รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ta Whk ครับ

    ตอนนี้กำลังทำอยู่ค่ะ ลืมตามแล้วก็จิตภาวนาพุทโธอยู่ ตอนแรกๆ ก็ฟุ้งนะคะ แว่บไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็จับคำภาวนาได้มากกว่าเดิม ทำไปแทบทุกอิริยาบถแล้วค่ะ แต่จิตก็ยังแว่บไปเรื่อย คงต้องใช้เวลาอีกสักนิด ตอนนี้พยายามจับภาพพระพุทธเจ้าได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่จิตชอบไปนึกถึงหลวงปู่แหวนค่ะ นึกถึงภาพท่านหัวเราะอ่ะค่ะ คืออาทิตย์ที่แล้ว อยู่ๆ มีฝรั่งคู่นึงที่ไม่เคยรู้จักกันเอาชุดไทยและของที่ระลึกอื่นๆ ของเมืองไทย รวมถึงสร้อยที่มีรูปหลวงปู่แหวนอีกด้านเป็นรูปนางกวัก แล้วก็ยังมีเหมือนเป็นลูกอมหรือลูกนิมิตรปิดทองกรอบพลาสติก พร้อมไซกับข้องปลา(คล้ายๆแต่ไม่แน่ใจ) มาให้ ของเหล่านี้เป็นของลูกสาวเขาที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนที่เมืองไทยหลายสิบปีมาแล้ว มีจี้รูปในหลวงทั้งรัชกาลที่ 5 และ 9 ด้วย แต่รูปของหลวงปู่แหวนที่ได้มากับที่เราชอบนึกถึงเป็นคนละรูปนะคะ คือเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้หลวงปู่แหวนครั้งที่ 3 แล้ว จิตก็เลยอาจจะนึกถึงท่านตลอด จะเป็นไปได้ไหมคะ

    คงเนื่องกับท่านมาครับ เรานึกถึงรูปของท่านก็ได้ครับ
    ให้เห็นรูปของท่านแย้มยิ้ม แล้วก็เปลี่ยนเป็นเนื้อเพชรใส ประกายระยิบระยับทั้งรูปด้วยจะยิ่งดีครับ

    ส่วนนั่งสมาธิ ก็พยายามหาเวลานั่งให้ได้ทุกวันค่ะ เคยสังเกตุตัวเองนะคะ เวลาเราอ่านหนังสือหรือนั่งเล่นเพลินๆ รู้สึกว่าลมหายใจของเราจะสม่ำเสมอเหมือนตอนนั่งสมาธิเลย

    ใช่ครับ เวลาเพลินๆ ใจเราจะสบาย พอใจเราสบายจิตก็เป็นสมาธิครับ
    เพราะสมาธิคืออารมณ์สบาย

    เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว ตัวเองนึกถึงแต่ว่าจะไปทำบุญที่วัด แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปทำบุญ (คือเป็นกรรมการวัด ต้องไปประชุมเดือนละครั้ง ไม่ได้ไปวัดบ่อย เพราะว่าวัดอยู่ไกล ห่างจากบ้านประมาณ 90 กิโลฯ) จิตนึกถึงการไปวัดตลอดเวลาว่าจะทำอาหารอะไรไปถวายพระดี

    อันนี้เป็นอนุสติครับ เป็นการระลึกถึงความดีของพระสงฆ์ ของการบริจาคทาน
    ถ้าเราตายด้วยอารมณ์นี้ก็มีสุคติเป็นที่ไปครับ

    ถ้าเราพิจารณาต่อว่า เราทำความดีทุกอย่าง ถวายในพระพุทธศาสนา เพื่อความพ้นทุกข์
    เพื่อพระนิพพานเพียงจุดเดียว ตายเมื่อไหร่เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น
    ถ้าใจของเราแน่วแน่แบบนี้ ตายแล้วเราก็ไปพระนิพพานครับ

    ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่า มีผู้หญิงใส่ชุดขาว ตามเราตลอด จะเห็นเขาเวลาหลับตามั่ง ลืมตาบางทีก็รู้สึกว่าเขายืนอยู่ข้างหน้า(ไม่รู้คิดไปเองเหรอป่าว) รู้สึกประมาณสองวันก่อนไปวัด พอรู้สึกแบบนั้นก็อุทิศส่วนกุศลให้ไป แต่เขาก็ยังไม่ไป บางทีตื่นมาดึกๆเข้าห้องน้ำ ก็ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ อุทิศให้หลายรอบก็ยังไม่ไป แต่เขาไม่ให้เห็นหน้านะคะ ผมยาวๆ ใส่ชุดขาวเท่าที่รู้สึก พอถึงวันไปวัด ก็ชวนเขาไปด้วย บอกว่าไปทำบุญด้วยกัน ตอนกรวดน้ำก็นึกถึงเขาเหมือนกันให้เขาอนุโมทนาบุญกับพวกเราที่ไปวัดกัน วันนั้นมีคนเยอะค่ะ หลังจากกลับจากวัด ก็ไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ด้วยอีกเลย อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองเหรอป่าว เพราะส่วนตัวไม่ได้มีจิตสัมผัสอะไรพิเศษ แต่ความรู้สึกนี่ บางทีก็มีบ้างซึ่งก็อย่างที่บอกนะคะ ว่าไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าว

    ไม่ได้คิดไปเองครับ ความรู้สึก กับจิตสัมผัสก็อันเดียวกันแหละครับ
    จริงๆ คนทุกคนก็มีตรงนี้อยู่แล้วครับ แต่ความแม่นยำ หรือความละเอียดนั้นไม่เท่ากัน
    การฝึกสมาธิ ให้เกิดตัวรู้ หรือญาณ จะทำให้ความรู้สึกของเราเร็ว และละเอียดยิ่งๆขึ้นไป

    ส่วนเรื่องแผ่เมตตา เดี๋ยวจะลองดูใหม่ค่ะ

    เวลาเราจะแผ่เมตตา เราจะต้องดึงความสุข ให้เต็มล้นหัวใจของเราก่อน
    ถ้าความสุขยังไม่เต็มหัวใจของเรา เวลาเราแผ่ไป เขาก็จะได้รับบุญไม่เต็มที่
    ถ้าความสุข เต็มล้น ท่วมท้น จนหลั่งไหลออกมาจากหัวใจของเรา
    ถ้าเราแผ่ด้วยอารมณ์ที่สุขถึงที่สุด ผู้รับจะรับได้อย่างเต็มที่

    อุปมาเหมือนกินข้าว กินแค่หนึ่งคำ ยังไงก็ไม่อิ่ม ต้องกินหลายๆครั้ง
    แต่ถ้าเราให้ทั้งหม้อ อย่างไรก็ต้องอิ่ม

    ก็เหมือนเราแผ่แล้ว ถ้ายังไม่มากพอ เขาก็ยังไปไม่ได้ ต้องให้จนอิ่มถึงจะไปได้
    ดังนั้นเมตตาเราก็ต้องดึงความสุขให้เต็มล้นหัวใจเราก่อน แล้วจึงแผ่ออกไป


    ส่วนเรื่องไปพระนิพพาน ยังไม่ค่อยกล้าคิดเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่ายังมีบาปอีกเยอะ เลยไม่ค่อยกล้าคิดจะไป

    ตรงนี้มีสองแบบ
    1.เราไม่อยากไป เพราะว่าเรายังมีคำอธิษฐานที่ค้างคา เช่น ปรารถนาไปเกิดยุคพระศรี หรือว่าเป็นพุทธภูมิ หรือมีภารกิจในการช่วยคน
    ประเภทนี้จะยังไม่ไป
    ซึ่งแบบนี้ยังโอเค เพราะ อยู่เพื่อทำภารกิจ ในการช่วยคน

    2.เราอยากไปพระนิพพาน แต่ไม่ยอมไป เพราะเรารู้สึกว่าเราเคยทำไม่ดีมาเยอะ หรือยังดีไม่พอ
    เลยกลัวจะไปไม่ได้
    ซึ่งแบบนี้เรายังวางอารมณ์ไม่ถูก เพราะเท่ากับว่าเราสละสิทธิ์ที่จะไปพระนิพพาน แล้วยอมชดใช้กรรม

