{[พระสายหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง}]แบ่งให้ผู้มีศรัทธาได้บูชาครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekpra, 18 ตุลาคม 2010.

  1. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    ปฐมกำเนิด "พระพุทธมหาจักรพรรดิตราธิราช"แห่งวัดพระพุทธบาทสี่รอย
    เพราะ เหตุที่โดยนิสสัยวาสนาส่วนตัวของ"พุทธวงศ์" ที่เป็นมาแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่จำความได้ประการหนึ่งนั้นก็คือ จะมีความ"เครซี่"ชมชอบกับ “ความสวยความงามที่ละเอียดประณีตวิจิตรอลังการ”ในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเป็นที่ ยิ่ง
    วัตถุยิ่งละเอียด ยิ่งประณีต ยิ่งอลังการเท่าไร ยิ่งชอบ ยิ่งคลั่งไคล้ ยิ่งหลงใหลมากขึ้นไปเพียงนั้น
    และจิตใจ ก็จะยิ่งสงบเย็นไปตามกันอีกด้วย
    “วัตถุ” ก็ต้องสวย ต้องงาม ต้องละเอียด ต้องประณีต ต้องดี เป็นที่เจริญตา“คน”(ไม่ว่าโยมหรือพระ) ก็ต้องสุภาพ เรียบร้อย เป็นผู้ดีถึง “เนื้อใจ” (ดีโดยเนื้อหา โดยจิตวิญญาณอย่างแท้จริง มิใช่เสแสร้งแกล้งทำใดๆ) จึงจะเป็นที่เจริญใจไปด้วยได้
    แต่ในแง่กลับกัน หากได้พบได้เห็นวัตถุหรือสถานที่และหรือบุคคลที่หยาบ กระด้าง ไม่ละเอียด ไม่ประณีต ไม่อลังการ ไม่แยบคาย ไม่มีรสนิยม หรือราบเรียบง่ายเกินเหตุ ฯลฯ ก็จะเกิด"นิพพิทา" เบื่อโลกเบื่อสงสารอย่างหนัก จนเกิดอาการฟุ้งซ่านอย่างสุดๆ อย่างไม่อาจระงับได้อีกด้วยขึ้นมาในบัดดล..!?!?
    ยิ่งถ้าเจอของ"หยาบ" หรือ"ไม่มีรสนิยม" หรือ"สุนทรียศิลป์"มากๆเข้าเท่าไร ก็แทบอยากจะ"ละสังขาร" หรือ “ใคร่ดับขันธ์”ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียให้ได้เลยนั่นเทียว..!!!!
    นี่ย่อมไม่ได้ดัดจริตแกล้งทำ แต่มันเป็นในจิตในใจในเนื้อในหาของมันเอง
    ด้วย เหตุฉะนี้ ตั้งแต่เด็กแต่เล็กยังไม่เดียงสา ด้วย"นิสสัยเก่า"ดังว่า จึงทำให้มีความคลั่งไคล้กับแสงว๊อบๆแวมๆของ"รัตนชาติ"(เพชรนิลจินดา) อย่างไม่มีอะไรจะเปรียบปาน จนเป็นที่แปลกใจของบรรดาผู้ใหญ่ที่พบเห็นกันถ้วนหน้า
    ยามใดที่ได้เห็น เพชรพลอย เจียระนับเหลี่ยมเกสรสวยๆ ทอประกายระยิบระยับจับตา...หรือทับทิมหลังเบี้ยสีเลือดนกแดงสวยบาดตา เมื่อ ได้ทัศนา ใจแดงจะขาดอยู่รอนๆเสียให้ได้
    จนกาลต่อมา เมื่อได้เจอกับ"รัตนะอันประเสริฐสุด" ยิ่งกว่าแก้วแหวนอื่นใด อันได้แก่"พระรัตนตรัย"อย่างเป็นจริงเป็นจังตอนอายุ 15 ขวบ นิสัยที่ชอบความวิจิตรอลังการที่มีอยู่เดิม ก็หาได้เลือนหายไปไหนไม่
    แต่ได้แตกยอดมีพัฒนาการให้เข้ากันต่อไปอีกอย่างแม้แต่ตนเองก็คาดคิดไม่ถึง
    วัดวา เวียงวังที่ไหนที่มีโบสถ์สวยๆ พระพุทธรูปงามๆ ประณีตๆ "พุทธวงศ์"เป็นต้องไปสิงสถิตย์ชื่นชมความงามได้อย่างมิรู้เบื่อ หน่าย แม้จะอยู่เพียงลำพังคนเดียวอยู่เป็นวันๆก็ตาม...
    รู้สึกรวยรื่นชื่นใจปานประหนึ่งอยู่ใน"บ้านเก่า"ของตัวเองก็ไม่ปาน
    และ ด้วยเหตุดังพรรณามานี้ จึงไม่น่าสงสัยหรือแปลกใจเลย ที่"พระ"ที่โดยส่วนตัวชื่นชอบและเครซี่หลงใหลคลั่งไคล้มาแต่ต้นมากที่สุด ก็ย่อมไม่มีใดเกิน"พระพุทธรูปทรงเครื่อง"ไปได้อีกนั่นแล้ว
    นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง โดยปราศจากการชี้นำหรืออิทธิพลทางความคิดจากท่านผู้ใดทั้งสิ้น
    ด้วย เหตุฉะนี้ เมื่อพอมีเวลาว่างๆ ก็นึกจินตนาการพร้อมกับร่างแบบพระทรงเครื่องในฝันขึ้นมานับจำนวนไม่ได้ แล้วเอาไปให้ครูบาอาจารย์ท่านอธิษฐานจิตเขียนยันต์เขียนธรรมให้เป็นที่ระลึก อยู่บ่อยครั้ง
    โดยรูปพระพุทธทรงเครื่องที่วาดขึ้นเองจากจินตนาการใบหนึ่ง ได้ไปถึงมือของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ซึ่งเป็น"ต้นเรื่อง"ของพระพุทธบาทสี่รอยในยุคกึ่งกลางพุทธศาสนยุกาลในวันหนึ่งจนได้....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  2. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    แท้จริงแล้ว ไม่ได้กะให้หลวงปู่สิมท่านปลุกเสกรูปอะไรหรอก แต่เคยมีดำริว่า อยากจะ"สร้างเหรียญ"หลวงปู่สักรุ่นหนึ่ง เลยร่างแบบเหรียญลงที่หลังรูปพระทรงเครื่องที่ถ่ายเอกสารมาใบนั้น แล้วเอาไปถวายให้หลวงปู่สิมพิจารณา
    แต่ปรากฏว่า หลวงปู่สิมท่านมิได้สนใจในรูปเหรียญที่ร่างถวายเลยแม้สักน้อย แต่ท่านกลับพลิกมาดูรูป"พระทรงเครื่อง"ข้างหน้าอย่างไม่วางตาอยู่ด้วยระยะเวลาอันยาวนานแทนจนเห็นผิดสังเกตไปเสียมิได้
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  3. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    และเมื่อพิจารณา(หรือกำหนดจิตเล็งญาณ??)จนพอสมควรแก่เวลาอย่างยิ่งแล้ว หลวงปู่สิมก็ได้กล่าวชมรูปพระทรงเครื่องแต่เพียงสั้นๆว่า
    "อ่อนช้อยดี"
    ด้วยระยะเวลาอันยาวนานที่หลวงปู่สิมท่านพิจารณารูปพระอยู่นั้น ก็ไม่ทราบเกล้าเหมือนกันว่า หลวง ปู่สิมท่าน ซึ่งปกติมีอุปนิสสัยที่ราบเรียบแต่ลึกซึ้งสุดหยั่งคาด ยากที่ผู้มีปัญญาใดๆจะตามทันให้ถ่องแท้ได้(คำพูดเพียงคำเพียงประโยคสั้นๆที่ ท่านกล่าว บางครั้งกว่าจะรู้ความหมายหรือเกิดขึ้นจริง ก็ผ่านกาลผ่านเวลาไปเป็นเดือนเป็นปีหรือหลายๆปี!?!) จะได้"วางผัง"หรือ"ตั้งโปรแกรม"ในอนาคตอะไรไว้หรือไม่..????
    แต่ เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้เกิดขึ้นก่อนที่หลวงปู่สิมจะดับขันธ์ในพ.ศ. 2535 ก่อนที่"พุทธวงศ์"จะได้ขึ้นไปยังที่วัดพระพุทธบาทสี่รอยตามคำของหลวงปู่สิม และมีวาสนาได้ดำริสร้างพระประธานทรงเครื่องถวายวัดไว้เป็นหลายพระองค์ในกาล ต่อมาอย่างแน่แท้.....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  4. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    ภายหลังจากที่ได้ใช้กลยุทธนานาประการในการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของพระพุทธบาทสี่รอยจนกระทั่ง"ติดลมบน"เรียบร้อย จน"พระพุทธบาทเจ้าทั้งสี่รอย"เป็น ที่รู้จักและยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปเป็นสากล อันเป็นเหตุให้ลาภสักการะทั้งปวงได้หลั่งไหลมาสู่มิขาดสายแล้ว วัดพระพุทธบาทสี่รอย โดยมีครูบาพรชัย ปิยวัณโณเป็นองค์ประธาน จึงได้ดำริสร้างพระอุโบสถหลังแรกในประวัติศาสตร์ 2500 ปีในบวรพระพุทธศาสนาพระสมณโคดมในทันใด อันเป็นเหตุ "พุทธวงศ์"ได้ช่องได้ โอกาสที่จะสร้างบุญญานุสรณ์ครั้งใหญ่ จึงกราบขออนุญาตสร้างพระประธาน 4 พระองค์เพิ่มเติมจากองค์แรกที่ผู้สร้างไว้ล่วงหน้าให้ครบ "5" (นะโมพุทธายะ)เสียเลยทีเดียว.....
