้นส่วนมากก็วนเวียนอยู่กับฤทธิ์อาคมเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย หลวงปู่ศุขก็เล่าบอกตามความเป็นจริงในทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ
    ยิ่งพูดคุยกันมากเสด็จในกรมก็ยิ่งรู้ว่าหลวงปู่ศุขมีอาคมมากมาย ทั้งยังสามารถเสกคนให้เป็นจระเข้ได้อีกด้วย ในตอนหนึ่งของการสนทนา หลวงปู่ศุขได้สอบถามกรมหลวงชุมพรฯ ว่า “ปรารถนาจะใคร่ชมคนกลายเป็นจระเข้หรือไม่” เสด็จในกรมและข้าราชบริพารที่นั่งอยู่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากเห็นคนกลายเป็นจระเข้”
    เมื่อทุกคนอยากดูการเสกคนเป็นจระเข้ หลวงปู่ศุขจึงบอกให้เสด็จในกรมคัดเลือกคนรูปร่างล่ำสันแข็งแรง พระองค์จังคัดเลือกพลทหารมาได้คนหนึ่งชื่อ “จ๊อก”
    จากนั้นหลวงพ่อสั่งให้เอาเชือกเส้นใหญ่มักที่เอวของพลทหารจ๊อกอย่างแน่นหนา แล้วพาไปที่สระน้ำแห่งหนึ่งในวัด ให้พลทหารผู้นั้นนั่งคุกเข่าลงข้างสระ แล้วสั่งให้หลับตาพนมมืออยู่นิ่ง ๆ ส่วนตัวหลวงปู่จับปลายเชือกไว้แน่น พลางบริกรรมคาถาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เป่าพรวดลงไปที่ศีรษะพร้อมกับใช้ฝ่ามือที่ไม่ได้จับปลายเชือกตบลงที่กลางหลัง พร้อมกับผลักพลทหารจ๊อกตกลงไปในสระน้ำเสียงตูมใหญ่
    สายตาทุกคู่จ้องเป็นจุดเดียว กรมหลวงชุมพรฯ ยืนมองร่างพลทหาร ท้องน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ครั้นน้ำสงบลงจึงแลเห็นร่างของจระเข้ตัวโตอยู่ในน้ำ ส่วนหัวมีเชือกผูกติดตัวแหวกว่ายวนเวียนสะบัดหากฟาดน้ำอยู่ไปมา
    ทุกคนในที่นั้นต่างอัศจรรย์ในความขมังเวทย์ของหลวงปู่ศุข ส่วนกรมหลวงชุมพรฯ ทรงทอดพระเนตรดูลูกน้องกลายเป็นจระเข้ แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำด้วยใจระทึก ร่างของจระเข้พยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะดำดิ่งลงก้นสระ ติดแต่ว่าถูกล่ามเชือกอยู่ โดยเหล่าทหารเข้าช่วยหลวงปู่ดึงเอาไว้
    หลวงปู่ศุขได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า “ท่านจะให้ลูกน้องกลับเป็นคนหรือจะให้เขาเป็นจระเข้อยู่อย่างนั้น” กรมหลวงชุมพรฯ ได้ตรัสตอบว่า “ต้องการให้เขากลับเป็นมนุษย์อย่างเดิม” หลวงปู่ศุขจึงให้พวกทหารช่วยกันดึงเชือกให้หัวจระเข้โผล่ขึ้นมาพร้อมกับสั่งกำชับว่า “อย่าปล่อยให้เชือกหลุดมือหรือขาด หากจระเข้หลุดไปแล้วมันจะดำลึกลงกบดานที่ก้นสระ โอกาสที่จะทำให้คืนร่างเป็นมนุษย์คงยาก”
    พวกทหารจึงช่วยกันดึงรั้งเชือกกันสุดแรง กลายเป็นการชักเย่อระหว่างคนกับจระเข้ ส่วนหลวงปู่ศุขท่านเดินกลับกุฏิ ครู่ใหญ่ถือบาตรน้ำมนต์ตรงมายังขอบสระที่จระเข้กำลังตะเกียกตะกายหนี จากนั้นท่านได้บริกรรมคาถากำกับน้ำมนต์อยู่อึดใจแล้วท่านได้สั่งด้วยเสียงอันดังว่า “เอา ออกแรงดึงขึ้นมาหน่อย” ทหารทุกคนทำตาม ออกแรงดึงให้ร่างจระเข้ลอยบนผิวน้ำ หลวงปู่ศุขจึงเอาน้ำมนต์ที่เสกแล้วเทราดบนหัวจระเข้ ความอัศจรรย์เกิดขึ้นเป็นคำรบสอง ร่างจระเข้ที่ดิ้นรนและฟาดหางไปมานั้นค่อย ๆ มีอาการสงบลง แล้วร่างที่ขรุขระของจระเข้ก็กลายเป็นผิวเนื้อของมนุษย์ทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นทหารคนเดิมในเวลาต่อมา
    กรมหลวงชุมพรฯ มองดูทหารผู้นั้นด้วยความอัศจรรย์ในเป็นที่สุด เรื่องที่พระองค์ไม่เคยพบเห็นในชีวิตก็ได้มาเห็นที่วัดของหลวงปู่ศุข (เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้ “สระประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ถูกถมเป็นพื้นดินราบและส่วนหนึ่งของสระได้ปลูกสร้างตึกเจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่ารูปต่อ ๆ มา)
    อนึ่ง จากหนังสือพระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ โดยชัยมงคล อุดมทรัพย์ ได้บันทึกไว้เป็นความตอนหนึ่ง ดังนี้
    จากการบอกเล่าของพลทหารจ๊อก ภายหลังร่างกลับกลายเป็นคนว่า ขณะที่ตนลงไปในสระก็มิได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นจระเข้แต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองมีพละกำลังมหาศาลผิดปกติเท่านั้น และแหวกว่ายน้ำด้วยจิตใจคึกคะนองฮึกเหิม ในอยากดำผุดดำว่ายทั้งที่มองตัวเองแล้วก็มีร่ายกายเหมือนคนทุกอย่าง
    ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับวิชาเสกคนให้เป็นจระเข้ของคุณทวี เย็นฉ่ำ ผู้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์คนหนึ่งของเมืองไทยกล่าวไว้ว่า “จระเข้วิชา” ก็คือ “คน” ซึ่งแก่กล้าวิชาอาคม และมีเหตุให้กลายร่างเป็นจระเข้ เพราะความเรืองวิชาอาคมของตนเอง จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตามที ทำให้ไม่สามารถรดน้ำมนต์ลงไปที่ตัวจระเข้ได้ บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นจระเข้ต่อไปจนกว่าจะแก้มนต์กำกับหรือมนต์อาถรรพณ์ได้
    ดังเช่นตำนาน “จระเข้คน” จากจังหวัดพิจิตรอันเป็นแดนอาถรรพณ์ต้นกำเนิดนิทานพื้นบ้านอันลือลั่น เรื่องไกรทองและชาละวันนั่นเอง
    มีเรื่องเล่าจากนายเนตร แพงกลิ่น ที่เคยบวชเรียนอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เล่าถึงคนกลายเป็นจระเข้แล้วมาให้หลวงปู่ศุขช่วยแก้อาถรรพณ์ให้ว่า ณ ท่าเรือทองนี้ (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า) มีการลงอาถรรพณ์ไว้ หากจระเข้วิชามาถึงท่าเรือทองนี้ จะต้องลอยหัวโผล่ขึ้นมา ไม่สามารถดำน้ำได้อีกต่อไป คราวนี้พวกญาติจะนำน้ำมนต์หลวงปู่ศุขไปราดที่หัว จระเข้วิชาก็จะกลายเป็นคนตามเดิม โดยจะนอนแน่นิ่งเกยตื้นริมตลิ่งอยู่
    บางทีมีเรื่องทุลักทุเลไม่อาจราดน้ำมนต์ที่หัวจระเข้ได้ เพราะความกลัวของบรรดาญาติ หรืออะไรก็ตามแต่ บางทีเป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ ก็มี
    จระเข้วิชาเมื่อถูกราดด้วยน้ำมนต์แก้อาถรรพณ์แล้ว จะกลายเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา ญาติจะช่วยกันประคองไปหาหลวงปู่ศุขที่กุฏิ ท่านก็จะทำพิธีแก้อาถรรพณ์รักษาให้ นานอยู่ประมาณ 7-8 วัน คนผู้นั้นจึงจะพูดได้
    ในบันทึกของนายเนตร แพงกลิ่น ยังกล่าวอีกว่า “เคยเห็นมีการรักษาจระเข้วิชานี้ประมาณ 3-4 ครั้งเท่านั้น และทั้งหมดเป็นจระเข้จากจังหวัดพิจิตร จุดสังเกตจระเข้วิชาปากจะสั้น มีรูปร่างเหมือนหัวปลี
    ย้อนกลับมาเรื่องเสด็จในกรมพระองค์ได้เห็นการเสกหัวปลีเป็นกระต่ายขาว จนถึงการเสกพลทหารจ๊อกเป็นจระเข้ แล้วทรงยอดรับว่าอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั้นเหนือกว่าพระเกจิอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่พระองค์ประสบพบมา รู้สึกพอพระทัยจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ศิษย์เอกของหลวงปู่ศุข
    ตลอดชีวิตของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั้น มีลูกศิษย์มากหลาย แต่ผู้ที่นับเนื่องได้ว่าเป็น “ศิษย์เอก” มีเพียงท่านเดียวเท่านั้น คือ “กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์”
    ที่นับเป็น “ศิษย์เอก” มิใช้เพราะกรมหลวงชุมพรฯ มีเชื้อเจ้าหรือเป็นโอรสของรัชกาลที่ 5 แต่ที่นับเป็นศิษย์เอกก็เพราะศิษย์คนนี้รักและเคารพอาจารย์อย่างยอมตายถวายชีวิต กับอาจารย์จะสั่งอย่างไรก็ทำตามได้ รับถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์ไว้ได้มากที่สุด และทำตามอาจารย์ได้ในการแสดงอิทธิฤทธิ์และอภินิหาร
    มีบันทึกจากคนเฒ่าคนแก่ยืนยันว่า “เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ” ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงปู่ศุขไว้มากที่สุดเหนือกว่าศิษย์คนใด และมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งดุจบิดากับบุตร
    กาลต่อมาเมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ (19 พฤษภาคม พ.ศ.2466) เมื่อหลวงปู่ศุขท่านทราบถึงกับนั่งนิ่งซึม ท่านอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนั้นนานมากดุจท่านปลงวอย่างหนักกับกฎแห่งวัฏสงสาร หรือสังสารวัฏในโลกนี้ ในที่สุดปลายปี พ.ศ.2466 หลวงปู่ศุขได้มรณภาพลงด้วยโรคชราอันเป็นปีเดียวกับที่กรมหลวงชุมพรฯ สิ้นประชนม์
    ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นจะมีมากมายขนาดไหนคงจะต้องศึกษาจากบันทึกของ นายผล แก้วนพรัตน์ ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ศุขอีกท่านหนึ่ง ได้ระบุว่า เสด็จในกรมได้เคยพระราชทานเรือสำปั้นให้หลวงปู่ศุขลำหนึ่งเพื่อใช้ในเวลาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยเรือลำนี้เป็นเรือมีประทุนกว้างประมาณ 5 ศอก ยาวราว 3 วา มีแจวหัว 2 แจวท้าย 2 มีห้องส้วมและห้องครัวพร้อมในตัว
    บันทึกของนายผลกล่าวอีกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งมีเรือโยงผ่านมาและรู้ว่าเป็นเรือของหลวงปู่ศุข เขาก็จะหย่อนเชือกลงมาให้เพลาเรือของหลวงปู่ศุขมีโซ่สั้นเพียงนิดเดียว ซึ่งแสดงว่าเกียรติคุณของท่านในขณะนั้นเป็นที่รู้จักกันมาก
    กรมหลวงชุมพรฯ นอกจากพระองค์จะถวายเรือสำปั้นมีประทุนแล้ว พระองค์ยังได้ถวายเรือให้หลวงปู่ศุขใช้ในการบิณฑบาต เรือลำนี้มีความยาว 8 ศอก เป็นเรือที่สั่งต่อเป็นพิเศษคือทำด้วยไม้ชิ้นเล็ก ๆ อัดด้วยตะปูทองแดงทั้งลำ เรือลำนี้ไม่ต้องใช้ชันยาก็ไม่รั่ว นอกจากนี้ตรงกลางลำเรือยังมีพนักพิงสายงาม มีพนักทำโปร่ง สามารถถอดออกจากเรือได้ ทำเป็น 3 ชิ้น เวลาไม่ใช้ก็พับได้
    เวลาที่หลวงปู่ศุขท่านนั่งเรือออกบิณฑบาต ท่านจะนั่งตรงกลาง มีลูกศิษย์พายหัวพายท้าย หลังจากที่หลวงปู่ได้มรณภาพลง เรือลำนี้ยังคงใช้ได้อยู่จนถึงสมัยสมุหทองหล่อ ทัศมาลี จากนั้นเรือลำนี้ก็ได้นำมาเก็บไว้ที่หอประชุมทางด้านเหนือของบริเวณวัด เพราะเป็นหน้าแล้ง และไม่ได้นำมาใช้อีกเลย
    หลายครั้งที่หลวงปู่ศุขได้รับการนิมนต์จากเสด็จในกรมให้ไปพำนักที่วังของพระองค์ที่นางเลิ้ง โดยเสด็จในกรมได้จัดที่พักให้หลวงปู่ศุขพักอยู่กลางสระน้ำ พระและลูกศิษย์ที่ตามหลวงปู่มาจะอยู่ชั้นล่าง ส่วนหลวงปู่ศุขจะอยู่ชั้นบน ที่พำนักแห่งนี้เป็นที่สอนและทดลองวิชาระหว่างอาจารย์กับศิษย์ นายผล แก้วนพรัตน์ ได้เล่าว่า เคยเห็นหลวงปู่ศุขและกรมหลวงชุมพรฯ ได้ทดลองวิชาควายธนูในกุฏิเหลืองกลางสระนี้ซึ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
    ในบันทึกของนายผลยังได้เล่าอีกว่า ได้ตามหลวงปู่ศุขเข้ากรุงเทพฯ และพำนักที่วังเสด็จในกรมหลายครั้ง ซึ่งขณะนั้นเขายังเป็นเด็กซุกซน ลงไปว่ายน้ำในสระแล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนใบบัวขนาดใหญ่ (บัววิคตอเรีย) จนถูกหลวงปู่ศุขเอ็ดเอา ระหว่างที่พำนักอยู่นั้น นายผลเคยติดตามเสด็จในกรมไปเที่ยวย่านสำเพ็ง พระองค์เสด็จโดยนุ่งกางเกงถลกขาข้างหนึ่ง มือถืออ้อยเคี้ยวอ้อยและเสด็จไปเรื่อย ๆ เพราะในช่วงนั้นเป็นหน้าร้อน
    มีเรื่องเล่าบอกต่อ ๆ กันมาถึงเสด็จในกรมพระองค์ทรงโปรดการใช้วิถีชีวิตกลางแจ้ง พระองค์เสด็จมาวัดปากคลองมะขามเฒ่าบ่อย ๆ ส่วนใหญ่แล้วพระองค์จะเสด็จมาทางเรือ บางครั้งก็มีเรือติดตามมาด้วยหลายลำ ในการเสด็จมาของพระองค์นั้น บางครั้งพระองค์จะนำหม่อมและโอรสมาด้วย ซึ่งก็มีหลักฐานลายพระหัตถ์ในสมุดเซ็นเยี่ยมของวัดปากคลองมะขามเฒ่า
    บางครั้งกรมหลวงชุมพรฯ จะทรงคุยกับหลวงปู่ศุขจนถึงดื่น บางครั้งจะประทับที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าอยู่เป็นเดือน ๆ ซึ่งนอกจากจะมาศึกษาวิชาไสยศาสตร์แล้ว พระองค์ยังถือโอกาสพักผ่อนพระวรกายและคลุกคลีกับราษฎร ในบางครั้งพระองค์ก็ทรงพระสำราญโดยเสวย “ไอ้เป้” ซึ่งเป็นน้ำขาวที่ขึ้นชื่อมากแถบอุทัยธานี มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไอ้เป้ว่า วันหนึ่งเสด็จในกรมฯ พบกับนายยอด พระองค์ทรงถามนายยอดว่า “อ้ายยอด อ้ายน้ำหวาน ๆ ขม ๆ มีที่ไหนวะ” นายยอดรีบทูลบอก “มีตรงนี้เองกระหม่อม” เสด็จในกรมทรงบอก “กูให้วันละบาท มึงเอาใส่กามาให้กูตรงต้นกระจะทุกวันนะ” นายยอดกระทำตามที่รับสั่ง จัดหาไอ้เป้มาไว้ที่ต้นกระจะทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่ง พระองค์เสด็จมาไม่พบกาที่ใส่ไอ้เป้ จึงสั่งให้คนไปตามหาอ้ายยอด ครั้นได้พบจึงตรัสถาม “วันนี้ทำไมไม่นำกาน้ำมาให้” นายยอดจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ตำรวจจับคนทำชื่อตาปั่นไปเสียแล้ว”
    เสด็จในกรมจึงเขียนจดหมายให้มหาดเล็กถือไปที่อำเภอเพื่อไปรับตัวตาปั่น ดีประเสริฐ คนทำไอ้เป้กลับมาจากตำรวจ
    ได้วิชาหายตัวอยู่ในขวดโหลทำน้ำมนต์
    ครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปศึกษาวิทยาคมกับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขณะที่พระองค์สนทนากับพระอาจารย์สองต่อสองอยู่นั้น พอดีมีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งได้แวะมากราบหลวงปู่ พ่อค้าจีนรายนี้เป็นชาวเกาะไหหลำ เจ้าของเรือบรรทุกสินค้าที่ล่องมาจอดอยู่ที่ท่าเรือกรุงเทพฯ เมื่อเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขแล้วก็ออกปากขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศุขเพื่อนำไปพรมเรือเดินทะเลให้เป็นสิริมงคล ปลอดภัยในการเดินทาง และเจริญรุ่งเรืองในการค้าขาย แต่ตอนที่พ่อค้าจีนรายนี้เข้าไปกราบหลวงปู่นั้น กะเร่อกะร่าเข้าไปไม่รู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่กับหลวงปู่นั้นเป็นใคร เวลานั้นเสด็จในกรมนั่งถือขวดโหลแก้วใส่น้ำอยู่ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใครก็ไม่มีความคารวะเสด็จในกรม แล้วพ่อค้าจีนก็ออกปากขอน้ำมนต์จากหลวงปู่ศุข ทางฝ่ายหลวงปู่ก็พุดดุเอาว่า
    “ไม่มีสัมมาคารวะ เจ้านายกำลังเสด็จเซ่อซ่าเข้ามาได้ไง”
    เสด็จในกรมได้ยินหลวงปู่กล่าวดุพ่อค้าจีนรายนั้น พระองค์จึงตรัสขัดขึ้นว่า
    “โธ่ หลวงพ่อก็ในเมื่อสัตว์ผู้ยากที่ไหน ๆ พากันมาหาหลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์เขาไปเถอะ”
    หลวงปู่ศุขฟังเสียงขัดของเสด็จในกรมอย่างนั้น ก็มีท่าทางไม่พอใจที่เสด็จในกรมมาขัดคอต่อหน้าพ่อค้าจีน (แต่บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นการแกล้งทำโกรธเพื่อจะลองวิชาให้พระองค์ได้เห็น) ขณะเดียวกันพ่อค้าจีนที่เข้าไปขอน้ำมนต์ก็ถือขวดโหลใส่น้ำเตรียมมาพร้อมเพื่อให้หลวงปู่เสกน้ำมนต์ให้ ทันใดสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลวงปู่ศุขผุดลุกขึ้นยืนแล้วเปลื้องอังสะออก ทันใดนั้น ทั้งเสด็จในกรมและพ่อค้าจีนก็แลเห็นหลวงปู่ศุขกระโดดลงไปนั่งอยู่ในขวดโหลของพ่อค้าจีนรายนั้น ขวดโหลใบเล็กแต่มีร่างย่อของหลวงปู่ศุขนั่งแช่น้ำอยู่ในนั้น เป็นที่อัศจรรย์นัก
    การเข้าไปอยู่ในขวดโหลเกิดขึ้นรวดเร็วจนใคร ๆ จับตาดูไม่ทันว่าท่านหายตัวและย่อตัวลงไปตอนไหน ท่านนั่งแช่น้ำในขวดโหลอยู่ครู่หนึ่งจึงกระโดดออกจากขวดโหล พ่อค้าจีนยกมือขยี้ตาตัวเองด้วยความฉงน ส่วนหลวงปู่ศุขเดินไปหยิบอังสะมาครองเช่นเดิม แล้วกลับมานั่งลงเบื้องหน้าของเสด็จในกรมและพ่อค้าจีน
    “น้ำมนต์เสร็จแล้ว เอาไปสิ”
    หลวงปู่ศุขบอก พ่อค้าชาวจีนก็รีบปิดฝาขวดน้ำมนต์แล้วกราบลาหลวงปู่ไป ปล่อยให้เสด็จในกรมและหลวงปู่ศุขได้สนทนากันต่อไป
    ชาวจีนผู้นี้เมื่อได้น้ำมนต์ไปใช้สมใจนึก ก็ล่องเรือไปค้าขายที่กรุงเทพฯ ได้กำไรเกินคาด ขากลับขึ้นมาจากกรุงเทพฯ จึงซื้อ “ลิ้นจี่กระป๋อง” มาถวายหลวงปู่ บังเอิญตอนนั้นหลวงปู่จำวัดอยู่พอดี และเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อหลวงปู่จำวัดนั้น “ห้ามมิให้ผู้ใดปลุกเด็ดขาด” นอกจากเป็นเวลาฉันเพลหรือฉันยา โดยอนุญาตให้เด็กวัดใช้ไม้เคาะที่ฝากุฏิเป็นสัญญาณ แต่พ่อค้าจีนผู้นี้ก็ยังกะเล่อกะล่าเข้าไปปลุกท่านตื่นขึ้นมา หลวงปู่คว้าตาลปัตรซึ่งอยู่ใกล้มือตีชาวจีนผู้นั้นทันที สิ่งที่หลวงปู่ทำนั้นแม้จะแฝงด้วยอารมณ์โกรธ แต่ก็ไม่ทำร้ายใครให้ได้บาดเจ็บ เพียงแต่ทำให้ตกใจเพราะตาลปัตรเป็นของเบาและแบน เป็นการเตือนชาวจีนให้ทราบว่าตัวท่านไม่พอใจและควรมีสัมมาคารวะนั่นเอง
    ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของหลวงปู่ศุขที่เข้าไปอยู่ในขวดโหลคราวนี้เป็นต้นเหตุให้กรมหลวงชุมพรฯ ขอเรียนวิชานี้กับหลวงปู่และเป็นผลสำเร็จ พระองค์ได้นำไปทดลองแสดงให้ “หม่อม” ของท่านดูเป็นขวัญตา ดังปรากฏในหนังสือ “พระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” เขียนโดย ชัยมงคล อุดมทรัพย์ มีใจความว่า
    คราเมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้กลับจากการเรียนวิชากับหลวงปู่ศุขมาใหม่ ๆ ได้มีบัญชาให้หม่อมทุกคน (ที่เคยมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า กับเสด็จในกรมจำนวน 8 คน ดังปรากฏรายนามตามลายเซ็นในสมุดเยี่ยมของขุนเธียรแพทย์) มารวมกันแล้วให้หาขวดโหลใส่น้ำสะอาดมาใบหนึ่ง ครั้นแล้วสั่งให้หม่อมทุกคนหลับตาและกลั้นลมหายใจจนเต็มกลั้น แล้วจึงลืมตาขึ้นมาใหม่ หม่อมทุกคนจึงได้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า พระองค์ประทับทรงพระสรวลอยู่ภายในขวดโหลนั้นอย่างสำราญพระอารมณ์
    เมื่อหม่อมทั้ง 8 ได้อึดใจอีกครั้งหนึ่งและหลับตาลงพร้อมกันอีกครั้ง ต่างก็ได้เห็นเสด็จในกรมทรงออกมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่วางขวดโหลเป็นร่างปกติพร้อมกันนั้นตรัสว่า “เป็นวิชาที่เรียนมาจากหลวงพ่อศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า"
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sook-hist-02.htm

