รักษาโรคด้วยตนเอง โดยใช้พลังแสง(โพสต์แรกนะคะ)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 6 ธันวาคม 2012.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ทำไมเราจึงไม่ควรอดมื้อเช้าในช่วงลดน้ำหนัก > อาหารเช้าช่วยสตาร์ทเครื่องเมตาบอลิซึ่ม เพราะในระหว่างที่เราหลับ ระบบเผาผลาญจะทำงานเฉื่อยลงมาก ซึ่งอาหารเช้านี่แหละจะช่วยให้มันกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง แล้วคุณก็จะเผาผลาญแคลอรีได้ดีขึ้น > เมื่อคุณอดมื้อเช้า มีโอกาสที่คุณจะหิวโซจนเริ่มคว้าของว่างในช่วงตอนสาย ๆ ที่อาจให้แคลอรีสูง จะทำให้เสียแผนลดน้ำหนักได้ และแน่นอนว่าพอถึงมื้อกลางวัน คุณก็จะกินแบบไม่อั้นเลย > อาหารเช้าช่วยกระตุ้นพลังสมอง ไม่ว่าจะเป็นในการทำงานหรือเรียน และยังช่วยให้คุณมีพลังในการออกกำลังกายได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงภาวะอารมณ์ให้คุณอารมณ์ดี รู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า > หากคุณไม่รู้สึกหิวในช่วงเช้า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้สึกหิวในช่วงเช้าอันแสนสั้นก่อนไปทำงาน คงเป็นเพราะร่างกายคุ้นชินกับการได้รับแคลอรีในภายหลัง อย่างไรก็ตาม คุณควรฝึกกินอาหารสุขภาพในมื้อเช้า ค่อยๆ เริ่มไปทีละนิด แล้วร่างกายคุณก็จะเคยชิน ทีนี้คุณจะรู้สึกดีจนต้องถามตัวเองว่าก่อนหน้านี้พลาดมื้อเช้าไปได้ยังไงกันนะ
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    "ปวดฟันแก้ด้วยสมุนไพร" ปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่หลายคนต้องเจอ คืออาการปวดฟัน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาจเพราะฟันผุ ฟันคุด เหงือกอักเสบ หรือฟันร้าว ฟันแตก ถ้าลองไปถามถึงวิธีบรรเทาอาการปวดฟันในเบื้องต้นจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะรีบไปทำความสะอาดฟัน ด้วยการแปรงฟันและกลั้วปากเบาๆ ถ้ายังไม่ทุเลาก็จะกินยาแก้ปวดสกัดอาการเอาไว้ แต่หากทำทั้งหมดแล้วยังไม่หาย หรือเป็นๆ หายๆ จึงจะตัดสินใจไปพบทันตแพทย์ นอกเหนือจากวิธีบรรเทาปวดฟันข้างต้นแล้ว รู้หรือไม่ว่ายังสามารถใช้สมุนไพรเข้าช่วยได้เช่นกัน โดยเฉพาะ “กานพลู” ที่ถือเป็นเครื่องเทศยอดฮิตสำหรับการทำอาหารอินเดีย สรรพคุณทางยาในแง่ที่ใช้สยบอาการปวดฟันนั้น คนเก่าคนแก่จะนำกานพลูส่วนดอกตูมแบบแห้งที่ยังมีขั้วดอกติดอยู่ด้วย อมใส่ปากใกล้ๆ กับบริเวณที่ปวด บ้างก็นำไปตำพอแหลกก่อนผสมกับเหล้าขาวเล็กน้อย นำสำลีมาชุบแล้วจับไปอุดตรงจุดปวด อย่างไรก็ตาม มีการพัฒนาให้ใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยนำดอกกานพลูสกัดเป็นน้ำมันพร้อมใช้ทาแก้ปวด ถือเป็นการดึงเอาสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ ช่วยให้เกิดความรู้สึกชาแทนที่อาการปวดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สามารถออกฤทธิ์อยู่ราว 90 นาที ใครกำลังปวดฟัน ลองใช้กานพลูช่วยบรรเทาดู แต่ถ้าใช้แล้วยังไม่หาย แนะพบทันตแพทย์จะดีกว่า. แหล่งที่มา :เดลินิวส์ออนไลน์
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    พักยกค่ะ ^^
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สาวๆ รู้ไหมค่ะว่า มะนาว ทำให้เราสวยขึ้น ก็ด้วยความเปรี้ยวเนี่ยแหละค่ะ ที่มีวิตามินซีสูง ก็เลยมีผู้คิดค้นสูตรมาพอกหน้าขัดผิดกันอย่างมากมาย เราก็เลยจะหยิบยกมารวบรวมให้คุณๆ ซะหน่อย เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยค่ะ ไปดูสูตรต่างๆ กันเลยดีกว่า

