รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ด้านกำลังใจมันคงที่ ไม่ถดถอย ยังคงมีในกิเลสในตัวตน (แต่ก็ค่อยๆห่างจากความเป็นคนออกไปเรื่อยๆ) พอนึกถึงสมาธิปุ๊บลมหายใจละเอียดขึ้นสมาธิมาปั๊บทันใดนักแล ลมหายใจละเอียดจนรู้สึกว่ามันหายใจจะว่าลำบากก็ไม่ถ้าหากคนไม่ได้ฝึกกรรมฐานมาก็จะคิดว่า มันหายใจยาก อึดอัดแต่ถ้าหากได้ฝึกแล้วลมหายใจคนละเรื่องกัน ไม่ทราบว่าพี่ชัดเข้าใจความหมายที่ผมกล่าวรึเปล่าคับ
    และผมจะกลับไปห้องทุกวันผมพอจะหาที่ยึดเป็นหลักได้แล้วแต่มันเป็นห้องผมเองเปิดบานหน้าต่างและจะมีแสงไฟจากบ้านอื่นแต่อยู่ไกลออกไปเรามองจะมีประกายเป็นคล้ายๆดาวสีออกขาวฟ้า ตอนนี้จำติดตาได้ดีทีเดียวไม่ทราบว่า อย่างนี้ได้ไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2009
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ทดแทน ครับ

    คือ ผมอยากทราบเกี่ยวกับในการทำสมาธิแล้วให้สนใจที่ลมหายใจ แต่พอเวลาจับที่ลมหายใจ(นั่งสมาธินะครับ)หลังผมจะขอและเอนไปค้างหน้าจนบางทีลงต่ำจนหัวเกือบถึงตักนะครับ แล้วก็เลยต้องมาสนใจเอาที่กายนะครับอยากทราบว่ามีวิธีใดแก้ปัญหานี้ได้บ้างครับ ช่ายตอบด้วยครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ให้เราหาที่พิงหลัง นั่งบนเก้าอี้ หรือนอนก็ได้ครับ
    เราพยายามจัดอิริยาบถของเราให้สบาย
    ไม่จำเป็นจะต้องนั่งขัดสมาธิเสมอไปครับ

    จะได้ไม่ต้องพะวงร่างกาย และหันมารักษาที่ใจแทน
    ไม่งั้นหากเราพะวงที่กาย จิตก็จะไม่เป็นสมาธิ

    พอจิตของเราเป็นสมาธิแล้ว สามารถจดจำอารมณ์ของสมาธิได้แล้ว
    เมื่อถึงตอนนั้น จะนั่งท่าไหนก็ได้ จิตก็จะสามารถประคองสมาธิได้เหมือนกัน

    ลองไปปรับดูนะครับ

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย จนลมหายใจหายไป ได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ว่าด้วยเกี่ยวเนื่อง ของการถอดกายทิพย์หรือถอดจิต ผมได้ไปอ่านและศึกษาตามหนังสือมีบางเล่มที่กล่าวถึง แต่ถึงมันจะเป็นสากลแต่ ก็ได้พระเป็นผู้เผยแผ่การฝึก นั้นว่าด้วย
    นี่ผมจำมาได้ไม่หมดถ้าผิดก็บอกด้วยนะคับ
    จุดแรก จะอยู่ระหว่าง สะดือ ทั้งสองข้าว อยู่ระหว่าง และกำหนดให้ไหลผ่านปลายอวัยวะเพศ ถ้าหากปฏิบัติแล้วรู้สึกขนลุก และเหมือน(เสียววูบๆ ขอภัยใช้คำนี้นะมันอธิบายไม่ถูก) แต่จะไม่มีอารมณ์ทางกามคุณ
    จุดแรกได้แล้ว มาจุดที่สอง คือยู่ระหว่างเชิงกรานกระดูกสันหลัง พยายามให้ไหลผ่าน และเรียวลง ความรู้สึกนั้นร่างกายท่อนล่างจะค่อยๆหายไป พอได้และฝึกจนคล่องแล้ว
    จุดที่สาม คือ อยู่ตรงราวนมลงไปหน่อยนึง หายใจเข้าให้เรียวลง ผ่านลงไปถึงฝ่าเท้า จนรู้สึกถึงฝ่าเท้า จุดนี้ยากที่สุด และจุดสุดท้าย คือตรงกลางหว่างคิ้วแต่อยู่ด้านใน กำหนด ลมหายใจออก เรื่อยๆไม่ต้องกำหนดลมหายใจเข้า ถ้าหายใจเข้าก็ปล่อยมันให้กำหนดหายใจออกเท่านั้น และกำหนดให้ หายใจออกไม่ต้องยาวเกินไปถ้าจิตมันจะไหลออกมันก็จะไม่ออกมาไกลมากนัก มี2-3อย่างที่จิตออกจากร่าง ไหลออก พุ่งออก หรือ บีบเค้นออกมา
    อยากถามพี่ชัดว่า ข้อความที่ผมเขียนขึ้นมานี้ มีความเป็นไปได้ไหม ในการฝึก แต่ผมก็ได้เกือบหมดแล้วยกเว้นก็แต่เพียงข้อสุดท้าย

