พื้นที่ปลอดภัยยามเกิดอภิมหันตภัย ในจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย

- ดอยป่าไม้เกี๊ยะ บริเวณดอยป่าไม้เกี๊ยะมีจุดเด่นสองจุดคือ บริเวณ
น้ำตกของห้วยแปลกสูง 2 เมตร ผ่านก้อนหินขนาดใหญ่ แล้วกระจาย
ไปตามลำห้วยมีหินโผล่ขึ้นมาสวยงามมาก ทั้งยังมีน้ำตกเล็กๆ
สูงประมาณ 4 เมตร
- ภูเขาทางด้านทิศใต้ ภูเขาทางด้านทิศใต้เป็นหน้าผา สูงประมาณ
400 เมตร ในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝนจะมีหมอกลอยในตอนเช้า
เหนือยอดเขาที่สลับ ซับซ้อนอยู่เบื้องล่างของจุดชมวิวดอยป่าไม้เกี๊ยะ

การเดินทาง การเดินทางเข้าสู่วนอุทยานสันผาพญาไพรรวมระยะทาง
ประมาณ 79 กิโลเมตร โดยเริ่มจากอำเภอเมืองเชียงราย เป็นทางลาดยาง
ถนนสี่เลน ถึงอำเภอแม่จัน ประมาณ 30 กิโลเมตร จากทางแยก
ป่าซางขึ้นบ้านแม่สลอง เป็นทางลาดยางตามไหล่เขาผ่าบ้านอาข่า
ผาเดื่อ จนถึงทางแยกไปบ้านเทอดไทยประมาณ 23 กิโลเมตร
จากทางแยกเข้าไปอีก 13 กิโลเมตร ถึงบ้านเทอดไทย สามารถ
ไปบ้านพญาไพรได้ 2 ทาง คือ
- ทางไปบ้านหัวแม่คำแล้วแยกเข้าบ้านพญาไพร ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตร
- จากบ้านเทอดไทยไปบ้านพญาไพรตามถนนลาดยาง ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร

ที่มา http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style2/default.asp?npid=78&lg=1 ,
http://fca15.no-ip.org/outayarn/index.htm

 

จุดเฝ้าระวัง

บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม

เป็นบ่อน้ำร้อนริมแม่น้ำกก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของที่ทำการ อช. ลำน้ำกก เป็นที่รู้จัก
ของนักท่องเที่ยวล่องเรือตามลำน้ำกกมานาน มีทิวทัศน์สวยงามร่มรื่น ในหน้าแล้ง
จะมีโปรแกรมขี่ช้างเที่ยว โดยช้างจะพาข้ามลำน้ำกกไปยังบ่อน้ำร้อน บริการให้แช่น้ำแร่

บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยมเป็นบ่อน้ำร้อนขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 ม.

มีน้ำร้อนผุดขึ้นมาช้าๆจากนั้น จะไหลเป็นห้วยเล็กๆไปยังบ่อซีเมนต์ที่ทำไว้สำหรับ
ให้ลงแช่โดยเฉพาะ บ่อน้ำร้อนมีอุณหภูมิ 67 องศาเซลเซส มีแร่ธาตุฟลูออไรด์

ไนเตรด ซัลเฟต ไอโอดีน ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย มีห้องอาบน้ำส่วนตัว
30 ห้อง และมีสระน้ำอุ่นแบบแช่รวม มีบ้านพักติดน้ำกกจำนวนสามหลัง
ลานกางเต็นท์พักแรม ห้องน้ำ และมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว

การเดินทาง

- รถยนต์ส่วนตัวใช้เส้นทางเดียวกับไปหาดเชียงรายขับรถตรงจากสี่แยกเด่นห้า
ผ่านพิพิธภัณฑ์อูบคำ เมื่อถึงบ้านฮ่องลี่เลี้ยวซ้ายก่อนถึงวัดเม็งรายมการาช
ประมาณ 100 ม. จะบรรจบกับสามแยก ให้เลี้ยวขวาไปตาม ถ. โยธาธิการไป
บ้านป่างิ้ว บ้านดอยฮาง มีป้ายบอกทางไปน้ำตกห้วยแก้ว ระยะทาง 20 กม.
สภาพถนนค่อนข้างแคบลัดเลาะขึ้นเขาขนานไปกับลำน้ำกก ผ่านบ้านผาเสริฐ
บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยมอยู่สุดถนนลาดยางพอดี
- รถรับจ้าง เหมารถจากตัวเมืองเชียงราย ที่ท่ารถหน้าตลาดสดเชียงราย
- เรือหางยาว ใช้บริการเรือล่องแม่น้ำกก หรือเช่าเหมาลำที่ท่าเรือเชิงแม่ฟ้าหลวง
บอกคนขับว่าไปบ่อน้ำร้อน

