ยูเน๊สโก้ให้รางวัลบุคคลดีเด่นของโลก มี ๒ บุคคลิกในคนๆเดียวกัน

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Pukhaotong Brrpta, 8 ตุลาคม 2011.

  1. AntraiMint

    AntraiMint สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    พูดอย่างหนึ่ง กตัญญู

    พุทธทาส:-การเป็นทาสของพระพุทธองค์ เรียกว่า "พุทธทาส"
    พุทธทาส แปลว่า ผู้รับใช้พระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต
    ในฐานะเป็นหนี้ในพระมหากรุณาธิคุณด้วย
    เพราะความกตัญญูด้วย และ
    เพราะเห็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วย
    จึงสมัคร มอบกายถวายชีวิตหมดสิ้นทุกประการ
    เพื่อรับใช้พระพุทธองค์
    เพื่อกระทำสิ่งที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธประสงค์

    คัดจาก หนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศํกราช ๒๕๔๒

    แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง อกตัญญู

    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์

    แต่คือเราไปอ่านหนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ มาหมดแล้ว เรายังไม่เจอว่าท่านพุทธทาสจะพูดอะไรที่มันเป็นเหมือนข้างบนเลย เราไปอ่านมาหมดแล้ว ก็ได้ใจความประมาณว่าคือท่านพุทธทาสไม่ได้จะยกเลิกสวรรค์ นรก แต่ท่านแค่กำลังเน้นสวรรค์ นรกที่จะเกิดขึ้นที่ใจของเรา คือเมื่อประพฤติดี มีปิติปราโมทย์ มีธรรมะปิติ ชื่นชมตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้นี่คือ สวรรค์ที่นี่ สวรรค์เดี๋ยวนี้ ขอให้ได้สวรรค์อย่างนี้แล้วจะมีสวรรค์ต่อตายได้ง่ายๆ และขอให้รู้จักนรกที่ตกอยู่จริงๆ ทุกวันๆ นรกที่นี่ ที่มันตกอยู่ทั้งเป็นๆ นี่ระลึกให้มาก เมื่อทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟอยู่นี่มี นี่คือนรกที่นี่ สนใจให้มาก ควบคุมให้ได้อย่าให้ตกนรกชนิดนี้ เมื่อไม่ตกนรกชนิดนี้ ตายแล้วก็ไม่ตกนรกไหนหมด

    ลองไปเช็คดูก็ได้คะที่เว็บข้างล่างนี้อะคะ
    สารบาญ หลักธรรม


    พุทธทาสสอนพระนิพพานมั่วไปเรื่อยๆเพี๊ยน!

    พุทธทาส:-สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน
    นิพพานในชีวิตประจำวัน

    คือท่านพุทธทาสกำลังพูดถึงความหมายของคำว่านิพพานตามสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติ ไม่ได้หมายถึงความหมายของคำว่านิพพานตามทางพระพุทธศาสนา ก็คือคำว่านิพพานนี้มันใช้กันมาก่อนที่พระพุทธองค์จะประสูติด้วยซ้ำ โดยคำว่านิพพานในความหมายของชาวอินเดียในสมัยนั้นมันมีความหมายที่กว้างกว่าความหมายของคำว่านิพพานในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมันมีความหมายว่าเป็นลักษณะของสิ่งๆหนึ่งซึ่งเคย ร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ แต่ปัจจุบัน ความร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ เหล่านี้มันดับไปแล้ว อาการที่ ความร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ เหล่านี้มันดับ นั้นจะเรียกว่ามันเป็นนิพพาน ในช่วงเวลาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรูู้นั้น หากสัตว์ที่เคยดื้อรั้น ชอบทำร้ายคน อยู่ไม่สงบ หรืออื่นๆ แต่ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็จะเรียกว่ามัน นิพพาน โดยในสมัยนั้นเขาจะใช้คำว่านิพพานในลักษณะนี้ แต่เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้ใช้คำว่านิพพานเป็นลักษณะของการที่กิเลสในใจเรามันดับไปแล้ว เมื่อกิเลสในใจเราหมด ใจเราก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น กิเลสเป็นของร้อน มีเข้ามันร้อน ถ้ากิเลสดับก็เท่ากับของร้อนดับ ความหมายอย่างเดียวกันกับไฟดับ นี่ก็ยังใช้ชื่อว่านิพพานอยู่นั่นแหละ ชื่อเดียวกันแหละ แต่ความหมายของคำว่านิพพานของพระองค์นั้นสมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุด แล้วไม่มีใครสอนนิพพานให้ยิ่งไปกว่านี้ได้ ก็ยุติเพียงเท่านี้ ยุติเพียงนิพพานเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอน ได้ค้นพบและสั่งสอน ดับทุกข์สิ้นเชิง และจากข้อความของคุณPukhaotong Brrpta ท่านพุทธทาสกำลังหมายถึง คำว่านิพพานตามความหมายของคนอินเดียสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้หมายถึงคำว่านิพพานตามความหมายของทางพระพุทธศาสนา