    ที่ผมอยากถอดกายทิพย์นั้นก็เพราะ จะได้เห็น วัฏสงสาร อดีต อนาคต และ ปลงจากตัวตนที่มีในสัญญา และ ละขัน5เพื่อ ตัดสังโยช และก็ละกิเลสได้มากขึ้น อีกข้อนึงผมจะได้สอนเด็กๆทางอ้อมด้วย เวลาผมไปสนทนากับพระท่านทางจิตก็จะได้ไม่ผิดพลาด<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้าต้องการมโนครึ่งกำลัง ก็ไปฝึกที่ซอยสายลมได้เลยครับ
    ถ้าต้องการมโนเต็มกำลัง ก็เข้ามโนครึ่งกำลังก่อน แล้วขอบารมีพระท่าน
    จากนั้นทำใจให้มีความสุข ละวางจากกิเลส อารมณ์จิตอิ่มเอิบอิ่มเอมที่สุด
    เดี้ยวก็ออกมาเองครับ

    สังเกตไหมว่าจิตของเรา คลายตัวจากอารมณ์เมตตา
    ถ้าเราฝึกแล้วจิตเสื่อมจากเมตตา อารมณ์ที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นี้เป็นอารมณ์ที่ถูกต้องหรือไม่
    ขอให้ลองนำไปพิจารณาครับ

    ด้านกำลังใจมันคงที่ ไม่ถดถอย ยังคงมีในกิเลสในตัวตน (แต่ก็ค่อยๆห่างจากความเป็นคนออกไปเรื่อยๆ) พอนึกถึงสมาธิปุ๊บลมหายใจละเอียดขึ้นสมาธิมาปั๊บทันใดนักแล ลมหายใจละเอียดจนรู้สึกว่ามันหายใจจะว่าลำบากก็ไม่ถ้าหากคนไม่ได้ฝึกกรรมฐานมาก็จะคิดว่า มันหายใจยาก อึดอัดแต่ถ้าหากได้ฝึกแล้วลมหายใจคนละเรื่องกัน ไม่ทราบว่าพี่ชัดเข้าใจความหมายที่ผมกล่าวรึเปล่าคับ

    ถ้าอึดอัดหรือหายใจลำบาก แปลว่าอารมณ์หนักไปครับ
    ไม่อย่างนั้นผู้ทรงฌาณ ทรงสมาธิ ก็อึดอัดแย่สิครับ

    เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดกล่าวว่า
    วันนี้อารมณ์ของฉันอึดอัดดีจริงๆ หรือลมหายใจของฉันอึดอัดดีจริงๆไหมครับ

    ยิ่งลมหายใจละเอียด ลมหายใจจะยิ่งเบาสบาย โล่งโปร่งสบาย
    ประดุจกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ไม่มีความอึดอัด ไม่มีความแน่น ประการใด
    ถ้าอึดอัดแน่น หายใจลำบาก ยังไม่ใช่อารมณ์ที่ถูกครับ

    และผมจะกลับไปห้องทุกวันผมพอจะหาที่ยึดเป็นหลักได้แล้วแต่มันเป็นห้องผมเองเปิดบานหน้าต่างและจะมีแสงไฟจากบ้านอื่นแต่อยู่ไกลออกไปเรามองจะมีประกายเป็นคล้ายๆดาวสีออกขาวฟ้า ตอนนี้จำติดตาได้ดีทีเดียวไม่ทราบว่า อย่างนี้ได้ไหม<!-- google_ad_section_end -->

    ต้องนึกภาพในใจ เห็นภาพด้วยจิต ด้วยจินตภาพ ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อจึงจะเป็นกสิณครับ

    อารมณ์จิตของเราเปลี่ยนไป ไปฝึกหรือทำอะไรมารึเปล่าครับ
    ลองทบทวนอารมณ์จิตดู ก่อนหน้านี้อารมณ์ของเราสบายกว่านี้

    ขอให้ลองย้อนอารมณ์กลับไปสู่อารมณ์จิตเดิมที่เปี่บมด้วยเมตตานะครับ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    พี่ชัดครับ หากแต่คำว่าโง่เขลานั้น จึงเป็นแบบผมมากกว่า สิ่งที่ผมค้นหามานั้น หากไม่ได้จากหนังสือ , ธรรมชาติ ซึ่งผมนั้นไม่ได้ถามจากผู้รู้โดยตรง หากแต่นำสิ่งที่อยู่ในด้านเต๋า และ ด้านพุทธรรม มาวิเคราะห์รวมกันโดยหลักวิทยาศาตร์บ้างบางส่วน แต่ผมนั้นไม่ใช่ผู้รู้จริงจึงไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่เลยพยายามหาผู้ที่รู้ เพื่อตอบความถูกต้อง

    อย่างน้อยพี่ชัดก็ได้รับความรู้จาก ผู้ที่มีความรู้โดยตรงแล้ว ผมก็อยากนะครับที่จะไปหาที่รับความรู้โดยตรงแต่เนื่องจากด้วย แค่เรียน กับ ทำงานที่บ้าน ก็แทบไม่มีเวลาจะไปไหนแล้ว แต่ผมก็ใช้เวลาช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองว่างแล้วในการนั่งสมาธิ แม้ว่าจะเป็นก่อนนอน หรือ ช่วงพักจากคาบเรียนก็ตาม พอปีนี้คาบเรียนน้อยผมก็มีเวลานั่งบ่อยขึ้น

    ไม่เป็นไรครับ เราตั้งใจปฏิบัติ ตามเวลาที่เรามี
    เราลองเพิ่มการทรงสมาธิ เอาไว้ตลอดเวลาด้วยก็จะยิ่งดีครับ

