รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ thippayawan ครับ

    เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาหลังจากที่นั่งสมาธิแล้วก็นอนพักผ่อนค่ะ แต่ในขณะที่นอนอยู่จิตก็ยังคงอยู่กับสมาธิแล้วรู้สึกว่ากายของตัวเองลอยอยู่เหนือที่นอนอยู่สักพัก จากนั้นก็หลับไปค่ะ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากที่นั่งสมาธิมาได้เกือบ 2 ปี ก่อนนั้นเวลาที่เคลิ้มๆจะหลับจะรู้สึกว่าจิตวูบอยู่บ่อยๆค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    เป็นอาการที่จะถอดกายทิพย์ครับ
    ถ้าเกิดอาการนี้อีกครั้งนึง

    ให้เราตั้งจิตขอให้พระพุทธองค์ท่านเมตตาสงเคราะห์ นำจิตของข้าพเจ้าออกมาจากกายเนื้อ
    เพื่อให้ข้าพเจ้าได้พิสูจน์ว่าบาปบุญคุณโทษ มิติภพภูมิต่างๆของการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง สามารถสัมผัสได้จริง ด้วยเทอญ

    ใจความประมาณนี้ ไม่ต้องเหมือนทั้งหมดก็ได้ครับ

    เสร็จแล้วให้เราทำใจสบายๆไปเรื่อยๆ ถ้าใจของเราสบายถึงจุดหนึ่ง
    จิตของเราจะออกมาจากกายเนื้อเองครับ

    พอออกมาแล้วก็ให้เราอธิษฐานปักหมุดไว้ก่อน
    เพื่อให้สามารถออกมาได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ที่เราต้องการ

    แล้วก็นึกถึงพระท่าน เดี้ยวท่านจะมาพาไปเที่ยวเองครับ

    ลองนำไปปฏิบัติดูครับ

    ขอให้สามารถออกมาจากกายเนื้อได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    คำว่าไตรลักษณ์ คืออะไรคับ<!-- google_ad_section_end -->

    ไตร คือ สาม
    ลักษณ์ คือ ลักษณะ
    รวมแล้วแปลว่าลักษณะของความจริง อันเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งสามประการ ได้แก่

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ซึ่งใช้ในการพิจารณาวิปัสสนาญาณครับ จะอธิบายคร่าวๆประกอบให้ด้วยครับ

    อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง
    ร่างกายของเรานี่ มันเที่ยงไหม
    ร่างกายของเราไม่กิน ไม่ขับถ่าย ไม่นอน ไม่แก่ ไม่ตาย ได้ไหม
    ก็ไม่ได้
    ซักวันร่างกายของเราก็จะต้องแก่ ต้องตาย ต้องพังทลาย แตกสลายหายไปหมด
    แล้วถ้าเราไปยึดติดกับร่างกายคิดว่ามันจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
    พอมันแก่ มันเจ็บ มันตาย เราก็จะรู้สึกทุกข์ใจ

    ดังนั้นเราก็ควรจะปล่อยวางจากความยึดติดในร่างกาย
    ทำใจของเราให้เบาสบาย มีความสุขใจ

    ทุกขัง คือ เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

    ร่างกายของเรา ถ้าไม่กิน เราหิว เราทรมาน นี่เราทุกข์ไหม
    ก็ทุกข์
    แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะมีอาหารกิน

    เราก็ต้องทำงาน ให้เหนื่อยกาย จะพักผ่อนนอนหลับมีความสุขก็ไม่ได้
    เป็นความทุกข์ไหม
    ก็ทุกข์

    แล้วเราจะมีงานทำได้อย่างไร เราก็ต้องศึกษาเล่าเรียน
    การที่เราต้องศึกษาเล่าเรียนนี้ เป็นความทุกข์ไหม
    มันก็ทุกข์

    ร่างกายนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ เราจะต้องคอยประคับประคองดูแลมันอยู่ตลอดเวลา
    อาการที่เราจะต้องคอยประคับประคองมันนี้ ก็เป็นความทุกข์

    ถ้าเราอยากจะไม่ทุกข์อีกต่อไป เมื่อเราตายจากชาตินี้แล้ว
    เราก็ควรจะตั้งจิตเอาไว้ที่พระนิพพานเพียงจุดเดียว
    เพราะไม่ว่าจะเกิดเป็นพรหม เทพ เทวดา
    สุดท้ายก็ต้องกลับมามีร่างกายเป็นมนุษย์ ให้ต้องดูแล สร้างความทุกข์ใจต่อไป

    อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมได้
    ร่างกายของเรานี้ เป็นตัวเรา ของเรา จริงหรือเปล่า
    แท้ที่จริงก็ไม่ใช่
    เพราะว่าตัวเราที่แท้จริงแล้ว ก็คือ ดวงจิต
    ส่วนร่างกายนี้ซักวันก็ต้องพังทลายแตกสลาย หายไป
    แต่ดวงจิตของเรา จะต้องดำรงอยู่ต่อไป และเดินทางไปยังภพภูมิต่อไป
    ตามความดีความชั่วที่เราได้กระทำ

    ดังนั้นเราก็ไม่ควรจะติดใจ บำรุงบำเรอร่างกายของเรามากจนเกินไป
    เพราะมันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง
    เราควรจะหันมาสนใจ ที่จะดูแลรักษาความสะอาด บริสุทธิ์ให้กับดวงจิต
    ซึ่งเป็นตัวเรา ที่แท้จริง จะดีกว่า

    ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ของเราที่แท้จริง
    ถ้ามันป่วย มันเจ็บ มันจะตาย เราก็ดูแลไปตามที่สมควร
    แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ถ้ามันจะตายขึ้นมาจริงๆ
    เกินที่จะเยียวยาได้ เราก็ควรที่จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่ควรจะเศร้าโศกเสียใจ กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา

    หากเราพิจารณาตามกฏพระไตรลักษณ์
    อารมณ์ใจของเราก็จะเบาสบายมีความสุข ปล่อยวางจากความยึดติดในร่างกาย
    และมีพระนิพพานอันเป็นบรมสุข เป็นที่ไป

    ดังนั้นขอให้ทุกๆคน หมั่นพิจารณาในกฏพระไตรลักษณ์
    เพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย และวัตถุทั้งหลายให้หมดไป
    และมุ่งไปเพียงจุดเดียวคือพระนิพพานอันเป็นสถานที่พ้นทุกข์อย่างถาวร

    ขอให้ทุกคนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  3. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณคุณ Xorce สำหรับคำแนะนำค่ะ
     
  4. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอบคุณมาก ๆ สำหรับอรุปณาณ
    มีความคล้ายคลึงกับวิปัสนามาก ๆ

    ขอให้ทุกท่านสำเร็จในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

    (ทำไมมัน ง่ายเหมือน กสิณเลยหว่า อุปทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ)
     
  5. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ผมลองฝึกแบบจับภาพพระเพชรกำหนดความเวิ้งว่างรู้สึกจิตนิ่งดิ่งเร็วมากคับ

    และก็รู้ตัวเบาสบาย ในที่โล่งกว้าง ๆ มากคับ และรู้สึกว่าตัวเองออกมาอยู่ที่อีกที่หนึ่ง

    แสงจ้าสว่างไสวรู้สึกดีสบายมากคับ และผมไม่รู้สึกว่าผมนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านเลยคับเหมือน

    มาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งเลยคับ และผมก็รู้สึกว่าร่างกายผมเหมือนไม่ได้หายใจแต่มันก็รู้สึก

    สบาย คือผมสงสัยว่าจิตผมแยกจากกายมั๊ยคับ ขอบคุณมากคับสำหรับคำแนะนำ

    (......ทำตามที่คิด คิดตามที่ทำ........)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2009
  6. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอบคุณมากครับจะลองไปปฏิบัตดูช่วงก่อนหน้านี้นอนเร็ว หน่ะครับเป็นไข้ (วันนี้ก็ยังไม่หายดี)

    เพราะห้องนี้ตั้งแต่อยู่มามันรู้สึกแปลกๆ ชอบกลๆ ทำอะไรที่ทำให้จิตใจสงบไม่ค่อยได้มีเรื่องให้จิตใจฟุ้งซ่านตลอด
     
  7. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    สวัสดีค่ะ คุณ Xorce

    เมื่อวันก่อน แว๊ด นอนเล่น จับลมหายใจ แทนพองยุบ(ทำทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอนค่ะ)

    จับแบบว่า หายใจเข้า บริกรรม โอม(ไล่ดูตามลมหายใจลงไป รู้สึกว่าลมได้แค่ไหนแค่นั้นคะ)

    หายใจค้างไว้ บริกรรม มณีปัทเม

    หายใจออก บริกรรม หุงหริ (ไล่ดูตามลมหายใจออก ว่ากระทบอะไรบ้าง จับเท่าที่จับได้)

    ทีนี้เมื่อวันก่อน ก็นอนจับเล่น ๆ แบบไม่เครียด ความรู้สึกคือ ตัวเบา โหวง โปร่ง (เหมือนไม่มีร่างกาย รู้อยู่แต่ข้างใน) จากนั้นพอหายใจเข้า รู้สึกตามลมหายใจได้ลงไปถึงข้างล่าง แบบเหมือนถึงก้นกบอะคะ