    เช็คได้ที่เว็บข้างล่าง
    ���͹���� :: ��ҹ�ѡ��͹�ҧ�Ե㨴��¸����


    พุทธทาส:-สัตว์ป่าจับมาจากในป่า เช่นควายป่า ช้างป่า อะไรป่านี่ มันดุร้ายเหลือประมาณ อันตรายเหลือประมาณ; เขาเอามาเข้าคอกเข้าที่ บังคับฝึกหัดไปจนสัตว์เหล่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว จนช้างป่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้; อย่างนี้ก็เรียกว่า มันนิพพาน

    นิพพานสำหรับทุกคน

    คือท่านพุทธทาสกำลังพูดถึงความหมายของคำว่านิพพานตามสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติ ไม่ได้หมายถึงความหมายของคำว่านิพพานตามทางพระพุทธศาสนา ก็คือคำว่านิพพานนี้มันใช้กันมาก่อนที่พระพุทธองค์จะประสูติด้วยซ้ำ โดยคำว่านิพพานในความหมายของชาวอินเดียในสมัยนั้นมันมีความหมายที่กว้างกว่าความหมายของคำว่านิพพานในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมันมีความหมายว่าเป็นลักษณะของสิ่งๆหนึ่งซึ่งเคย ร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ แต่ปัจจุบัน ความร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ เหล่านี้มันดับไปแล้ว อาการที่ ความร้อน,ทุรนทุราย,ไม่สงบ เหล่านี้มันดับ นั้นจะเรียกว่ามันเป็นนิพพาน ในช่วงเวลาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรูู้นั้น หากสัตว์ที่เคยดื้อรั้น ชอบทำร้ายคน อยู่ไม่สงบ หรืออื่นๆ แต่ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็จะเรียกว่ามัน นิพพาน โดยในสมัยนั้นเขาจะใช้คำว่านิพพานในลักษณะนี้ แต่เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้ใช้คำว่านิพพานเป็นลักษณะของการที่กิเลสในใจเรามันดับไปแล้ว เมื่อกิเลสในใจเราหมด ใจเราก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น กิเลสเป็นของร้อน มีเข้ามันร้อน ถ้ากิเลสดับก็เท่ากับของร้อนดับ ความหมายอย่างเดียวกันกับไฟดับ นี่ก็ยังใช้ชื่อว่านิพพานอยู่นั่นแหละ ชื่อเดียวกันแหละ แต่ความหมายของคำว่านิพพานของพระองค์นั้นสมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุด แล้วไม่มีใครสอนนิพพานให้ยิ่งไปกว่านี้ได้ ก็ยุติเพียงเท่านี้ ยุติเพียงนิพพานเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอน ได้ค้นพบและสั่งสอน ดับทุกข์สิ้นเชิง และจากข้อความของคุณPukhaotong Brrpta ท่านพุทธทาสกำลังหมายถึง คำว่านิพพานตามความหมายของคนอินเดียสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้หมายถึงคำว่านิพพานตามความหมายของทางพระพุทธศาสนา