 

บ่อน้ำร้อนผาเสริฐ

แต่เดิมบ่อน้ำพุร้อนผาเสริฐซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ลุ่มใกล้ลำน้ำกก ในฤดูฝน
ปริมาณน้ำในลำน้ำกก ได้ไหลท่วมนองในพื้นที่บ่อน้ำร้อนเป็นเวลา
หลายเดือน และขาดการนำน้ำร้อนมาใช้อย่างจริงจัง มีเพียงการนำ
หน่อไม้มาแช่ต้มเท่านั้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2545 องค์การบริหารส่วน
ตำบลดอยฮาง ได้ริเริ่มให้มีการพัฒนาและปรับปรุงปรับสภาพภูมิทัศน์
บริเวณบ่อน้ำร้อนผาเสริฐ โดยของบประมาณการดำเนินการจาก
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และงบประมาณขององค์การบริหาร
ส่วนตำบลดอยฮางเองจนมาถึงปัจจุบัน การพัฒนาและปรับปรุงได้เสร็จ
สมบูรณ์ตามเป้าหมายอยู่ในระดับหนึ่ง บ่อน้ำพุร้อน ผาเสริฐสามารถ
เปิดบริการอาบน้ำแร่เพื่อสุขภาพแบบบ่อรวมกลางแจ้งขนาดใหญ่ ,
อาคารอาบน้ำแร่แบบบ่อแยกอาบน้ำแร่ระบบสปา จำนวน 3 อาคาร
8 ห้อง , บริการนวดแผนไทย , บริการให้เช่าเต้นท์พักแรม , การจัด
แค้มป์ไฟเป็นหมู่คณะ และในบริเวณเดียวกันยังมีปางช้างผาเสริฐ
บริการช้างนำเที่ยวทุ่งดอกบัวตองในฤดูหนาวที่บานสะพรั่งทั่วหุบเขา
นำเที่ยวหมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่า เผ่าลาหู่และนำเที่ยวน้ำตกห้วยแก้ว
ทั้งระยะใกล้และระยะไกล นอกจากนี้ยังได้จัดทำท่าเรือบ้านผาเสริฐ
ให้นักท่องเที่ยวที่ล่องแพตามลำน้ำกกมาจากบ้านท่าตอน หรือโดยสาร
เรือหางยาวนำเที่ยวชมทัศนียภาพขึ้น-ล่องตามลำน้ำกก ได้แวะพัก
มาใช้บริการอาบน้ำแร่ ขี่ช้าง เที่ยวน้ำตกหรือเที่ยวหมู่บ้านชาวเขา
ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย

 

บ่อน้ำร้อนแม่ขะจาน

มีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติสามบ่อ แต่ละบ่อกว้างประมาณ 3 เมตร มีอุณหภูมิห้อง
ประมาณ 80 องศา สามารถต้มไข่สุกได้ภายในเวลา 3 นาที มีห้องอาบน้ำแร่
ของเอกชนที่ต่อจากน้ำพุร้อนมายังห้องอาบ อยู่ฝั่งตรงกันข้ามถนน
ซึ่งเป็นจุดพักรถระหว่างทางจาก เชียงใหม่-เชียงราย

​

การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปวัดพระเจ้าทองทิพย์
แต่มุ่งหน้าไปทาง จ. เชียงใหม่ ตามทางหลวงหมายเลข 118 ผ่าน
อ. เวียงป่าเป้า ตลาดแม่ขะจาน บ่อน้ำร้อนแม่ขะจานอยู่ริมทางซ้ายมือ
ระหว่างหลัก กม.65-64 ​

 

น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว

หมู่ที่ 5 ต.ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในทางหลวงแหมายเลข 1
ตอนต่อเขตแขงการทางพะเยาที่ 1 – แยกไปอำเภอแม่สรวย ระหว่าง กม.
793+228 – กม. 793+541 ทางด้านขวา