    พอหายใจออก ก็รู้ว่าลมเขากระทบ ท้อง อก ระหว่างคิ้ว แล้วกระทบกระหม่อม มีลมออกที่กระหม่อมนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะติดที่กระหม่อมคะ คล้ายกับว่า ติดเพดาน เป็นอยู่ 3-4 ครั้งได้ จากนั้นจึงรู้สึกตัวทั่วพร้อมคะ

    รบกวนด้วยคะ ขอบคุณคะ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    ขอบคุณมาก ๆ สำหรับอรุปณาณ
    มีความคล้ายคลึงกับวิปัสนามาก ๆ

    ขอให้ทุกท่านสำเร็จในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

    (ทำไมมัน ง่ายเหมือน กสิณเลยหว่า อุปทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ)<!-- google_ad_section_end -->

    อนุโมทนาด้วยครับ ที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย จากเพียงแค่การอ่านเท่านั้น

    เพราะอรูปคล้ายกับวิปัสสนาญาณมาก
    จึงได้มีผู้หลงเข้าใจผิดว่า
    อรูปฌาณ เป็นพระนิพพาน
    หรือว่า สำเร็จอรูปแล้ว ก็สำเร็จอรหันต์

    ซึ่งมีผู้เข้าใจผิดอยู่เยอะเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ต้องระวังครับ
    แต่ถ้าเราเข้าใจพระนิพพานแล้ว
    พอมาทำอรูปก็จะเข้าใจครับ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ผมลองฝึกแบบจับภาพพระเพชรกำหนดความเวิ้งว่างรู้สึกจิตนิ่งดิ่งเร็วมากคับ

    และก็รู้ตัวเบาสบาย ในที่โล่งกว้าง ๆ มากคับ และรู้สึกว่าตัวเองออกมาอยู่ที่อีกที่หนึ่ง

    แสงจ้าสว่างไสวรู้สึกดีสบายมากคับ และผมไม่รู้สึกว่าผมนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านเลยคับเหมือน

    มาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งเลยคับ และผมก็รู้สึกว่าร่างกายผมเหมือนไม่ได้หายใจแต่มันก็รู้สึก

    สบาย คือผมสงสัยว่าจิตผมแยกจากกายมั๊ยคับ ขอบคุณมากคับสำหรับคำแนะนำ

    (......ทำตามที่คิด คิดตามที่ทำ........)<!-- google_ad_section_end -->

    อนุโมทนาด้วยครับ

    จิตแยกกับกายแน่นอนครับ

    รู้สึกว่าสำหรับอรูปนี่ จะทำได้ดีกันหลายคน
    เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ

    แต่สำหรับอรูปก็มีข้อเสียเหมือนกัน
    คือหากเราตายในอรูปนี้ เราจะกลายเป็นอรูปพรหม ทำให้ไม่สามาถจะบรรลุธรรมได้
    และจะใช้บุญที่เรามีจนหมด แล้วก็ต้องมานับหนึ่งใหม่

    ดังนั้นอรูปฌาณ เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการประหารกิเลส
    แต่เราต้องไม่หลงคิดว่า อรูปนี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์ หรืออรูปเป็นพระนิพพาน

    เราจะต้องพัฒนาจิตต่อไป จนสามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างแท้จริงได้

    และสำหรับใครที่จะฝึกมโนมยิทธิ หรือได้มโนมยิทธิแล้ว
    ให้เราเข้าอรูปฌาณ ชำระจิตให้ใสสะอาดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยฝึกหรือใช้มโน
    จะพบว่ามีความแจ่มใสมากกว่าเดิมครับ

    สำหรับคนที่ได้อรูปแล้วนะครับ สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไป ก็คือ
    ฝึกมโนมยิทธิจนสามารถเข้าใจถึงสภาวะของพระนิพพานที่ถูกต้องได้

    และคนที่ได้เข้าใจถึงสภาวะของพระนิพพานแล้ว
    ก็ให้เราฝึกประคองอารมณ์พระนิพพาน เอาไว้ให้ได้ทุกขณะจิต
    และเมื่อเราตายชาตินี้เมื่อไหร่ เราก็จะมีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอนครับ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ แว๊ด ครับ

    เมื่อวันก่อน แว๊ด นอนเล่น จับลมหายใจ แทนพองยุบ(ทำทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอนค่ะ)

    ปฏิบัติตลอดทั้งวันเลย อนุโมทนาด้วยครับ

    จับแบบว่า หายใจเข้า บริกรรม โอม(ไล่ดูตามลมหายใจลงไป รู้สึกว่าลมได้แค่ไหนแค่นั้นคะ)

    หายใจค้างไว้ บริกรรม มณีปัทเม

    หายใจออก บริกรรม หุงหริ (ไล่ดูตามลมหายใจออก ว่ากระทบอะไรบ้าง จับเท่าที่จับได้)