    เช็คได้ที่เว็บข้างล่าง
    นิพพานสำหรับทุกคน


    บรรลุอรหันต์โดยไม่รู้สึกตัว

    พุทธทาส:-แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป

    นิพพานสำหรับทุกคน

    ข้อนี้มันเป็นความจริงนะคะ ขอให้คุณลองทำความเข้าใจใหม่ว่า ความร้อนในจิตใจ ที่มันเกิดมาจากกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นความร้อนแห่งไฟคือกิเลส, ถ้าเมื่อใดความร้อนจากไฟคือกิเลสมันไม่มี เมื่อนั้นก็มีภาวะแห่งนิพพาน. นี่เป็นหลักที่สำคัญที่สุดที่จะต้องกระทำไว้ในใจว่า เมื่อใด ไม่มีไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มี, ก็มีความเย็นอย่างนิพพาน, ถ้ามันไม่มีชั่วคราว มันก็เป็นความเย็นชั่วคราว. ถ้ามันมีนิดหนึ่ง มันก็เป็นความเย็นนิดหนึ่ง และมันคงเป็นความเย็นนั่นเอง; ถ้ามันเป็นความเย็นแล้ว ก็มีความหมายแห่งนิพพาน เป็นเรื่องความเย็นในทางจิตใจ ขอให้สนใจดูให้ดีว่า เรามีความร้อนเมื่อไร มีความร้อนใจเมื่อไร มันก็หมายความว่า มีความร้อนที่เกิดมาจากกิเลสเมื่อนั้น; เมื่อใดความร้อนชนิดนั้นไม่มี มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า นิพพานไม่มากก็น้อยอยู่ในจิตใจ

    การที่ไฟนี้จะดับไป กิเลสจะดับไปนี้ มันมีได้ทั้งสองอย่าง คือ (๑) มันดับของมันเองก็ได้, (๒) มีผู้ทำให้ดับก็ได้; คือว่า มีการประพฤติปฏิบัติทำให้กิเลสไม่เกิด หรือดับมันเสีย มันก็ดับเพราะมีผู้ทำให้ดับ, แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังมีการดับของมันเอง เพราะมันหมดเหตุหมดปัจจัยของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาทำให้ดับมันก็ดับ เพราะว่ากิเลสนี้มันก็เป็นสังขารธรรมตามธรรมดา คือสิ่งที่เกิดมาจากเหตุจากปัจจัย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย; เมื่อเหตุปัจจัยหมดลงขาดลง มันก็ดับของมันเอง.

    มีความสำคัญที่จะต้องทราบไว้เป็นหลักว่า "สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็มีการดับลงเป็นธรรมดา", เป็นบาลีก็ว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ - สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา. กิเลสก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตามธรรมดาของสังขารที่มีเหตุมีปัจจัย และมันก็ดับลงเพราะหมดเหตุหมดปัจจัยตามธรรมดา; เมื่อกิเลสนั้นดับลงไป มันก็มีความเย็นกิเลสไม่เกิดขึ้นรบกวน มันก็มีความเย็น ดังนั้น ทุกคนไม่ใช่ว่าจะมีกิเลสเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มันมีเวลาที่กิเลสไม่เกิด หรือว่า กิเลสมันดับไปเองตามธรรมดา มันก็ต้องมีความเย็นในความหมายของนิพพาน ฉะนั้น จึงพูดได้เต็มปากว่า นิพพานนั้นมีสำหรับทุกคน และมีอยู่สำหรับทุกคน ในลักษณะที่มากบ้าง น้อยบ้าง ชั่วขณะบ้าง หรือ นานหน่อยบ้าง หรือถ้าดีถึงที่สุดก็ตลอดกาล.

    ฉะนั้นแม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป เมื่อบุคคลไม่มีความร้อนใดๆ ก็หมายความว่า กำลังดื่มกินพระนิพพาน.