    จุดสำคัญคือ เราจะต้องตั้งเป้าเอาไว้ที่พระนิพพานด้วยครับ
    แม้เราอาจจะไม่ขอเข้าพระนิพพานชาตินี้ แต่เราก็จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างละเอียด ถูกต้อง
    จึงจะสามารถนำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้

    ขอนอกประเด็นเรื่องนึงครับ คือ ผมมีผู้หญิงคนนึงซึ่งอธิบายความรู้สึกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกอยากดูแลเขา เหมือนเขาเป็นน้องสาว เป็นห่วงตลอด ตอนแรกผมคิดว่าผมหลง แต่ผมก็ได้ลองจิตนาการภาพเป็นภาพศพก็แล้ว โครงกระดูกก็แล้ว มันยังมีความรู้สึกนี้อยู่ตลอด บางที่ความรู้สึกนี้มันเข้ามาตอนนั่งสมาธิ(เป็นมานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะถามดีรึป่าว) แต่เวลาที่ความรู้สึกนี้เข้ามามันก็ยังมีความสุขอยู่ มันจะมีปัญหากับการนั่งสมาธิมากไหมครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ให้เราประคองสติ และต้องพิจารณาตัวบุคคลให้ดีด้วยครับ
    เพราะเวลาอยู่ในสถาณการณ์แบบนี้ ความคิดความอ่านของเราจะไม่เคลีย
    ต้องลองถามคนอื่น ให้คนอื่นช่วยพิจารณา ช่วยคิดด้วยครับ

    ถ้าถามว่ามีปัญหามากไหม
    มีบ้างแน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับความเป็นห่วงของเรา เป็นห่วงมากทุกข์มาก จิตก็จะวุ่นวาย
    และอารมณ์จิตของเรา จะไม่บริสุทธิ์เท่าเมื่อก่อน

    เป็นคำแนะนำเฉยๆนะครับ
    ถ้าเราหวังจะพ้นจากตรงนี้ ก็ให้เราเลี่ยงไม่เจอซักระยะ และรักษาใจของเราไว้
    พอพ้นวาระ อารมณ์ตรงนี้จะหายไปเองครับ

    ส่วนการตัดสินใจขึ้นอยู่กับเราครับ

    ขอให้สามารถรักษาอารมณ์จิตให้มีแต่ความสุขกาย สบายใจ ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลด้วยเทอญ
     
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณคับพี่ชัด คงเป็นเพราะ ผม หนักกับการมองและละในตัวตน ที่ไม่มีในตัวตนผมรู้สึกไม่ใช่ตัวตน มันแยกออกไปคับ มันค่อยๆแยกออกไป จิตก็เลยหยุดนิ่ง และ ก็มองดูทุกรูปทุกรสทุกเสียงทุกกลิ่น จิตมันนิ่ง ตอนนี้ จิตผมมันรู้สึกเกว่ง เพราะ ไอเจ้าความอยากที่จะถอดจิตให้ได้เลยไปค้นคว้าหาความรู้ โดยลืมไปว่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือเดินไปหา (เมื่อถึงเวลามันก็จะมาเอง) ในจุดนี้ ผมมองข้ามไปแต่ไปมองอีกนัยนึงว่าตัวตนไม่ใช่ตัวตน ละ ขันต์ โดยที่ผมไม่ค่อยได้แผ่แต่ก็แผ่เมตตาบ้างบางครั้งในช่วงหลังนี้ คงเป็นเพราะผมยังไม่จริงจัง หรือหาเครื่องยึดเหนี่ยวและกำลังใจให้เข้มแข็งพอที่จะไม่ให้ไขว้เขว ได้เพราะ ช่วงนี้ผมต้องมีเรื่องให้คิดและมีหลายเรื่องที่ต้องทำ มันก็เลย สเปะสปะ ไม่นิ่งเท่าไหล่ ไม่เย็นเท่าเดิม แต่ พยายามละซึ่งสังขาร ตอนนี้ก็มาได้พอสมควรอาจจะยังไม่ถึงครึ่งทางแต่ผมก็พอจะเข้าใจในบางอย่างที่ผมข้ามขั้นตอนไปในการฝึกกรรมฐาน โดยที่หวังให้ถอดจิตได้โดยเร็ววันซึ่งมันไม่ใช่ จึงต้องกลับมาทบทวนและมองดูตัวเองครับ ผมว่าผมจะเริ่มใหม่แต่ไม่ทิ้งอันเก่านะ เริ่มมองและแก้ไขบางเรื่องที่มันอิรุงตุงนัง พี่ชัดมีข้อแนะนำบ้างรึเปล่าครับ ผมคงต้องเข้ามาที่บอร์ดนี้บ่อยๆแล้ว ไม่เข้าสองสามวัน กิเลสเพิ่มขึ้นเยอะ กำลังใจถดถอยถึงจะไม่มากแต่ก็พอสมควร
    อนุโมทนาครับพี่ชัดวันนี้ผมจะ เริ่มนั่งสมาธิให้เหมือนดังเดิมแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้นั่งเลย ^^; สาธุๆ
     