    จริงๆ อันนี้ เป็นอารมณ์ที่เราถูกกิเลส เจ้ากรรมนายเวร หรือกรรมเก่า หลอกให้เราคิด
    ดังนั้นเราอย่าไปยอมแพ้ให้กับการถูกหลอก

    เพราะในความเป็นจริงแล้ว การไปพระนิพพานก็คือ การหนีจากการเสวยกรรม
    หลวงพ่อฤาษี ท่านเรียกว่าการหนีนรก

    เช่น พุทธภูมิ บางชาติจะเกิดเป็นกษัตริย์ ต้องทำสงครามต้องสังหาร ข้าศึกของประเทศ
    วิธีการก็คือ เราอาจจะเคยทำไม่ดีมาก่อน แต่ตอนตาย เราจะต้องเข้าฌาณตาย
    พอเราเข้าฌาณตาย ก็ต้องไปเป็นพรหม ลงนรกไม่ได้ แล้วก็กลับมาเกิดบำเพ็ญบารมีต่อ

    ชาติต่อไปก็อาจจะผิดศีลบ้าง แต่ก่อนตายเราเข้าฌาณตายอีก ก็กลับไปเป็นพรหม
    ทำไปแบบนี้เรื่อยๆ เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆชาติ จนกว่าบารมีพุทธภูมิจะเต็ม

    หรือดูอย่าง ท่านองคุลิมาล ท่านสังหารคนเป็นพันคน ท่านยังปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ ทรงอภิญญา ทรงปฏิสัมภิทาญาณได้
    เราไม่ได้ฆ่าคนถึงหนึ่งพันคน ฆ่าไม่เยอะเท่าท่าน

    ดังนั้นอย่าไปคิดว่า กรรมเราเยอะ แล้วจะไปพระนิพพานไม่ได้
    ผู้ที่ทำบาปมาเยอะกว่าเรา ยังปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ไปพระนิพพานได้
    แล้วถ้าเราตั้งใจจริง ทำไมจะทำไม่ได้


    แต่บางทีนึกภาพในใจว่ากราบพระ จะรู้สึกว่าคนที่กราบเป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองอีกเหรอป่าว

    ไม่ได้คิดไปเองครับ
    ลองนึกภาพหลวงปู่แหวนแล้วก้มลงกราบท่าน ด้วยความนอบน้อมถึงที่สุดดูครับ
    จะรู้สึกว่าท่านลูบศรีษะกับหัวเราะ

    อารมณ์ที่จะใช้ตัดเข้าพระนิพพาน ใช้ในที่สุดข้อเดียว
    คือให้คิดไว้เสมอๆ ตลอดเวลา ว่า
    ถ้าเราตายเมื่อไหร่ สิ่งใดที่ไม่ดีเราเคยทำมาในอดีต เราจะไม่ยอมไปเสวยทั้งหมด
    ถ้าตายเมื่อไหร่ ตาย ณ ขณะจิตนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่สถานที่ใด
    เมื่อเราตายแล้ว เราจะไปที่นั่นเพียงจุดเดียวเท่านั้น ที่อื่นเราไม่ยอมไป
    ตายเมื่อไหร่เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น ใครจะมาสั่งให้เราไปที่ไหน เราไม่ยอม เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น

    อธิษฐานตั้งจิตมั่นเอาไว้เลย อธิษฐานเอาไว้วันละหลายๆครั้ง
    ทำบุญกุศลใดขอเป็นปัจจัยให้ส่งให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    หากยังไม่ถึงฉันใดก็ขอความไม่มี ไม่พอ ไม่ได้ ไม่สำเร็จ อย่าบังเกิดแก่ข้าพเจ้า
    ตายเมื่อไหร่เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น

    ถ้าจิตแน่วแน่จริงๆ
    จะเป็นพระอรหันต์ชั่วขณะจิตก่อนตาย
    ตายแล้วเราก็ไปพระนิพพานเลย

    ขอให้ทุกๆคนมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    คิดว่าไม่น่าจะมีคำถามก็มีมาจนได้ครับ