    ที่มาจาก
    นิพพานสำหรับทุกคน


    พระอภิธรรมเป็น ๑ ใน ๓ ของพระไตรปิฏก ยังกล้าลบหลู่

    พุทธทาส:-ให้โกยอภิธรรมทิ้งไปให้หมด อภิธรรมตามที่รู้กันนั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตาม ที่ระบุไปยังอภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด
    บางสูตรก็ตัดออกไปหมดเลย บางสูตรก็ต้องตัดออกไปบางส่วน บางสูตรก็ตัดออกไปราว 40%

    อยากรู้ว่าคุณได้ยินมาจากที่ไหน เรายังไม่เคยเห็นว่าท่านพุทธทาสจะพูดแบบนี้เลยนะ

    [/COLOR][/B]รับจ้างดับกิเลสให้ทั่วราชอาณาจักร ฟรี!

    พุทธทาส:-กิเลสจะดับไปนี้ มันมีได้ทั้งสองอย่าง คือ (๑) มันดับของมันเองก็ได้, (๒) มีผู้ทำให้ดับก็ได้; คือว่า มีการประพฤติปฏิบัติทำให้กิเลสไม่เกิด หรือดับมันเสีย มันก็ดับเพราะมีผู้ทำให้ดับ, แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังมีการดับของมันเอง เพราะมันหมดเหตุหมดปัจจัยของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาทำให้ดับมันก็ดับ
    พุทธทาส:-ทุกคนไม่ใช่ว่าจะมีกิเลสเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มันมีเวลาที่กิเลสไม่เกิด หรือว่า กิเลสมันดับไปเองตามธรรมดา มันก็ต้องมีความเย็นในความหมายของนิพพาน ฉะนั้น จึงพูดได้เต็มปากว่า