    ทีนี้เมื่อวันก่อน ก็นอนจับเล่น ๆ แบบไม่เครียด ความรู้สึกคือ ตัวเบา โหวง โปร่ง (เหมือนไม่มีร่างกาย รู้อยู่แต่ข้างใน) จากนั้นพอหายใจเข้า รู้สึกตามลมหายใจได้ลงไปถึงข้างล่าง แบบเหมือนถึงก้นกบอะคะ

    ตอนนี้ จิตเข้าเป็นฌาณละเอียดครับ

    พอหายใจออก ก็รู้ว่าลมเขากระทบ ท้อง อก ระหว่างคิ้ว แล้วกระทบกระหม่อม มีลมออกที่กระหม่อมนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะติดที่กระหม่อมคะ คล้ายกับว่า ติดเพดาน เป็นอยู่ 3-4 ครั้งได้ จากนั้นจึงรู้สึกตัวทั่วพร้อมคะ

    ลมเคลื่อนตั้งแต่กระหม่อมถึงก้นกบ
    เป็นการทะลวงเปิดจักระ หรือทะลวงเส้นลมปราณครับ
    ทำให้ร่างกายแข็งแรง ประสาทสัมผัสดีขึ้น

    อารมณ์ในขั้นนี้ที่เราต้องการ
    ก็คือลมหายใจหยุด ลมหายใจหายไป จิตมีอาการหยุดนิ่ง หยุดคิด


    ขอให้ลองนำไปปฏิบัติเพิ่มเติมดูครับ
    เวลาเราจับลมหายใจสบายๆ ให้เราดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่งลมหายใจของเราช้าลงๆ จนหยุดครับ
    พอลมหายใจของเราหยุดแล้ว
    ก็ให้เราประคองความนิ่งของจิต อาการที่จิตหยุดนิ่ง หยุดคิด เอาไว้นานตามที่เราต้องการครับ

    เสร็จแล้ว ก็ให้เราอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ด้วยครับ


    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งความสงบ อาการหยุดนิ่งของจิต ได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอพระราชอนุญาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นำคำสอนบางตอนที่ได้จาก มโนมยิทธิ
    หลังจากฝึก อรูปณาณ แล้วก็ขึ้นไปบนพระนิพพานเพื่อไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกล่าวเตือนว่า "อย่าหลงใน ญาณทั้งแปด ถึงแม้จะสุขมาเพียงใด จงใช้เป็นกำลังในการเข้าวิปัสนาญาณ จะพบสุขที่แท้จริง"
    ใครคิดว่าเป็น อุปทาน ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ
    แต่สำหรับผมแล้วเหมือนเป็นการเตือน อย่างดีครับ

    ขอบคุณสำหรับคำเตือนจากคุณ Xorce มาก ๆ ครับ
    อารมณ์คล้ายคลึงแต่จริง ๆ แล้วแตกต่าง

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  12. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    อาการร้อนที่เคยมี เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยรู้สึกแล้ว ช่วงนี้ให้หัวผมคิดอะไรฟุ้งซ่านไปหมด

    ช่วงนี้ กินข้าวก็จะแผ่ส่วนบุญให้สัตว์ ที่เรากินตลอด มะวานนี้นอนท่องสัพเพ จนหลับไปเลย

    ผมรู้ว่าทำไมฟุ้งซ่าน แต่ผมก็ไม่ได้ค้นคว้าอะไรอ่านเพิ่มแล้ว ความคิดเก่าๆเดิมๆ ที่เคยค้นคว้ามามันทำให้เรานึกถึงอดีต หรือไม่ก็พวก คำสอนบางข้อ ก่อนหน้านี้ศึกษาอะไรที่มากเกินตัว พึ่งรู้ว่าหากเราปฏิบัติไปถึงช่วงหนึ่งก็รู้เอง เข้าใจเอง อะไรที่เคยสงสัย ก็แก้มันตกได้

    ช่วงนี้ใจผมสงบดี ทุกข์บ้างสุขบ้าง เรื่อยๆ เปื่อยๆ

    ผมชอบประโยคนี้ของนิกาย อะไรซักอย่างนึงมาก "ความสุขมิใช่ต้องสร้างไม่จำเป็นต้องค้นหาเพราะมันไม่มีอยู๋จริงดั่งเช่นความทุกข์ ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น" เคยอ่านเจอจากพวกหนังสือต่างๆ