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    แล้วอีกอย่างวันนี้ผมศีลบกพร่องด้วยคับ คือรุ่นน้องที่ทำงานลาออกก็เลยไปกินเลี้ยงกัน ไอผมไม่ไปก็ไม่ได้เพราะไปกันหมดทั้งแผนก ผมก็ไม่อยากจะกินเลยแต่ก็ต้องกินแต่ผมก็เพียงแค่จิบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจและเข้าสังคม แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองผิดศีล ถึงจะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม ผมเป็นคนไม่กินเหล้าอยู่แล้ว เพราะกระเพาะผมไม่ค่อยดี สาเหตุมาจากเมื่อก่อนผมลดน้ำหนักด้วยวิธีการอดอาหารจนผอมแต่ผลที่ได้ของแถมมาคือจะเป็นโรคกระเพาะง่าย ผมเป็นคนที่แข็งแรงนะออกกำลังกายแต่ มาแพ้ฝุ่น ทำให้หายใจไม่ออก ก็ฝุ่นยังแพ้เลย บุหรี่คงไม่ต้องพูดถึงผมก็เลยไม่สูบ ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ แต่ก็ยังได้กลิ่น ยังกิน โดยที่ไม่ได้เต็มใจเลยทุกครั้งที่กินก็รู้สึกผิดแต่นานๆทีปีหนหรือ 3-4ปีครั้งนึง ไม่ได้บ่อยนะครับ เพราะต้องเข้าสังคม ก็เลยทำให้กลัดกลุ้มใจ ไขว้เขว หน่ะครับ คงต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัว
     
  7. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    เป็นไปได้มั๊ยคับ เวลาทำสมาธิมีอาการปิติคือขนลุกซู่ตั้งแต่บ่าสุดหัว แต่จิตไม่ดิ่งวูบ แต่ทำไมรู้สึกถึงความเวิงว่างลอยขยายออกไปเรื่อย ๆ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ขอบคุณคับพี่ชัด คงเป็นเพราะ ผม หนักกับการมองและละในตัวตน ที่ไม่มีในตัวตนผมรู้สึกไม่ใช่ตัวตน มันแยกออกไปคับ มันค่อยๆแยกออกไป จิตก็เลยหยุดนิ่ง และ ก็มองดูทุกรูปทุกรสทุกเสียงทุกกลิ่น จิตมันนิ่ง ตอนนี้ จิตผมมันรู้สึกเกว่ง เพราะ ไอเจ้าความอยากที่จะถอดจิตให้ได้เลยไปค้นคว้าหาความรู้ โดยลืมไปว่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือเดินไปหา (เมื่อถึงเวลามันก็จะมาเอง)

    ในจุดนี้ ผมมองข้ามไปแต่ไปมองอีกนัยนึงว่าตัวตนไม่ใช่ตัวตน ละ ขันต์ โดยที่ผมไม่ค่อยได้แผ่แต่ก็แผ่เมตตาบ้างบางครั้งในช่วงหลังนี้ คงเป็นเพราะผมยังไม่จริงจัง หรือหาเครื่องยึดเหนี่ยวและกำลังใจให้เข้มแข็งพอที่จะไม่ให้ไขว้เขว ได้เพราะ ช่วงนี้ผมต้องมีเรื่องให้คิดและมีหลายเรื่องที่ต้องทำ มันก็เลย สเปะสปะ ไม่นิ่งเท่าไหล่ ไม่เย็นเท่าเดิม แต่ พยายามละซึ่งสังขาร ตอนนี้ก็มาได้พอสมควรอาจจะยังไม่ถึงครึ่งทางแต่ผมก็พอจะเข้าใจในบางอย่างที่ผมข้ามขั้นตอนไปในการฝึกกรรมฐาน โดยที่หวังให้ถอดจิตได้โดยเร็ววันซึ่งมันไม่ใช่ จึงต้องกลับมาทบทวนและมองดูตัวเองครับ ผมว่าผมจะเริ่มใหม่แต่ไม่ทิ้งอันเก่านะ เริ่มมองและแก้ไขบางเรื่องที่มันอิรุงตุงนัง พี่ชัดมีข้อแนะนำบ้างรึเปล่าครับ ผมคงต้องเข้ามาที่บอร์ดนี้บ่อยๆแล้ว ไม่เข้าสองสามวัน กิเลสเพิ่มขึ้นเยอะ กำลังใจถดถอยถึงจะไม่มากแต่ก็พอสมควร
    อนุโมทนาครับพี่ชัดวันนี้ผมจะ เริ่มนั่งสมาธิให้เหมือนดังเดิมแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้นั่งเลย ^^; สาธุๆ<!-- google_ad_section_end -->

    แล้วอีกอย่างวันนี้ผมศีลบกพร่องด้วยคับ คือรุ่นน้องที่ทำงานลาออกก็เลยไปกินเลี้ยงกัน ไอผมไม่ไปก็ไม่ได้เพราะไปกันหมดทั้งแผนก ผมก็ไม่อยากจะกินเลยแต่ก็ต้องกินแต่ผมก็เพียงแค่จิบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจและเข้าสังคม แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองผิดศีล ถึงจะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม ผมเป็นคนไม่กินเหล้าอยู่แล้ว เพราะกระเพาะผมไม่ค่อยดี สาเหตุมาจากเมื่อก่อนผมลดน้ำหนักด้วยวิธีการอดอาหารจนผอมแต่ผลที่ได้ของแถมมาคือจะเป็นโรคกระเพาะง่าย ผมเป็นคนที่แข็งแรงนะออกกำลังกายแต่ มาแพ้ฝุ่น ทำให้หายใจไม่ออก ก็ฝุ่นยังแพ้เลย บุหรี่คงไม่ต้องพูดถึงผมก็เลยไม่สูบ ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ แต่ก็ยังได้กลิ่น ยังกิน โดยที่ไม่ได้เต็มใจเลยทุกครั้งที่กินก็รู้สึกผิดแต่นานๆทีปีหนหรือ 3-4ปีครั้งนึง ไม่ได้บ่อยนะครับ เพราะต้องเข้าสังคม ก็เลยทำให้กลัดกลุ้มใจ ไขว้เขว หน่ะครับ คงต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัว<!-- google_ad_section_end -->