    นิพพานนั้นมีสำหรับทุกคน

    อันนี้มันก็เป็นความจริงถึงที่สุด กิเลสนั้นก็หาได้เกิดอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลาไม่ เมื่อมันถูกกระตุ้น มันจึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิ่งกระตุ้นหายไป มันก็จะค่อยๆจางหายไป แต่พอถูกกระตุ้นใหม่มันก็เกิดขึ้นมาอีก ส่วนขณะเวลาที่ไม่มีอะไรมากระตุ้น จิตมันก็ไม่มีกิเลสที่รุนแรง จะมีบ้างก็เพียงกิเลสอ่อนๆหรือบางๆที่เรียกว่านิวรณ์หรือสิ่งปิดกั้นจิตจากความดี ที่เป็นเพียงความฟุ้งซ่านและความเศร้าซึมเกิดขึ้นมารบกวนจิตให้รำคาญใจหรือไม่สงบเย็นอยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้จิตเป็นทุกข์มากเหมือนขณะที่กิเลสเกิดขึ้น
    ขณะที่จิตไม่มีกิเลสนี้เองที่เป็นช่วงเวลาที่จิตพอจะมีความสงบเย็นอยู่บ้าง ลองคิดดูว่าถ้าจิตของเราถูกกระตุ้นให้เกิดกิเลสอยู่ตลอดเวลาหรือทั้งวันทั้งคืนมันจะเร่าร้อนทรมานขนาดไหน? เราคงเป็นบ้าตายกันไปนานแล้วเพราะถูกกิเลสเผาจนตาย แต่ก็ได้เวลาที่จิตมันว่างจากกิเลสนี้เองที่เป็นช่วงเวลาให้จิตได้พักผ่อน อย่างเช่นเวลาเราทำงานยุ่งๆนานๆเข้า จิตก็จะอ่อนล้า และเราก็อยากจะพักผ่อนหรือนอนหลับบ้าง ให้จิตผ่อนคลายและกลับมาสดชื่นร่าเริงเข้มแข็งอีกครั้ง หรือเมื่อเราเที่ยวเตร่หรือเสพสุขทางตา หู จมูก ลิ้น และทางกายอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินมาหลายชั่วโมง เราก็จะรู้สึกเครียด หรือไม่สนุกเสียแล้ว และจะกลายเป็นความทรมานขึ้นมาทันทีถ้ายังไม่หยุด ดังนั้นทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คือต้องไปพักผ่อน ซึ่งก็ทำได้ด้วยการหลบไปหาความสงบ หรือไม่มีสิ่งมากระตุ้นเป็นเวลานานๆ ซึ่งก็อาจจะไปนอนหลับสักพักก็ได้ ซึ่งช่วงเวลาพักของจิตนี้เองที่เรียกว่าเป็นความสงบ หรือความเย็นของจิต เพราะกิเลสที่แผดเผาได้ดับลงชั่วคราว ซึ่งในทางศาสนาเรียกว่าเป็นนิพพานขั้นต้น หรือนิพพานชั่วคราว ที่ยังไม่เย็นสนิทและไม่ถาวรเหมือนนิพพานชนิดสูงสุด แต่เพียงเท่านี้ก็นับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งแล้วสำหรับเราที่ยังไม่มีเวลามาศึกษาและปฏิบัติให้เกิดนิพพานชนิดสูงสุด
    ช่วงเวลาที่จิตสงบนี้ก็เปรียบเหมือนกับน้ำที่จืดสนิท คือแม้เราจะกินอาหารที่เอร็ดอร่อยมากมายสักเท่าใดก็ตาม สุดท้ายเราก็ต้องมาดื่มน้ำที่จืดสนิทนี้ เพื่อให้เกิดความสบาย ถ้าลองไม่ได้ดื่มน้ำจืดสนิทตบท้าย ลองคิดดูว่าเราจะทรมานขนาดไหน? เหมือนกับคนที่หัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ตลอดเวลาโดยไม่หยุดก็คงเป็นบ้าไปแล้ว
    นิพพานขั้นต้นหรือความสงบเย็นชั่วคราวนี้เองที่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตของเราทุกคนเอาไว้ แต่เราก็ไม่ค่อยจะชอบ เพราะเราติดอยู่ในความสุขสนุกสนานเสียจนเคยตัว แม้จะต้องกลับมาหานิพพานก็กลับมาเพียงแค่ให้พอมีกำลังหรือให้เกิดความสดชื่นปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้นหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าจะให้อยู่ในนิพพานนี้นานๆก็จะเกิดความเบื่อหน่าย หรือทุกข์ทรมานขึ้นมาทันที คือจิตมันจะดิ้นรนอยากจะไปหาความสุขสนุกสนานอีก เหมือนคนที่ติดยาเสพติดอย่างหนักที่จะลงแดงตายถ้าอดยานั้นนานๆ ดังนั้นเราจึงต้องวิ่งไปหาความสุขสนุกสนานกันอีกจนเหนื่อยล้า แล้วก็กลับมาหานิพพานอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป นี่เองที่ทำให้เราไม่สามารถอยู่เงียบๆกันนานๆได้ เรามักจะชอบพูด ชอบคุย ชอบอยู่กับเพื่อนหรือกับคนรัก ชอบเที่ยวเตร่ ชอบเล่น ชอบเสพสิ่งให้ความสุขจนสร้างปัญหาต่างๆขึ้นมา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม สุขภาพ และครอบครัว อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมของเราปัจจุบัน

    เช็คได้เลยคะที่เว็บข้างล่างนี้
    ����������ͪ��Ե


    ข่าวเด็กรถบัสข่มขื่นสาวบนรถบัส ไม่ผิดครับเพราะไม่มีเจตนาจะข่มขืน มีความรู้สึกจะระบายความใคร่เท่านั้น เห็นผู้หญิงเป็นที่ระบายความใคร่เท่านั้นเองครับ