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  5. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    และแน่นอนที่สุด ไม่จำต้องพักสงสัย 3 ใน 4 พระพุทธปฏิมาประธานที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่นี้ ล้วนแต่เป็น"พระทรงเครื่อง" ซึ่งอยู่ในความใฝ่ฝันอย่างลึกซึ้งสุดขั้วมาแต่เดิมทั้งสิ้น..!!!!! <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  6. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    และการสร้างพระประธานทรงเครื่องจักรพรรดิถวายวัดพระพุทธบาทสี่รอยในครั้งนั้น อาจที่จะกล่าวได้ว่า เป็นการ"พลิกประวัติศาสตร์"และ"เปิดศักราช"หน้าใหม่ของการสร้างพระพุทธประธานทรงเครื่องหลังปีพ.ศ. 2540 อย่างแท้จริง
    เพราะก่อนหน้านี้ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดที่จะสร้างพระทรงเครื่องออกมาให้ถูกคนทั้งหลายที่ไม่มี"นิสสัย"แขวะหรือนินทาว่า อุตริสร้าง"พระลิเก"อะไรออกมานั่นให้เสียอารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย.!?!?
    สมัยนั้น เขามักว่ามักนินทาพระทรงเครื่องว่า พระลิเกกันจริงๆ...!!!!!
    แม้"พระบูชารัตนะทรงเครื่องจีวรดอก"อะไร วงการพระแต่ก่อนก็แทบไม่เหลือบแล พร้อมหาว่าเป็นพระยี่เกอะไรไปนั่นเลยนั่นเทียว
    หรือว่าไม่จริง..???
    ไม่เหมือนในชั้นหลังๆ ที่หากใครไม่สร้างพระทรงเครื่องแล้ว ก็จะกลายเป็น"ตกยุค"หรือ"ล้าสมัย"ไปเสียนั่น
    คิดๆแล้ว ก็ได้เห็นถึงความ"ไม่เที่ยง"แห่งโลกแห่งสงสารเสียจริงๆ
    ใครที่"เกิดทัน"หรือ"รู้ความ"ในเวลานั้น ย่อมแจ้งใจเป็นอันดีที่สุดเลยว่า ที่กล่าวย้อนอดีตมาดังนี้ เป็นความจริงเพียงใดและหรือไม่..????
    แต่นิสสัยหรือถ้อยคำของคนทั่วไป ย่อมมิใช่สาระที่จะนำมาเป็นเหตุตัดรอนสำหรับ"พุทธวงศ์"ใดๆแน่แท้
    เพราะหากเราไม่กล้า"ลุย"หรือกล้าที่จะ"แตกต่าง" พัฒนาการแห่งสมองและความคิดก็คงจะตีบตันและติดแหง็กอยู่ตรงที่เก่า อันเป็นเหตุให้ต้อง"ก๊อป"ปัญญาของชาวบ้านหรือเทวดาอื่นๆอยู่ร่ำไปอยู่นั่นแล้ว
    ซึ่งการเช่นนั้น โดยส่วนตัวแล้ว ย่อมหาได้เป็นที่พึงใจไม่เลย แม้เพียงสักนิดเดียวจริงๆ..........
    หมายเหตุ , แต่เรื่องจะเกิดขึ้นตรงที่ว่า การใช้"ความคิด"อันวิจิตรอะไรแบบนี้ อาจจะ"ดูดี"มีฝีมือในแง่ทางโลกียะ แต่ในทางโลกุตระแล้ว กลับเป็นตัวขวางการเจริญปัญญาที่ต้อง"รู้ตามที่มันเป็น"อย่างแรง(เฮ้อ ...เฮือก..!?!)
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  7. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    สภาพดั้งเดิมของ "พระพุทธบาทสี่รอย" มาแต่ปฐมกาล ก่อนที่"พระยาธรรมลังกา"เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่จะได้มีพระราชศรัทธาสร้างวิหารครอบทับถวายในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  8. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    หมายเหตุ , ภาพวาดพระพุทธบาทสี่รอยแบบ Original แรกที่สุดนี้ "พุทธวงศ์"ไปพบโดยบังเอิญในพระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม(สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) กรุงเทพมหานคร ซึ่ง ตั้งอยู่เหนือประตูด้านซ้าย หลังองค์พระประธาน เมื่อนานมาแล้ว จึงเป็นการสมควรที่จะได้เผยแพร่ให้เป็นปรากฏไปในสากล ณ โอกาสบัดเดี๋ยวนี้ทีเดียวว่า แท้จริงแล้ว "พระพุทธบาทสี่รอย"นี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นแก่บุคคลทั้งหลายมาแต่โบราณกาลแล้ว และได้ลืมเลือนกันไปในชั้นหลัง จนกระทั่งหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรได้นำมา"เปิด"อีก ครั้งหนึ่งเมื่อปีพ.ศ. 2528 และ"พุทธวงศ์"ก็ได้สนองงานเผยแพร่ต่อด้วยหลักฐานประกอบ ทั้งจากพระไตรปิฏก,เอกสารทางประวัติสาสตร์และคำบอกเล่าจากปวงเหล่าผู้รู้ แจ้งทั้งหลายอย่างแน่นหนามั่นคงที่สุด อย่างที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธว่าไม่จริง ในทุกสื่อและทุกวิธีการมาโดยลำดับ จนเป็นที่ลือชาปรากฏและยอมรับนับถือสักการะบูชาอย่างสนิทใจไปในทศทิศอย่างมิ รู้แล้วตราบเท่าถึงปรัตยุบันนี้......... <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  9. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    ก็แม้ในปัจจุบัน "วัดพระพุทธบาทสี่รอย"จะเต็มไปด้วยรูปวาดหรือรูปหล่อเหมือนของพระเถรานุเถระ ทั้งที่เคยมีและไม่มีประวัติ"ความเกี่ยวเนื่องโดยตรง"กับพระพุทธบาทสี่รอยมาแต่เดิมที่บรรดาศิษยานุศิษย์นำมาถวายจากที่ต่างๆอย่างมากมายเต็มไปหมด
    แต่ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ซึ่งเป็นพระผู้แผ่บุญญาบารมีรองรับพระพุทธบาทสี่รอยจนเป็นที่เชื่อ ถือและยอมรับอย่างสนิทใจของมวลหมู่มหาชนทั่วทั้งแผ่นดินโดยแท้มาตั้งแต่ เบื้องต้น แต่กลับหาได้มีรูปเหมือนหรือรูปถ่ายไปปรากฏที่พระบาทสี่รอยเลยแม้แต่เพียง รูปเดียวองค์เดียว..???
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..???? <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  10. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    สำหรับข้อสงสัยนี้ คำตอบจริงๆก็คือ "ไม่มีหามิได้"
    ในฐานที่เป็นผู้รับสนองงานบุกเบิกเผยแผ่พระพุทธบาทสี่รอยจากหลวงปู่ท่านมาแต่ต้น ย่อมมิยินยอมหรือทอดทิ้งให้หลวงปู่ท่านต้องอยู่ใน"สภาวะแห่งสุญญตา"ไปเปล่าๆ ทั้งๆที่มีผลงานปรากฏอย่างชัดแจ้งที่สุดดังว่าไปได้ง่ายๆแน่ๆ
    เพียงแต่มิได้อยู่ในรูปของ
    "พระสงฆ์"ตามปกตินั่นเอง
    เพียงแค่ Upgrade ให้อยู่ในรูป
    "ร่างทองขององค์พระศาสดา"ในอุโบสถ ที่ทุกๆคน เมื่อกราบไหว้องค์พระพุทธปฏิมาแล้ว ก็ต้อง"โดนหลวงปู่สิม"ไปพร้อมกันด้วยอย่างไม่อาจหลบหลีกหรือเลี่ยงหนีไปทางอื่นได้เสียเลยทีเดียว.!!!!! <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  11. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    โดยเฉพาะ"พระพุทธรูปทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ" องค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ จุดศูนย์กลางพุทธปริมณฑลในอุโบสถ ซึ่งมีที่มาจาก"กระดาษแผ่นเดียว"ที่หลวงปู่สิมชมว่า"อ่อนช้อยดี"ด้วยแล้ว ก็ล้วนบรรจุ"อรหันตธาตุ หลวงปู่สิม"อยู่ภายในองค์พร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุทั้งสิ้น <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  12. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    [​IMG]
     
  13. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    แม้พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องมหาจักรพรรดิคู่บารมีปางห้ามสมุทรอย่าง"พระบาง"ที่หลวงปู่สิมปรารถนาจะให้สร้างก่อน"นิพพาน"ไม่กี่วัน(เรื่องลับนี้ ศิษย์วงในที่เฝ้าอยู่ใกล้ชิดในช่วงท้ายที่สุดจึงจะทราบ) ก็บรรจุอรหันตธาตุของหลวงปู่สิมด้วยเช่นกัน <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  14. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    ด้วยเหตุนี้ "พระยืนทรงเครื่องปางห้ามสมุทร"ในอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย โดยนัยหนึ่ง จึงเปรียบเสมือนเป็น"พระค่าคิง"หรือ"พระแทนองค์" (หรือที่มักคุ้นในกรณีอย่างประเพณีกษัตริย์ก็คือ"พระพุทธรูปฉลองพระองค์") ในพระเดชพระคุณหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ แบบเต็มๆไปด้วยประการฉะนี้แลฯ <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  15. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    และขณะที่ทำการอัญเชิญพระ บรมธาตุ,อรหันตธาตุ หลวงปู่สิมลงในผอบทองคำที่วิหารพระพุทธบาทสี่รอยก่อนอัญเชิญลงในองค์พระ พุทธปฏิมามหาจักรพรรดิทั้งสิ้นนั้น ก็ปรากฏ"แสงปาฏิหาริย์"เป็นดวงสว่างสีรุ้งบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลันใกล้ๆกันนั่นเอง <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  16. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    [​IMG]
     
  17. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    "พระที่จะสร้างให้หลวงปู่ ให้เอาแบบพระบางน๊ะ..!!!!"