    อ้อ…! ก่อนที่เราจะพอกหน้านั้น เราควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะคะ เพราะว่าถ้าหากเราพอกเลย สิ่งสกปรกบนใบหน้าเราอาจจะยิ่งจับก้อนกันและทำให้เราเกิดสิวอุดตันได้นะคะ

    1. สูตรหน้าใส ลดสิว (ส่วนผสม น้ำมะนาวครึ่งลูก และดินสอพอง 4-5 เม็ด หรือแล้วแต่เราต้องการนะคะ) นำดินสอพองแล ะมะนา วมาผสมให้เข้ากัน (อย่าใส่ มะนาว มากเกินไปนะคะ) จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง ประมาณ 3 เดือน และหลังจากนั้นก็ลดจำนวนครั้งลงค่ะ และสูตรมะนาวกับดินสอพองนี้ ยังสามารถช่วยลดรอยจุดด่างดำที่ขาได้ด้วยค่ะ โดยให้ทาบริเวณขาทุกคืนก่อนนอน ตื่นเช้าค่อยล้างออก ทำเป็นประจำจุดด่างดำก็จะค่อยๆ หายไปค่ะ

    2. สูตรแต้มสิว (ส่วนผสม น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ช้อนชา) ให้นำส่วนผสมทั้งสองมาผสมกันและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต้มที่ตุ่มสิวทิ้งไว้ 30 นาที ล้างออกด้วยโฟมล้างหน้า สิวจะหายไปค่ะ (แต่อาจจะไม่ได้หายภายในครั้งเดียวนะคะ ต้องทำบ่อยๆ)

    3. สูตรหน้าอ่อนวัย ใสปิ้ง (ส่วนผสม น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ) นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้งนะคะ

    4. สูตรลดการตกกระและชะลอการเกิดรอยตีนกา (ส่วนผสม น้ำมะนาว น้ำผึ้ง แป้งหมี่ ไข่แดง) นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน นำมาพอกบนหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง

    5. สูตรหน้าขาวใสเปล่งปลั่ง (ส่วนผสม มะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ และหัวไชเท้า 1/2 ถ้วยตวง) นำส่วนผสมมาปั่นรวมกันให้ละเอียดกลายเป็นเนื้อเดียวกัน นำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

    6. สูตรกระชับรูขุมขน (ส่วนผสม น้ำมะนาว 1 ผล น้ำอุ่นสำหรับล้างหน้า และน้ำเย็นแบบที่แช่ในตู้เย็น) ล้างหน้าให้สะอาดและล้างครั้งสุดท้ายด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับหน้าให้แห้ง และใช้ มะนาว ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกครั้ง

    7. สุตรแก้ข้อศอก หัวเข่าดำด้าน ใช้เปลือก มะนาว ที่บีบน้ำออกหมดแล้ว นำมาขัดๆ ถูๆ ผิวส่วนที่ด้านหรือแตก จะช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น รอยด้านหรือแตกก็จะค่อยๆ จางหายไป

    8. สูตรมือนุ่ม (ส่วนผสม น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ) นำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำตาล เอามาถูกับมือประมาณ 10 – 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นกับสบู่ เช็ดให้แห้งและตามด้วยโลชั่นสำหรับผิว

    9. สูตรฟันขาวๆ เคยได้ยินมาว่า ให้เอาผ้าเช็ดหน้าจุ่มกับน้ำมะนาวและเอามาถูๆๆ ที่ฟัน ฟันเราจะขาวสวย แต่ว่ารสชาติคงจะเปรี้ยวไปทั้งปากเลยล่ะคะ
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ด้วยชีวิตของคนทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่รุมเร้าเข้าทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆโดยไม่รู้ตัว จากพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระดูกสันหลังที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย

    ดังนั้น ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวีถีชีวิตตัวเองใหม่ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง “เพ็ญพิชชากร แสนคำ” นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่ทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