    อารมณ์นี่ถูกไปที่มันจะเย็นไปตลอดแม้กระทั้งหัวใจก็เย็นมากๆ ลมหายใจไม่อึดอัดแล้วแต่มันจะหายใจเข้าเรื่อยๆความรู้สึกมันอยากไปจากตรงนั้น แต่ พอถึงจุดๆนึง(คลายแม๊ก)ก็ย้อนกลับมาดูลมใหม่

    ลมหายใจใกล้จะหยุดแล้วครับ
    แต่เรายังจับลมหายใจจนลมดับไม่ได้
    ลองย้อนไปทำขั้นอัดลมใหม่ครับ พอทำเสร็จค่อยจับลมหายใจ
    ลองอัดลมแล้วค่อยจับลมหายใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี้ยวลมหายใจจะเบาลงๆ ใจเราจะสบายขึ้นๆ จนลมหายใจดับเองครับ

    แต่ รู้สึกได้เลยว่ามันละเอียดขึ้นมากๆ เพราะผม เสวยอารมณ์ของเมตตาฌาน

    สาธุครับ ดีแล้วครับ ทรงอารมณ์เมตตาเอาไว้ต่อไปครับ

    อยู่ถามว่า รูปพระก็เห็นได้ชัดเจนเป็นเพรชดี แต่ส่วนใหญ่จะกลับไปดูลมในจุดๆที่มันจะถึงจุดๆนึงอย่างที่บอก มันจะเอาแต่หายใจเข้าอย่างเดียวและก็อยากกจะลุกจากตรงนั้นสักพักสุดๆแล้วก็ผ่อนแล้วก็ต้องกลับมาดูลมใหม่ ลมก็ยิ่ง เล็กลงเรื่อยๆ ตอนนั้นมีอยู่3อารมณ์ด้วยกัน คือ
    1อารมณ์แผ่เมตตาที่ขนลุกชูชันจนมันจะลอยแบบเบามากๆ
    2อารมณ์ว่างเปล่าที่มันโหว๋งเหว๋งแบบลอย
    3อารมณ์ของลมหายใจที่เราตามมองดูตลอดทุกวันทุกเวลาทุกครั้งไปจนจะจบแล้ว ไม่อึดอัดนะมันเย็นๆ และก็อยากจะลุกจากตรงนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยลมหายใจออกมา

    จิตจะเคลื่อนเข้าใกล้ฌาณ4 ตอนนี้จะอยู่ช่วงฌาณ3
    พอเข้าไปเริ่มใกล้ก็จะถอยย้อนกลับออกมาใหม่
    ให้เราลองปล่อยลมหายใจ แล้วหันมาดูที่จิต มาสัมผัสอาการหยุด ความนิ่ง สงบตั้งมั่น ลอยเบา นิ่งของจิต ดูครับ
    ไม่ต้องดูลมหายใจ หันมาดู ความสุขที่เกิดกับจิต และอาการหยุดนิ่งของจิตแทน

    ถามว่าถ้าหายใจเข้าไปเรื่อยๆหน่ะ ได้ไหม ได้คับแต่ตอนนั้นมันจะไม่คิดอะไร นึกภาพพระก็ไม่ออก เห็นแต่ สีๆ มันจะนึกอะไรไม่ออกเลย
    (มองเห็นพระเป็นเพรชเลยอย่างที่คุณชัดบอกนะ แต่ ตีไปสัก 2นาทีเห็นนาน3นาทีมันลาง คือชัดเป็นครั้งคราว)ตอนที่นั่งกรรมฐานนะคับ

    ก็อาจจะประคองไม่ได้ตลอด แต่ถ้าจะให้เป็นเพชรเมื่อไหร่ ทำได้ตลอด แบบนี้ก็โอเคครับ

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัด คับ แล้วจะมาใหม่ ^^;

    เดี๋ยวนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้คับ รู้สึกเริ่มเบื่อ แต่มันก็รู้นะคับรู้ลม รู้จิต รู้รูปธรรม นามธรรม