    คำสั่งสุดท้ายของหลวงปู่สิมก่อนมรณภาพไม่กี่วัน
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
     
  18. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชกับพระพุทธบาทสี่รอย

    แต่เดิม คงจะมีน้อยคนนักที่จะล่วงรู้เรื่องนี้ได้ เพราะเป็นการภายในที่บุคคลภายนอกไม่อาจล่วงล้ำ จนกระทั่งได้มีคณะศิษย์รุ่นเด็กในหลวงปู่สิม(มีอยู่ 2 คนคือพี่สุเมธ โสฬส การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและ”พุทธวงศ์”)เมื่อทราบเรื่องความมีอยู่และ ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของพระพุทธบาทสี่รอย ก็เกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะพลิกฟื้นพระพุทธบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าให้ลือชาปรากฏสมดังที่องค์พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าได้เคยทรงมีพระ พุทธพยากรณ์ไว้ในตำนานว่า"ต่อไปเบื้องหน้า พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้จะปรากฏแก่มนุษย์และเทวดาอีกครั้งในยุคกึ่งกลางพุทธศาสนสมัยเป็นแน่แท้"เป็นเหตุใหญ่

    โดยในชั้นแรก หากจะดำเนินการเองโดยอิสระวิสัยในนามศิษย์หลวงปู่สิม ก็ย่อมทำได้อยู่
    เพราะบารมีของหลวงปู่ท่าน ก็แก่กล้าพอที่จะรองรับงานใหญ่นี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
    แต่เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สุดทางฝ่ายคณะสงฆ์ อีกทั้งยังเป็นที่คุ้นเคยนับถือในหลวงปู่สิมมาแต่แรก และยังเป็นที่เคารพสักการะโดยส่วนตัวแห่ง”พุทธวงศ์”เองมาแต่เริ่ม คณะศิษย์รุ่นเล็กในหลวงปู่สิมจึงได้คิดอ่านทำหนังสือกราบทูลอาราธนานิมนต์ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชให้ทรงเป็น"หลักชัย"ในการบูรณะวัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งในเวลานั้น ชำรุดอ้างว้างร้างโรยบนยอดเขาสูงกลางป่าลึกเป็นอย่างยิ่ง
    โดย"พุทธวงศ์"เป็นคนร่างต้นฉบับ ทาง"พี่ สุเมธ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต"เป็นผู้พิมพ์และออกหน้านำหนังสือนี้ไปถวายกับพระหัตถ์ สมเด็จพระญาณสังวร ตอนที่เป็นสมเด็จพระสังฆราชใหม่ๆด้วยกัน ข้างๆตำหนักคอยท่าปราโมช คณะเหลืองรังสี วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อปีพ.ศ. 2532
    จำ ได้ว่า ตอนนั้น ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชกำลังจะเสด็จออกไปกิจภายนอก จึงได้แต่รับหนังสือไว้ขณะทรงพระดำเนินลงจากพระตำหนักพร้อมกับมีรับสั่ง สั้นๆแต่เพียงว่า
    “จะขอรับเรื่องไว้พิจารณาก่อน
    ต่อ มาหลังจากนั้น ประมาณอาทิตย์หนึ่ง “พุทธวงศ์”มีโอกาสได้เข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชที่วัดบวรนิเวศวิหารอีกครั้ง จึงได้ขอโอกาสกราบทูลถามพระองค์ท่านทีเดียวว่า
    “ตาม ที่คณะศิษย์หลวงปู่สิมได้ถวายหนังสือเพื่อกราบอาราธนานิมนต์ใต้ฝ่าพระบาท เป็นองค์ประธานเป็นหลักชัยในการบูรณะวัดพระพุทธบาทสี่รอยนั้น ใต้ฝ่าพระบาทได้ทรงพิจารณาแล้วเห็นควรเป็นประการใดฤากระหม่อม..
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชจึงมีพระดำรัสตรัสออกมาทีเดียวว่า
    “ได้ อ่านหนังสือนั้นแล้ว อาตมาได้เคยทราบเรื่องของพระพุทธบาทสี่รอยมาอยู่เหมือนกัน แต่อาตมาไม่สะดวกที่จะออกหน้าในเรื่องนี้ ถ้าอย่างไร ให้พระธรรมดิลก(จันทร์ กุสโล วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่)หรือหลวงปู่สิม (สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่)ช่วยดำเนินการเรื่องบูรณะวัดพระพุทธบาทสี่รอยนี้แทนก็แล้วกัน นะ....” “รับด้วยเกล้าขอรับกระหม่อม”
    และเพื่อสืบสนองพระบัญชาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชที่ได้ทรงมีออกมาดังกล่าว คณะศิษย์รุ่นเล็กในหลวงปู่สิมจึงได้เดินงานต่อในการเผยแพร่พระพุทธบาทสี่รอย มาโดยลำดับด้วยวิเทโศบายต่างๆ โดยอาศัยอริยบารมีของหลวงปู่สิมเป็นหลักใหญ่ ตามควรแก่จริตและอัธยาสัยของผู้คนในสยามและล้านนาประเทศ จนเป็นส่วนหนึ่งแห่งการได้ปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งทศทิศ แห่ง"พระพุทธบาทเจ้าทั้งสี่รอย"สมดังที่ได้ตั้งใจไว้สืบมาตราบเท่าถึงปรัตยุบันวารนี้
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  19. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    พระพุทธปฏิมาที่"พระศรีอาริยเมตไตรย"รับถวายด้วยองค์เอง!?!? พระพุทธมหาธรรมิกราช
    หาก ใครได้มีโอกาสเดินทางไปกราบไหว้สายังพระพุทธบาทสี่รอย ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และได้เลยเข้าไปเยี่ยมชมยังอุโบสถจตุรมุขอันสวยงามวิจิตรและอลังการงานสร้าง มากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตล้านนาประเทศแห่งยุคปัจจุบันนี้ ก็อาจจะสะดุดตากับพระพุทธปฏิมาประธานองค์หนึ่ง ซึ่งมีพุทธสิริลักษณะอันพิเศษไม่เหมือนใคร ก็เป็นได้
    เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนทรงเครื่องใหญ่ประยุกต์ที่งดงาม แลดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
    พระนามของพระพุทธปฎิมาองค์นี้ ก็คือ “พระเจ้ามหาธรรมิกราช” หรือ “พระพุทธมหาธรรมิกราช” (พระพุทธเจ้าทรงเป็นราชาแห่งธรรม) นั่นเอง
    ตั้งใจสถาปนาถวายเป็น “พุทธทาน” คือเป็นมหาทานในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ โดยไม่มีการเจาะจงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นการเฉพาะ
    ต้องประสงค์ให้เป็นของ “กลาง”ในพระศาสนานี้อย่างแท้จริง
    ด้วยเหตุแห่งเจตนา อันได้ตั้งไว้เป็น “ธรรม”อย่างยิ่งเยี่ยงนี้เอง แม้ “พระพุทธมหาธรรมิกราช”เป็น “พระสร้างใหม่” แต่ก็มี “ปาฎิหาริย์”มากเหลือใจ ตั้งแต่เพียงเริ่ม “ดำริ”คิดสร้างโน่นเลยทีเดียว
    และในลำดับขั้นตอนการหล่อการสร้าง ก็มีเหตุแห่งอภินิหารอันลึกล้ำน่าอัศจรรย์ปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ จนจาระไนแทบไม่ถูกถ้วน
    สมควรที่จะ “จารึกไว้ในแผ่นดิน”เป็นมงคลอนุสรณ์สืบไปเป็นอย่างยิ่ง
    สำหรับปฐมเหตุแห่งการสร้าง “พระเจ้ามหาธรรมิกราช”พระองค์นี้ บังเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เนื่องด้วยปีพ.ศ. 2545 มีโยมคณะหนึ่งเอาพระพุทธชินราช ขนาดใหญ่มาถวาย แล้วอ้อนวอนขอให้ประดิษฐานในโบสถ์วัดพระพุทธบาทสี่รอยด้วย
    แม้ครูบาพรชัย เจ้าอาวาสจะบ่ายเบี่ยงอย่างไร เพราะเห็นว่าในโบสถ์ของวัดนั้น มีพระพุทธรูปมากเต็มไปหมดอยู่แล้ว แต่โยมนั้นก็อ้อนวอนจนเจ้าอาวาสใจอ่อน จำต้องรับไว้อย่างไม่รู้จะจัดตั้งอย่างไรให้เหมาะสมที่สุดได้ เลยคิดอ่านว่า จะเอาพระชินราชองค์นี้ ไว้ที่มุขโบสถ์ด้านหนึ่งก็แล้วกัน
    แต่ปัญหาก็ตามมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า หากเอาพระชินราชไปตั้งอีกมุขหนึ่งแล้ว มุขอีกด้านจะทำอย่างไร จึงจะแลดูสวยงาม และบาลานซ์ลงตัว???
    เมื่อมีผู้มาถามด้วยความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า ครูบาพรชัย ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสจะตอบแบบตัดบทหรือหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรืออย่างใด ก็สุดที่จะคาดเดา โดยท่านก็ได้แต่ตอบไปว่า
    “ถึงเวลา ก็จะมีผู้มาขอทำให้เองหรอก...???”
    และในไม่ช้านานนั่นเอง ผู้เขียน(พุทธวงศ์)ก็ได้ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อทอดกฐินในเวลาต่อมา และได้เห็นพระชินราชตั้งอยู่อย่างไม่ลงตัวในโบสถ์ ก็ได้แต่ถามครูบาพรชัยไปว่า
    “มีพระชินราชตั้งอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้ในโบสถ์สวยงามลงตัวที่สุดละครับ??”