    ให้เราตั้งจิตกราบขอขมาพระรัตนตรัย สมาทานศีลใหม่
    และฝึกตามแนวทางพุทธะบริสุทธิ์ สัมมาทิฏฐิ เพียงแนวทางเดียว
    อย่าให้ศรัทธาของเราต้องไขว้เขว ไปกับความอยากได้ในคุณวิเศษ
    ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสะอาด บริสุทธิ์ ของจิต

    การปฏิบัติใดที่ทำให้ จิตใจมีความชุ่มเย็น เบาสบาย อิ่มเอิบอิ่มเอม สะอาด สว่าง บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อการละวางอัตตาตัวตน และกิเลสตัณหา
    แนวทางที่เราปฏิบัตินั้น มีความตั้งมั่นอยู่ในแนวทางแห่งสัมมาทิฏฐิ ตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    การปฏิบัติใดที่ทำให้ จิตใจเกิดความเร่าร้อน หนัก อึดอัด เป็นไปเพื่อการสร้างมานะทิฏฐิ ความหลงผิดว่าตัวเราเป็นผู้วิเศษเหนือผู้อื่น เก่งกว่าผู้อื่น หรือยกตนข่มผู้อื่น
    แนวทางนั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ และไม่ตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    ขอให้ยึดหลักนี้เอาไว้เพื่อใช้ในการพิจารณาว่า
    แนวทางและวิชชาใดที่เราพึงปฏิบัติ และแนวทางและวิชาใดที่เราไม่พึงปฏิบัติ

    ขอให้มีความตั้งมั่นในแนวทางแห่งสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และไตรสรณคมตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    เป็นไปได้มั๊ยคับ เวลาทำสมาธิมีอาการปิติคือขนลุกซู่ตั้งแต่บ่าสุดหัว แต่จิตไม่ดิ่งวูบ แต่ทำไมรู้สึกถึงความเวิงว่างลอยขยายออกไปเรื่อย ๆ

    เป็นไปได้ครับ
    ถ้าจิตเป็นฌาณหยาบ ไม่ใช่ฌาณละเอียด จิตก็จะไม่ดิ่งวูบครับ

    ให้เราอธิษฐานปักหมุด และจดจำอารมณ์เอาไว้ด้วยครับ
    และลองฝึกเข้าออกอารมณ์ทั้งหลับตาลืมตา
    และลองเข้าให้ได้ทุกที่ ทุกเวลาที่เราต้องการ เดินทาง หรือทำงานอยู่ก็ลองเข้าดู
    จิตจะยิ่งมีความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิสูงขึ้นเรื่อยๆครับ

    อนุโมทนาด้วยครับ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติต่อไปครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาครับพี่ชัด ตอนนี้ก็รู้สึกค่อยๆกลับมาสู่ความสงบดังเดิมแล้วครับ ตอนปฏิบัติไม่นึกถึงว่าเราบกพร่องประการใด ศีลเต็ม200กว่าข้อในการนั่งปฏิบัติ ผมนึกอย่างนี้ถูกไหมครับ ถ้ามัวมานึกว่าเราผิดศีล สมาธิไม่มาปัญญาไม่เกิด กลัดกลุ้มใจเปล่าๆ และก็ปล่อยวางได้เพิ่มขึ้นถึงยังจะไม่เท่ากับดัเดิมแต่ไปในทางที่ดีขึ้นครับ ขอบคุณครับ
     
  11. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากคับ

    ขอถามอีกหน่อยนะคับเกี่ยวกับเรื่องกสิณว่าจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราได้กสิณกองนั้น ๆ

    และการกำหนดภาพต้องเห็นภาพในจินตภาพตลอดเวลาในการฝึกรึเปล่าคับ
     
  12. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    รบกวนขอถามเกี่ยวกับการย่อ ขยายหรือการเคลื่อนที่ของนิมิตตามที่เราต้องการค่ะ (ไม่แน่ใจว่าเป็นนิมิตหรือไม่) สภาวะนี้เกิดขึ้นกับตัวเองมาได้หลายเดือนแล้ว หลังจากที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักจะกำหนดจิตต่อไปในขณะนั่งสมาธิค่ะ แต่มีข้อสงสัยว่าในระยะหลังนี้ การย่อ ขยายนิมิต รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้นั่งสมาธิเพราะปกติจะกำหนดจิตอยู่ทั้งวัน
    จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นนิมิต หรือเกิดจากที่เราคิดไปเอง
     
  13. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
    กลับจากทริปเพื่อการปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ กันแล้วนะคะ
    ขอเชิญโมทนาบุญร่วมกันค่ะ

    http://palungjit.org/threads/ทริปถ้ำวัวแดง-เพื่อการปฏิบัติธรรม-วันที่-5-8-มิถุนายน-2552-a.188610/

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ขอบคุณมากคับ

    ขอถามอีกหน่อยนะคับเกี่ยวกับเรื่องกสิณว่าจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราได้กสิณกองนั้น ๆ

    และการกำหนดภาพต้องเห็นภาพในจินตภาพตลอดเวลาในการฝึกรึเปล่าคับ<!-- google_ad_section_end -->

    ภาพกองกสิณ เป็นเพชรประกายพรึก มีแสงสว่าง ประกายระยิบระยับ
    สามารถย่อขยาย เคลื่อนย้ายได้ดั่งใจ สามารถสัมผัสอารมณ์ของกสิณแต่ละกองได้
    เช่นกสิณไฟ มีความร้อน กสิณน้ำมีความ...