    เสือมาทดสอบจิต
    เรื่องนี้หลวงพ่อเจริญ ธมมถิโร ได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าพร้อมด้วยหม่อมของท่านหลายคน
    ในครั้งนั้นเสด็จในกรมได้เดินเข้าไปชมภายในพระอุโบสถ ซึ่งพระองค์ได้เขียนภาพไว้ที่ผนังด้านใน ทางด้านทิศตะวันตก (เป็นภาพพระแม่อุมา) หลังจากที่พระองค์ได้เข้าไปชมเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาข้างนอก พระอุโบสถ ทันใดนั้นเอง พอพระองค์เดินเลี้ยวพ้นมุมพระอุโบสถเท่านั้นก็ปรากฏร่างของเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่งยืนผงาดแยกเขี้ยวคำรามเข้าใส่พระองค์ด้วยเสียงอันดังแห่งเจ้าป่า ในวินาทีแรกเสด็จในกรมทรงตกพระทัย ชะงักงัน บรรดาหม่อมน้อย ๆ ของพระองค์ต่างร้องวี้ดว้ายด้วยความกลัวพากันกระถดถอยหนีจ้าละหวั่น แต่พระองค์ก็ชายชาติเชื้อทหาร เป็นศิษย์มีครู เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อทรงระลึกได้เช่นนี้จึงบอกเดินต่อไปท่ามกลางสายตาของเหล่าหม่อม เสือตัวนั้นได้ก้าวถอย พอพ้นพระอุโบสถเสือใหญ่ตัวนั้นก็หายลับไป
    กรมหลวงชุมพรฯ เดินตามทางต่อไปด้วยอิริยาบถปกติจนถึงถาน (ส้วม) ของหลวงปู่ศุข ก็พบจีวรหลวงปู่พาดอยู่ข้างฝาถานอันทำด้วยไม้ ทันใดนั้นหลวงปู่ได้เดินออกมาพร้อมกับยิ้มให้ กรมหลวงชุมพรฯ ก็ทรงยิ้มตอบพร้อมกับยกมือขึ้นนมัสการ
    กรมหลวงชุมพรฯ ได้รับการถ่ายทอดวิชาทุกชนิดที่ท่านสนพระทัย มียกเว้น 4 อย่างเท่านั้นที่หลวงปู่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ได้เพราะอาจารย์ของท่านสั่งห้าม วิชาดังกล่าวประกอบด้วย
    1. ทางคด บางแห่งเรียกกระสุนคด วิชานี้นับว่ามีอันตรายอย่างสูง ถ้าตกอยู่กับคนไม่ดี เพราะวิชานี้เสกลูกปืนเพียงลูกเดียวยิงเข้าไปในกองทัพข้าศึก ทหารจะล้มตายทั้งกองทัพ วิชานี้หลวงปู่ศุขเคยทำให้พระองค์เห็นเมื่อครั้งหลวงปู่รับนิมนต์ไปพักที่วังนางเลิ้ง โดยหลวงปู่เสกลูกปืนลูกเดียวยิงใบบัวในสระทะลุทุกใบ (คันกระสุนวิเศษที่ใช้ยิง “ทางคต” นี้ทำจากไม้ที่ถูกฟ้าผ่า โดยหลวงปู่ทำขึ้นด้วยมือท่านเอง ปัจจุบันอยู่ที่วัดศรีวิชัยวัฒนาราม จ.ชัยนาท)
    2. วิชาเสกขี้เถ้าเป็นไฟประลัยกัลป์ เมื่อนำขี้เถ้าไฟมาปลุกเสกแล้วสาดออกไปทางทิศใดจะบังเกิดไปอาคมดวงใหญ่ไหม้ลุกลามใหญ่โตทางทิศนั้น ข้าศึกศัตรูไม่อาจผ่านและดับไฟได้ หากขี้เถ้าอาคมตกลงในเมืองไหน บ้านเมืองนั้นจะพินาศเป็นจุณ
    3. เสกข้าวสารให้เป็นภูเขา เมื่อนำข้าวสารมาบริกรรมปลุกเสกแล้วขว้างไปทางทิศใดจะเกิดเป็นภูเขาใหญ่ขึ้นในทิศทางนั้น ซึ่งวิชานี้จะทำให้บังเกิดแผ่นดินไหว กระแสน้ำไหลบ่าท่วมฉับพลัน บังเกิดภูเขาไฟระเบิด และมีพายุร้ายต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในทิศทางนั้นจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
    4. เสกทรายให้เป็นน้ำ วิชานี้เมื่อบริกรรมเสกทรายแล้วสาดซัดออกไปจะปรากฏเป็นน้ำ เป็นห้วยหนองคลองบึงจนถึงแม่น้ำใหญ่ (จะบังเกิดฝนตกหนัก ฟ้าผ่า และอุทกภัยต่าง ๆ ในบริเวณนั้นได้) วิชานี้หลวงปู่ศุขกล่าวว่าสามารถทำให้เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำได้
    วิชาพิเศษทั้ง 4 อย่างนี้ สอนให้ใครไม่ได้ นอกนั้นหลวงปู่ศุขสามารถสอนให้กรมหลวงชุมพรฯ ได้ทั้งสิ้น
    การฝึกสอนนี้กระทำกันทั้งที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าและที่วังกรมหลวงชุมพรฯ เองที่กรงเทพฯ
    เรียนวิชาวิเศษ “ระเบิดน้ำ”
    จากบันทึกของนายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย ที่ออกสอบถามชาวบ้านคนเก่าแก่ที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเขียนถึงการเรียนวิชาขมังเวทของเสด็จในกรมกับหลวงปู่ศุข ได้บันทึกไว้เป็นใจความดังนี้
    อันการเรียน “ระเบิดน้ำ” ของกรมหลวงชุมพรฯ นี้ นายแฉล้ม เอี่ยมรอด คนเก่าแก่ได้เล่าว่า (เล่าเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2521 และได้สอบถามเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521) ได้มีการเรียนระเบิดน้ำกันในเดือน 4 หลังจาก นายแฉล้ม บวชได้ประมาณ 4 พรรษา ตกประมาณเดือนมีนาคม 2464
    คราครั้งนั้น กรมหลวงชุมพรฯ ได้ฝึกเรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขที่โบสถ์น้ำหน้าวัด โดยเสด็จในกรมนั่งบริกรรมอยู่บนโบสถ์น้ำพักหนึ่ง ก็กระโดดไปในน้ำตูมใหญ่ แต่กรมหลวงชุมพรฯ สามารถทนอยู่ใต้น้ำได้เพียง 4 อึดใจใหญ่เท่านั้น แล้วพระองค์ก็ทรงโลดขึ้นมาบนผิวน้ำ จนผิวน้ำแตกกระจาย จากนั้นพระองค์ทรงกล่าวกับหลวงปู่ว่า “ทนไม่ไหว”
    ผลการทดสอบเรียนระเบิดน้ำในวันแรกไม่อาจเป็นผลสำเร็จได้ ในวันรุ่งขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ ได้ขอทดสอบผลการเรียนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พระองค์มีความตั้งใจสูงแบบยอมตายถวายชีวิตกับวิชาพิเศษนี้ทีเดียว
    ฝ่ายหลวงปู่ศุขก็เอาจริงเช่นกัน แต่ท่านก็มีความเสี่ยงเพราะศิษย์ท่านนี้มิใช่สามัญชน หากเป็นถึงโอรสของพระมหากษัตริย์ ทว่าศิษย์กับอาจารย์ต่างก็ “ใจถึง” ด้วยกัน โดยหลวงปู่นั้นถึงกับเตรียมไม้ถ่อค้ำเรือไว้อันหนึ่ง ไม้ถ่อนี้ท่านยืมมาจากเรือบรรทุกข้าวที่จอดอยู่หน้าวัด หลวงปู่บอกว่า “ถ้าโผล่ขึ้นมาอีกจะเอาไม้ถ่อค้ำคอ” ปรากฏว่าในการทดสอบครั้งที่ 2 เสด็จในกรมสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จ คือทนอยู่ในน้ำได้ถึง 3 ชม. แล้วจึงขึ้นบก
    ในบันทึกยังเล่าว่าหลวงปู่ศุขปลื้มใจมากที่ศิษย์เอกเรียนวิชานี้ได้สำเร็จ ท่านได้คุยให้ชาวบ้านและมัคนายกฟังว่า การที่กรมหลวงชุมพรเรียนครั้งนี้สำเร็จ เพราะได้ฝึกจิตได้สูงแล้วนั่นเอง
    การเรียน “ระเบิดน้ำ” นี้ทำในตอนกลางวัน หลังจากที่หลวงปู่ฉันเพลแล้ว โดยมีชาวบ้าน มัคนายก และพระเณรที่วัดร่วมดูอยู่ประมาณ 20-30 คน รวมทั้งพระภิกษุแฉล้ม (นายแฉล้ม เอี่ยมรอด) ผู้เล่าด้วย
    ในบันทึกของนายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย ยังกล่าวอีกว่าได้มีโอกาสคุยกับนายเชื้อ แตงฉ่ำ บ้านหมู่ที่ 5 ต.หาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท อายุ 84 ปี ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าตนเคยเห็นกรมหลวงชุมพรฯ เรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขด้วยตาตนเอง ดังนี้
    ครานั้น ตัวผู้เล่ารู้ว่ากรมหลวงชุมพรฯ เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะผู้ใหญ่บ้านบอกเมื่อตนไปที่วัดก็เห็นกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งสักตามตัวจนดูดำไปหมด ได้ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินตามหลวงปู่ไปที่แพโบสถ์น้ำ
    เมื่อพิธีเริ่มขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ ลงไปที่แพโบสถ์น้ำต่อหน้าหลวงปู่ศุข ผู้เป็นอาจารย์ซึ่งนั่งบริกรรมอยู่ ครั้นแล้วพระองค์ท่านได้กระโดดลงไปในน้ำ ดำผุดดำโผล่อยู่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายหลวงปู่จับพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ กดลงไปในน้ำ คราวนี้เสด็จในกรมจมหายลงไปในน้ำนานมากเป็นชั่วโมง ๆ จนนายเชื้อเองคิดว่าเสด็จในกรมต้องสิ้นพระชนม์แน่คราวนี้
    ทว่า ท่าทีสีหน้าของหลวงปู่มีแต่ความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างสูง ไม่ได้มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนพิธีเสร็จ กรมหลวงชุมพรฯ โผล่ขึ้นมาแล้วปีนขึ้นแพโบสถ์น้ำ ทำให้นายเชื้อ หายใจโล่งอก
    หลวงปู่ศุขได้เดินขึ้นฝั่งไปที่กุฏิ มีเสด็จใจกรมเดินตามและพากันขึ้นไปบนกุฏิ
    ยังมีเรื่องการเรียนระเบิดน้ำของกรมหลวงชุมพรฯ อีกเรื่องหนึ่ง จะเป็นการเรียนระเบิดน้ำขั้นต้นหรืออย่างไรก็สุดจะสันนิษฐานได้ เพราะเป็นเรื่องของการ “แอบดู” และได้เห็นมา ดังนี้
    นางหีบ สุขทอง เป็นผู้เล่าเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2523 มีใจความว่า คราวนั้น นางหีบได้คลอดบุตรและกำลังอยู่ไฟในตอนกลางวันสามีของตนชื่อนายยอด ได้ทราบจากผู้ใหญ่อุ่น ศุภรัตน์ ว่าตอนกลางคืนกรมหลวงชุมพรฯ จะเรียนระเบิดน้ำ จึงได้ชวนกันไปแอบดู
    หลวงปู่ศุขและกรมหลวงชุมพรฯ ฝึกเรียนกันในตอนเที่ยงคืนวันเพ็ญเดือน 12 มีทหารควบคุมทางเข้าทุกทางไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปดู หลวงปู่เดินนำกรมหลวงชุมพรฯ ลงไปในน้ำตรงต้นมะเดื่อหน้าวัดทางทิศใต้ กรมหลวงชุมพรฯ ถือเทียน 7 เล่ม พนมมือ หลวงปู่ศุขเอาบาตรครอบพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ แล้วกดลงไปในน้ำ
    เสด็จในกรมทะลึ่งพ้นน้ำขึ้นมาถึง 2 ครั้ง จนหลวงปู่ศุขต้องกล่าวว่า “จะไม่เอาหรือไง ตัดสินใจให้ดี” คราวนี้หลวงปู่กดบาตรที่ครอบพระเศียรลงไปนานมาก เสด็จในกรมจึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำและเทียนดับหมด
    เรื่องนี้จะเป็นการเรียนวิชาอะไรไม่ทราบแน่นอน เพราะนายยอดเป็นผู้เล่าให้นางหีบฟัง
    อันวิชา “ระเบิดน้ำ” นี้ก็เป็นวิชาเดียวกับที่ไกรทองใช้ลงไปปราบชาละวัน จระเข้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ในตำนานท้องถิ่นไทยนั่นเอง คือการจุดเทียนส่องลงไปใต้น้ำโดยเทียนไม่ดับ
    ว่ากันว่าน้ำจะระเบิดเป็นช่องลงไปในบาดาล ผู้สำเร็จวิชานี้เดินไปในน้ำหายใจดุจบนบก ไม่มีอันตรายใดๆ
    เป็นที่คาดกันว่าการที่กรมหลวงชุมพรฯ ต้องการเรียนวิชานี้เพื่อคิดช่วยชาติบ้านเมืองในยามคับขัน โดยใช้ยุทธวิธีลงไปในน้ำระเบิดเรือรบข้าศึก
    ผ้าเจียดของพระอาจารย์
    การเรียนพุทธาคมของเสด็จในกรมเป็นไปด้วยดีจนคนทั่วไปยอมรับว่า กรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีกฤติยาคมสูงส่งหาใครเทียบเสมอได้ในยุคนั้น
    ในกองทัพเรือยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ข้าราชบริพาร จนถึงลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนนายเรือ รู้กันว่าพระองค์ทรงโปรดการลองวิชา และชีวิตของพระองค์เต็มไปด้วยความผาดโผนมหัศจรรย์ยิ่งนัก
    ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ครองราชย์อยู่นั้น เป็นยุคที่กีฬามวยไทยเฟื่องฟู ค่ายมวยต่าง ๆ ผุดขึ้นมากมาย ทางราชสำนักจึงจัดให้มีการแข่งขันกีฬามวยไทยขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อหาเงินบำรุงสมทบทุนซื้อปืนให้กองเสือป่าทั่วประเทศ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้นายแม็ค เศียรเสวี (พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี) นายเสือป่าใหญ่ เป็นผู้จัดการหาเงินสมทบมีประกาศเรียกนักมวยฝีมือดีจากทุกภาคทุกหัวเมืองให้เข้ามาอยู่รวมกันโดยพักอยู่ที่สโมสรเสือป่า ใกล้เขาดินวนา และในสมัยนั้นเองได้มีนักมวยจากโคราช ฝีมือยอดเยี่ยมมีชื่อเสียงเข้ามาร่วมอยู่ด้วย คือ นายทับ จำเกาะ และนายยัง หาญทะเล
    โดยเฉพาะนายยัง หาญทะเล มีชื่อเสียงดีเป็นพิเศษ นักมวยคนนี้เป็นชาวนครราชสีมา บ้านอยู่ตำบลหัวทะเล ฝีมือในการชกมวยจัดว่าสูงมาก เพราะเคยชกนักมวยจีนชั้นครูถึงแก่ความตายไปถึง 2 คน
    แต่ข่าวบางกระแสกล่าวว่า นายยัง หาญทะเล เป็นศิษย์เอกของเสด็จในกรม เนื่องจากนายยังเคยรับราชการทหารเรือ เพราะความมีชั้นเชิงในเรื่องหมัดมวยติดตัวมาด้วย เสด็จในกรมจึงทรงโปรดปรานนายยังเหนือกว่าใคร ๆ
    ในคราวเสด็จประพาสเรือรบหลวง เกี่ยวกับการฝึกภาคทะเล นายยังคนนี้ก็ติดตามไปด้วย ขณะเรือรบหลวงกำลังแล่นฝ่าคลื่นกลางทะเลลึกในอ่าวไทยในวันหนึ่ง ก็มีเสียงเป่าแตรเรียกทหารประจำการเข้าแถว แล้วเสด็จในกรมทรงดำเนินตรวจพลบนดาดฟ้าเรือ จากนั้นทรงมีรับสั่งให้เรือรบหลวงทอดสมอลอยลำกลางทะเล ในโอกาสนี้เสด็จในกรมทรงแจกผ้าเจียดลงเลขยันต์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ทหารทุกคน พระองค์มีรับสั่งว่า
    “ผ้าเจียดที่ข้านำมาแจกแก่พวกเจ้านี้ เป็นของท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่า มีอานุภาพและอภินิหารยิ่ง ถ้าใครมีความเคารพนับถือสามารถเดินบนผิวน้ำไม่จมน้ำตายและป้องกันสัตว์ร้ายนานาชนิด การที่นำมาแจกในวันนี้ใครจะทดลองโดดลงในทะเลให้ข้าดูบ้างหรือไม่”
    ทหารทุกคนฟังแล้วเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบและคงไม่มีใครคิดเสี่ยง เพราะขณะนั้นเรือลอยลำอยู่ท่ามกลางดงฉลาม เสด็จในกรมรู้สึกไม่พอพระทัยในความไม่พูด ไม่กล้าของเหล่าทหารทั้งหลาย พระองค์จึงตรงมาที่นายยัง หาญทะเล ทรงรับสั่งถามว่า “อ้ายยัง เอ็งพอจะกล้าลงไปว่ายเล่นในทะเลให้สนุกสักครั้งหรือไม่ ให้ข้าเห็นความศักดิ์สิทธิ์ในผ้าเจียดของท่านอาจารย์สักหน่อยไม่ได้รึ”
    นายยังทูลตอบ “เมื่อเป็นพระประสงค์ กระหม่อมจะขออาสาพระเจ้าข้า”
    เสด็จในกรมดีพระทัย พร้อมกับทรงพระสรวลอย่างชอบใจในความไม่ประหวั่นพรั่นพรึงของนายยัง จึงรับสั่งอีกว่า
    “อ้ายยัง มึงสมชายชาติทหาร จะรอช้าอยู่ทำไม อาราธนาแล้วระลึกถึงท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าเสียก่อน แล้วกระโดดลงไปเลย”
    นายยังยอดนักมวยเมืองโคราชจึงออกเดินไปยังกราบเรือ แล้วก็พุ่งตัวลงในทะเลลึกอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เหมือนปาฏิหาริย์ เหล่าทหารเรือทุกคนได้เห็นนายยังลงไปยืนเด่นบนผิวน้ำอย่างอัศจรรย์ และรอบข้างนายยังมีปลาฉลามหลายตัวเวียนว่ายอยู่รอบ ๆ แต่ไม่ได้ทำอันตรายนายยังแม้แต่น้อย
    ทหารเรือต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเพราะบุญบารมีกฤติยาคมของเสด็จในกรมและความขลังศักดิ์สิทธิ์ของผ้าเจียดหลวงปู่ศุข ลูกประดู่ทุกคนรีบยกผ้าเจียดขึ้นไว้ทันที
    ครั้นนายยังไต่บันไดเรือขึ้นมา ก็คุกเข่าเข้ากราบถวายบังคมเสด็จในกรม พระองค์ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย ก้มพระวรกายลงเอาพระหัตถ์ลูบศีรษะนายยังด้วยความเอ็นดูพลางตรัสว่า
    “อ้ายยัง เอ็งนี่หาญทะเล สมสกุลที่ข้าตั้งไว้ให้ดีแท้”
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sook-hist-02.htm