น้ำพุร้อนอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่ม มีลักษณะเป็นตะกอนน้ำ (Alluvial deposit)
ซึ่งประกอบด้วยชั้นของหินทรายและดินที่ยังไม่จับตัวกันแน่น บริเวณ
แหล่งน้ำพุร้อนครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ ติดถนนพหลโยธิน
ทางด้านตะวันออก ลักษณะของแหล่งน้ำพุร้อนเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ
ที่ก่อเป็นบ่อซีเมนต์ จำนวน 36 บ่อ บ่อน้ำร้อน บ่อน้ำอุ่น และบ่อน้ำเย็น
บ่อทั้ง 3 วางตัวอยู่ในแนวเกือบทิศเหนือ-ใต้ โดยบ่อน้ำเย็นอยู่ทางทิศเหนือ
ของบ่อน้ำอุ่นและบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนห้วยทรายขาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ที่มีพื้นที่ติดกับถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นถนนสายหลักในการเดินทางสู่
ภาคเหนือ และการเดินทางเข้าไปยังแหล่งน้ำพุร้อนห้วยทรายขาว
เป็นไปอย่างสะดวก นอกจากนี้ประชากรส่วนใหญ่ยังนิยมในการท่องเที่ยว
น้ำพุร้อน เนื่องจากมีความต้องการดื่ม อาบหรือแช่ลงในน้ำพุร้อน
ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายสะอาด สดชื่น แล้วยังมีความเชื่อว่า
สามารถบำบัดโรคบางชนิดได้ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบ่อน้ำร้อนห้วยทรายขาว
เป็นกรรมสิทธิ์ของแขวงการทางเชียงราย กรมทางหลวง ทำให้
องค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว ไม่สามารถดำเนินการใดๆ
ในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว โดยปัจจุบันองค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว
กำลังดำเนินเรื่องเพื่อขอบ่อน้ำร้อนคืนให้เป็นที่สาธารณะประโยชน์ของตำบลทรายขาว ​

 

น้ำพุร้อนป่าตึงหรือโป่งน้ำร้อนห้วยหินฝน

โป่งน้ำร้อน หมู่ที่ 11 บ้านโป่งน้ำร้อน อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่จัน
ถนนแม่จัน - ฝาง ประมาณ 8 กิโลเมตร และอยู่ใกล้กับที่ทำการองค์การ
บริหารส่วนตำบลป่าตึง ประมาณ 700 เมตร ติดกับถนนเส้นทางแม่จัน – ฝาง
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของตำบล และอำเภอแม่จัน โดยสร้างเป็น
สวนหย่อมใจริมทาง สำหรับเป็นจุดแวะพักรถระหว่างทางไป-กลับ
ดอยแม่สลอง เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่สวยงาม ภายในบริเวณโป่งน้ำร้อนมี
ลานน้ำพุร้อน ซึ่งมีความสูงถึง 10 เมตร อุณหภูมิของน้ำอยู่ระหว่าง
70-109 องศาเซลเซียส โดยสร้างฐานคอนกรีตล้อมบริเวณน้ำพุร้อน
มีอาคารอาบน้ำแร่เพื่อสุขภาพทั้งห้องธรรมดา และห้องวีไอพี มีห้องแช่
8 ห้อง ห้องตักอาบ 6 ห้อง

 