    และการกำหนดภาพต้องเห็นภาพในจินตภาพตลอดเวลาในการฝึกรึเปล่าคับ<!-- google_ad_section_end -->

    ให้เราประคองเท่าที่เราทำได้ อาจจะไม่อยู๋ตลอดก็ไม่เป็นไร
    แต่ถ้าจะนึกเมื่อไหร่ต้องได้เป็นเพชรทันที
    ถ้าจะเอาแบบเต็มที่ ก็ลองฝึกประคองเอาไว้ทั้งวันครับ
    จะทำงาน จะเรียนหนังสือก็สามารถประคองได้ ถ้าตั้งใจจริงๆ

    ขอให้สามารถสำเร็จกสิณทั้งสิบกอง ได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ thippayawan ครับ

    รบกวนขอถามเกี่ยวกับการย่อ ขยายหรือการเคลื่อนที่ของนิมิตตามที่เราต้องการค่ะ (ไม่แน่ใจว่าเป็นนิมิตหรือไม่) สภาวะนี้เกิดขึ้นกับตัวเองมาได้หลายเดือนแล้ว หลังจากที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักจะกำหนดจิตต่อไปในขณะนั่งสมาธิค่ะ แต่มีข้อสงสัยว่าในระยะหลังนี้ การย่อ ขยายนิมิต รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้นั่งสมาธิเพราะปกติจะกำหนดจิตอยู่ทั้งวัน
    จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นนิมิต หรือเกิดจากที่เราคิดไปเอง<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้านิมิตเป็นอุคคหนิมิต หรือปฏิพากนิมิต จะสามารถย่อขยายได้ดั่งใจครับ
    ไม่ได้คิดไปเองครับ

    การฝึกกสิณ คือ การฝึกควบคุมจินตภาพของเรา

    ต่างประเทศเขาก็มีการฝึกกสิณในแบบของเขาซึ่งเขาเรียกว่าimage training
    ซึ่งเป็นการฝึกควบคุมจินตภาพ ให้สามารถจำลองภาพสามมิติ
    เช่น การจำลองภาพแผนผังอาคารทั้งหลังขึ้นมาในจิต และสามารถแสกนดูทุกส่วนของอาคารได้ด้วยจิต
    หรือการสร้างรูปทรงเรขาคณิต และเปลี่ยนรูปทรง ควบคุมได้ดั่งใจ
    ซึ่งจะส่งผลให้ศักยภาพในการทำงานของสมอง และระบบความคิดพัฒนาขึ้น

    หากเรากำหนดภาพพุทธนิมิตเอาไว้ในจิตของเรา
    นึกถึงภาพของพระพุทธเจ้าเอาไว้เสมอ
    หากเราตาย ณ ขณะจิตนั้น จิตของเราก็ย่อมไปสู่สุขคติมีสวรรค์เป็นต้น

    หากเรานึกถึงภาพที่เราไม่พอใจ ไม่ถูกใจ เป็นภาพที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความขุ่นมัว
    หากเราตาย ณ ขณะจิตนั้น จิตของเราก็ต้องลงไปเสวยวิบาก อยุ่ในอบายภูมิ

    จะเห็นว่าแม้จะเป็นภาพที่เราคิดเอง หรือกำหนดขึ้นมาเอง
    ก็ย่อมปรากฏผลลัพธ์จริง ทำให้เราไปสู่สุขคติ หรือ ทุขคติได้จริง ฉันใด


    การฝึกกสิณ ทำจิตของเราให้อยู่กับภาพนิมิตที่ทำให้จิตมีความเบิกบาน สว่างไสวไว้เสมอ
    ก็จะเป็นปัจจัยให้เราเกิดในสุขคติภูมิ ในสวรรค์ พรหม พระนิพพาน ได้จริงฉันนั้น


    ขอให้คำอธิบายนี้ สามารถคลายข้อสงสัย หรือความลังเลใจ
    ในการฝึกปฏิบัติกสิณ ของทุกๆคนได้
    และขอให้เป็นปัจจัยให้ทุกๆคน สามารถทรงภาพกสิณ
    มีภาพพุทธนิมิตแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
    ได้ตลอดไป ทุกขณะจิต ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  16. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มาแจ้งข่าว ว่าผมจะไปบรรพชา วันเสาร์ที่ 13 มิ.ย. นี้
    แล้วค่อยจะบอกเล่า เก้าสิบกันอีกครั้งครับ