    เจอ “ตากัน” ยอดนักเลง
    ครั้นเสด็จในกรมไปตากอากาศทางเรือ พอถึงสัตหีบก็เอาเรือเล็กลงเพื่อเที่ยวหายิงสัตว์ให้เพลิดเพลินบนเกาะ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนกกระยางฝูงหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ทรงประทับปืน ร.ศ. และเหนี่ยวไกยิงทันที น่าประหลาด ลูกกระสุนปืน ร.ศ. กลับไม่ระเบิด พยายามยิงหลายครั้งก็ยิงไม่ออกอยู่ดี เสด็จในกรมทรงประหลาดพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสงบนิ่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงลืมพระเนตร รำพึงขึ้นว่า
    “ชะรอยจะต้องมีผู้มากอาคมอยู่บนเกาะแห่งนี้แน่” จากนั้นพระองค์ทรงพระราชดำเนินชมแมกไม้ไประยะหนึ่ง ก็เหลือบเห็นกระต๊อบเล็กอยู่หลังหนึ่งมุงด้วยจาก เสด็จในกรมจึงแวะเข้าไปดูพร้อมกับมหาดเล็ก
    ขณะเดียวกัน ประตูกระต๊อบเปิดออก ชายวัย 50 ปีเศษ ก้าวเดินออกมา เขามองดูเสด็จในกรมและมหาดเล็กอย่างเฉยชา แล้วพูดด้วยซุ่มเสียงขึงขังว่า “นี่..พวกนี้จะมาล่าสัตว์ในป่านี้ไม่ได้นะ” เสด็จในกรมทรงพระสรวลก้องพลางตรัสว่า “สัตว์ในป่านี้แกเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อไร..แกชื่ออะไรล่ะ” ชายสูงอายุตอบ “ชื่อกัน”
    เสด็จในกรมถามอีก “ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่กลัวเสือกินหรือ”
    “ไม่อยากอยู่ใกล้มนุษย์มันเหม็นสาบ ข้าอยู่ที่นี่นายแล้ว ตกเบ็ดหาปลา เก็บผักเก็บหญ้ากิน เลี้ยงตัวคนเดียวสบายใจดี.. แกล่ะเป็นใคร บังอาจมายิงสัตว์ในป่าที่ข้ารักษาอยู่ ในแถวนี้ไม่มีใครกล้ามารังแกสัตว์ในเกาะนี้หรอกนะ” ตากันบอก เสด็จในกรมได้ฟังคำพูดเย่อหยิ่งของตากัน ทรงรู้สึกหมั่นไส้เหลือกำลัง จึงตรัสออกไปว่า
    “แกนี่รู้สึกอวดดีนักนะ เดี๋ยวก็จับตัวไปถ่วงลงในอ่าวให้ขาดใจตายเสียเลย”
    ตากันได้ฟังก็หัวเราะลั่นไม่แยแสคำขู่ แล้วยังพูดท้าทายอีกว่า “อย่าว่าแต่อ่าวแค่นี้เลย ในท้องทะเลข้ายังเคยเดินเล่นนั่งเล่นหลาย ๆ วันเลย พวกเอ็งเก่งจริงจับข้าใส่กระสอบมัดเอาไปถ่วงในอ่าวได้เลย”
    เสด็จในกรมถูกลองดีอย่างนี้มีหรือจะทรงยอม และอยากดูของดีจากตากันด้วย ทรงรับสั่งมหาดเล็กที่ติดตามมาด้วยช่วยกันจับตากันมักใส่กระสอบ เอาขึ้นเรือเล็กไปถ่วงที่เรือรบจอดทอดสมออยู่ โดยเอาเชือกโยงปากกระสอบติดไว้กับเรือรบ ทั้งยังทรงรับสั่งอีกว่า “ถ่วงให้นานครบ 24 ชม. แล้วค่อยเอาขึ้น ถ้าตายก็เอาไปฝังบนเกาะให้เป็นผีเข้าเกาะไปเลย”(กล่าวกันว่าเสด็จในกรมทรงทราบดีว่า“ตากัน” มีวิชาไสยเวทพอตัว จึงเกิดการลองวิชากันขึ้น)
    ครั้นครบ 25 ชม. ทหารเรือก็ช่วยกันดึงกระสอบขึ้นมาบนเรือ แล้วแก้มัดปากกระสอบออก ทุกคนต้องตะลึงเพราะเห็นตากันนั่งขัดสมาธิยิ้มแฉ่ง เชือกที่เคยมัดมือมัดเท้าหลุดออกหมด ตากันลุกขึ้นแล้วคลานเข่าเข้ามากราบเสด็จในกรม (คงทราบแล้วว่าคนที่ตนท้าทายเป็นเชื้อพระวงศ์) พระองค์จึงตรัสว่า “ตากัน แกมีวิชาอะไรดี”
    ชายขมังเวทรีบทูลตอบ “เกล้ากระผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าจึงมีวิชาอาคมติดตัวอยู่บ้างพะยะค่ะ”
    เสด็จในกรมทรงได้ยินเช่นนั้นก็ปีติยินดีอย่างยิ่ง ตรัสบอกไปว่า “เออ..เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันกับฉันนะสิ” แล้วพระองค์ได้ให้เรือเล็กไปส่งที่ฝั่ง พร้อมทั้งมอบอาหารการกินที่จำเป็นไปด้วย
    ในเวลาต่อมาจึงเรียกอ่าวแห่งนี้ว่า “อ่าวตากัน”
    ส่วนตากันนั้นชาวบ้านย่านสัตหีบและบางเสร่นั้นศรัทธากันมาก จนเป็นที่เลื่องลือว่า แกเก่งด้านกสิณ สามารถที่จะใช้อำนาจจิตบังคับธรรมชาติได้ เช่น ห้ามฝน ลุยไฟ ล่องหน กำบังตน เรียกลมเรียกฝนได้
    มีวัตถุมงคลที่แกสร้างจนดังสืบมาทุกวันนี้คือ “ปลัดขิก” ซึ่งทำมาจากกัลป์ปังหา ซึ่งมีอยู่ในท้องทะเล ถือเป็นของขลังตามธรรมชาติ ว่าวันว่า...หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการทำปลัดขิกนั้น ก็ร่ำเรียนวิชามาจาก “ตากัน” นี้แหละ
    หลวงปู่ศุขให้ตะกรุดสามกษัตริย์
    ในคราวหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีจางวางถึกตามเสด็จไปด้วย พร้อมกับทหารเรืออีกหลายนาย และวันนั้นหลวงปู่ศุขได้ทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 12.00 น. พอดี หลวงปู่ได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า
    “วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมภาพได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้ว แต่ยังขาดของสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้พระองค์จะขาดไม่ได้เพราะจะต้องติดตัวไว้กับพระองค์เสมอ เป็นของวิเศษที่มีอภินิหารมาก”
    นอกจากนี้หลวงปู่ได้ตระเตรียมสิ่งของไว้ให้คือ แผ่นโลหะเป็นเงินหนัก 1 บาท นาคหนัง 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท รวมเป็น 3 กษัตริย์ สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้
    เมื่อลงตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือจะคล้องคอก็ได้ ของสิ่งนี้แหละที่หลวงปู่ศุขตั้งใจทำถวาย และกล่าวกับพระองค์อีกว่า “รอเดี๋ยว เข้าที่บูชาก่อน”
    จากนั้นหลวงปู่ก็เข้าห้อง จุดธูปเทียนจนควันตลบออกมาถึงข้างนอก สักครู่หนึ่งจึงเรียกเสด็จในกรมเข้าไปในห้อง ครู่ใหญ่ทั้ง 2 ก็เดินออกมาจากห้อง ในมือของหลวงปู่ศุขถือเหล็กกับแผ่นโลหะและด้ายควั่นสีขาว อีกมือหนึ่งถือเทียนเล่มโตนำเสด็จในกรมลงจากกุฏิ จางวางถึกและทหารคนสนิทรีบก้าวตามออกไปด้วยจนถึงศาลาน้ำหน้าวัด หลวงปู่จึงพูดว่า
    “พระองค์รออยู่ที่นี่เดี๋ยว อาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้”
    กรมหลวงชุมพรฯ มิได้ตรัสตอบแต่ประการใด คงยืนนิ่งอยู่ที่ศาลาพร้อมด้วยเหล่าทหารคนสนิท ส่วนหลวงปู่ศุขก็หันตัวก้าวเดินลงบันไดท่าน้ำ มีเทียนเล่มใหญ่จุดไฟลุกโชติช่วง ตัวท่านค่อย ๆ จมหายไปในน้ำในที่สุด
    ทุกคนเฝ้ามองด้วยใจระทึก เพราะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก น้อยคนจะมีโอกาสเช่นนี้ หลายคนเฝ้าจับจ้องท้องน้ำอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลวกวนไปมา นานเกือบหนึ่งชั่วโมง หลวงปู่จึงเดินขึ้นมาที่บันไดศาลาท่าน้ำ เทียนยังสว่างเหลือเพียงคืบกว่า ๆ ผ้าสบง จีวร หาได้เปียกน้ำอะไรมากมาย (หมาด ๆ)
    หลวงปู่ขึ้นมาแล้วก็มุ่งสู่กุฏิทันที แต่ก็ไม่ลืมหันมาสั่งเสด็จในกรมฯ ให้ไปกุฏิพร้อมกัน เมื่อเดินไปถึงและเข้าห้องบูชา หลวงปู่เอาเทียนที่เหลือปักไว้บนโต๊ะหมู่บูชา จึงได้นั่งลง หลวงปู่ศุขส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมฯ พลางว่า
    “เก็บไว้ให้ดี ไปไหนมาไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วย”
    พระองค์ทรงกราบแล้วรับเอาตะกรุดจากหลวงปู่ พลางตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้มีข้อห้ามอะไรหรือไม่” หลวงปู่บอก “ไม่มีห้ามอะไร ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ”
    จากนั้นหลวงปู่เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกให้เหล่าทหารที่ตามเสด็จพร้อมกับประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วหน้า จนเวลา 15.30 น. พระองค์จึงได้มาลงเรือและเสด็จกลับ
    ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ กรมหลวงชุมพรฯ มิเคยเอาออกห่างพระวรกายเลย เท่าที่ทราบมาตะกรุดดอกนี้ตกอยู่ที่หม่อมเจ้ารังสิยากร เนื่องจากก่อนที่เสด็จในกรมจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ดอกนี้ออกจากคาดเอว มอบให้กับหม่อมของท่าน ทรงรับสั่งว่า “เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น”
    “เจ้าตุ่น” นี้คือหม่อมเจ้ารังสิยากร โอรสพระองค์โปรดของเสด็จในกรม
    ในช่วงสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา (เสด็จในกรมสิ้นพระชนม์แล้ว) หม่อมเจ้ารังสิยากรประทับอยู่ใกล้วัดคอกหมู คลองบางหลวง ฝั่งธนบุรี วันนั้นเวลา 10.30 น. ฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตรส่งป้อมบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพญี่ปุ่น เครื่องบินสีน้ำเงินสะท้อนแสงอาทิตย์วับวาวเต็มท้องฟ้า
    หม่อมเจ้ารังสิยากรแหงนหน้ามองฝูงบินที่บินผ่านไปพร้อมกับพูดกับนายทหารผู้หนึ่งที่ยืนมองดูเครื่องบินด้วยกัน “นี่เครื่องบิน บี.27” ฉับพลันนั้น ก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดที่ลงถล่มทางปากคลองตลาดเทเวศร์สนั่นหวั่นไหว นายทหารผู้นั้นทำความเคารพก่อนจะถามหม่อมเจ้ารังสิกากรว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวลูกระเบิดหรือ” หม่อมเจ้ารังสิยากรได้ฟังก็ควักเอาตะกรุดขึ้นจากกระเป๋าเสื้อชูให้ดู แล้วพูดว่า “จะต้องกลัวอะไร นี่..เสด็จพ่อให้ของดีไว้”
    ใช่แล้ว เป็นตะกรุดสามกษัตริย์ที่หลวงปู่ศุขทำถวายกรมหลวงชุมพรฯ นั่นเอง
    [​IMG]
    <!--BEGIN WEB STAT CODE----><SCRIPT language=javascript1.1> page="หลวงปู่ศุข กับ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://hits.truehits.in.th/data/i0017685.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_donate_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>sv=1.2;ss=screen.width+'*'+screen.height;sc=(bn=='MSIE')?screen.colorDepth:screen.pixelDepth;if(sc==udf){sc='na';}</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>sv=1.3; </SCRIPT>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sook-hist-03.htm