น้ำพุร้อนโป่งพระบาท

บ้านโป่งพระบาท ม.6 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย​

ต้นกำเนิดของน้ำพุร้อนเดิมบริเวณที่มีอยู่เป็นป่าไม้ไมยราพและแอ่งน้ำ
และจุดที่พบน้ำร้อนเป็นลักษณะแอ่งน้ำร้อน (warm pool ) ที่มีขนาดเล็ก
ประมาณ 2-3 แอ่ง จากการสำรวจพบว่าอุณหภูมิร้อนผิวดินอยู่ระหว่าง
48-50 องศา และอุณหภูมิใต้ดินสูงประมาณ 125-156 องศา จาก
อุณหภูมิดังกล่าวสามารถที่จะพัฒนาทำเป็นแหล่งอาบน้ำอุ่นตาม
ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ( Spa treatment ) หรือทำเป็นห้องอาบน้ำแร่
( Balneology ) ซึ่งในประเทศจีน ญี่ปุ่น ยุโรปหรือในอเมริกา เชื่อกันว่า
ได้อาบน้ำหรือแช่ตัวในน้ำร้อนอุณหภูมิระหว่าง 42-45 องศา ทำให้
การหมุนเวียนขอโลหิตในร่างกายดีขึ้น น้ำร้อนจะขยายรูขุมขนทำให้
ร่างกายขับสิ่งสกปรกปะปนมากับเหงื่อได้ดีจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยตามข้อกระดูกกล้ามเนื้อและ
กำมะถันที่อยู่ในน้ำพุร้อนจะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้เป็นอย่างดี แต่น้ำร้อน
ที่พบในบ้านดู่ไม่สามารถที่จะนำมาบริโภคได้ เนื่องจากมีความเข้มข้น
ของฟลูออไรด์และซัลไฟด์สูงกว่ามาตรฐานน้ำแร่เพื่อการบริโภค

 

การเตรียมการในเรื่องของสุขภาพ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคราวน้ำท่วม
จะเห็นได้เลยว่า ยารักษาโรคขาดแคลน รวมทั้งการออกจากพื้นที่ไปหาหมอ
ก็ลำบาก ดังนั้น เราควรดูแลตนเองไว้ก่อน โดยการใช้ของใกล้ตัว พืชสมุนไพร
ซึ่งช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดี ภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย หาได้ง่าย และ
ราคาก็ไม่แพง ตอนนี้ที่โรงพยาลตรัง โดย "่ชมรมสร้างสุขภาพพึ่งตน"
ได้เปิดอบรมการเรียนรู้ดูแลสุขภาพ "โปรแกรมสร้างสุขภาพพึ่งตน"
เพื่อปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ หลักสูตร 2 วัน ตั้งแต่เวลา 7.30-17.30 น.
สำหรับคนต่างจังหวัด ถ้าไม่มีที่พัก ติดต่อผู้เขียนได้ค่ะ
ยินดีเปิดบ้านให้พักกันฟรี ๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย งานนี้อบรมฟรีนะค่ะ
ส่วนผู้เขียนจะเข้าอบรมรุ่นแรกนี้แหละค่ะ งานดี ๆ แบบนี้อย่างไรก็ช่วยกัน
เผยแพร่ด้วยนะค่ะ

เวปไซด์โรงพยาบาลตรัง ยินดีต้อนรับเข้าสู่เวปไซต์โรงพยาบาล&#360
แบบฟอร์มใบสมัคร http://www.upfile2day.com/uploads/1340248137.jpg

ที่อยู่ผู้เขียน 12/4 หมู่ 8 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลนาพละ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง
Email : thaimoneynetwork@hotmail.com
แผนที่ : http://www.upfile2day.com/uploads/1334516994.xls

 

เหอะ เหอะ คิดว่าจะไม่เข้ามาอัพเดทซ๊ะแร้วววมีรูปฐานปฏิบัติการมาให้ดูด้วยแฮะ....

 

เกิดเอ็กซ์ซิเดนท์ค่ะ หมอให้พักฟื้นยาว ก็เลยไม่ได้เข้ามาโพส
ที่ไม่ได้แจ้ง กลัวจะเป็นรบกวนนะค่ะ วันจันทร์-อังคาร ไปอบรม
กันมั้ยค่ะ ถ้าไปเจอกันที่โรงพยาบาลนะค่ะ

 

ตอนนี้คงจะหายป่วยแล้วนะ ไม่มีเวลาเข้าไปที่นั่นเลยจริง ๆ เรื่องอบรมขอเวลาเช็คตารางงานให้ละเอียดก่อนครับ

 