    พุทธทาส:-แมวเห็นหนูก็จะตะครุบกิน นี่พวกที่เถรตรงก็ว่าแมวบาป แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็บาป อย่างนี้ เราก็มีความเห็นด้วยไม่ได้ แมวไม่มีเจตนาฆ่าหนู มันจะกินเท่านั้น แต่พวกอาจารย์บางพวก บางกลุ่มเขาจัดให้แมวนี้เป็นบาป เป็นเวรตกนรก ผูกพันกันกับหนูกลับไปกลับมา เรียกว่า มันขาดศีล แต่อาตมาเห็นว่า แมวไม่มีเจตนาฆ่า มันมีความรู้สึกแต่จะกินเท่านั้นแหละ เห็นหนูก็คือเห็นอาหาร เป็นอาหารก็กินเท่านั้นแหละ

    คัดบางตอนจากหนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๗๘-๑๘๒


    ข้อนี้เป็นความจริงคะเพราะว่าการทำสัตว์ตาย ก็จะขาดศีล ปาณาติบาต ข้อที่ ๑ นั้นมันต้องมีเจตนาฆ่านะ ไม่ใช่เจตนาอย่างอื่น นี่เป็นบัญญัติขึ้นว่า มีเจตนาอย่างนั้น แล้วพยายามอย่างนั้น แล้วทำจนตายนั้น ก็ขาดศีลข้อนี้โดยตรง หรือแม้แต่เป็นบางส่วนที่ร่วมมือ ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เจตนานั้นมันนึกในใจใครจะไปรู้ของใคร ฉะนั้น จึงวางไว้เป็นหลักว่า แล้วแต่เจตนา
    ที่จะยกตัวอย่างที่รุนแรงที่สุด ก็เช่นว่า เพชฌฆาตเขาต้องประหารชีวิตคนตามคำสั่งของศาล เพชฌฆาตคนนี้จะขาดศีลปาณาติบาตข้อหนึ่งหรือหาไม่?

    ถ้าเราตอบตามหลักนี้ก็ว่า แล้วแต่เจตนาของเพชฌฆาตคนนั้น ถ้าเป็นเพชฌฆาตที่ไม่ได้รับการอบรมศึกษาอะไร มันทำไปด้วยความโกรธแค้นเจตนาจะฆ่าให้ตายด้วยความโกรธแค้น หรืออะไรก็ตาม มันก็ต้องขาดศีลข้อปาณาติบาต แต่ถ้ามันเป็นเพชฌฆาตที่ได้รับการอบรมสั่งสอนดี ไม่มีเจตนาจะฆ่า มีเจตนาแต่จะปฏิบัติเพื่อความยุติธรมในโลก มันมีความบริสุทธิ์ใจอย่างนี้จริงๆ ไม่มีเจตนาฆ่า เพชฌฆาตคนนี้ไม่ขาดศีลปาณาติบาต มันต้องมีเจตนาจะฆ่า เช่น เราจะซื้อปลากระป๋องมากินอย่างนี้ แล้วจะมาปรับให้เราเป็นบาปเพราะว่าเขาต้องฆ่า หรือมีส่วนให้เขาฆ่ามากขึ้น อย่างนี้ไม่มีเหตุผล

    การไปซื้อปลากระป๋องมากิน ไม่ใช่มีเจตนาจะฆ่า ถ้าเทียบเท่านี้ปรับให้เป็นบาปละก็ไม่ต้องกินอะไรกันละ กินข้าวก็ต้องบาป เพราะว่าการกินข้าวนั้น ทำให้ต้องมีการไถนา เมื่อมีการไถในระหว่างรอยไถนั้น มันแดงฉานไปด้วยเลือดของสัตว์มากมาย คือมันต้องตายจะตายมากกว่าที่ไปฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ทีละตัวเสียด้วยซ้ำไป ตัวเล็กตัวน้อย ไส้เดือน ตัวอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันตายมากมายในรอยไถ แล้วคนกินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถ แล้วคนที่กินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขายจะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถหรือไม่? คนกินข้าวมันไม่มีเจตนาจะฆ่าสัตว์เช่นเดียวกับคนซื้อปลากระป๋องมากิน ก็ไม่ได้เจตนาจะฆ่าสัตว์ มันก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มันก็ไม่ด่างไม่พร้อยอะไรเลย เว้นแต่เขาจะอุตริ จะเกิดสงสัยขึ้นมามีจิตหม่นหมอง ก็คงจะด่างพร้อยไปบ้าง