    ขอบคุณครับ
     
  17. พระ_นอก

    พระ_นอก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +10
    พระใหม่สงสัย

    อาตมาเป็นพระบวชใหม่บวชเรียนมาได้ประมาณ 2 เดือนกว่า มีเรื่องสงสัย ใคร่ขอโอกาสปรึกษา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ว่า ขณะทำสมาธิอยู่ จิตเราแยกออกจากกาย แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป มีบางอาจารย์ท่าน บอกว่าให้เรากำหนดจิตพิจารณากาย (พิจารณาเครื่องใน)ที่เราเห็นอยู่(อาการคล้ายวิญญาณออกจากร่างหรือถอดจิต) แล้ววิธีการพิจารณากายเค้าทำกันอย่างไร เพราะอาตมาได้แค่ยืนดูร่างตนเองเท่านั้นพิจารณากายไม่เป็น แล้ววิธีที่อาตมาทำอยู่นี้ถูกต้องหรือไม่ เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นหรือไม่ อย่างไร? ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยไขข้อข้องใจให้พระบวชใหม่อย่างอาตมาด้วย (เร็วได้ยิ่งดีเพราะอาตมาจะต้องกลับวัดในอีก3วันข้างหน้า_ขณะนี้กลับมาโปรด ญาติที่บ้าน)

    ปล. อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะอวดรู้อวดภูมิ มิได้มีความต้องการให้ใครมากราบไหวนับถือ (ผิดศีลปาราชิก) ขอท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจอาตมาด้วย
     
  18. paritah

    paritah สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +7
    สวัสดีครับ
    ขอรบกวนถามปัญหาหน่อยครับ
    เดี๋ยวนี้เวลานั่งสมาธิน่ะครับ พอนั่งสักครู่นึงแล้วรู้สึกว่าลมหายใจสงบ
    ตวมันจะโยกไปมาน่ะครับ เหมือนกับว่าจิตมันจะออกจากร่างน่ะครับ
    แต่ก็ไม่ได้อยากออกนะครับ แต่รู้สึกรำคาญนิดๆ เพราะจะออกก้อไม่ออก
    พอจะมีวิธีแก้มั้ยครับ
     
  19. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณ K.Xorce มากค่ะ
    มีสภาวะที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้น 2 ครั้งแล้วในขณะนั่งสมาธิ แล้วจิตนิ่งอยู่นานพอสมควร จะเกิดภาพสีขาวเหมือนเมฆหมอก พร้อมกับศาลาพักร้อนที่มีเสา และหลังคาคล้ายๆกับวัดค่ะ แต่ไม่มีใครอยู่ในศาลา ตอนเกิดขึ้นครั้งแรกคิดว่าเราคิดไปเอง ก็กำหนดจิตต่อไปภาพก็ยังอยู่สักพัก ครั้งที่สองภาพที่ปรากฏก็เหมือนเดิมค่ะ แต่ก็ไม่ได้ตามดูก็กำหนดจิตต่อไปค่ะสักพักแล้วก็ออกจากสมาธิค่ะ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงพระคุณเจ้าครับ

    อาตมาเป็นพระบวชใหม่บวชเรียนมาได้ประมาณ 2 เดือนกว่า มีเรื่องสงสัย ใคร่ขอโอกาสปรึกษา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ว่า ขณะทำสมาธิอยู่ จิตเราแยกออกจากกาย แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป มีบางอาจารย์ท่าน บอกว่าให้เรากำหนดจิตพิจารณากาย (พิจารณาเครื่องใน)ที่เราเห็นอยู่(อาการคล้ายวิญญาณออกจากร่างหรือถอดจิต) แล้ววิธีการพิจารณากายเค้าทำกันอย่างไร เพราะอาตมาได้แค่ยืนดูร่างตนเองเท่านั้นพิจารณากายไม่เป็น แล้ววิธีที่อาตมาทำอยู่นี้ถูกต้องหรือไม่ เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นหรือไม่ อย่างไร? ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยไขข้อข้องใจให้พระบวชใหม่อย่างอาตมาด้วย (เร็วได้ยิ่งดีเพราะอาตมาจะต้องกลับวัดในอีก3วันข้างหน้า_ขณะนี้กลับมาโปรด ญาติที่บ้าน)

    การปฏิบัติของพระคุณเจ้ามีความถูกต้องแล้ว เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นของดวงจิต

    ขออนุโมทนา ในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระคุณเจ้าด้วยครับ

    กระผมกราบขออนุญาติ ในการถวายพระกรรมฐานด้วยครับ

    จิตของพระคุณเจ้าเข้าเป็นฌาณละเอียด จึงออกมาจากร่างกาย

    ส่วนวิธีการพิจารณาในร่างกายนั้น

    ในอารมณ์ต้น ให้พระคุณเจ้าพิจารณา ในมรณานุสติกรรมฐาน หรือความตาย
    เมื่อร่างกายของมนุษย์ทุกคน เกิดมาแล้ว ย่อมมีความตายเป็นที่ตั้ง เป็นธรรมดา
    ไม่มีใคร ร่างกายของบุคคลใดที่จะพ้นจากความตายไปได้

    แม้ร่างกายของเรานี้ ก็มีความไม่เที่ยง ต้องพังแตกสลาย ตาย เป็นธรรมดาเช่นกัน
    แต่ว่าเราจะตายเมื่อไหร่นี้ เราไม่อาจจะทราบได้
    ดังนั้นเราจึงควรเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีความเคารพในพระรัตนตรัยอยู่ทุกขณะจิต
    เพราะหากเราตาย ณ ขณะจิตนี้ ด้วยความเคารพที่มีต่อพระรัตนตรัย และศีลบริสุทธิ์