    ผมตั้งจิตอฐิษฐานอยู่ว่า นับแต่นี้(ก่อนกลับมานั่งสมาธิ) บุญที่ข้าพเจ้าได้ทำขอให้ส่งผลถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะมีชีวิตอยู่ก็ดีไม่มีชีวิตอยู่ก็ดี นับแต่นี้จนข้าพเจ้าออกจากสมาธิ ไม่ทราบว่ามันจะเหมือนกับที่เราแผ่เมตตาหรือเปล่าผมก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมาย เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพราะไปรวมๆความรู้จากหลายแนวทางมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  13. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับ พี่ชัด ผมไม่ยึดอะไรมาแล้วกับตัวตนในร่างนี่ เท่ากับเมื่อก่อน ตอนนี้เริ่มชักปลงสังขาร บางทีเราเผลอ ไปว่าตอนนี้เราเป็นดวงๆ จำหน้าตัวเองไม่ได้เพราะมันไม่ยั่งยืนเปลี่ยนไปเรื่อยๆก็เลยกลายเป็นว่างเปล่า ไป บางทีผมตัวผมไม่ใช่ตัวผมด้วยซ้ำ แต่จิตใช้ ของเราแน่นอน พักหลังมันจะคิดอย่างนี้ เป็นยู่แบบนี้ ผมยอมรับเป็นคนที่เบื่อง่ายแต่ไม่ละความตั้งใจ ตอนแรกกะจะทำงานที่ผมเคยบอกแต่ช่วงก่อนหน้านี้โปรแกรมยังไม่พร้อม ตอนนี้พร้อมแล้วก็เพลีอเพียงแต่ ผมได้ไปสัมผัสเอง ได้ไปด้วยตัวเอง และกำลังใจยังไม่พอ คราวก่อนก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะทีเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ข้ามจุดที่หัวเลี้ยวหัวต่อไปได้ก็คงต้องทำกำลังจิตหากำลังใจ เพิ่มพูลบารมี จึงจะไปยังถึงฝั่งได้ ตอนนี้ก็คงต้องทำควบคู่กับงานทางโลก ก็คงจะค่อยๆทำไปแต่ยังไม่มีแบบแปลนแบบแผนอะไรเลยโครงการครั้งนี้ยังไม่ค่อยได้เริ่มสักเท่าไหร่แต่ผมได้แนวคิดเพิ่มครับ ว่า
    ถ้าผมทำเป็นในรูปแบบสามารถบังคับให้ไปไหนมาไหนได้ล่ะ ทำดี หรือ ทำไม่ดีจะได้ผลอย่างไร ช่วยสอนผู้นั้นด้วย น่าจะดีกว่าที่ทำเป็นรูปแบบ movie แต่คงจะทำมาเป็น movie ก่อนที่จะถึงขั้นนั้น ขอบคุณครับ

    อ่อ วิธีหากำลังใจเพื่อ เพิ่มกำลังจิต กำลังใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่ ผมขอวิธีเพิ่งกำลังใจโดยรวมๆได้ไหมครับ เผื่อผมจะปรับนำไปใช้หน่ะครับ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    ขอพระราชอนุญาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นำคำสอนบางตอนที่ได้จาก มโนมยิทธิ
    หลังจากฝึก อรูปณาณ แล้วก็ขึ้นไปบนพระนิพพานเพื่อไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกล่าวเตือนว่า "อย่าหลงใน ญาณทั้งแปด ถึงแม้จะสุขมาเพียงใด จงใช้เป็นกำลังในการเข้าวิปัสนาญาณ จะพบสุขที่แท้จริง"
    ใครคิดว่าเป็น อุปทาน ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ
    แต่สำหรับผมแล้วเหมือนเป็นการเตือน อย่างดีครับ

    อารมณ์คล้ายคลึงแต่จริง ๆ แล้วแตกต่าง


    อนุโมนาด้วยครับ เป็นจริงตามนั้นครับ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    อาการร้อนที่เคยมี เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยรู้สึกแล้ว ช่วงนี้ให้หัวผมคิดอะไรฟุ้งซ่านไปหมด

    ช่วงนี้ กินข้าวก็จะแผ่ส่วนบุญให้สัตว์ ที่เรากินตลอด มะวานนี้นอนท่องสัพเพ จนหลับไปเลย

    ผมรู้ว่าทำไมฟุ้งซ่าน แต่ผมก็ไม่ได้ค้นคว้าอะไรอ่านเพิ่มแล้ว ความคิดเก่าๆเดิมๆ ที่เคยค้นคว้ามามันทำให้เรานึกถึงอดีต หรือไม่ก็พวก คำสอนบางข้อ ก่อนหน้านี้ศึกษาอะไรที่มากเกินตัว พึ่งรู้ว่าหากเราปฏิบัติไปถึงช่วงหนึ่งก็รู้เอง เข้าใจเอง อะไรที่เคยสงสัย ก็แก้มันตกได้