    “ก็คงเอาพระชินราชไว้ที่มุขหนึ่ง แล้วต้องหาพระอีกองค์ที่ขนาดเท่าๆกันหรือใกล้เคียงกันมาไว้ที่อีกมุขหนึ่งซึ่งอยุ่ตรงกันข้ามกัน...”
    เมื่อได้ฟัง ก็กราบเรียนท่านไปในทันทีว่า
    “งั้นผมขอรับสร้างพระองค์นี้ก็แล้วกันนะครับ”
    “ได้”
    และนี่เอง ก็คือปฐมเหตุแห่งการสร้างพระเจ้ามหาธรรมิกราช ที่มีเหตุมหัศจรรย์ในลำดับการสร้างมากมายในกาลต่อมา....
    เมื่อได้รับอนุญาตจากครูบาพรชัยให้สร้าง พระประธาน “องค์สุดท้าย”ในอุโบสถได้แล้ว จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ในเมื่อจะทำพระประธาน “ปิดโบสถ์”ทั้งที ก็ควรที่จะทำจะสร้างให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ในใจคิดต่อไปอีกว่า และในการสร้างครั้งนี้ เราจะไม่ “จำลองแบบ”หรือ “ก๊อปปี้”พระพุทธรูปองค์ใดๆในแผ่นดินนี้มาสร้างเป็นอย่างเด็ดขาด
    ชอบแต่สถาปนาให้เป็น “เอกลักษณ์” เฉพาะตัวเฉพาะสถานที่สืบไปในภายหน้า จึงควรแท้
    ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นควรว่า น่าที่จะสร้างเป็น “พระเหนือ”แท้ๆ ในลักษณะที่เป็น “พระเชียงแสนทรงเครื่องใหญ่”จะเป็นการดีที่สุด
    และ “พระนาม”ก็จะต้อง “เป็นเหนือ” และต้องตามคติ “ล้านนา” อีกทั้งต้องมีความหมาย “เป็นกลาง”อย่างยิ่งดังเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งไว้แต่ต้นด้วย
    พระนาม “พระเจ้ามหาธรรมิกราช” หรือ “พระพุทธมหาธรรมิกราช” จึงได้อุบัติขึ้นในบัดเดี๋ยวนั้นโดยทันใด
    และปฏิบัติตามหา"สุดยอดช่างฝีมือ" ก็ได้มีขึ้นอย่างรีบด่วน
    ท้าย สุด ก็มาลงที่ "ช่างเอ็ม" แห่งอ.หางดง จ.เชียงใหม่ ด้วยเงื่อนไขที่"ลงตัว"ทุกประการ ทั้งฝีมือดี,มีมาตรฐาน,อดทนต่อการชี้แนะแก้ไขติติงอย่างสุดขั้วแห่ง"พุทธ วงศ์"ในทุกกระดิกชนิด"สวยไม่แท้"หรือ"ดีไม่จริง"จะไม่มีการ"ปล่อย"ให้ลอยนวล ดำน้ำไปได้เป็นอันเด็ดขาดแม้เพียงสักตารางเซนติเมตรเดียว... ฯลฯ..ฯลฯ..ฯลฯ
    สำหรับปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ครั้งแรกสุด ที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง”พระพุทธมหาธรรมิกราช”นี้ หากจะว่ากันจริงๆแล้ว ก็คงจะเกิดก่อนที่จะได้ลงมือปั้นหุ่นองค์พระอีกนั่นแล้ว
    ”คุณนิด” ภริยา”ช่างเอ็ม” ผู้ปั้นพระพุทธมหาธรรมิกราช ได้เล่าให้ผู้เขียนได้ฟัง ขณะช่วยกัน”แต่งหุ่นพระ”ก่อนวันเททองไม่นานว่า
    ในการสร้างพระแต่ละองค์แต่ละที่นั้น บางครั้ง นิดก็ได้มีนิมิตล่วงหน้าเกี่ยวกับ องค์พระหรือสถานที่ที่จะไปทำไปสร้างนั้นบ้างเหมือนกัน ครั้นลองเอานิมิตนั้น ไปสอบทานกับพระที่อยู่ที่วัดนั้นๆดู ว่านิมิตที่นิดได้เห็นมาล่วงหน้านั้น เป็นของมีจริงหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่า นิมิตนั้นเป็นเรื่องจริงไปก็มาก ก็แปลกดีเหมือนกันนะคะ......
    แล้วในงานสร้างพระพุทธมหาธรรมิกราชองค์นี้เล่า พี่นิดได้มีนิมิตอะไรบ้างหรือไม่ครับ..??? ผมลองถามดูด้วยความอยากรู้
    ก็มีนะคะ คือนิดนิมิตเห็นพระศรีอาริย์เสด็จมาหา ผิวท่านนี้ขาววาววับ มีรัศมีแพรวพราย พร้อมกับทรงเครื่องสวยงามมาก แลดูระยิบระยับไปหมด งามมากๆจนอธิบายไม่ถูก ซึ่งจิตก็บอกตัวเองเลยทีเดียวว่า นี่แหละ คือพระศรีอาริย์... จากนั้นมาไม่นาน พี่ก็ได้รับงานปั้นพระองค์นี้มาเลยทีเดียว....
    ”พระศรีอาริย์” หรือ”พระศรีอริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์”..?????
    ต่อมา เมื่อได้รับอนุญาตจากท่านครูบาพรชัย ปิยวัณโณ เจ้าอาวาส วัดพระพุทธบาทสี่รอย ให้ดำเนินการสร้าง”พระพุทธมหาธรรมิกราช”ได้แล้ว ผู้เขียนก็ได้ไปจุดธูปเทียนอธิษฐานต่อหน้า”พระพุทธบาทสี่รอย” ตามคำสั่งของครูบาเองว่า “ให้ไปอธิษฐานกับพระบาทสี่รอยก่อนเถิด ” สิ่งอันน่าทึ่งก็ได้เกิดในทันใดนั่นเอง
    กล่าวคือ ท่ามกลางฟ้าใสๆ แดดเปรี้ยงๆนั้นเอง ก็กลับมีละอองฝนโปรยปรายลงมาเหมือนหนึ่งเป็นน้ำพระพุทธมนต์ให้เย็นตัวเย็นใจได้เสียเฉยๆอย่างนั้นนั่นแหละ
    ก่อให้เกิดกำลังใจขึ้นมาอีกอย่างไม่มีประมาณว่า งานนี้ แม้จะเป็นการที่ออกจะใหญ่เกินตัว จักต้อง “สำเร็จ”ลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
    ต่อมา...ในช่วงท้ายแห่งการตบแต่งหุ่นพระ พุทธมหาธรรมิกราช ซึ่งขณะนั้น ได้ไปพร้อมกับท่านเจ้าคุณพระโสภณธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ก็ได้พลันเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง โดย”พระพักตร์”ของท่าน ซึ่งแลดูงดงามจับใจในศิลปะแบบล้านนาเชียงใหม่แท้มาแต่เดิมอยู่แล้ว กลับ”เรื่อเรือง”และ”มีน้ำมีนวล” ขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด
    จำได้ติดหูติดตาว่า พระพักตร์ของพระพุทธมหาธรรมิกราชในวินาทีนั้น ช่างผุดผาดผ่องใสอย่างผิดธรรมดา ปานประหนึ่งจะมีชีวิตจิตวิญญาณขึ้นมาจริงๆ อย่างไรก็อย่างนั้นเลยเทียว....
    พร้อมนั้น ก็ได้มีสายฝนโปรยปรายลงมาครู่หนึ่ง เหมือนดังน้ำพุทธมนต์เทพมนต์โปรยปรายลงมาสมโภชให้ก็ไม่ปานในบัดเดี๋ยวนั้นอีกต่างหากด้วย!!!!
    หมายเหตุ , ในช่วงแห่งการสร้างนั้น มักจะถ่ายภาพติด"ดวงลึกลับ" 2 ดวง ลอยคู่กับองค์พระอยู่เสมอๆ ทั้งที่ยังตอนเป็น"หุ่นขี้ผึ้ง"และ"หล่อเสร็จ"แล้ว ไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่านั้นอย่างน่าแปลกใจ ซึ่ง"หน่วยสืบราชการลับทางจิต" บอกแต่เพียงว่า
    "นั่นแหละ เป็นดวงนิมิตของพระพรหมและพระยาอินทราธิราชท่านมาคอยเฝ้าอนุโมทนารักษาอยู่น๊ะ!!??"
    เท่านี้ก็ยังไม่จบสิ้น เพราะในเวลาต่อมา เมื่อช่างได้ทำการ”สาดปูน”ยังหุ่นขี้ผึ้งแห่งพระพุทธมหาธรรมิกราช เพื่อเตรียม”เข้าหุ่น”ก่อนเททอง สิ่งที่ได้ประจักษ์แก่สายตาของทุกผู้คนในบัดเดี๋ยวนั้น ก็พลันอุบัติขึ้นอีกครา
    พระอาทิตย์ได้ทรงกลดขึ้นตรงกลางหัว”ในทันทีทันใดนั่นเอง
    ”แปลกมากจริงๆครับ คุณเนาว์ “ช่างเอ็มบอกแก่ผู้เขียน “พอสาดปูนปุ๊บ พระอาทิตย์นี้ก็ทรงกลดทันที เหลือเชื่อจริงๆ คนที่โรงหล่อเห็นกันหมดทุกคนเลย....”