[FONT=&quot]ผู้เขียนมักจะได้รับการแจ้งเตือนจากกัลยณมิตร[FONT=&quot]ใน
เรื่องของภัยพิับัติตามที่ต่าง ๆ เสมอว่า [/FONT][FONT=&quot]การที่เรา
ตื่นกลัวในเรื่องของภัยพิบัติว่าจะเกิดแบบนั้น แบบนี้
[/FONT][FONT=&quot]ด้วยจิตของมนุษย์ที่ยังมี[/FONT][FONT=&quot]ความกลัวตาย ห่วงลูก
ห่วงหลาน ห่วงญาติพี่น้องเพื่อนฝูงบริวาร จนสร้าง
กระแสจิต[/FONT][FONT=&quot]ไปในทางลบ ซึ่งก็จะไปเข้าทางของ
ทางฝ่ายดำเขา ที่มาสร้างกระแสให้ทุกคนตื่นกลัว
[/FONT][FONT=&quot]อย่าคิดว่าตนเองไม่มีพลังจิต หรือเรียกกันง่าย ๆ ก็คือ
กระแสจิตนั่นแหละ เพราะทุกคน[/FONT][FONT=&quot]มีอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นเวลาเรามองคนอื่น จะรู้สึกได้ไหมว่า
คนนี้ชอบเรา[/FONT][FONT=&quot] คนนี้เกลียดเรา นั่นแหละค่ะ กระแสจิต
ที่เขารู้สึกและส่งออกมา เราจับความรู้สึกได้[/FONT][FONT=&quot]ใช่ใหม
[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT][/FONT]

 

[FONT=&quot]ดังนั้น การที่ทุำกคนหวาดกลัว ถึงแม้จะเก็บเอาไว้
ภายในลึก ๆ ก็ตาม แต่ก็จะ[FONT=&quot]ไปสร้างพลังลบให้เกิดขึ้น
เมื่อพลังลบเกิดขึ้นจากหลาย ๆ คน รวมตัวกันเป็น
กลุ่มใหญ่[/FONT][FONT=&quot]โดยรวมกันทั้งประเทศ ทั้้งโลก และจะ้
เกิดอะไรขึ้นละค่ะ ความวินาสก็จะเกิดขึ้นตาม[/FONT][FONT=&quot]สิ่งที่
ฝ่ายดำได้วางแผนไว้[/FONT][FONT=&quot] จะเห็นได้ว่าทำไมพระอาจารย์
หลาย ๆ ท่าน หรือผู้ปฏิบัติดี [/FONT][FONT=&quot]จึงพยายามให้ทุก ๆ คน
รวมตัวกันสวดมนต์ อย่างเช่นหลวงตาม้า ที่ให้ทุำกคน
สวดมนต์[/FONT][FONT=&quot]เวลา [/FONT][FONT=&quot]20.30 [/FONT][FONT=&quot]น. พร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะอยู่
ภาคไหนของประเทศไทยหรือของโลก[/FONT][FONT=&quot] เมื่อทุกคน
หมู่มาก ได้สวดมนต์พร้อม ๆ กัน พลังงานดีหรือ
กระแสจิตที่ดี ก็จะแผ่ขยาย[/FONT][FONT=&quot]ไปคลอบคลุมไปทั่ว

[/FONT][/FONT][FONT=&quot]
[/FONT]

 

[FONT=&quot]คำเฉลยของภัยพิบัติก็มีอยู่แล้วค่ะ ถ้าจับใจความให้ดี ๆ[FONT=&amp]
[/FONT][FONT=&quot]ก็คือ ให้ทุกคนหมั่นทำความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์[/FONT][FONT=&amp]
[/FONT][FONT=&quot]เมื่อกระแสแห่งความดี กระแสธรรมมีมากขึ้น[/FONT][FONT=&amp]
[/FONT][FONT=&quot]ภัยพิบัติต่าง ๆ ก็จะบรรเทาเ่บาบางลงไป รวมทั้ง[/FONT][FONT=&amp]
[/FONT][FONT=&quot]อาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะความดีมีมากกว่า[/FONT][FONT=&amp]
[/FONT][FONT=&quot]ความชั่วนั่นเอง[/FONT][/FONT]

[FONT=&quot]คุณจะเห็นได้มั้ยค่ะว่า คนที่เขาปฏิบัติธรรม[FONT=&quot]อย่างเข้มข้น
อย่าถ่องแท้ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีความกลัวตายกันเลย
เพราะเขา[/FONT][FONT=&quot]ได้เตรียมตัว เตรียมจิต ในทางธรรมอย่าง
เพียบพร้อมแล้ว มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด ที่จะไม่ทำ
ความชั่วเพิ่มขึ้น[/FONT][FONT=&quot] คือ ขอให้กรรมเก่านั้นหมดไป
กรรมใหม่อย่าได้สร้างเพิ่มขึ้น
[/FONT][/FONT]