    หลวงปู่ศุข เจอผีสมภารวัดร้างลองดี
    โพสท์ในเว็ปพลังจิต โดย wendy65 เมื่อ 24-05-2007, 06:22 PM
    [​IMG]
    หลวงปู่ศุข เกสโร (พระครูวิมลคุณากร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เป็นพระอาจารย์ที่เคารพนับถือของ พล.ร.อ.พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ ท่านเป็นพระอภิญญาที่ทรงบารมีธรรม และทรงคุณวิเศษในเวทวิทยายากจะหาผู้ใดเทียบเท่า
    ตลอดช่วงชีวิตแห่งการครองเพศสมณะ เชื่อได้ว่าหลวงปู่ศุขย่อมมีประสบการณ์เผชิญกับวิญญาณมาไม่น้อย เพียงแต่ท่านไม่เปิดเผยให้ผู้ใดมีโอกาสได้รับรู้ นอกจากเรื่อง "ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้
    ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าจาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปีติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน
    ระหว่างเดินทางกลับ ท่านได้จากริกมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัยเป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น
    บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฏิพระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพัง เป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยที่วัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฏฐากพระเณรถึงเพียงนี้
    หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฏิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่นั้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้
    ขณะที่หลวงปู่ศุขกำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2-3 คน เดินมาหาท่านแล้วนั่งยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า
    "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ"
    "อาตมาไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีมา กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านนี้กระมัง"
    "ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฏินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ"
    "ทำไมล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้าง ไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"
    " ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน "
    "เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร"
    ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจกราบเรียน
    "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อ สาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดุนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้ รู้เรื่องดีเชียวละ"
    แล้วอดีตมัคทายกก็เล่าเรื่องผีวัดร้างให้หลวงปู่ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา
    ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืน จนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหาย ย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด
    เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงาน
    หลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบมิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว
    หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฏิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
    ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฏเสียงบานหน้าต่างของกุฏิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ
    หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมาให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ
    " มาทำไม?"
    "ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบ
    ผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฏิไม่ยอมหยุด ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร
    ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆ ที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด
    หลวงปู่ศุขสำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฏิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฏร่างยืนตระหง่านตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า
    "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"
    หลวงปู่ศุขเห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า
    "อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโม พุทธายะ"
    ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไปไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน
    เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหว้นมัสการสอบถามว่า เมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆ อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซ้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก
    จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตตาหารเช้ามาถวาย
    เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุขก็เมตตารับนิมนต์
    หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฏิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่ปรากฏมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย
    ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อนวอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้
    [​IMG]
     