    แม้อภินิหารจะได้บังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเห็นปานนี้ แต่สิ่งมหัศจรรย์ทั้งปวง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะ”ยุติ”ลงแต่ประการใดทั้งสิ้น
    เพราะในคืนก่อนวันเททอง ขณะที่”สุมหุ่น”อยู่นั่นเอง คราวนี้ ”พระจันทร์ก็ได้ทรงกลด”เหนือปริมณฑลพิธี แข่งกับดวงอาทิตย์บ้าง
    แต่หากพระจันทร์จะ”ทรงกลด”แบบ”ธรรมดา”ก็อาจจะแลดู “จืดชืด”และ”น้อยหน้า”ดวงพระสุริยามากไป
    งานนี้ “จันทรเทพบุตร”ท่านเลยทรงกลดเป็น”สีแดง”สดๆให้เห็นกันเต็มๆไปเลยทีเดียว
    สร้างความทึ่งและตื่นตะลึงแก่นายช่างและคนงานทั้งหมด ที่เตรียมงานอยู่ในพิธีอย่างเหลือที่จะกล่าวได้
    ไม่เคยมีมาก่อนเลย ที่พระจันทร์จะทรงกลดเป็นสีแดงอย่างนี้ แปลกมากจริงๆ..”ช่างเอ็มบอกแก่ผู้เขียนในวันเททอง
    เมื่อได้ฟัง ผู้เขียนก็ได้แต่รำพึงอยู่ในใจคนเดียวว่า
    ”หรือนี่ จะเป็นรัศมีของพระศรีอริยเมตไตรยหรือเปล่านะ..???”
    เหตุที่ว่าเช่นนี้ ก็เพราะนึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยาในตอนหนึ่งได้ว่า
    “ แก้วมณี(ทับทิม) เป็นของคู่บารมีของพระศรีอาริย์”
    ก็”ทับทิม”มี”สีแดง”มิใช่หรือ....???
    แล้วก็การที่พระจันทร์ทรงกลดเป็น”สีแดง” จะหมายความเป็นอื่นว่ากระไรเล่า.????
    น่าคิดจริงๆ.....
    นี่ยังไม่นับ ฝนทิพย์ที่ พระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งได้โปรยปรายลงมาอีกครั้งกลางฟ้าใสๆ(เหมือนเคย) ในตอนบ่ายของวันเดียวกัน คราวที่ผมนำแผ่นชนวนเนื้อเงินแท้ที่หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการามได้เมตตาจารอักขระไปอธิษฐานขอบารมีจากรอยพระพุทธบาทของพระ พุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์โดยตรง อีกต่างหาก
    เหมือนหนึ่ง”พระ”ท่านได้”แสดงสัญญาณ”รับรู้ไว้เรียบร้อยอีกคราครั้งหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้วดังนี้
    ส่วน”เหตุผล”ว่าทำไม งานสร้างพระพุทธมหาธรรมิกราช จึงได้ปรากฏเหตุมหัศจรรย์มากมายนัก จะได้เฉลยในตอนท้ายต่อจากนี้อีกไม่กี่อึดใจแน่นอน
    เมื่อมี”เหตุ” ก็ต้องมี”ผล”
    และเมื่อ”เห็นผล” ก็ย่อมสืบสวนไป”หาเหตุ”ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตาม”เหตุ”และ”ปัจจัย”ที่ถึงพร้อม ทุกประการ
    หาได้เกิดโดย”ลอยๆ”อย่าง”ไร้เหตุหาผลอันใดมิได้”แต่อย่างไรทั้งสิ้นไม่แต่ประการใดๆเลย
    และเมื่อมาถึงวันเททอง ซึ่งได้กำหนดไว้ตรงกับวันแห่ง”พระพุทธศาสนา”หรือวันแห่ง”พระรัตน ตรัย”อาสาฬหบูชา ประจำปีพ.ศ.2546 ในชั้นแรก ได้นิมนต์”พระสายเหนือ” ไว้จำนวนหลายองค์ โดยมีหลวงปู่ครูบาเจ้าดวงดี สุภัทโท วัดท่าจำปี เป็นที่สุด
    แต่พอเอาเข้าจริงๆ ต่างองค์พอรู้กำหนดเวลาเททอง ซึ่งตรงกับเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันอาสาฬหบูชา คราวนี้ต่างองค์ต่างก็ต้องขอ “ถอนองค์”กันไปหมดสิ้น
    เพราะตรงกับเวลา”ลงโบสถ์”ของพระสายล้านนาอย่างพอดิบพอดีนั่นเอง
    สร้างความ”ปั่นป่วน”แก่คณะทำงานพอเรื่อง คิดหาทาง”แก้เกม”กันหัวแทบจะฟูไปตามๆกัน
    แต่โดยส่วนตัวของผม ในชั้นแรก “จิต”ก็ออกจะ”ตก”อยู่เหมือนกัน แต่พอไปๆมาๆ เมื่อมาย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์อภินิหารดังกล่าวที่ผ่านมาได้ จึงค่อยเย็นใจลงพลางบอกกับตัวเองและคนอื่นไปอย่างหน้าตาเฉยแต่มั่นใจแบบสุดๆ ว่า
    ไม่เป็นไร พระเบื้องล่างมาไม่ได้ ก็นิมนต์พระเบื้องบนมาเททองแทนก็แล้วกันนะครับ.....?!?!?
    ก็”ท่าน”อุตส่าห์”ทำให้ดู”อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบเต็มๆเห็นปานนี้ จะไม่ให้พูดให้กล่าวอย่างนั้นไปเสียอย่างไรได้ล่ะครับ..???
    หรือมิใช่..????
    แต่ในใจ ผมก็นึกอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีพระพุทธบาทสี่รอยเป็นที่สุดเสียอีกต่างหากด้วยว่า
    เจ้าประคุณ....งานเททองในครั้งนี้ ขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างหนักๆด้วยเถิด จะได้สิ้นสงสัยกันไปเลยทีเดียวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง และเรื่องราวอภินิหารที่เคยเล่าเคยว่าไปนั้น เป็นของแท้ของจริง ...
    ไม่งั้น กำลังใจของอีกหลายๆคนอาจจะตกวูบจนกู่ไม่กลับไปเลยอย่างแน่ๆ
    แม้ส่วนตัวของผู้เขียน ค่อนข้างจะมั่นใจเต็มร้อยว่า อย่างไรเสีย งานเททองวันนี้จะต้องมีเรื่อง”ไม่ธรรมดา”เกิดขึ้นอย่างแน่ๆก็ตาม แต่ใจหนึ่งก็อดให้”ลุ้นระทึก”ไปเสียมิได้ว่า เรื่องที่ไม่ธรรมดาที่ว่านั้น “พระท่าน”จะแสดงออกมาให้ได้ประจักษ์ในรูปแบบใดกันละนี่..????
    ก่อนฤกษ์เททองพระพุทธมหาธรรมิกราช ที่กำหนดไว้ตายตัวที่ 9.59 นาฬิกา แม้ท้องฟ้าจะมีเมฆบดบังอยู่ทั่วไป แต่ในบางช่วง ก็มี”ลำแสง”ฉายวาบลงมายังปริมณฑลพิธีให้รู้สึกร้อนวาบเป็นระยะๆจนได้ เหมือนหนึ่งเป็นการ”โหมโรง”กลายๆว่า ในไม่ช้านี้ จักได้มีเหตุการณ์”เหนือธรรมชาติ”บังเกิดขึ้นให้ได้ประจักษ์ขึ้นอย่างแน่ๆ
    และสิ่งที่เหนือธรรมดาธรรมชาติ แต่ไม่เหนือความคิดหมาย ก็ได้อุบัติขึ้นมาในช่วงแรกแห่งการเททองจนได้....
    9.59 น.ตรง ขณะที่ทำการเททอง โดยมีพระสงฆ์ 9 รูป จากวัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุต มีท่านพระครูสุวัฒนวรคุณ เจ้าอาวาสเป็นองค์ประธาน ซึ่งได้เมตตา”ผ่าเวลา”มาร่วมงานเป็นกรณีพิเศษสุด(พระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตลงโบสถ์ ตอนบ่าย จึงพอแบ่งเวลามาร่วมอนุโมทนาได้) กำลังเจริญพระพุทธมนต์”ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ซึ่งเป็น”พระสูตรแรก”ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรดปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 จนพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้สำเร็จโสดาปัตติผล ก่อให้เกิดพระอริยสงฆ์องค์แรกในบวรพระพุทธศาสนา ซึ่งหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร พระอริยเจ้าแห่งสำนักถ้ำผาปล่องได้เคยกล่าวสรรเสริญ”พระธรรมจักรฯ”บทนี้ไว้ ว่า”เป็นมงคลมาก” อยู่นั่นเอง ก็ได้มีผู้เห็น”พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่มวลเมฆจะได้ไหลเข้ามาบดบังถึง3ชั้นในไม่ช้า
    อาทิตย์ทรงกลดอีกแล้ว.......
    แถมยังมีเมฆมาแวดล้อมอีกถึง 3ชั้นอีกต่างหากด้วย....
    หรือว่านี่ จะเป็นบุพพนิมิตแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยทั้ง 3 ประการหรืออย่างใดกันเล่า.???
    แต่นั่นก็ยังพอทำเนา
    เพราะสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างใหม่ กำลังจะได้เกิด”ตามติด”ในอีกไม่กี่อึดใจนั่นแล้ว
    และในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีเสียงเอะอะพลางชี้ชวนให้แหงนดูขึ้นไปยังฟากฟ้า ให้แลดูภาพแห่งอภินิหารอันเหลือเชื่อ ที่ได้พลันบังเกิดขึ้นอีกครั้ง............