 

[FONT=&quot]ดังนั้น ถ้าทุกคนสามารถ[/FONT][FONT=&quot]ปฏิบัติธรรม เปลี่ยนกระแสจิต
ในทางลบให้เป็นบวกเสีย เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น[/FONT]
[FONT=&quot]ก็ให้เป็นไปตามกระแสกรรม ไม่ต้องกังวลว่าจะต้อง
ออกจากงานดีไหม หรือจะต้องย้ายที่อยู่ ไปอยู่จังหวัดนั้น [/FONT]
[FONT=&quot]จังหวัดนี้ เพื่อให้ตนเองรอดปลอดภัย ให้จิตบังเกิด
ความสับสนวุ่นวายและฟุ้งซ่านไปเสียเปล่า
เตรียมจิตของตนเองให้เข้มแข็งให้ดีพร้อมเสียก่อน
ส่วนเรื่องสถานที่[/FONT][FONT=&quot] ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ต้องห่วง
หรอกค่ะว่าจะไม่มีที่อยู่ ที่ปลอดภัย ผู้เขียนจะบอก
ให้เองว่า[/FONT][FONT=&quot]ให้ไปอยู่ในที่ใด ๆ บ้าง ทำกิจวัตรประจำวัน
ของตนให้เป็นตามปกติ หมั่นปฏิบัติและศึกษาธรรม[/FONT][FONT=&quot]
เพื่อขัดเกลาจิตใจตนเองให้ดีพร้อมจะดีกว่ามั้ยค่ะ
อย่างน้อย ๆ เริ่มต้นปฏิบัตินั่งสมาธิทุก ๆ วัน[/FONT][FONT=&quot] วันละ
5 นาทีก่อนก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นชั่วโมง
เริ่มแรกก็ค่อย ๆ ทำไปทีละน้อย ๆ [/FONT]
[FONT=&quot]
[/FONT]

 

[FONT=&quot]คิดว่าเหมือนเราไปออกกำลังกายนะค่ะ เริ่มแรกเรา
ก็วิ่งสัก 300 เมตรก่อน หลัง ๆ ร่างกายเราอยู่ตัว[/FONT]
[FONT=&quot]ก็ค่อยขยับไปเป็น 500 เมตร, 1,000 เมตรก็ว่ากันไป
พอร่างกายเราอยู่ตัว เราก็สามารถวิ่งได้สบาย ๆ [/FONT]
[FONT=&quot]จิตของเราก็เหมือนกันค่ะ ค่อย ๆ ทำไป จนจิตเรา
แข็งแรง เราอยู่ตัว เรารับรู้และมีสติอยู่เสมอ [/FONT]

[FONT=&quot]เราต้องมีความแข็งแรงทั้งทางกายและจิตไปพร้อม ๆ กัน
ไม่ใช่เตรียมพร้อมทางด้านร่างกาย แต่[/FONT][FONT=&quot]จิตยังอ่อนแออยู่
ก็นับว่ายังใช้ไม่ได้ เริ่มปฏิบัติเสียแต่วันนี้ ภัยพิบัติต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้น[/FONT][FONT=&quot]เมื่อถึงเวลาคุณก็พร้อมรับได้เสมอค่ะ
อย่าลืมว่าผู้เขียนอยุ่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน และเตรียมพร้อม
[/FONT][FONT=&quot]ให้กับทุก ๆ คน ในเรื่องสถานที่ไว้แล้ว คุณเตรียมพร้อม
ทั้งร่างกายและจิตที่มีธรรมก็เพียงพอค่ะ[/FONT]

 