  5. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.treasury.go.th/webprovice/chainat/page5.htm

    หากเอ่ยชื่อ พระครูวิมลคุณากร คนทั่วไปอาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าแล้วล่ะก้อ ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักนิยมพระเครื่องแล้ว แทบทุกคนต่างใฝ่หาพระเครื่องของหลวงปู่ศุขมาใช้เพราะเชื่อกันว่า พระหลวงปู่ศุขนั้นให้พุทธคุณ ทั้งด้านเมตตามหานิยม และ ด้านแคล้วคลาด คงกระพัน

    ภูมิลำเนา - ชีวิตก่อนบวช
    หลวงปู่ศุขท่านอยู่ในละแวก วัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมี ลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี หลวงปู่ศุขท่านใช้นามสกุล เกศเวชสุริยา อีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน ด้วยกัน เมื่อหลวงปู่ศุขอยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆน้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำ ที่สำคัญ และกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทนุบำรุงที่ควร หลวงปู่ศุขท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ภรรยาชื่อนางสมบูรณ์ และกำเนิด บุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

    บวช
    หลวงปู่ ท่านครองเพศฆาราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ 22 ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี พระอุปฌาย์ท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายรามัญ ที่ถือเคร่งในวัตรปฎิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคม ก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระอุปฌาย์ของท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่าวัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

    กลับภูมิลำเนา
    หลวงปู่ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ชราภาพลงตามอายุขัย ด้วยความเป็นห่วงใยในมารดาและบิดา ท่านจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณที่อยู่ลึก เข้าไปในคลองมะขามเฒ่าหรือบริเวณต้นแม่น้าท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพวัดในขณะนั้น ชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณะให้กลับคืนในสภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ ขยับขยายออกมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้สร้างกุฎิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัย ไปพลางก่อน

    วัตถุมงคลรุ่นแรก
    สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดฌาปนกิจศพ และในงานนี้เองหลวงปู่ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฎอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างใน ชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้น การที่แวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระเครื่องของหลวงปู่จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกัดไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลองเนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า "เอ็งมีลูกกี่คน?" ท่านจะให้ครบทุกคน กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำ เจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าพ่อขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจร ที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็น เสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า"

    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ที่1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติ ปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้ว ได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์เพื่อจะได้ศึกษาทางมหาพุทธาคมและปรากฎว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความ สามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงปู่ศุขเองก็หมดความรู้ที่จะถ่ายทอด จึงแนะนำให้เสด็จในกรมฯไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น เมื่อหลวงปู่ศุขท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่จะสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯบนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่กรมศิลปากรยกย่องว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพร ทรงมีฝีมือทางการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ-เจ้าชนะมารในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบิดมวยผม ทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้ กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดใส่อารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยัน อย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก ฝีมือของเสด็กในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนในขณะที่หลวงปู่ศุข ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงในการเดิน ซึ่งภาพนี้ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าจวบจนทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ ระหว่างอาจารย์ กับ ลูกศิษย์ นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯได้สร้างกุฎิอาจารย์ ไว้กลางสระที่วัดนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิค ตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่า จาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ศุขมาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์ หรือพิษณุโลก จำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ท่านขอพ่อแม่เขามาเลี้ยงเป็นบุตร บุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ศุข ท่านก็ เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เลยเรียกกันติดปาก ว่า ลุงผล ท่าแร่ แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด 1 ปี หลวงปู่ท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมฯท่านจะทำวิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น 3 วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามไหว้ครูทางวิทยายุทธ์ พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืน กับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุ มากแล้ว สุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยได้ลงมา

    พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง
    การที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลัง ได้ประสิทธิ์ มี ฤทธิ์ มีเดช ทั้งๆที่อักษรเลขยันต์พื้นๆนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้น กล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้งสี่ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกดิผลด้วยการ ใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือ หลีกลี้ลับ บังคบให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขาม ให้เป็น ตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจนการผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็ยังคงเป็นใบมะขาม หัวปลี ก็ คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟาง ก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่อำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง จากหนังสือ "พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี 2519 เรื่องพระใบมะขาม " ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ.2459)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่น เงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่า การค้าขายจะให้ลงว่ากระไร ท่านบอกว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู " ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร " หลวงพ่อบอกว่า" มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา"ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั้นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และท่านเสกเป่าไปที่ศรีษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมทีไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุก ก็ ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์ จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฐาก รูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า "ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ"
    อนึ่งท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจานั่งสงบอารมณ์ เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น " เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯเห็นจนท่านยอมเป็นศิษย์ " หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ลวงโลก แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่า อะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่า "เวลานี้ กรมหลวงชุมพรฯไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง ) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติ ท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯ นี้ ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้ "

    ท้ายบท
    การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อัญเชิญบทกลอนพระนิพนธ์ของเสด็จเตี่ยมาให้ได้อ่านทบทวนกันครับ


    "ตอกตะปู ลงตรง นะเจ้าเด็ก
    เสียงเป๊ก ตีตรง ลงที่หัว
    เมื่อเจ้าตีเหล็ก นะเจ้าเด็ก เจ้าอย่ากลัว
    ตีเมื่อตัว เหล็กยังแดง เป็นแสงไฟ
    เมื่องานมี ที่ต้องทำ นะเจ้าเด็ก
    เป็นข้อเอก ทำจริง ไม่ทิ้งไถล
    ที่เขาขึ้น ยอดได้ สะบายใจ
    ก็เพราะได้ ปีนเดิน ขึ้นเนินมา
    ถ้าเด็กใด ยืนแช อยู่แต่ล่าง
    แหงนคว้าง มองแล สู่เวหา
    จะขึ้นได้ อย่างไร นะลูกยา
    ทำแต่ท่า แต่ไม่ลอง ทำนองปีน
    ถึงหกล้ม หกลุก นะลูกแก้ว
    อย่าทำแซ่ว เสียใจ ไม่ถวิล
    ลองเถิดลอง อีกนะ อย่าราคิน
    ที่สุดสิ้น เจ้าคงสม อารมณ์เอย"

    พระนิพนธ์เพลง "ดอกประดู่" ซึ่งเนื้อหาของเพลงเปรียบชีวิตการปฏิบัติงานในเรือของพวกเราเหล่าทหารเรือนั้น เสมือนดั่งลักษณะการบานและโรยของดอกประดู่ ยามที่บานก็จะบานกันอย่างพรั่งพร้อม ยามที่โรยก็จะโรยลงจากตันพร้อมกัน เป็นกุศโลบายในการสอนของพระองค์ให้พวกเรามีความรักและสามัคคีกัน พร้อมจะเป็นและตายร่วมกันเพื่อชาติและราชนาวี นอกจากเพลงดอกประดู่ที่ทรงสอนให้มีความรักความสามัคคีแล้ว ยังทรงสอนให้พวกเรา "สู้" ด้วยพระองค์เองก็ทรงเป็นแบบอย่างประทานให้ และยังทรงพระเมตตา สอนพวกเราผ่านบทเพลง "เดินหน้า" ทรงสอนให้พวกเราสู้ทั้งศึกเสือเหนือใต้ ไม่ให้ยอมแพ้ ไม่ให้ย่อท้อ และไม่ต้องเกรงคำนินทาว่าร้ายจากใคร