    ณ.บริเวณใต้ดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆบังจนพร่าเลือน แต่ยังพอเห็นเป็นดวงสว่างอยู่นั่นเอง ก็ปรากฏเป็นเงาเมฆเป็นรูปพญานาคซึ่งปรากฏเป็นลำตัวและหงอนอย่างชัดแจ้ง ชนิดที่เด็กแดงๆแลดูก็รู้ได้อย่างที่ไม่ต้องเดา ลอยละล่องมาจากทิศอันเป็นที่ตั้งของพระพุทธบาทสี่รอยอย่างน่าละลานใจยิ่ง
    และหากจะพิศดูกันให้ละเอียดจริงๆ เมฆรูปพญานาคนั้น มีลักษณะละม้ายแม้นกับพญานาคแบบล้านนา ที่กำลังก่อสร้างวนรอบอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอยอย่างไม่ผิดเพี้ยน...????
    และที่เด็ดขาดและสุดยอดยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ต่อจากพญานาค ก็ปรากฏมหาเมฆรูปรอยพระพุทธบาท ซึ่งปรากฏเป็นรูปฝ่าเท้าพร้อมด้วยนิ้วเท้าอย่างโจ่งแจ้ง ลอยติดตามมาจากทิศอันเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธบาทสี่รอยซ้ำให้อีกต่างหากด้วย..!!!!!!
    สามารถเห็นกันได้ตำหู ตำตาและตำใจกันแบบจะๆไปตามๆกันเลยทีเดียว.....
    ใครที่เคยสงสัยในความมีจริงของอภินิหารใดๆ ก็คงได้แจ้งใจจนสิ้นสงสัยไปตามๆกันในงานนี้เป็นแน่แท้แล้ว
    ครั้นพอเสร็จในการเททองในส่วนของ”องค์ พระ”ในช่วงแรก นายช่างก็เตรียมสุมทองสำหรับเททองหล่อ”ส่วนฐาน”ในช่วงที่สองต่อไป ซึ่งตอนแรกนั้น กะจะใช้เวลาหลอมทองอยู่นานกว่า “3” ชั่วโมง ซึ่งกว่าจะได้เทจริงๆ ก็คงปาเข้าไปบ่ายกว่าๆแน่แท้แล้ว
    ด้วยระยะเวลาที่นานเห็นปานนั้น แต่แรกตัวของผมและคณะทัวร์บุญของพุทธคุณกะว่า จะ”หนีหาย”ไปที่อื่นก่อนแล้วด้วยคิดว่า แค่เททองเฉพาะองค์พระ ก็น่าที่จะพอเพียงแล้ว
    ส่วน”ฐานพระ” ให้ช่างว่าต่อกันเอาเอง ก็คงจะได้......
    แต่ดูเหมือนว่า “พระเบื้องบน”ท่านคงจะ”ไม่ OK”ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
    เหตุมหัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติธรรมดา จึงเกิดขึ้นอีกคราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
    นั่นก็คือ “ทองพระธาตุจังโก๋ ”(โลหะหลักประธานที่ใช้ในการเททองพระพุทธมหาธรรมิกราชในครั้งนี้ ซึ่งได้มาจากแผ่นทองที่หุ้มพระธาตุเจดีย์องค์สำคัญจากดินแดนล้านนาไทยเป็น หลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นทองพระธาตุจังโก๋จากพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่ ,ทองพระธาตุจังโก๋จากพระเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่,ทองพระธาตุจังโก๋จากพระธาตุ วัดเชียงยืน เชียงใหม่,ทองพระธาตุจังโก๋ จากพระธาตุหริภุญชัย ลำพูนฯ และชนวนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆนับเป็นพันๆรายการได้หลอมตัว”ไว”กว่าปกติ จนแม้แต่”ช่างเอ็ม”ก็ยังแปลกใจ
    แปลกมากๆเลยครับ ตอนแรกกะว่า จะต้องใช้เวลาหลอมทองประมาณสัก 3 ชั่วโมง ทองจึงจะสุกได้ที่พร้อมเทได้ แต่นี่ยังไม่ถึง 2 ชั่วโมงดีเลย ทองกลับสุกเรียบร้อยแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ...
    และ
    แม้แต่ทองเบ้าแรก ที่หล่อองค์พระ ก็หลอมละลายไวกว่าธรรมดาเช่นกัน กว่าจะถึงฤกษ์เทจริงๆ ก็ต้องสุมทองจนสุกแล้วสุกอีกถึง 5 ครั้งเลยทีเดียว.....
    ”สงสัยว่า นี่คงจะเป็นพระที่จะไปไว้ในสถานที่ของ”พระเจ้า 5 พระองค์”นี่นา ... หรือว่า พระท่านคงจะมาช่วยกัน”หลอมทอง”องค์ละรอบ จนได้ 5 ครั้งหรอกกระมัง..???” ผมแอบนึกในใจเงียบๆคนเดียว
    ด้วยเหตุฉะนี้ การเททองฐานพระช่วงที่ 2 จึงได้ดำเนินติดต่อกันไปอย่างไม่ติดขัด ภายในฤกษ์ก่อนเที่ยง อันได้เป็นไปตามประเพณีนิยมของพระโบราณาจารย์ล้านนาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน โดยมีท่านครูบาพรชัย ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งลัดคิวที่วัดลงมาร่วมอนุโมทนาเป็นการด่วนที่สุดเป็นองค์ประธานเททอง
    ถ้าจำไม่ผิด ขณะที่เททองช่วงฐานพระ จะเป็นเวลาประมาณ 11.30 น. ซึ่งพระสิทธิพงศ์ สิทธิปัญโญ เจ้าอาวาสวัดร้องขุ้ม(ศิษย์หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋น) อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ได้บอกแก่ผู้เขียนมาล่วงหน้าเช่นกันว่า
    เวลา 11.30 น.นี้ ก็เป็นฤกษ์ที่ดีอีกช่วงหนึ่งนะโยม
    แต่แรก ผมก็มิได้คิดอะไรมาก ด้วยเห็นว่า ในเมื่อเททององค์พระ”เปิดฤกษ์”ไปแล้วตอน 9.59 น. กว่าจะรอทองเบ้าที่สองสุก แล้วข้ามไปเทเอาตอนบ่าย ก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง....
    ฤกษ์ดี ตอน”ห้าโมงครึ่งเช้า” คงเป็นแค่”ความฝัน”ลมๆแล้งๆอย่างไม่ต้องสงสัย
    แต่การณ์ ก็กลับไม่เป็น”แล้งๆลมๆ”เหมือนอย่างที่ทอดอาลัยไว้เลยแม้สักน้อย
    เพราะ”ทอง”กลับหลอมสุกได้ที่ ทันฤกษ์ 11.30 อย่างพอดิบพอดีอย่างเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
    เนื้อ”สุกพร้อมเท”ก่อนเวลาที่ช่างกำหนดถึง”ชั่วโมงกว่า”นั่นเลยเทียว......
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
    และในทันทีที่เททองฐานพระพุทธมหาธรรมิกราชนั่นเอง บนฟากฟ้ากว้างนั้น ก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ซ้ำซ้อนให้ทุกคนได้ประจักษ์อีกวาระหนึ่งอีกจนได้....
    คราวนี้ ท้องฟ้าได้เปิดออกอย่างสิ้นเชิง และพระอาทิตย์ได้ทรงกลดเป็นสีรุ้งอย่างงดงามยิ่ง แลดูแจ้งกระจ่างสว่างไสวครอบคลุมไปทั่วทั้งปริมณฑลพิธีเป็นทุติยวาระในวันวารเดียวอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่ได้แหงนดูปรากฏการณ์เหนือฟ้าในคราครั้งนี้ด้วยความละลานใจอย่างสุดที่จะหาใดมาเปรียบปานได้
    และยิ่งน่าตื่นตะลึงซ้ำซ้อนอีกประการ ก็เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2546 นี้เอง โดยได้มีผู้ใช้กล้องอัตโนมัติ (เล่นเทคนิคพิเศษอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น) จับภาพพระอาทิตย์ทรงกลดในยามนั้นไว้พร้อมกับอีกหลายๆคน โดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า กล้องอันสุดแสนจะธรรมดาตัวนี้ จะมีวาสนา”จับภาพพิเศษ” ของ”พระอาทิตย์ทรงกลด”ที่”ไม่ธรรมดา”แต่น่า”ตะลึงงัน”อย่างที่สุดเอาไว้ได้ อย่างเหลือเชื่อ
    เพราะภาพพระอาทิตย์ทรงกลดนั้น แทนที่จะปรากฏเป็นรูปดวงอาทิตย์มีแสงสีรุ้งวงรอบอย่างราบเรียบตามปกติ เหมือนอย่างที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆทั่วไป แต่งานนี้ กลับปรากฏรัศมีวูบวาบเป็นเส้นสีประกายเพชรอันคมกล้า ฉายฉานออกมาจากดวงพระสุริยาโดยรอบทั้ง 360 องศา ตัดกับกลดที่ล้อมรอบอยู่อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด!!!!!!
    แม้จะได้เคยถ่ายภาพพระอาทิตย์ทรงกลดมาแต่ในกาลก่อน โดยวิธีการเดียวกัน ด้วยกล้องแบบเดียวกัน แต่ก็หาได้ปรากฏ”ประกายรัศมี”วูบวาบเช่นนี้มาก่อนเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว
    นับเป็น”พระ อาทิตย์ทรงกลด”ที่พิเศษสุดยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่จะได้ปรากฏเป็นลำแสงรัศมีนับร้อยนับพันแฉก เปล่งประกายเจิดจรัส ท้าทายต่อทุกสายตาให้มาพิสูจน์กันอย่างจะๆเห็นปานฉะนี้ได้
    เพราะ”ท่านผู้รู้”บางราย เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ถึงกับกล่าวเลยว่า
    นี่หาใช่แสงสีแห่งทวยเทพธรรมดาสามัญไม่ แต่ย่อมเป็นถึงพระฉัพพรรณรังสีแห่งองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยนั่นเทียว.....!!!!”