    จักเป็นเหตุให้เราได้เข้าถึงซึ่งสุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม พระนิพพานเป็นที่สุด
    เมื่อระลึกถึงความตายของร่างกายอยู่เสมอ จิตย่อมยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
    และเป็นเหตุให้จิต ทรงอยู่ในศีล และเคารพพระรัตนตรัยอยู่ทุกขณะจิต

    ในอารมณ์กลาง ให้พระคุณเจ้าพิจารณาในกายคตานุสติ อสุภะ10 และอาหาเรปฏิกูลสัญญา
    คือความเป็นปฏิกูลของร่างกาย อาหาร และ วัตถุธาตุ ว่าเป็นของธรรมดา

    ร่างกายของมนุษย์ทุกคน มีความสกปรก
    มีน้ำเลือด น้ำเหลือง ปอด ตับ ไต ลำไส้ สมอง มีอาการ32 ซึ่งเป็นของที่ไม่สะอาด
    เป็นรังของโรค ทุกๆส่วนในร่างกายของเรานี้มีแต่ความสกปรก เป็นของธรรมดา

    ขอพระคุณเจ้าพิจารณาดูทุกส่วนของร่างกาย ว่ามีความสะอาดหรือสกปรกประการใด

    นอกจากร่างกายของเราจะสกปรกแล้ว ร่างกายของบุคคลอื่นก็มีความสกปรก ไม่ต่างจากของเรา
    เมื่อร่างกายของทุกๆคน มีความสกปรกเหมือนกัน
    จิตใจของเราก็มีความปล่อยวาง จากความยึดติดทั้งในร่างกายของเราและบุคคลอื่น
    นอกจากนี้วัตถุธาตุทั้งหมด ก็มีความสกปรกเป็นของธรรมดาเช่นกัน
    จิตของเราจึง ไม่รังเกียจ ไม่รัก และไม่ติด ในร่างกาย และวัตถุธาตุทั้งหมด เพราะเห็นว่าเป็นสภาวะธรรมดาของมัน
    กามราคะ ก็ไม่กำเริบอีก เพราะด้วยเห็นถึงความสกปรกอันเป็นธรรมดาของวัตถุทุกๆอย่าง

    ในอารมณ์ปลายให้ พระคุณเจ้าพิจารณาว่า ร่างกายนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
    ไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมมันได้ และเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

    ตัวเราที่แท้จริง คือ ดวงจิต อันมีความสว่างบริสุทธิ์
    ร่างกายของเรานี้เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ การหิวก็ทุกข์ การขับถ่ายก็ทุกข์ การประคับประคองร่างกายทุกอย่างเป็นความทุกข์

    และในเมื่อร่างกายไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ร่างกายจะป่วย จะเจ็บ จะตาย ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมัน
    เราจะประคับประคองเอาไว้ตามที่สามารถจะทำได้ แต่ท้ายที่สุดถ้าร่างกายจะตาย
    เราก็จะไม่ทุกข์ ไม่ร้อน เพราะว่านอกจากร่างกายนี้จะไม่ใช่ตัวเราแล้ว มันยังเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์อีกด้วย
    ดวงจิตก็จะมีความปล่อยวางจากความยึดติด จากความปรารถนาในร่างกาย

    ความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีร่างกายแบบนี้ เราไม่มีความปรารถนาอีกต่อไป เพราะยังเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

    ความเป็นเทวดา ซึ่งเมื่อบุญหมด ก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์มามีร่างกายอีก เราก็ไม่ปรารถนา

    ความเป็นรูปพรหม ซึ่งได้เสวยสุขในฌาณสมาธิอยู่นาน แต่เมื่อกำลังฌาณเสื่อมลง ก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์มามีร่างกายนี้อีก เราก็ไม่ปรารถนา

    ความเป็นอรูปพรหม ทรงอยู่ในอรูปฌาณ อันมีความสุข อยู่นานหลายกัป แต่เมื่ออรูปฌาณเสื่อมลงมาแล้ว เราก็ต้องกลับมามีร่างกายอีก เราก็ไม่ปรารถนา

    เราจะตั้งจิต ตั้งความปรารถนาเอาไว้เพียงจุดเดียวคือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุข อันเป็นแดนพ้นจากการเกิด
    หากอัตภาพร่างกายนี้พังทลายลงไปเมื่อใด เราจะไปเพียงจุดเดียวคือ พระนิพพาน

    จากนั้นก็ขอให้พระคุณเจ้าพิจารณา เป็นอนุโลม ปฏิโลม ถอยหน้าถอยหลัง ซ้ำไปซ้ำมา
    ในความตายอันเป็นธรรมดาของร่างกาย
    ในความสกปรกเป็นปฏิกูล อันเป็นธรรมดาของร่างกาย
    และความเป็นทุกข์ อันเกิดขึ้นเสมอเป็นธรรมดาของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหม ก็ยังต้องกลับมามีร่างกายที่เป้นทุกข์เช่นนี้อีก

    จิตของพระคุณเจ้าก็จะปล่อยวาง คลายจากความปรารถนาในการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม และมีความปรารถนาเพียงจุดเดียวคือ พระนิพพาน

    ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังดวงจิตของพระคุณเจ้าให้มีความสว่างไสว สามารถพิจารณาธรรม โดยรู้แจ้งแทงตลอด ในกองทุกข์
    เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...