[FONT=&quot]จังหวัดลำพูน [FONT=&quot]เป็น[/FONT][FONT=&quot]จังหวัด[/FONT][FONT=&quot]หนึ่งใน[/FONT][FONT=&quot]ภาคเหนือ[/FONT][FONT=&quot]ตอนบน
นับเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มี[/FONT][FONT=&quot]ประวัติศาสตร์[/FONT][FONT=&quot]เก่าแก่ ยาวนาน
เคยเป็นที่ตั้งของ[/FONT][FONT=&quot]นครหริภุญชัย[/FONT] [FONT=&quot]ในสมัย[/FONT][FONT=&quot]พระนาง[/FONT]
[FONT=&quot]จามเทวี[/FONT][FONT=&quot]เดิมชื่อเมืองหริภุญไชย[/FONT] [FONT=&quot]เป็นเมืองโบราณ
มีอายุประมาณ [/FONT]1,343 [FONT=&quot]ปี[/FONT] [FONT=&quot]ตามพงศาวดารโยนกเล่า
สืบต่อกันถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย โดยฤๅษีวาสุเทพ[/FONT] [FONT=&quot]
เป็นผู้เกณฑ์พวกเม็งคบุตรหรือชนเชื้อชาติมอญ
มาสร้างเมืองนี้ขึ้น[/FONT] [FONT=&quot]ในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสองสาย
คือ แม่น้ำกวงและแม่น้ำปิง[/FONT] [FONT=&quot]เมื่อมาสร้างเสร็จได้ส่ง
ทูตไปเชิญราชธิดากษัตริย์[/FONT][FONT=&quot]เมืองละโว้[/FONT][FONT=&quot] พระ[/FONT][FONT=&quot]นาม
[/FONT]“[FONT=&quot]จามเทวี[/FONT]” [FONT=&quot]มาเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองหริภุญไชย
สืบราชวงศ์กษัตริย์ต่อมาหลายพระองค์[/FONT] [FONT=&quot]จนกระทั่งถึง
สมัยพระยายีบาจึงได้เสียการปกครองให้แก่พ่อขุน
เม็งรายมหาราช[/FONT] [FONT=&quot]ผู้รวบรวมแว่นแคว้นทางเหนือ
เข้าเป็นอาณาจักรล้านนา

ที่มา [/FONT][/FONT]<cite>th.wikipedia.org/wiki/</cite>

 

จังหวัดลำพูนแบ่งการปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 51 ตำบล 520 หมู่บ้าน ดังนี้
<table class="MsoNormalTable" style="mso-cellspacing:1.5pt" border="0" cellpadding="0"> <tbody><tr style="mso-yfti-irow:0;mso-yfti-firstrow:yes;mso-yfti-lastrow:yes"> <td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt" valign="top">

1. อำเภอเมืองลำพูน
2. อำเภอแม่ทา
3. อำเภอบ้านโฮ่ง
4. อำเภอลี้
5. อำเภอทุ่งหัวช้าง
6. อำเภอป่าซาง
7. อำเภอบ้านธิ
8. อำเภอเวียงหนองล่อง

</td> <td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt" valign="top">
</td> </tr> </tbody></table>

 

จังหวัดลำพูนมีพื้นที่ติดกับจังหวัดอื่น ๆ 3 จังหวัด ดังนี้

• ทิศเหนือ จรดอำเภอสารภี และอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
• ทิศตะวันออก จรดอำเภอห้างฉัตร อำเภอสบปราบ และ
• อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง
• ทิศใต้ จรดอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก
• ทิศตะวันตก จรดอำเภอฮอด อำเภอจอมทอง อำเภอหางดง
  
• และอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่

 

วัดพระธาตุหริภุญชัย <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->(พระเกศาธาตุ, พระบรมธาตุส่วนกระหม่อม)

เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ใจกลาง เมืองลำพูนเป็นโบราณสถานอันสำคัญ
ของนครหริภุญชัยที่ พระเจ้าอาทิตยราช เป็นผู้สถาปนาขึ้น
ในราว พุทธศตวรรษที่ 17 เพื่อประดิษฐานพระบรม
สารีริกธาตุ อันมี ธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก
ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง
ตามพุทธทำนายลักษณะทางสถาปัตยกรรมของ
องค์พระธาตุหริภุญชัย ตามที่ปรากฏในหนังสือ
ตำนานพระธาตุหริภุญชัย กล่าวว่า มีลักษณะเป็น
สถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท ที่มีซุ้มทวาร เข้า- ออก
ทะลุกันได้ทั้งสี่ด้าน มีปราสาทสี่เหลี่ยมอยู่ตรงมุม
ละองค์ ก่อด้วยศิลาแลง ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากอยู่
ในเมืองนี้ ภายในเป็นแท่น สำหรับประดิษฐาน
พระโกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