    อนึ่ง ถ้าว่ามีเจตนาอย่างอื่น ไม่ใช่เจตนาฆ่าก็ไม่บาปด้วยปาณาติบาต หรือไม่ขาดศีล เรายังต้องทำอะไรหลายอย่างที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่ต้องเจตนา เช่น เป็นพวกตัวพยาธิกินยาถ่าย ถ้ากินเพียงเพื่อรักษาชีวิต ป้องกันตัวเองมันก็ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ต้องบาป แต่ว่าบางคนมันโกรธ โกรธตัวพยาธิกินยาเจตนาฆ่าตัวพยาธิจริงๆ มันก็ต้องขาดศีลเพราะมันเจตนาฆ่าตัวพยาธิในท้อง ไส้เดือนก็ดี ตัวตืดก็ดี ต้องทำใจให้ดีๆ นะ ไม่เช่นนั้นจะขาดศีล

    ถ้ามีเจตนาโกรธแค้น กูจะฆ่ามึง นี่มันก็ต้องขาดศีล แต่ถ้าเจตนาตั้งไว้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตตนเองอย่างนี้ พระเจ้า พระสงฆ์ก็กิน แม้แต่พระอรหันต์ก็ฉันยาถ่าย ซึ่งทำให้พยาธิในท้องต้องตายไปไม่มากก็น้อย

    ที่จะเป็นปัญหามากก็เช่นว่า แมวเห็นหนูก็จะตะครุบกิน นี่พวกที่เถรตรงก็ว่าแมวบาป แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็บาป อย่างนี้ เราก็มีความเห็นด้วยไม่ได้ แมวไม่มีเจตนาฆ่าหนู มันจะกินเท่านั้น แต่พวกอาจารย์บางพวก บางกลุ่มเขาจัดให้แมวนี้เป็นบาป เป็นเวรตกนรก ผูกพันกันกับหนูกลับไปกลับมา เรียกว่า มันขาดศีล แต่อาตมาเห็นว่า แมวไม่มีเจตนาฆ่า มันมีความรู้สึกแต่จะกินเท่านั้นแหละ เห็นหนูก็คือเห็นอาหาร เป็นอาหารก็กินเท่านั้นแหละ แต่ความหมายของคำว่า "ฆ่า" ฆ่าให้ตาด้วยความโกรธนั้นมันไม่มี นี่ไปคิดดูเถิดว่า การทำให้ตายโดยไม่มีเจตนานั่นนะไม่เป็นบาป ไม่ขาดศีลปาณาติบาต นี้เราทำอะไรได้ ที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่เจตนานั้นมันทำได้

    ลองเช็คได้เลยคะที่
    ปุจฉา-วิสัชนา1


    พระเถือนผู้ไม่เคารพปฎิบัติในกฏกติกาพระธรรมวินัย

    พุทธทาส:-"เป็นพระเถื่อนเหมือนนกวิหคหงส์
    ย่อมบินตรงไปได้ทิศไหนไหน
    เป็นอิสระอยากผละสังคมใด
    ก็ผละได้ทันใจไม่อัดแอ
    เอ็นดูฉันขอให้ฉันเป็นพระเถื่อน
    มีหมู่ไม้เป็นเพื่อนทุกกระแส
    มดแมลงแสดงธรรมอยู่จำเจ
    ไพเราะแท้ไม่มีเบื่อเหลือกล่าวเอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2012
  2. อธิฎฐาน

    อธิฎฐาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,610
    ก็ถูกแล้วนี่คะ แมวคงแยกแยะไม่ได้ว่าการกินหนูเป็นบาป มันเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของแมว ที่จะกินอาหารประทังชีวิตเท่านั้น จะให้แมวไปกินมังสวิรัติเหรอไง
    ตลกง่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...