    และในตอนบ่าย ภายหลังเททองเสร็จสิ้นไปได้ไม่นาน คราวนี้ “ฝน”ก็ได้”กระหน่ำ”ลงมาจนชุ่มโชกไปหมด ปานประหนึ่งทวยเทพเบื้องบนได้หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์ลงมาสมโภชพระพุทธมหาธรรมิกราชก็ไม่ปานเลยทีเดียว
    สำหรับ “ผู้ทรงญาณ”หรือ”ตาใน”แล้ว ย่อมเข้าใจใน”มหาเหตุ”ทั้งปวงอย่างแจ่มแจ้ง พร้อมกับให้อรรถาธิบายมา”ล่วงหน้า”แถมให้ตื่นใจว่า
    ในการสร้างพระพุทธมหาธรรมิกราชครั้ง นี้ ไม่ใช่เป็นการที่เล็กน้อยเลย แต่เป็นงานที่สำคัญยิ่งใหญ่มากๆ เพราะนอกจะการดังกล่าว จะเป็นการเปิดพระพุทธบาทสี่รอยให้ เลื่องลือยิ่งขึ้นไปแล้ว ก็ยังจะเป็นโอกาสให้สรรพชีวิตทั้งหลายได้เพิ่มพูนบุญวาสนาบารมีให้ทวียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย.......
    ไม่เพียงแต่มนุษย์สามัญคนธรรมดาที่จะมาร่วมอนุโมทนาบุญในคราวนี้นะ แต่ยังมีพระโพธิสัตว์มาร่วมอนุโมทนาด้วยอีกเป็นหลายพระองค์ด้วยกัน โดยมีพระศรีอริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์เจ้าเป็นองค์ประธาน.....
    เท่านี้ก็ใช่ว่าจะหมด เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าต่อจากพระศรีอาริย์ก็ดี พร้อมด้วยพระสาวกของท่านเหล่านั้นก็ตาม ต่างก็ล้วนมาอนุโมทนาสาธุการร่วมบุญในการสร้างพระพุทธมหาธรรมิกราชในคราวนี้ โดยทั่วกันอีกด้วย ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอันใดเลย ที่ว่า ทำไมในลำดับการสร้างพระพุทธมหาธรรมิกราชนี้ จึงได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์มากมายนักหนาดังว่านี้ได้.....
    งานนี้ พระเจ้าหมื่นตนแสนตนเสด็จมาเต็มฟ้าไปหมด แม้ทั้งหลวงปู่ทวด, ครูบาเจ้าศรีวิไชย ,หลวงปู่มั่น ,ครูบาขาวปี ครูบาอิน หลวงปู่สิม,หลวงปู่ตื้อ,ครูบาเจ้าบุญปั๋น หรือแม้แต่พระอรหันต์สมัยพุทธกาลก็มากันทั้งหมด ในตอนที่พระอาทิตย์ทรงกลดทั้งสองคราวนั้นแหละ....
    หรือบางท่านที่ภาวนาดี ก็เห็นพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์พร้อมทั้งพระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์เสด็จมาร่วมเป็นสักขีพยานในมหาพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เหนือฟ้าดังกล่าวนี้ด้วย โดยมีพระอรหันตสาวกนับจำนวนไม่ได้แวดล้อมแน่นขนัดไปหมดทีเดียว.......
    และเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ก็อาจจะมีบางคนบางท่านสงสัยว่า ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ "ฝันในฝัน"หรือ"ว่าไปเรื่อย"เอาเองหรือเปล่า..???
    ก็เพราะ"กลัว"คำพูดคำสงสัยอย่างนี้แหละครับ "พุทธวงศ์"จึงได้แต่นึกปรารภกับเทวดาฟ้าดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ในใจเงียบๆอยู่เป็นหลายวาระทีเดียวว่า
    "ไหนๆ หากเทวดาฟ้าดินจะคิด"ทำฤทธิ์"แล้ว ก็ขออย่าทำแบบ"เปล่าๆ" เฉพาะให้ผมคนเห็นคนเดียวหรือให้แต่คนมีตาในรู้เห็นแต่เพียงอย่างเดียวเท่า นั้นสิครับ...
    แต่ขอให้ทำให้ปรากฏเป็น"รูปธรรม"ให้คนทั้งปวงได้เห็นด้วยกายเนื้ออย่างปฏิเสธมิได้ด้วย จึงจะดีและเป็นการประเสริฐกว่าเป็นไหนๆ
    ก็หากว่าไม่ทำอะไรให้ปรากฏเป็นหลักฐานพยานที่พิสูจน์ได้แล้ว ใครเขาจะเชื่อ..???
    พระ คำในพระศาสนาที่พระท่านสอนแทบเป็นแทบตาย คนทั่วไปก็คงดูถูกดูหมิ่นประมาทว่า เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ว่าไปเรื่อย ฝันกันเองเป็นอย่างแน่...
    เทวดาฟ้าดินจะปล่อยให้การณ์เป็นเช่นนั้นได้ลงคอเชียวล่ะหรือขอรับ..?????"
    "พุทธวงศ์"เคยกินดีหมีดีเสือนึกบ่นนึกตัดพ้อ"ฟ้าดิน"มาแบบนี้หลายรอบแล้วจริงๆ!!!!!
    และแล้วในที่สุด การสถาปนาและการถวายพระพุทธปฏิมา”พระพุทธมหาธรรมิกราช”หรือ ”พระเจ้ามหาธรรมิกราช”(ศัพท์ล้านนาแท้ ตามที่จารึกไว้ที่ฐานชั้นปากแลขององค์พระ) ที่ได้สถาปนาเป็นพระพุทธปฏิมาประธานองค์พิเศษองค์สุดท้าย สำหรับประดิษฐานเป็นที่ไหว้สาสักการะในอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ก็ได้สำเร็จลุล่วงไปอย่างสวยสดงดงามและสมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อเวลา 12.49 น. ของวันเสาร์ที่ 10 มกราคม พุทธศาสนยุกาลล่วงได้ 2547 พระวัสสาที่ผ่านมา ท่ามกลาง”ปาฏิหาริย์”ปิดท้ายที่ปรากฏกัน”กลางฟ้า กลางหาว”ให้ทุกๆคน ที่ไม่ว่าจะ”รู้ตัว”และ”รู้ทัน”หรือไม่ ต่างได้ประสพพบพานจน”เย็นตัวเย็นใจ”ไปตามๆกันเลยทีเดียว......
    นั่นคือในทันทีที่ได้มีการจุดธูปเทียนบูชารอยพระพุทธบาทเจ้าทั้งสี่ ก่อนที่จะได้ข้ามไปประกอบพิธีถวายพระที่อุโบสถนั้น “เมฆลึกลับ”ที่ไหนไม่รู้ก็ได้ลอยเข้ามาบดบังแสงพระอาทิตย์ที่เริ่มทอแสง แรงกล้าอย่างร้อนแรงจนร่มรื่นไปทั่ว เหมือนให้ทุกๆคนได้มีโอกาสสงบจิตบูชาพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าได้อย่างเยือกเย็นเป็นสุขที่สุดก็มิปานฉะนั้น...........
    ในตอนแรกๆ ผู้เขียนก็มิได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นเมฆกลางฟ้าที่ลอยไปลอยมาตามธรรมชาติ และบังเอิญลอยมา”บังแดด”ให้พอดีตอนที่จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธบาทสี่ รอย.......
    ก็เท่านั้น........................
    แต่เรื่องที่”แปลกประหลาด”และ”ผิด ธรรมชาติ”อย่างยิ่งก็คือว่า “เมฆลึกลับ”ก้อนนั้น กลับลอยวนนิ่ง”อยู่กับที่” เหนืออุโบสถจตุรมุขที่ประดิษฐาน”พระเจ้ามหาธรรมิกราช”และวิหารที่ประดิษฐาน” พระพุทธบาทสี่รอย” ไม่ยอมลอยหนีจากไปไหนเหมือนมีอะไรมา”ตรึง”ไว้ก็มิปาน......
    วินาทีแล้ว วินาทีเล่า.........
    นาทีแล้ว นาทีเล่า..............
    จนเนิ่นนานนับด้วยชั่วโมง อันดูเหมือนจะเนิ่นนานดุจชั่วกัปชั่วกัลป์..............
    “เมฆลึกลับ”นั้นก็ยังคง ไม่ลอยจากไปไหน
    แต่ยังคงหมุนวนลอย”กั้นแดด”ให้อยู่ ณ.ที่ตรงนั้นอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆอย่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด
    สุดท้าย เมื่อแน่ใจแล้วว่า เรื่องๆนี้หาใช่เป็นกรณีสามัญไม่ ผมจึงต้องถึงแก่สะกิดให้”หน่วยสืบราชการลับ”(ต่างมิติ)จากหลายแห่งแหล่งที่ ที่ล้วนรู้ซึ้งด้วย”ญาณสมาธิ”เป็นอย่างดีที่สุดว่า อัน”พระพุทธมหาธรรมิกราช”พระองค์นี้ มีความสำคัญยิ่งใหญ่สูงสุดถึงเพียงไหน???ที่ต่างพากันขึ้นไปร่วมพิธีถวายกัน อย่างพร้อมเพรียงกันให้ดูเมฆประหลาดที่ลอยบังแดดให้เยือกเย็นทั่วทั้งผืนดิน ผืนน้ำในเขตพระพุทธบาทเจ้าทั้งสี่รอยทั่วไปหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็พูดแบบยิ้มๆพร้อมให้อรรถาธิบายว่า
    “นั่นแหละ.......เทพเทวดามากันแน่น เต็มท้องฟ้าไปหมดแล้วนะครับ..??!!!??”
    และ...
    “แม้แต่พระอมรินทราธิราช(พระอินทร์) ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ทั้งหกชั้น ก็ได้มาคอยกั้นกลดถวายแด่องค์พระพุทธมหาธรรมิกราชด้วยพระองค์เองเลยที เดียว..!!!!!”