    ข้อความจากคุณ TTK http://www.ttkschool.com/wardroom_May.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2007
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คำสอนองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    คนเราทุกวันนี้ ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า แต่เพียงด้านเดียว
    ให้เอากระจกหกด้าน มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง

    ท่านใดพอที่จะอธิบายได้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี สอนอะไร หมายถึงอะไร เป็นการลับสมองลองปัญญากัน ไม่มีรางวัลนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมกลัวลืม แสดงความคิดเห็นกันหน่อยนะครับ หลังจากได้อ่านประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีแล้ว

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    (ping)
    ไม่ลืมครับ แต่ยังอ่านไม่จบเลย ใจเย็นๆนะครับคุณตา
    (b-glass)
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    .....
    <!-- currently active users -->
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>narongwate, :::เพชร:::+, aries2947, chaipat, sithiphong, ตั้งจิต </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->
    สวัสดีครับทุก ๆ คน
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    http://www.ttkschool.com/wardroom_May.htm

    ขอนำบันทึกของ"ลูกประดู่"ท่านหนึ่งมาให้อ่านกัน ร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของบุคคลที่ได้ใกล้ชิดกับเรื่องราวของพระองค์ท่านโดยตรง

    วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2550
    วันนี้ผมขอคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสด็จเตี่ยอีกเล็กน้อย พอดีเมื่อวานนี้ผมเปิดเพลงพระนิพนธ์ของเสด็จเตี่ยฟังแต่เช้า ฟังไปก็ร้องตามไปด้วย มีอยู่เพลงหนึ่งครับที่ทำห้ผมนึกถึงตอนที่เป็นนักเรียนนายเรือ และตอนที่เรียนจบแล้วทำงานในเรือ คือทหารเรือเรามีธรรมเนียมอยู่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรือจะออกปฏิบัติราชการทะเล ก่อนเรือจะออกจากฐานทัพ เราจะต้องขึ้นเขาไปกราบถวายบังคมลาและขอพรจากเสด็จเตี่ยบนเขากรมหลวงฯ เขากรมหลวงฯที่ผมพูดถึงนี้ก็อยู่ในเขตฐานทัพเรือสัตหีบ ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีครับ

    ธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำกันเป็นประจำ ก็คือ "การวิ่งขึ้นเขา" สมัยที่เป็นนักเรียนนายเรือ ใช้การวิ่งขึ้นเขานี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกความอดทน นักเรียนนายเรือทุกคนจะต้องวิ่งขึ้นเขา คิดเป็นระยะทางราบก็ราวๆ 6 กิโลเมตร แต่พอเป็นทางขึ้นที่ชันบ้างลาดบ้าง ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบกันพอสมควร หลายคนไปคลานเอาเมื่อถึง "เนินสุดท้าย" ซึ่งเป็นเนินปราบเซียนได้เป็นอย่างดี เว้นแต่พวกนักกรีฑาที่ดูจะไม่ค่อยยี่หระกับเนินนั้นเท่าไหร่ แต่อย่างผมที่เป็นนักดนตรีสากลสามสมอ วิ่งมาได้เรื่อยๆอยู่ดีๆ พอถึงเนินปราบเซียนก็ต้องใช้วิธี "ลากสังขารในท่าวิ่ง" คือทำท่าก้าวขาวิ่ง แต่วิ่งไม่ออก ลากไปจนถึงจุดที่เป็นเส้นชัย ใครที่ทำเวลาได้ดีก็จะมีรางวัลให้ด้วย แต่ผมไม่คิดจะคว้ารางวัลอะไรกับเขาหรอกครับ แค่วิ่งขึ้นไปถึงและอยู่ในเวลาที่กำหนด ไม่รั้งท้ายจนเกินไปผมก็พอใจแล้ว บริเวณยอดเขากรมหลวงฯ ก็จะเป็นทีี่ตั้งของศาลกรมหลวงฯ ภายในศาลก็เป็นที่ประดิษฐานพระรูปของเสด็จเตี่ย และรูปปั้นหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย เมื่อนักเรียนขึ้นถึงยอดเขาจนครบทุกคน ดื่มน้ำมะนาวกันจนชื่นใจครบถ้วนหน้าแล้ว ก็จะมีการเรียกแถวตามชั้นปี หันหน้าเข้าหาศาล จากนั้นก็จะเริ่มการถวายสักการะ และลงท้ายด้วยการร้องเพลงถวาย เพลงที่ร้องแล้วกินใจมากที่สุด คือเพลง ดอกประดู่ ที่ขึ้นต้นว่า "หะเบสสมอพลันออกสันดอนไป" ที่กินใจเพราะเนื้อเพลงนั้นเตือนให้เรารู้ว่า อีกไม่นานต่อจากนี้ เรือเราจะออกเดินทางฐานทัพแล้ว เราจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในทะเลอีกประมาณ 50 วัน(ระยะเวลาฝึกภาคทะเลของนักเรียนนายเรือโดยประมาณในสมัยนั้น) เมื่อร้องเพลงจบ ก็จะเป็นเวลาที่ทุกคนจะพนมมือไหว้เพื่อขอพรจากเสด็จเตี่ยก่อนออกทะเล และเช่นเดียวกัน หลังจากเรียนจบมา ได้รับราชการในเรือรบ ก็ยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ กันอย่างเคร่งครัด เสมือนหนึ่งว่า "ลูก" จะต้องไปกราบลา "พ่อ" ขอพรจาก "พ่อ" ก่อนจะเดินทางไปทำงานเพื่อชาติและราชนาวีที่พ่อรัก

    มีเกร็ดเล็กน้อยที่จะขอเล่าก็คือ เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่า เมื่อเราไปกราบเสด็จเตี่ย และขอพรก่อนจะออกทะเลนั้น จะขออะไรก็ได้ เว้น "ขอให้คลื่นลมสงบ" อย่างที่ผมเล่าไว้ก่อนหน้านี้ว่า "เสด็จเตี่ยโปรดการฝึกคนให้มีความอดทน ไม่โปรดคนขี้กลัว และคนขี้แพ้" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นทหารเรือแล้วกลัวคลื่นลม จะยิ่งไม่โปรด จึงเชื่อกันว่า หากมีใครสักคนขอพรให้คลื่นลมสงบ การออกเรือครั้งนั้นจะต้องเจอกับคลื่นลมชนิดที่ว่า "กินอยู่อย่างไม่เป็นสุข" ไม่เป็นสุขอย่างไร...... สภาวะท้องทะเลที่คลื่นลมแรงจัดนั้น บางครั้งเวลากินยังต้องจับจานข้าวไว้ไม่ให้เลื่อนไปมา เวลานอนบางครั้งต้องหาอะไรกันไว้ 2 ข้างไม่ให้ตัวกลิ้งซ้ายกลิ้งขวา ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้นอนแน่ๆ ยิ่งถ้าเรือเดินด้วยเข็มที่ตกร่องคลื่น อาจะต้องถึงกับเปลี่ยนทิศการนอน แล้วนอนในทิศตั้งฉากกับแนวกระดูกงูแทนเืพื่อจะได้ไม่ต้องกลิ้งไปมา บริเวณทางเดินนอกตัวเรือก็จะต้องเอาเชือกมาขึงกันไว้อีกชั้นหนึ่ง เวลาเดินไปไหนมาไหนก็จะต้องเดินจับเชือกไปด้วย และต้องสวมชูชีพอยู่ตลอดเวลาเผื่อเกิดการลื่นล้มบนดาดฟ้าแล้วตกน้ำไป นี่คือสภาพที่เรียกว่า "กินอยู่อย่างไม่เป็นสุข"


    วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2550 "19 พฤษภา วันอาภากร (1)"

    ผมต้องขออภัยที่เว้นไป 1 วันเนื่องจากผมมีราชการด่วน ต้องเดินทางไปจ่างหวัดตั้งแต่คืนวันพุธที่ 16 พ.ค. จึงไม่มีโอกาสเขียนเรื่องสำหรับวันพฤหัสบดีที่ 17 ซึ่งเดิมตั้งใจว่าจะเขียนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสายตาของน้องๆที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้าเตรียมทหาร ก็ขออนุญาตยกยอดไปก่อนเพราะ 18 - 19 พ.ค.นี้ ผมขอใช้เนื้อที่ห้องโถงกัปตันเขียนเรื่องราวเพื่อถวายสักการะและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่พวกเราเหล่าทหารเรือเรียกขานพระนามของพระองค์ด้วยความเคารพอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจว่า "เสด็จเตี่ย" องค์บิดาของกองทัพเรือ ผู้ทรงริเริ่มวากรากฐานการจัดโครงสร้างกองทัพเรือในหลายๆด้าน ที่สำคัญที่สุดที่ถือว่าทรงให้กำเนิด และทำให้มีกองทัพเรืออยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ ทรงวางรากฐานด้านการฝึกหัดศึกษา อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการพัฒนากองทัพเรือมาอย่างต่อเนื่องตราบจนถึงปัจจุบัน พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2466 ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ของทุกปี ทหารเรือจะนัดหมายกันแต่งกายชุดขาวน้อย(เครื่องแบบหมายเลข 2 : ปกติขาวคอพับแขนสั้น) และเนื่องจากในปี 2550 นี้ วันที่ 19 พฤษภาคมตรงกับวันเสาร์ เราจึงนัดหมายกันแต่งขาวน้อยในวันศุกร์ที่ 18 พ.ค.ครับ

    พระประวัติ และเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ในด้านต่างๆนั้น ปรากฏแพร่หลายทั่วไปในรูปแบบต่างๆมากมาย ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับพระองค์ก็สามารถหาอ่านได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร หรือตามเว็บไซต์ครับ สำหรับผมแล้ว พระประวัติ และเรื่องราวหลายๆด้านเกี่ยวกับพระองค์นั้น มีแง่มุมต่างๆที่ล้วนก่อให้เกิดแง่คิดซึ่งนำไปสู่แรงบันดาลใจในการ "ริเริ่ม" และ "สู้" เพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้น ทรงเป็น "นักริเริ่ม" และ "นักสู้" ที่ไม่เคยยอมแพ้ให้กับอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น แนวทางการดำเนินชีวิตของพระองค์เปรียบเสมือนคำสอนอันประเสริฐที่ประทานให้พวกเราได้ดูเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมีอุดมการณ์ในเรื่องความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความพยายามในการไขว่คว้าหาความรู้และใช้ความรู้นั้นทำประโยชน์ต่อสังคมและบ้านเมือง ความเสียสละที่พระองค์สละได้แม้ฐานันดรศักดิ์เพื่อความสงบสุข ความคิดริเริ่มที่ทำให้เกิดการพัฒนากำลังรบของกองทัพ ความรักและความเมตตาที่พระองค์มีต่อผู้ที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่า ฯลฯ แต่ละเรื่องล้วนเป็นคำสอนที่ "กินใจ" ลูกประดู่ทุกคน รวมทั้งผู้ที่เคยได้รับพระเมตตาจากพระองค์อย่างมิรู้ลืม

    ขอเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับคำว่า "เสด็จเตี่ย" คนอื่นๆที่ไม่เคยได้ยินได้ทราบอาจจะคิดไปได้ว่า พวกเราจาบจ้วงพระองค์ด้วยการใช้คำเยี่ยงสามัญชนเรียกขานพระองค์ซึ่งสูงด้วยฐานนันดรศักดิ์เช่นั้น ผมเองได้ยินคำว่า "เสด็จเตี่ย" มาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อผมเป็นทหารเรือ จำได้ว่า ตอนเด็กๆพ่อเคยเล่าเรื่องราวของเสด็จเตี่ยให้ผมฟัง ผมก็ฟังด้วยความสนุกสนานไปตามประสาเด็ก เช่น วิธีที่พระองค์ฝึกให้นักเรียนนายเรือไม่กลัวผี (เป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์ "ไม่โปรด" คนขี้กลัว หรือคนขี้แพ้) เป็นต้น แต่ก็ไม่เคยนึกสงสัยว่า ทำไมพ่อถึงเรียกพระองค์ว่าเสด็จเตี่ย ผมก็เรียกพระองค์ว่าเสด็จเตี่ยตามพ่อ (สังเกตว่าแม่ก็เรียก "เสด็จเตี่ย" ด้วยเหมือนกัน) มาทราบเอาในภายหลังว่า ที่แท้ก็เกิดจากการเรียกขานอันเป็นการแสดงความเคารพนับถืออย่างสูงสุดของชาวจีนย่านสำเพ็ง และเยาวราช นั่นเอง ชาวจีนในย่านนั้นนับถือพระองค์เสมือน "พ่อ" เพราะในช่วงที่พระองค์กราบถวายบังคมลาออกจากราชการแล้ว ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนไทยเพิ่มเติมจนกระทั่งทรงพระปรีชาสามารถในด้านการรักษาโรคเจ็บไข้ได้ป่วย ครั้งนั้นเองที่ได้ทรงพระกรุณาเสด็จฯไปรักษาให้ให้ชาวจีนในย่านนั้นโดยไม่ถือพระองค์ ซึ่งต่อมา เหล่าบรรดาทหารเรือน้อยใหญ่ก็เรียกขานพระองค์เช่นนั้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แม้แต่บุคคลทั่วไปที่เคารพเทิดทูนพระองค์ก็เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" ตามกันไปด้วยอย่างน่าอัศจรรย์