    1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว

    2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

    3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม เช่นการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

    4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น การนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

    5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

    6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

    7. การใส่ส้นสูงเกิน 1นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

    8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

    9. การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

    10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    ข่าวสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    ปีที่ 24 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมกราคม 2551
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!! ... กินเวลา 9.00 – 11.00 น. จะทำให้อิ่มท้องโดยไม่เพิ่มเอว-สะโพก หลายคนคิดว่า “มันเทศ” เป็นอาหารประเภทแป้งยิ่งกินยิ่งเพิ่มน้ำหนัก ขอให้ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน จะพบว่ามันเทศกลับกลายเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก มันเทศมีวิตามินเอสูง ช่วยในเรื่องการมองเห็นได้เป็นอย่างดี มีสารอาหารทรงคุณค่าที่ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินบีส่งผลโดยตรงกับการลดน้ำหนัก วิตามินซี ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม และทำให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้มันเทศยังมีโพแทสเซียม คอปเปอร์ แมงกานีส สารอาหารที่ป้องกันโรคมากมาย รวมถึงโรคมะเร็ง และยังมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ในปริมาณสูงมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว จึงเหมาะมากกับการใช้เป็นอาหารลดน้ำหนัก ในมันเทศ 100 กรัมจะได้แคลอรี่ประมาณ 90-93 แคลอรี่ (ปริมาณความต้องการพลังงานของมนุษย์วันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) อีกทั้งคนส่วนใหญ่จะกินมันเทศได้ไม่มากนัก เพราะมันเทศมีคุณสมบัติไปฟูในท้องทำให้อิ่มเร็ว มันเทศมีอยู่หลายสี เช่นเหลืองอ่อน เหลืองจัด เหลืองส้ม และสีม่วง ทุกสีจัดเป็นแหล่งรวมวิตามินซี สารอาหาร และเส้นใยอาหาร มีข้อมูลว่า หัวมันเทศชนิดหัวสีเหลือง จัดเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนชั้นเยี่ยม วิตามินเอสูง อาจารย์ สุธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดชื่อดัง กล่าวว่ามันเทศมีประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้ โดยให้รับประทานในช่วงเวลา 9.00 – 11.00 น. ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จัดให้มันเทศเป็นอาหารลดหุ่นที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโลกรัม ได้ในชั่วข้ามคืน แหล่งวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน ช่วยให้ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารได้มากขึ้น และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการลดน้ำหนัก มันเทศเป็นคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรตซึ่งปล่อยพลังงานช้า มีกากใยมาก ทำให้อิ่มท้องอยู่ได้โดยไม่เพิ่มเอวหรือสะโพก ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง มันเทศเป็นอาหารพื้นๆ ที่หากินได้ง่ายๆ อาทิ มันเทศต้ม มันเทศเผา มันเทศเชื่อม มันเทศต้มขิง เป็นส่วนผสมสำคัญในขนมไข่นกกระทา หรือนำมาใส่ในแกงเผ็ด เช่นแกงกะหรี่ จะมีรสชาติกว่าใส่มันฝรั่ง เป็นต้น เครดิต: เรียบเรียงจาก อาหารลดน้ำหนัก สูตรลดน้ำหนัก และวฺิธีลดสัดส่วนที่ถูกต้อง บทความเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย โดย อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา (นักธรรมชาติบำบัด) บทความ โดย ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จาก นิตยสาร Slimming มกราคม 2550
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ใกล้วันเด็กกันอีกปีแล้ว ... มีเรื่องเล่าดีๆ ที่เล่าซ้ำทุกปีมาฝากครับ เอิ้กๆๆ

    เด็กอายุเท่าไหร่ ที่ให้แปรงฟันด้วยตัวเองได้??