    ช่วงนี้ใจผมสงบดี ทุกข์บ้างสุขบ้าง เรื่อยๆ เปื่อยๆ

    ผมชอบประโยคนี้ของนิกาย อะไรซักอย่างนึงมาก "ความสุขมิใช่ต้องสร้างไม่จำเป็นต้องค้นหาเพราะมันไม่มีอยู๋จริงดั่งเช่นความทุกข์ ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น" เคยอ่านเจอจากพวกหนังสือต่างๆ

    ผมตั้งจิตอฐิษฐานอยู่ว่า นับแต่นี้(ก่อนกลับมานั่งสมาธิ) บุญที่ข้าพเจ้าได้ทำขอให้ส่งผลถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะมีชีวิตอยู่ก็ดีไม่มีชีวิตอยู่ก็ดี นับแต่นี้จนข้าพเจ้าออกจากสมาธิ ไม่ทราบว่ามันจะเหมือนกับที่เราแผ่เมตตาหรือเปล่าผมก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมาย เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพราะไปรวมๆความรู้จากหลายแนวทางมา<!-- google_ad_section_end -->

    อันนี้ก็เป็นอารมณ์ของเมตตาครับ

    ตอนนี้ขอให้เราหมั่นแผ่เมตตา
    ประคองอารมณ์จิตให้มีแต่ความชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอม เอาไว้ตลอดเวลาเลยครับ

    ขอให้มีแต่ความสุขกาย สบายใจ ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ขอบคุณครับ พี่ชัด ผมไม่ยึดอะไรมาแล้วกับตัวตนในร่างนี่ เท่ากับเมื่อก่อน ตอนนี้เริ่มชักปลงสังขาร บางทีเราเผลอ ไปว่าตอนนี้เราเป็นดวงๆ จำหน้าตัวเองไม่ได้เพราะมันไม่ยั่งยืนเปลี่ยนไปเรื่อยๆก็เลยกลายเป็นว่างเปล่า ไป บางทีผมตัวผมไม่ใช่ตัวผมด้วยซ้ำ แต่จิตใช้ ของเราแน่นอน พักหลังมันจะคิดอย่างนี้ เป็นยู่แบบนี้ ผมยอมรับเป็นคนที่เบื่อง่ายแต่ไม่ละความตั้งใจ ตอนแรกกะจะทำงานที่ผมเคยบอกแต่ช่วงก่อนหน้านี้โปรแกรมยังไม่พร้อม ตอนนี้พร้อมแล้วก็เพลีอเพียงแต่ ผมได้ไปสัมผัสเอง ได้ไปด้วยตัวเอง และกำลังใจยังไม่พอ คราวก่อนก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะทีเดียวแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ข้ามจุดที่หัวเลี้ยวหัวต่อไปได้ก็คงต้องทำกำลังจิตหากำลังใจ เพิ่มพูลบารมี จึงจะไปยังถึงฝั่งได้ ตอนนี้ก็คงต้องทำควบคู่กับงานทางโลก ก็คงจะค่อยๆทำไปแต่ยังไม่มีแบบแปลนแบบแผนอะไรเลยโครงการครั้งนี้ยังไม่ค่อยได้เริ่มสักเท่าไหร่แต่ผมได้แนวคิดเพิ่มครับ ว่า
    ถ้าผมทำเป็นในรูปแบบสามารถบังคับให้ไปไหนมาไหนได้ล่ะ ทำดี หรือ ทำไม่ดีจะได้ผลอย่างไร ช่วยสอนผู้นั้นด้วย น่าจะดีกว่าที่ทำเป็นรูปแบบ movie แต่คงจะทำมาเป็น movie ก่อนที่จะถึงขั้นนั้น ขอบคุณครับ

    ค่อยๆเป็นขั้นเป็นตอนไปก็แล้วกันครับ
    เราลองเริ่มจากแค่ภาพนิ่งก่อน ก็ได้ครับ
    ค่อยไล่จากง่ายเป็นยาก หยาบไปละเอียด จะทำได้ง่ายกว่าครับ

    อ่อ วิธีหากำลังใจเพื่อ เพิ่มกำลังจิต กำลังใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่ ผมขอวิธีเพิ่งกำลังใจโดยรวมๆได้ไหมครับ เผื่อผมจะปรับนำไปใช้หน่ะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    วิธีที่ผมคิดว่าดีที่สุด
    ก็คงจะเป็นการฝึกทำอารมณ์จิตของเราให้เปี่ยมด้วยความชุ่มเย็นจากเมตตา
    และทำให้อารมณ์จิตที่เปี่ยมด้วยเมตตาของเรานั้น ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป

    ยิ่งเรามีความเมตตามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งอยากทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น
    ดังนั้นเมตตา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
    ในการทำให้จิตของเรามีความตั้งมั่นในสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    และจะเป็นดั่งเข็มทิศนำทาง ตลอดทั้งการเดินทางของเราในสังสารวัฏ