    รู้จิต รู้รูปธรรม นามธรรมนี่ เรารู้ยังไงครับ อธิบายเพิ่มด้วยครับ

    แต่มันเบื่อๆ บางทีก็ไม่อยากนั่งสมาธิ ตอนแรกผมอยากนั่งมากๆเพื่อที่อยากเห็นนิพพาน
    ให้ชัดเจนแจ่มใส่ อยากเห็ฯอดีตอนาคต ตอนนี้

    จริงๆ ตรงจุดนี้ยังเป็นอารมณ์หนักครับ มันจะเป็นอารมณ์บีบคั้น หรือเร่งรัดเกินไปนิดๆ

    มันกลับเริ่มเบื่อ แต่นั่งก็นั่งได้นาน และก็ระหว่างการนั่ง ลมที่หายใจเข้ามันจะเย็นตลอดสายไปจนถึงหัวใจ มันเย็นมากๆ

    ที่เย็นๆนี่ จิตเกิดจากสมาธิครับช่วงฌาณ2 กับ3

    แต่จะมีอยู่อารมณ์นึกที่ผ่านเข้ามาเลยคือ เบื่อ และ อารมณ์เบื่อนี้ มันเป็นอะไรที่แบบว่า สบายมากกว่า

    เบื่อยังไงครับ เบื่ออะไรครับ ต้องอธิบายเพิ่มด้วยครับ
    อารมณ์เบื่อ ถ้าเราเบื่อแบบปล่อยวางได้ เบื่อเพราะเห็นความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ
    จิตจึงวางได้โดยไม่ปรารถนาอีก อันนี้เป็นอารมณ์ที่ถูกครับ
    ไม่ได้เบื่อแบบหดหู่ ถ้าเบื่อแบบหดหู่เป็นอารมณ์ที่ผิด
    พอเราวางได้แล้ว ใจของเราก็จะเบาครับ

    สิ่งที่เราวางได้ ก็คือความอยากสงบเกินไป หรืออยากจะเห็นมากเกินไป


    เรานั่ง สมาธิกำหนดรูปนะแปลกมาก ช่วยขยายความให้กระจ่างให้ทีคับ

    บางทีตอนแรกๆ เรามีอารมณ์หนักเกินไป หรืออยากมากเกินไป
    พอตอนนี้เรามาเจออารมณ์ที่สบายแล้ว และเราประคองอารมณ์ให้มีความสุขได้ตลอดเวลา
    ก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องนั่งสมาธิก็ได้
    เพราะยังไงเราก็ประคองสมาธิ ได้ตลอดเวลา ในทุกอิริยาบถอยู่แล้ว

    ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ผิด อะไร เพราะกลายเป็นว่าเราสามารถทำสมาธิได้อยู่ตลอดเวลา
    ไม่ใช่เฉพาะตอนนั่งเท่านั้น
    เพราะทำสมาธิได้ในทุกอิริยาบถ ก็เลยเริ่มไม่ค่อยอยากนั่ง
    และบางครั้งเวลานั่ง เราก็เผลอวางอารมณ์หนัก หรือร่างกายมันก็เครียดไปเหมือนกัน

    เราก็เน้นทำใจของเราให้สบาย ประคองสมาธิเอาไว้ตลอดเวลา จะนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ อิริยาบถใดก็ได้ แล้วแต่เราสบายที่จะทำครับ

    เพราะสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่การที่นั่งสมาธิ ได้เป็นระยะเวลานานๆ แต่เพียงอย่างเดียว
    แต่เป็นการประคองความสุข ประคองสมาธิ เอาไว้กับใจของเราให้ได้ ตลอดเวลา ในทุกๆอิริยาบถ