    จริงๆแล้วหากเด็กสามารถสื่อสาร หยิบจัดแปรงได้ ควรแนะนำให้เด็กแปรง แต่ต้องอยู่ภายใต้การูแลของพ่อแม่ระหว่างแปรงฟัน จนเด็กอายุอย่างน้อย 6 ปี หรือจนกระทั่งพ่อและแม่เห็นว่าแปรงด้วยตนเองสะอาดแล้ว ผมมีวิธีเด็ดๆ มาฝากกันครับ

    1. ให้เด็กแปรงฟัน โดยการเริ่มต้นที่ดี ย่อมไปสู่การปฎิบัติที่ดีด้วย จะให้เด็กแปรงด้วยตนเองตอนอายุประมาณ2-3 ปี แต่พ่อและแม่ต้องคอยแนะนำ สอนด้วยทุกครั้ง
    2. ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรค์ เมื่อเด็กหัดบ้วนได้แล้ว บีบยาสีฟันเท่าเมล็ดถั่วเขียว ระวังอย่าให้เด็กกลืน !!
    3. จำกัดของหวาน ขนมขบเคี้ยว ไม่เช่นนั้น เด็กจะได้รับแต่น้ำตาลจนฟันผุ
    4. สอนแปรงฟันกับตุ๊กตา ให้เด็กสนุก ผ่านการสอนแบบสาธิตครับ
    5. แปรงสองครั้งก่อนนอนและตอนเช้า หากมีเพลงประกอบด้วยจะดีมาก
    6. มีชาร์ตให้คะแนน อาจจะเป็นดาวสวยๆ (อันนี้เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว อิอิ)
    7.แปรงฟันพร้อมๆกันทั้งพ่อ แม่ ลูก เพื่อสร้างความอบอุ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กๆ

    --- ที่สำคัญ อย่าขู่เด็กว่า ไม่แปรงเดี๋ยวปวดฟัน หมอฟันจับฉีดยา--- อะไรประมาณนี้ เด็กก็จะคิดเชิงลบกับการมาหาหมอฟันทันที ---

    https://www.facebook.com/photo.php?...16786721.79027.265463766838026&type=1&theater
     
  12. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สุดยอด ยาแก้ไอ จากสมุนไพรในครัว ตำรับยาจาก อ.หมอสมพร โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ขิงแก่ หอมแดง กระเทียม มะนาว เกลือป่น(เล็กน้อย) นำขิง หอมแดง กระเทียม ปริมาณเท่าๆกัน (เสมอกัน) มาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ คลุกเคล้าให้เข้ากัน บีบมะนาว ๑ ผล ตามลงไป แต่งรสด้วยเกลือป่นเล็กน้อย แซมด้วยเปลือกมะนาวตามชอบ... สรรพคุณ... บรรเทา...อาการ ไอเรื้อรัง ไอหอบ ไอมีเสลด หรือ ไอแห้งๆ ให้รำคาญ..ทานบ่อยๆ ทีละน้อย ตามด้วยน้ำอุ่น อาการไอจะชะงัก ชุ่มคอ บำรุงเสียงดีนักแล... ความเผ็ดร้อน ของขิง ยังแก้จุกเสียดได้ดี บำรุงธาตุ แก้คลื่นไส้ และยังช่วยระบบย่อยอาหารได้อย่างดีอีกเช่นกัน หอม กระเทียม ช่วยทำให้หลอดลม ทางเดินหายใจโล่ง ลดเสลด กระตุ้นทางเดินหายใจให้โล่ง ลดน้ำมูก เกลือ ช่วยกวาดคอ ลดเมือกมัน ในขั้วบอด ในหลอดลม มะนาว เปลือกมะนาว รักษาอาการไอ ขับเสมหะ.. ท่านที่ไอมานาน ทานยาเท่าไหร่ ไม่หายสักที ทดลองวิธีนี้ดูสะดวก ประหยัด ปลอดภัย ทำได้ง่าย..ไม่เปลืองเวลา..สรรพคุณ "สุดยอด" ทดลองแล้ว..รับรองผล ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.prachatalk.com/webboard/
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  17. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    10 วิธีง่ายๆ กับการกินอาหารเพื่อให้คุณดูดี ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก 1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง 2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี 3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว 4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ 5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ 6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล 7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30% 8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย 9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด 10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้ ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

    ที่มา : yenta4.com
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  20. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    เสียดาย ครับ
    ผม ข้ามกระทู้ดีๆแบบนี้ไปได้ยังไง
    วันนี้ ไล่อ่านมาได้ 50หน้าครับ

    มีอาการคือ ตัวเลขความดันสูงนิดหน่อย
    แคชต่ ไม่มีอาการปกติ

    รบกวน ขอคำแนะนำ จาก อาจารย์ และ คุณติงติง ครับ

    ทั้งข้อปฎิบัติ และ การป้องกัน

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...