    ผมจึงอยากจะให้ทุกๆคน ได้เห็นถึงความสำคัญของเมตตาอัปปมาณฌาณ
    และฝึกทรงอารมณ์จิตให้เปี่ยมด้วยเมตตา เอาไว้ให้ได้ทุกๆขณะจิต
    เพื่อความสุขกาย สบายใจทั้งของเรา และผู้อื่นครับ

    ขอให้ทุกๆคน สามารถทรงอารมณ์จิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา อันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณต่อผู้อื่น ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  17. Actives

    Actives เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +2,266
    สวัสดีครับ ตอนนี้เริ่มทำสมาธิโดยไม่ต้องเริ่มนับพุทโธใหม่ได้บ้างแล้วครับ ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก

    รบกวนชี้แนะเพิ่มเติมครับ คือผมทำสมาธิดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ลมหายเริ่มบางลงๆ เบาลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นรู้สึกหายใจไม่ออก ลมหายใจไม่พอ ต้องมาเริ่มดูลมหายใจใหม่ แต่ยังคงสมาธิอยู่ ไม่ถึงกับขั้นต้องกลับไปภาวนาพุทโธใหม่ ไม่แน่ใจว่าผมเกร่งเกินไปหรือเปล่าครับ
     
  18. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    การที่เรายอมรับสภาพในตัวตนที่เราอาศัยอยู่ในร่างนี้ โดยถูกส่งผ่านมาทาง ขันต์ทั้ง5 ก็ดี ความตายที่เป็นอัตา ก็ดี แต่ มันก็ยังไม่ลึกซึงมาก ครับแต่ การยอมรับสภาพในตัวตนที่เป็นอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าต้องอาศัยเพื่อดำเนินไปตามวัฏจัก
    ตามสภาพนะครับ

    เมื่อก่อน เดินไปเผลอไปเตะเหล็กโดนหน้าแข้งเขียวเป็นจ้ำตอนที่โดนนั้นรู้สึกเจ็บมากเอามือกุมและก็หายามาทา หาน้ำแข็งมาประคบ

    เดี๋ยวนี้ เดินไปเผลอไปเตะอเหล็กโดนหน้าแข้งเขียวเป็นจ้ำตอนที่โดนความรู้สึกเปลี่ยนไปครับมันจะอธิบายอย่างไรดีคือ ความรู้สึก คล้ายยังกับประสาทคนละอย่างกันเลย มันเหมือนเออ เจ็บนะ (ประสาทรับรู้อาการเจ็บ พอเจ็บแล้ว เหมือนกับ มันอยู่ห่างและพักไว้ ก่อนที่จะส่งมายังจิต ว่าเจ็บ) แต่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นเริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
    ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี -.- มันอธิบายไม่ถูกแฮะ เอาเป็นว่า ประสาทต่างๆรับรู้แล้วก็จำแนกได้ละเอียดและเหมือนกับคนละอย่าง ไม่ใช่อันเดียวกัน ข้อนี้พี่ชัดอธิบายความหมายของข้อความที่ผมเล่าให้ฟังหน่อยครับ ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Actives ครับ

    สวัสดีครับ ตอนนี้เริ่มทำสมาธิโดยไม่ต้องเริ่มนับพุทโธใหม่ได้บ้างแล้วครับ ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก

    อนุโมทนาด้วยครับ

    รบกวนชี้แนะเพิ่มเติมครับ คือผมทำสมาธิดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ลมหายเริ่มบางลงๆ เบาลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นรู้สึกหายใจไม่ออก ลมหายใจไม่พอ

    ต้องมาเริ่มดูลมหายใจใหม่ แต่ยังคงสมาธิอยู่ ไม่ถึงกับขั้นต้องกลับไปภาวนาพุทโธใหม่ ไม่แน่ใจว่าผมเกร่งเกินไปหรือเปล่าครับ<!-- google_ad_section_end -->

    อันนี้เกิดจากเรายังวางอารมณ์ไม่ถูกครับ อาจจะหนักไป หรือเกร็งเกินไป
    จะทำให้รู้สึกอึดอัดเวลาที่ลมหายใจใกล้จะหายไป
    ซึ่งเราจะต้องใช้อารมณ์ที่เบาสบาย ผ่อนคลาย ลมหายใจจึงจะหยุดโดยที่ไม่อึดอัดครับ

    และเพื่อคลายอารมณ์ที่เราเกร็ง หรือว่าอารมณ์หนักไปนี้
    ก่อนที่จะจับลมหายใจให้เรา

    หายใจเข้าลึกๆ สัมผัสถึงความเย็นเบาสบาย ของลมหายใจ จนลมหายใจเต็มปอด
    จากนั้นกักลมหายใจเอาไว้สบายๆ และภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมา ประมาณ10วินาที