    ผมได้แรงบันดาลใจจากพระองค์อย่างมากในช่วงที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้าเตรียมทหาร ใครที่เคยฟังผมเล่าแล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อเพราะผมกำลังจะเล่าซ้ำ และจะเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าต่อสาธารณะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม แต่ก็ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณกันเองด้วยนะครับ (Reader discretion is strongly advised) เพราะผมเล่าตามที่ผมประสบมากับตนเอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะตัว สุดปัญญาที่ผมจะพิสูจน์ต่อสาธารณะ จะไม่เล่าก็ไม่อยากเก็บไว้คนเดียว ก็พยายามจะเล่าอย่างระมัดระวัง ไม่ชักนำให้ใครเกิดความงมงายเด็ดขาดครับ

    แรงบันดาลใจจากพระองค์เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดในรูปแบบใด วันพรุ่งนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ ก่อนจบวันนี้ ผมมีความยินดีที่อัญเชิญบทเพลง "ดาบของชาติ" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในเสด็จเตี่ย เป็นโคลง 4 สุภาพ มาให้ท่านได้เปิดฟังกัน ผมได้นำเสนอเนื้อเพลงไว้ใต้พระฉายาลักษณ์แล้วครับ หลายคนบอกว่า ถ้านั่งอยู่ในที่เงียบสงบแล้วเปิดเพลงนี้ฟัง จะได้สัมผัสความรู้สึกรักชาติ และความหวงแหนแผ่นดินขององค์ "เสด็จเตี่ย" ยิ่งถ้าสามารถร้องตามได้ด้วย จะ้รู้สึกซาบซึ้ง และระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์จนอาจทำให้ถึงกับน้ำตาไหลได้เลยทีเดียว

    เพลง"ดาบของชาติ" พระนิพนธ์ของเสด็จเตี่ย

    ดาบของชาติเล่มนี้ คือชี - วิตเรา ถึงจะคมอยู่ดี ลับไว้ สำหรับสู้ไพรี ให้ชาติ เรานา ให้มิตรให้เมียให้ ลูกแล้ชาติไทย </SPAN>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2007
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>ข้อความส่วนตัว: ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนครับ</TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post # --><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 11:24 AM <!-- / status icon and date --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนครับ

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สวัสดีครับคุณสิทธิพงษ์
    นานพอสมควรผมไม่ได้ติดต่อกลับถึงคุณสิทธิพงธ์เลย ขอบคุณครับสำหรับคำตอบในช่วงนั้น ก็เนื่องจากงานประจำครับ จะต้องอาศัยเวลาว่างบ้าง แต่ก็ยังติดตามเสมอครับ เพียงแต่ว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆก็จะ Login เข้ามา
    ช่วงนี้เห็นว่ามีปัญหาบางประการอยู่เกี่ยวกับเรื่องการนำเสนอข้อมูลของพระวังหน้า และข้อมูลของพระสมเด็จพระพุฒาจารย์โตอยู่ ผมขอถือโอกาสแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

    1.เรื่องการนำเสนอเรื่องราวที่เคยเสนอมา ผมเห็นว่าควรทำต่อครับเพราะผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมาก เนื่องจากจะหาคนที่ศึกษาข้อมูลมามากในลักษณะนี้ได้น้อยราย สังเกตุจากผู้ที่แวะเข้ามาชมในแต่ละวันจะมีมากเป็นอันดับ1 มันเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่ามีคนสนใจเรื่องนี้อยู่ นอกเหนือไปจากเรื่องการทำบุญทำกุศลทั่วไป หากว่าหยุดนำเสนอมันก็จะขาดช่วงหายไปนะครับ คนที่ติดตามก็จะต่อไม่ติดแน่นอน และยิ่งพบว่าข้อมูลที่นำเสนอออกมานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นนี่ยิ่งสำคัญใหญ่ เพราะยังมีส่วนที่คนไม่รู้ยังมีอีกมาก ดังนั้นการขาดหายไปนั้นมันก็จะเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา กลายเป็นว่าคนรุ่นหลังก็ได้แต่ข้อมูลเดิมๆ ซึ่งคุณก็รู้ว่าบางข้อมูลผิดด้วยซ้ำไป อันนี้ห่วงรุ่นลูกรุ่นหลานเรานะครับ ผมแสดงความคิดเห็นกลางๆนะครับไม่ได้ว่าของใครดีเลิศ หรือของใครผิด เพียงแต่มองว่าถ้าสิ่งนี้คือโอกาสให้ผู้คนที่ยังไม่รู้หรือรู้จากการที่ได้ศึกษามาบ้างแล้วได้เข้ามาดูข้อมูลอีกด้านหนึ่งซิจะเป็นอย่างไร การพิจารณาว่าของใครถูกของใครผิดให้เป็นวิจารณญาณของผู้เข้ามาศึกษา ใครมีข้อมูลที่แน่นกว่า ใครมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ ผมคิดว่าผู้ศึกษาเขาคิดได้ เหมือนตำราทั่วไปนะครับเรื่องเดียวกันมีตั้งหลายดอกเตอร์แต่งกันตรึม บางเรื่องมันก็สอดคล้องกัน บางเรื่องมันก็ขัดกันก็มี ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งการที่ออกมาลักษณะนั้นอาจจะมีเหตุมีปัจจัยของมันอยู่ เอาตัวอย่างของผมเองช่วงที่จตุคามบูมๆ ผมไปหาตำราว่าเรื่องราวจริงๆเป็นอย่างไร มาถึงทุกวันนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าของใครถูกของใครผิด ก็เลยคิดว่าถ้าเราสนใจก็ถือว่าถ้าจะเอาข้อมูลนั้นไว้ศึกษา ไว้อ้างอิงก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันอย่างนั้น ดีไม่ดีที่เถียงกันมามากมายกลายเป็นผิดทั้งคู่ก็มี ดังนั้นผมขอสนับสนุนทำต่อเถอะครับมีประโยชน์มากกว่าโทษครับ ถ้าทำเป็นอีก1ตำราได้จะดีมาก อย่างน้อยก็เป็นอีกองค์ความรู้หนึ่งครับ ถ้าทำเมื่อไรผมก็ขอจองด้วยครับ การให้ความรู้ถือว่าเป็นธรรมทานครับอานิสงค์มาก
    (ถ้าเปิดเป็นเวปไซด์แยกมาต่างหากจะดีมาก โดยนอกจากมีเนื้อหาสาระเป็นหมวดหมู่แล้ว มีเรื่องบุญกุศล มีเรื่องของกิจกรรมของคนในสังคมกลุ่มนี้ ผมว่าเป็นอะไรที่น่าสนุกและน่าสนใจไม่น้อยครับ)

    2.ผมขอเสนอวิธีการนำเสนอครับ
    การนำเสนอควรเป็นแบบให้ผู้สนใจเข้ามาศึกษา ถ้าเป็นผมครับจะไม่ไปเยี่ยมบ้านคนอื่นแน่ๆ มันเสี่ยงหลายๆอย่างครับ คนที่เขามั่นในตัวเขา มั่นในอาจารย์เขาก็มี โอกาสเสี่ยงสูงครับ แม้ว่าความปรารถนาดีจะมีสูงก็ตาม ยามคนไม่ฟังก็ยากครับ ดังนั้นข้อด้อยเยอะกว่าครับ เอาเป็นว่าใครสนใจเข้ามา ส่วนเรื่องคำถามคำตอบก็พิจารณาตามความเหมาะสมครับ
    อันนี้คุณสิทธิพงษ์อย่าคิดว่าผมไปว่าคุณนะครับ ผมเองสมาชิกใหม่ โอกาสที่จะเข้ามาแบบเกาะติดก็น้อยเนื่องจากงานที่ทำอยู่ เข้ามาตอนนี้เพราะเห็นว่าถ้า 1 ความคิดเห็นของเราสามารถทำให้การนำเสนอมีต่อไปได้ อันนี้จะดีมากๆครับ

    3.ข้อนี้ขอ Comment ครับ อยากให้ช่วยปรับเรื่องการ update ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญสร้างเจดีย์หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องครับ เช่น ตอนนี้ยอดการทำบุญเป็นอย่างไรบ้าง มีใครทำบุญเข้ามาบ้าง มีใครสนใจบูชาพระชุดไหนไปบ้าง ใครส่งพระให้บูชาแล้วบ้าง ตอนนี้ใครติดค้างกันอย่างไร ตอนนี้มีพระที่จะสามารถทำบุญเป็นอย่างไรบ้าง เผื่อลืมกันไปกลายเป็นติดค้างกันอยู่โดยที่เราก็ไม่รู้ เจ้าตัวก็ไม่รู้ อันนี้จะขาดทุนครับผม อย่างนี้เป็นต้นครับ จริงๆก็มีข้อมูลอยู่แล้วครับแต่เวลาผมจะหามันเหมือนจะวิ่งข้ามไปข้ามมายังไงไม่ทราบ ผมไม่เก่งคอมฯนะครับ ซึ่งถ้ามันดีอยู่แล้วผมเองไม่เข้าใจเอง ทำไม่เป็นเองขออภัยครับผม แต่ว่าตอนนี้ผมอยากทำบุญสร้างพระเจดีย์ครับแต่ไม่ทราบว่ายังมีพระชุดใดบ้าง รบกวนคุณสิทธิพงษ์อีกครั้งครับผม
    ผมส่งข้อความมายาวนะครับ ก็นานๆจะได้เข้ามาคุยกัน ถือว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคนกระทู้นี้แล้วกันที่เข้ามามาส่วนร่วมตรงนี้ครับ

    ขอบคุณครับ

    ************************************************

    ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็น และขออนุญาตนำลงบอร์ดครับ

    .

    <!-- / message -->
     
  13. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ดีครับคุณโอ๊ต
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เรื่องราวนี้ได้เล่าให้พี่ท่านหนึ่ง จึงขอให้ผมเล่า ดังนี้<O:p</O:p
    1. ชุดพระหลวงพ่อเงินที่ให้ทำบุญ ณ ที่นี้ ผมได้ไป 1 ชุด มี 5 องค์ <O:p</O:p
    โดยมีผม 3 องค์ และพี่ตุ้ยที่ทำงาน 2 องค์ซึ่งได้รวมบุญมา 2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2007
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระดีที่ยังหาได้ครับ
    พระเครื่องวัตถุมงคลดีๆยังหาได้โดยไม่ต้องไปให้พวกขายพระหากิน ทำของเสริม ลองไปวัดสัมพันธ์วงศ์ที่เยาวราชดูครับ ได้ทั้งพระดีและได้บุญด้วยดังนี้
    1 พระมงคลมหาลาภที่ทำจากผงโสฬสมหาพรหมล้วนๆ เป็นผงที่อาจารย์ประถม อาจสาคร นำไปสร้างพระปิดตาหลวงปู่ทิมที่ปัจจุบันหายากองค์ละหลายหมื่นบาท แต่พระมงคลมหาลาภที่วัดนี้พิมพ์เล็ก 500 พิมพ์ใหญ่ 1000 พลังเป็นอย่างไรไม่ต้องกล่าวขนาดพ่อท่านลี ยังขอผงนี้ไปทำพระของท่าน
    2 พระนางพญาคุณแม่บุญเรือน ที่สร้างไว้ประมาณห้าสิบปีมาแล้ว ผสมผงทรายทองที่ท่านกำหนดนั่งนิโรธสมาบัติ องค์ละไม่กี่ร้อยบาท ขึ้นคอแขวนได้อย่างสนิทใจ พลังรวดเร็วว่องไวปาดสายฟ้าครับ
    3 พระเจ้าคุณนรฯ ลองถามพนักงานวัดที่ดูแลตู้พระในสำนักงานว่ามีพระไหนเจ้าคุณนรฯเสกแล้วคุณจะเจอของดีไม่แพงได้ทำบุญเข้าวัดด้วย
    4 มีกี่คนจะรู้ว่าวัดสัมพันธ์วงศ์ เป็นที่เก็บพระหลวงปู่แหวนแท้ๆบางองค์สร้างมา30ปีราคายี่สิบบาทแขวนได้สบายใจ
    5 ยังมีพระกรุวัดสัมพันธ์วงศ์เองที่แตกกรุมาหลายวาระเป็นพระเนื้อโลหะมีพรายปรอทสวยงามอายุการสร้างเป็นร้อยๆปีราคาไม่แพงหลักร้อยหลักพันบรรดาเซียนพระนำพระวัดนี้ไปขายในร้านตนแพงๆมากทำไมเราไม่ไปทำบุญและได้พระด้วยความชื่นใจละครับอย่ามัวแต่อ่านนิตยสารที่เขียนเชียร์เพื่อขายทำกำไรอย่างเดียว
    <!-- / message -->
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆที่รัก

    คุณปุ๊ ได้ส่งเรื่องที่จะพิมพ์หนังสือมาให้แล้ว จะรีบดำเนินการหาต้นฉบับและคงต้องนัดมารับเรื่องที่จะพิมพ์กันเร็วๆนี้
    เช่น
    5. เซียน<O:p</O:p
    6. สมเด็จพิมพ์มโนมยิทธิ<O:p</O:p
    8. หลวงปู่ปาน วัดมงคลโครธาวาส<O:p</O:p
    9 .จากอนุทินของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

    เห็นเรื่องแล้วน่าอ่านจริงๆ

    .<O:p</O:p
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออนุญาตเพื่อนผมท่านนี้ด้วยนะครับ...