    หรือว่าเมฆที่ลอยกั้นแดดเหนือฟ้าในตอนนั้น คือนิมิตแห่ง”กลดพระอินทร์”แล้วจริงๆ????
    ต่อเมื่อทุกคนได้เข้าไปสู่อุโบสถ และ ครูบาพรชัย ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอยได้กล่าวชุมนุมเทวดาและเริ่มสวดบทไตรสรณาคมน์ อยู่นั้นเอง “ฟ้า”ก็ได้”เปิด”ออก ด้วยมหาเมฆได้คลายตัวจากการบังในฉับพลันทันใด
    แสงแห่งดวงพระสุริยาอันเจิดจ้า ที่ปานประหนึ่งเป็นพระพุทธรังสีแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลาย ก็ทอแสงเจิดจ้าลอดผ่านรัตนบัญชรแห่งอุโปสถาคารอันงามวิจิตรลงทาทาบยังพระ ปฤษฏางค์เบื้องหลังแห่งองค์พระพุทธปฏิมามหาธรรมิกราชในบัดเดี๋ยวนั้น แลดูสว่างไสวรุ่งเรืองยิ่งไปทั่วทั้งบริเวณในฉับพลันทันใด....

    เพราะ ในวินาทีแห่งการประเคนด้ายสายสิญจน์แด่ครูบาพรชัยเพื่อน้อม”ถวาย”พระเจ้ามหา ธรรมิกราช” (ในทางโลก)ที่ได้ตั้งใจแต่แรกเริ่มให้เป็น”พุทธทาน” (ทานที่ถวายในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ด้วยความเป็น
    ”กลาง”อย่างที่สุด ไม่การเจาะจงองค์ใดๆ เหตุการณ์ทาง”โลกทิพย์”ที่”หน่วยสืบราชการลับ”ได้ประจักษ์แก่”ญาณรู้”ต่อหน้าต่อตาก็คือ
    “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาทรงอนุโมทนามากมาย เต็มไปหมดจนเหลือที่จะประมาณได้ โดยพระพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นทรงรับก่อน จากนั้นก็ทรงส่งให้พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆทรงรับต่อๆกันไปจนทั่วกันทุก พระองค์.......”
    “ไม่เพียงเท่านั้น เพราะแม้แต่พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระองค์สุดท้ายในมหาภัทรกัปนี้ก็ได้ทรงรับ อนุโมทนาต่อจากพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย และยังได้ส่งต่อไปถึงพระมหาโพธิสัตว์ในอนาคตวงศ์จนถ้วนทั่วทุกพระองค์อีก ด้วย ไม่เว้นแม้แต่พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์(เจ้าแม่กวนอิม) ตลอดจนพระโพธิสัตว์ฝ่ายจีนฝ่ายธิเบต ก็เสด็จมาจนหมดสิ้น โดยมีพรหมเทพทุกสวรรค์ชั้นฟ้ามาร่วมอนุโมทนาอย่างท่วมท้นหาที่สุดมิได้ “
    “ส่วนพระฝ่ายไทยนั้น ก็มาร่วมอนุโมทนากันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี),หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด, ครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทย,พระครูเทพโลกอุดร,หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต,หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค, เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก) ,หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี,หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง,หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ถ้ำผาปล่อง,หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม .............ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ”
    แบบว่า มามากกว่ามากจนละลานตาไปหมด ชนิดที่ว่ากันไม่ถูก กล่าวกันไม่ถ้วนได้เลยทีเดียว
    และนี่ ก็เป็นการ”เล่า”ไปตามคำกล่าวที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่ ได้ผ่านการ”พิสูจน์”ถึงความ”แม่นยำ”อย่างน้อย 3 ท่านได้ประจักษ์เห็นด้วย”ตาใน”อย่างสอดคล้องต้องกันโดยที่มิได้นัดหมายมา ก่อนเพียงเท่านั้นแล้ว....
    แต่....ต่อให้ไม่มีคำบอกเล่าในส่วนแห่ง”โลก ทิพย์”ผ่านท่านผู้รู้ผู้เห็นดังว่า แต่บรรดามหาปาฏิหาริย์อันแปลกระหลาดและพิศดารเหลือเชื่อทั้งหลายทั้งปวง นับแต่แรกสถาปนามาอันสามารถเห็นได้กับตา ยลยินได้กับหู และแจ้งใจได้ด้วยจิต ผ่านสื่อแห่ง”กายเนื้อ”ของสามัญมนุษย์เฉกเช่นเราๆท่านๆ โดยมีผู้เขียนเป็นที่สุดนับแต่แรกเริ่มเดิมทีมา ก็ช่างเหลือล้นพ้นประมาณอย่างที่สุดจนเกินที่จะคาดจะหมายได้นั้น ก็น่าที่จะเป็นเครื่องยืนยันถึงความ”มีจริง”แห่ง พระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ ตลอดจนอิทธิฤทธิ์ของบุญกุศลและเทพพรหมทั้งหลาย ว่าเป็นของที่มีจริงและเป็นจริงไปได้อย่างสิ้นสงสัยโดยแท้แล้ว
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  20. pom_chaovarit

    pom_chaovarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3,805
    ค่าพลัง:
    +9,776
    และที่สำคัญและพิเศษที่สุด ก็คือยังได้มีอีก”หลัก ฐานพยาน”ที่สำคัญล่าสุดอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแสดงให้เป็นที่แจ้งตาแจ้งใจทั่วกันว่า การสร้าง”พระเจ้ามหาธรรมิกราช”นี้ อยู่ในสายตาและสายบารมีแห่ง”พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้า” ซึ่งเป็นศูนย์รวมสรรพกำลังแห่งมหาอนาคตวงศ์ในภายภาคหน้าและปวงเหล่าพรหมเทพ”เบื้อง บนมาตั้งแต่ต้นจนกาลอวสานแห่งการสถาปนาอย่างแท้จริง ก็เห็นจะเป็นตอนที่อัญเชิญพระเจ้ามหาธรรมิกราชขึ้นประดิษฐานในอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอยเมื่อย่ำค่ำของวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 นั่นแหละครับ
    โดยในชั้นแรก วันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมิกราชจากโรงหล่อขึ้นสู่วัดพระพุทธบาทสี่รอยนั้น "พุทธวงศ์"พร้อมด้วยผองเพื่อนอีก 3-4 คน คิดสะระตะกันเอาเองว่า ถ้าไม่มีใครมาช่วย ก็จะช่วยกันยกองค์พระซึ่งมีน้ำหนักถึง 1.5 ตัน ขึ้นโบสถ์กันตามลำพัง
    หมายเหตุ, ตอนแรกคิดว่า คงจะไม่ครนามือสักเท่าไร แต่ถ้าเอากันจริงๆ ก็ไม่มีทางไหวอย่างแน่ๆอยู่แล้ว
    แต่ เมื่อไปถึงที่วัดจริงๆ ก็พบมีพระมีโยมมารวมตัวกันอยู่มากมายราว 20-30 คนโดยที่ไม่ได้นัดหมายมาก่อน ต่างก็ยินดีอนุโมทนามาช่วยกันยกองค์พระและฐานเข้าไปในโบสถ์อย่างเรียบร้อย ทำให้ผมและคณะต่างนั่งหัวเราะกันเองว่า ขนาดคนนับสิบพร้อมรถเครน เมื่อจะยกพระก็ยังเป็นการที่ลำบากหนักหนาสาหัสแทบ ตาย สาอะไรกับคน 3-4 คน ริอ่านจะยกพระหนักเป็นตันๆเข้าโบสถ์ด้วยลำพังมือเปล่าๆเท่านั้น????
    เพราะในทันทีที่อัญเชิญพระขึ้นยังแท่นแก้ว และ เจ้าอาวาสวัดไทยในฮ่องกง ประเทศจีน ซึ่งตอนนั้นได้เดินทางมากราบพระพุทธบาทสี่รอยอยู่ได้สวมพระมหามงกุฏแห่งบรม จักรพรรดิถวายเสร็จในท่ามกลางความมืดต้นฤดูหนาว หนึ่งเดียวแห่งรูปถ่ายที่เสี่ยงถ่ายไว้โดยไม่ทราบผลว่าจะเป็นอย่างไร(เพราะ มืดเกินจนหาจุดโฟกัสไม่เจอ)ที่เก็บภาพประวัติศาสตร์ตอนสำคัญนั้นไว้ได้ ก็จับภาพ”แสงปาฏิหาริย์”อันเหนือโลกไว้ได้อีกคำรบหนึ่ง..???!!!
    โดยปรากฏเป็น รูป”พระขรรค์”กำลังทอแสงสว่างเจิดจ้า เปล่งรัศมีเป็นประกายจับตาเรืองรองอยู่ต่อเบื้องหน้าองค์พระเจ้ามหาธรรมิก ราชไว้ได้ในบัดดลนั่นเอง!!!!!!
    แต่เมื่อ”หน่วยสืบราชการลับ”ทราบ ก็ชี้แจงให้ทราบเลยทีเดียวว่า
    “ ความจริงนั่นก็คือพระขรรค์เพชรพุทธเจ้าของพระศรีอาริยเมตไตรยต่างหากล่ะครับ....!!??!!”
    และ
    “ของคู่บารมีของพระศรีอาริย์นั้น หนึ่งก็คือ”จักรแก้ว” สองก็คือ”พระขรรค์” ซึ่งรูปพระขรรค์ที่ปรากฏต่อหน้าพระพุทธมหาธรรมิกราชดังกล่าวนั้น พระศรีอาริย์ท่านทำนิมิตให้เห็นเป็นพยานว่า พระองค์นี้ ท่านรับรู้อนุโมทนามารับด้วยพระองค์เอง..!!!!!!!”
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...