    พอครบ10วินาทีจึงหายใจออก และทำซ้ำ10ครั้ง
    เสร็จแล้วให้เราจับลมหายใจเหมือนเดิม ให้เราคอยตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
    ลมหายใจของเราจะช้าลงๆ จนหยุดไปเอง
    จากนั้นก็ประคองลมหายใจที่หยุด จิตที่หยุดนิ่ง หยุดคิด เอาไว้ซักระยะหนึ่ง

    แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมหายใจสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง
    จากนั้นให้เราทรงสมาธิเอาไว้นานตราบเท่าที่เราต้องการ

    พอเราต้องการจะออกจากสมาธิให้เราหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ สามครั้ง
    หายใจเข้าครั้งที่หนึ่ง ภาวนา พุทธ หายใจออกภาวนา โธ
    หายใจเข้าครั้งที่สอง ภาวนา ธัม หายใจออกภาวนา โม
    หายใจเข้าครั้งที่สาม ภาวนา สัง หายใจออกภาวนา โฆ

    แล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    จากนั้นก็ให้เราลองฝึกทรงลมหายใจสบายเอาไว้ตลอดเวลา
    และฝึกในขั้นเมตตาอัปปมาณฌาณต่อไปครับ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    การที่เรายอมรับสภาพในตัวตนที่เราอาศัยอยู่ในร่างนี้ โดยถูกส่งผ่านมาทาง ขันต์ทั้ง5 ก็ดี ความตายที่เป็นอัตา ก็ดี แต่ มันก็ยังไม่ลึกซึงมาก ครับแต่ การยอมรับสภาพในตัวตนที่เป็นอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าต้องอาศัยเพื่อดำเนินไปตามวัฏจัก
    ตามสภาพนะครับ

    เมื่อก่อน เดินไปเผลอไปเตะเหล็กโดนหน้าแข้งเขียวเป็นจ้ำตอนที่โดนนั้นรู้สึกเจ็บมากเอามือกุมและก็หายามาทา หาน้ำแข็งมาประคบ

    เดี๋ยวนี้ เดินไปเผลอไปเตะอเหล็กโดนหน้าแข้งเขียวเป็นจ้ำตอนที่โดนความรู้สึกเปลี่ยนไปครับมันจะอธิบายอย่างไรดีคือ ความรู้สึก คล้ายยังกับประสาทคนละอย่างกันเลย มันเหมือนเออ เจ็บนะ (ประสาทรับรู้อาการเจ็บ พอเจ็บแล้ว เหมือนกับ มันอยู่ห่างและพักไว้ ก่อนที่จะส่งมายังจิต ว่าเจ็บ) แต่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นเริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
    ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี -.- มันอธิบายไม่ถูกแฮะ เอาเป็นว่า ประสาทต่างๆรับรู้แล้วก็จำแนกได้ละเอียดและเหมือนกับคนละอย่าง ไม่ใช่อันเดียวกัน ข้อนี้พี่ชัดอธิบายความหมายของข้อความที่ผมเล่าให้ฟังหน่อยครับ ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ<!-- google_ad_section_end -->

    นี่เป็นผลจากกำลังสมาธิ และวิปัสสนาญาณ
    ซึ่งจะทำให้จิตของเรา ยึดติดในร่างกายน้อยลง

    และทำให้จิตไม่ไปสัมผัสกับอารมณ์ที่เกิดจากร่างกาย เช่น ความเจ็บปวด หรือความทรมาน
    และเมื่อจิตของเราละเอียดขึ้น ประสาทสัมผัสก็จะดีขึ้น และระบบความคิดก็จะมีการไตร่ตรอง มีเหตุผล และการยับยั้งชั่งใจมากขึ้นเช่นกันครับ

    ก่อนหน้านี้ เมื่อมีสิ่งต่างๆมากระทบกระทั่งใจของเรา เราก็อาจจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะไม่ทันได้คิด ได้ไตร่ตรอง

    แต่ตอนนี้ ใจของเราเย็นขึ้น เมื่อเผชิญกับปัญหา เราพิจารณาก่อน ไตร่ตรองก่อน
    จากนั้นจึงค่อยตอบสนอง จึงค่อยตัดสินใจ
    และเห็นว่าปัญหาที่เราเจอนั้น มันไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

    จิตใจที่ชุ่มเย็น ความยับยั้งชั่งใจ การไตร่ตรองที่มากขึ้น
    ก็เป็นผลจากการปฏิบัติ ที่เราสัมผัสได้ครับ

    ขออนุโมทนากับความก้าวหน้าในการปฏิบัติด้วยครับ
    ขอให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางโลก ทางธรรม ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...