    มีเพื่อนท่านหนึ่งได้ PM สอบถามเรื่องราวๆต่างๆมา ผมนำส่วนที่ผม PM ตอบมาให้ได้รับทราบกัน น่าจะพอทราบว่าประเด็นคำถามคืออะไร..

    วันนี้พอมีเวลา เลยมาเล่าต่อละกันครับ ..

    ประเด็นเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ อยากให้เปิดดูที่ผมได้นำมาแนะนำกันไว้ในช่วง30 หน้าสุดท้าย อันที่การตอบกระทู้ในกลุ่ม มีคุยเล่นบ้างจริงจังบ้าง ผ่านความเห็นเหล่านั้นไปได้ง่ายครับ click ผ่าน ๆๆๆ

    การตอบคำถามรอบที่แล้ว หนึ่งในคำถาม ๖ ข้อที่ผมได้นำพระสมเด็จกลักไม้ขีดมาถาม ลอกผิวหน้าทั้งหมด แล้วนำมาถามว่าคือพระอะไร...

    คณะเราได้เคยไปดูกรุพระตอนตี ๓ กันมาแล้วที่ท่าพระจันทร์ เรียกว่า"กรุบางพระ" ไปพบเข้าได้แต่ตะลึง ทางคณะถึงไม่อยากลงภาพพระมาก เนื่องจากการนำไปสร้างพระเลียนแบบได้เหมือนมากครับ เซียนยังเดี้ยงมาแล้วเลย ลองดูตัวอย่างพระในคำถามทั้ง ๖ ข้อที่ผมสอบถามได้ครับ รู้สึกจะเป็นการตอบคำถามในช่วงวันศุกร์ที่ ๑๔ หรือ ๒๑ กันยายน ผมไม่ค่อยแน่ใจ โดยพระสมเด็จหลังเบี้ย การบูชาจึงต้องรู้ที่มาที่ไปกันจริงๆ มีการตรวจเช็คทั้งรูป(พิมพ์ทรง) และนาม(พลังอิทธิคุณ) ทางคณะเราก็ไม่ไปรับรองของคณะอื่น และคณะอื่นก็คงไม่มารับรองคณะเรา ด้วยมีวัตถุประสงค์ในการทำบุญต่างกัน อันนี้ก็ลำบากใจผู้บูชาเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าตามความสบายใจดีกว่า ชอบคณะไหนก็ทำกับคณะนั้น ที่น่ากังวลใจที่สุดก็คือ รับพระไปทั้ง ๒ -๓- ๔- ๕ คณะแล้วก็นำไปปนกัน จำไม่ได้ว่าองค์ไหนมาจากใครบ้าง แบบนี้ไม่ดีแน่ ถูกไม๊ครับ? อย่างคุณหนุ่ม(ขออนุญาตนะครับ..)ไปพบแหล่งกริช และพระขรรค์มา ข้างวัด.......ดา ตกเล่มละ ๕๐ บาท เหมือนทุกอย่าง ไปดูได้ครับ..อันนี้เช็คยากละ เพราะคุณหนุ่มเช็คแล้วบอกว่าปลอม เลยไม่ได้เอามาเลยซักเล่ม ไปลองดูละกัน แบบอื่นก็ต้องวัดดวงกัน ผมเคยแจ้งไว้ในกระทู้ครั้งหนึ่งว่า คณะเราไม่กลัวพระปลอม เพราะปลอมก็ทำให้จริงกันได้ มีวิธีครับ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว เราจะมีวิธีปฏิบัติ ๒ วิธีคือ ๑.ใช้เอง เพราะมั่นใจว่าดี และ ๒. นำบรรจุกรุ หรือพระเจดีย์ จะไม่มีการนำออกมาให้บูชาแต่อย่างใด ผมคิดว่าจะบูชาจากใครก็ได้ครับ แต่ผู้ให้บูชาจะต้อง"รู้จริง"เท่านั้นครับ อย่าไปลอกเขามา แล้วมาบอกเล่าให้คุณฟังเท่านั้น พอถามลึกลงไปในรายละเอียด กลับไม่ทราบต้องไปลอกเขามาอีก แบบนี้ไม่น่าสนใจครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆให้เป็นกรณีเทียบเคียงดีกว่าครับ...

    ในย่านถนนสายหนึ่งมีร้านขายข้าวหมูแดงเจ้าอร่อยเกิดขึ้น ผู้คนมาทานกันแน่นขนัดทุกวัน จนร้านรวงอื่นๆขายอาหารของเขาไม่ได้ เขาจึงคิดอยากจะขายข้าวหมูแดงมั่ง ถามว่า เขาผิดไม๊ที่จะขายข้าวหมูแดง ตอบว่าไม่ผิดครับ ร้านแล้วร้านเล่าต่างแข่งขันกันขายข้าวหมูแดง บางร้านก็ยังมาชิมรสชาดของร้านเจ้าเก่านี้เช่นกัน มาชิมว่าอร่อยยังไง จุดไหนในร้านเขายังไม่ได้เรื่อง ต้องนำมาปรับปรุงร้านตัวเองซักหน่อย ลูกค้าที่เคยชิมร้านเจ้าเก่ามา ก็เห็นว่าร้านอื่นก็มี ความอยากลองก็มีครับ ลองร้านนั้นที ร้านนี้ที เจ้าของร้านบางรายก็ยังเอาข้าวหมูแดงของร้านตัวเองมาให้ร้านเจ้าเก่านี้ชิมด้วย และถามเจ้าของร้านเก่านี้ว่า อร่อยไม๊ ตรงไหนไม่อร่อยช่วยบอกหน่อย แล้วบะหมี่นี่ร้านเธอไปซื้อที่ไหนมา ใครสอน ผมอยากจะถามว่า เจ้าของร้านเก่าแก่คนี้จะบอกหรือครับ...เช่นกัน ความลับในการตรวจพระพิมพ์ ความรู้ในพระพิมพ์ที่เกี่ยวข้อง คณะเราคงไม่บอก หรือแจ้งทุกเรื่อง เพราะคนฉวยโอกาสจากจุดนี้มาก จึงกลายเป็นว่าหวงไป และหากอยากทราบข้อมูลจริงๆ ก็เลยกลายเป็นว่า หมั่นเข้ามาพูดคุยกันบ่อยๆ สนับสนุนงานของคณะเราบ่อยๆ เรียกว่าเคยทำบุญกันมา จนรู้จักนิสัยใจคอกันดีมากๆ เมื่อนั้นโอกาสเปิดจะได้ทราบทุกเรื่องที่อยากทราบ ได้รู้ทุกเรื่องที่อยากรู้ พาไปพบบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการจัดสร้างพระพิมพ์เหล่านั้น บอกเล่าความเป็นมาต่างๆ เรียกว่าได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู ได้สัมผัสกับใจเหล่านี้คือความไว้วางใจที่หากคณะเราไว้วางใจ จะได้รับ package แบบนี้แน่นอนครับ...

    พระสมเด็จกลักไม้ขีดมีจำนวนหนึ่งอยู่ในคณะเรา และบก.หนังสือพระเครื่องบางท่านรวมประมาณ ๘๐% ครับ รู้จักค่าหน้าค่าตากันดี อีก ๒๐% ต้องไปวัดดวงกันครับ เพราะคณะเราไม่ทราบว่าไปอยู่กับใครบ้าง การให้ความเห็นในส่วนของกระทู้อื่น จึงของดออกความเห็นครับ เช่นดังที่ลูกค้านำข้าวหมูแดงร้านอื่นมาให้เราชิม แล้วบอกว่า อร่อยไม๊ จะขายได้ไม๊ เป็นมารยาทครับที่จะบอกว่าไม่อร่อย หรืออร่อย ร้านเราก็ยังมีอะไรทำมากมายอยู่แล้ว จะไปเที่ยวชิมของร้านนั้นร้านนี้ เราคงไม่ทำ ไม่มีเวลาขนาดนั้น เอาเป็นว่าร้านเรานำข้าวหมูแดงที่อร่อยสุดมาให้ทานกัน แต่ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกทานครับว่าจะทานหรือไม่ บางท่านเลือกจากคุณภาพ ไม่เกี่ยงราคา ลูกค้าบางท่านดูราคาก่อนว่าข้าวหมูแดงร้านเราแพง งั้นไปร้านข้างๆดีกว่า แบบนี้ก็มีครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ร้านขายข้าวหมูแดงเราไม่ไปลดราคาขายแข่งกับร้านอื่นเขา หากอยากให้ร้านอื่นเขาขายดีขึ้น เรายิ่งต้องเพิ่มราคาขายของเราให้สูงขึ้นครับ กลับกันหากเราอยากให้ร้านเขาเจ๊ง เราก็ลดราคาต่ำกว่าทุนมากๆ ใครทนได้ทนไป ไม่นานร้านเล็กๆเหล่านี้ ก็ต้องปิดกิจการไปเป็นธรรมดา ผมนำกรณีคุยกับคุณหนุ่มว่า ต้องอย่าไปแข่งกับชาวบ้านเขา เขายิ่งลด เรากลับต้องยิ่งเพิ่มราคาให้สูงไว้ ถึงสูงมาก เพราะอยากให้เขาได้ขายได้มาก ด้วย และเราต้องการรักษาของเราให้มากไว้รอลูกหลานรุ่นต่อไปได้ครอบครองเป็นเจ้าของกัน...นี่คือแนวคิดของผม ไม่ใช่ของคณะ...

    ข้อนี้ ขอตอบแทนคุณหนุ่ม ว่าคณะเราไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณวิเชียร การบูชาพระหลวงพ่อเงิน ๕ องค์นั้นก็เป็นสิทธิ์ของเพื่อนๆในกลุ่ม ดีซะอีกครับที่ไปช่วยกันทำบุญกับเขาบ้าง หรืออาจเป็นเพราะเขาศรัทธาหลวงพ่อเงิน ในฐานะที่เป็นศิษย์นอกดงองค์หนึ่งของพระโลกอุดร...

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2007
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอบคุณครับ เอ ที่ชอบ เออ!!!! ว่าแต่เอชอบข้าวหมูแดงร้านเราไม๊เอ่ย และรับไปแล้วกี่จานครับ...

    จริงๆว่าจะทำข้าวหมูแดงไว้ 2 สูตรนะครับ สูตรแรกแบบที่ได้ชิมกันข้างต้น อีกสูตรหนึ่งคนทานต้องทนทานกัน เพราะความอร่อยอยู่ที่โคนลิ้น ต้องเจาะลึกลงไปว่า ลูกค้าเกิดอยากทราบว่าหมูที่ร้านเราเอามาทำขายนี่ เป็นหมูมาจากไหน พันธุ์อะไร อายุเท่าไหร่ สะอาดไม๊ มีโรคภัยอะไรมาก่อนจะเสริฟให้เราทานหรือเปล่าทำนองนี้นะครับ...เราเชื่อว่าเราทราบประวัติที่มาของหมูนี้แน่ครับ ดังนั้นความปลอดภัยกับผู้บริโภคจึงมาเป็นอันดับ 1 คำถามเดียวกันถามร้านขายข้าวหมูแดงร้านอื่น เขาอาจจะไม่อยากตอบ เพราะไม่ทราบที่มาจริงๆก็เป็นได้ หรือทราบแต่เพียงบางส่วน เช่นไม่ทราบว่าเป็นโรคตายมาก่อน เหล่านี้เป็นต้นครับ เหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่มาทานด้วยว่าเขาดูอะไรเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ บางท่านดูป้าย clean food good taste บางท่านดูจากปริมาณที่เข้าร้าน บางท่านดูป้ายราคา บางท่านดูภาพบนเมนู เราลองสังเกตตอนที่เกิดโรคไข้หวัดนกระบาด คนต่างกลัวไก่กัน ร้านขายอาหารจำพวกไก่จึงน่าเป็นห่วง ที่อยากทานแล้วไม่กลัวก็มีครับ ถือว่าข้านี่แน่ ภูมิต้านทานสูง แบบนี้ก็มี ที่มีความรู้หน่อย และก็อยากทาน. ก็จะถามที่มาที่ไปของไก่ว่ามาจากไหน ฟาร์มปิด หรือฟาร์มเปิดอะไรทำนองนี้ หากตอบได้ก็เป็นเครดิตของร้านนั้น ลูกค้าเขาวางใจ และมั่นใจว่าเจ้าของร้านรู้จริงนี้ไม่มั่วเขาแน่ หากตอบไม่ได้ลูกค้าประเภทนี้ก็ขาดความมั่นใจถึงความปลอดภัยของเขา อาจจะเลิกรากับร้านค้าประเภทนี้ได้ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2007
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>ข้อความส่วนตัว: โอนเงินร่วมบูชาสร้างเจดีย์</TD></TR></TBODY></TABLE><!-- post # --><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 03:29 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: 0px; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: 0px" width=175>Vodka109<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:28 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2007
    ข้อความ: 1 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 2 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนาบุญ 6 ครั้ง ใน [ARG:2 UNDEFINED] โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->โอนเงินร่วมบูชาสร้างเจดีย์
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมโอนเงินไปวันที่ 27-9-07 เวลา 13.55 Locat. 4387 SEQ.9794 จำนวนเงิน 1800 บาท เป็นพระพิมพ์ชุดพิเศษ 2 องค์ปัจศิริ 1300 บาท และองค์พระบรมไตรโลก ในพระพิมพ์ชุดพิเศษ 3
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โมทนาสาธุครับ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...