    ขอให้สามารถรักษาความสุขที่ได้เข้าถึงแล้วเอาไว้กับดวงจิตของเราได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  3. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อ่อที่ว่าเบื่อแต่รุ้ รูปธรรม คือ รู้ว่าที่เห็นทุกอย่างมัน อนัตา ไม่มีความยั่งยืนรู้ว่ามีแต่ไม่ยั่งยืน
    นามธรรม เช่นลมหายใจ เสียง กลิ่น และสิ่งที่ มันมองไม่เห็นมันก็ อนัตตา แต่ผมไม่ได้นึกถึงนิพพานในแบบ อนัตตา แต่รู้ว่า นิพพานเป็นสิ่งที่น่าไปที่สุดและยั่งยืนไม่มีวันเสื่อม และเป็นที่ๆสวยงามที่สุด ที่บอกว่าอารมณ์เบื่อ คือเบื่อที่ๆเป็นอยู่คับ เบื่อ รูปเบื่อรส เบื่อ ที่จะกิน เบื่อ วัฏจัก ไม่ต้องดูเป็นชาติคับ ดูตอนนี้เลย ที่ต้องกินถ่ายนอน พรุ้งนี้มากินถ่ายนอนอีก ไปเรื่อยๆจน ตายแล้วเกิดตายแล้วเกิดอีก ประมาณนี้คับ
    คือจิตมันรู้อย่างนี้

    และช่วงหลังๆ ผมไม่รู้สึกถึงอารมณ์ เมตตาฌานแล้วเป็นเพราะอะไรคับ

    และตอนดึกๆ รู้สึกว่าตัวเองใสๆเรืองแสงมีแสงเบาๆลอยอยู่และก็ไม่มีแขนไม่มีขาไม่มีหัว -.-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2009
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Karnta ครับ

    เวลาที่อยู่ในสมาธิดิฉันขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง ทำดีแล้วใช่ไหมค่ะ

    ทำดีแล้วครับ
    แต่เรายังทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ได้อีก
    อย่างเวลาเราแผ่เมตตา เราก็ต้องให้อารมณ์ของเมตตาที่เป็นความสุข ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็นจากภายในจิตใจของเรา ออกมาอย่างแท้จริง
    ต้องให้ความสุขเต็มล้นหัวใจของเรา จนเรารู้สึกเอิบอิ่ม อิ่มเอมอย่างถึงที่สุดก่อน
    แล้วค่อยแผ่ออกไป ยังทุกๆดวงจิตครับ

    แล้วพอจิตใจของเราชุ่มเย็นด้วยเมตตาแล้ว เราจึงค่อย อโหสิกรรมให้อภัยกับผู้อื่น และกราบขอขมาต่อผู้อื่น
    ที่จะต้องให้แผ่เมตตาจนถึงที่สุดเสียก่อน ก็เพราะว่าหากจิตของเรามีเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างแท้จริงแล้ว
    จิตจะมีความอ่อนโยน นิ่มนวลสามารถจะให้อภัยต่อผู้อื่นได้โดยง่าย
    และเมื่อเราขอขมาผู้อื่น หากเรามีจิตที่อ่อนโยน กราบขอขมาด้วยใจที่สำนึกจริงๆ ไม่ใช่เพียงสักแต่ขอขมาไป การขอขมาจึงจะมีผลสูง

    ระหว่าง เวลาเราจะขอขมาคนอื่น เราเดินๆไป เชิดๆ แล้วก็บอกว่า ขอโทษนะ จบ
    กับเราเดินไป ค่อยๆน้อมกราบขอขมาที่เท้าของเขา แล้วบอกว่า ผมขอโทษจริงๆนะครับ ผมสำนึกแล้ว
    แบบไหนเขาน่าจะอยากให้อภัยเรามากกว่า

    ถ้าเรากราบขอขมาแบบจิตไม่นอบน้อมมาก ก็ต้องกราบขอขมาหลายทีหน่อย เขาจึงจะให้อภัย
    ถ้ากราบขอขมาแบบนอบน้อม ด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา ด้วยความนิ่มนวลอย่างแท้จริง แค่ครั้งเดียวเขาก็อาจจะเห็นใจ

    แล้วถ้าเราแผ่เมตตาให้อย่างเต็มที่ด้วย กราบขอขมาด้วยความนอบน้อมด้วย แล้วทำหลายๆครั้งด้วย
    เราจะยิ่งล้างกรรม ตัดกรรมได้เร็วกว่าปกติหลายเท่าตัว

    ตรงนี้ถ้าเราตรองดูก็จะเข้าใจและเห็นได้ชัดเจน

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย จับลมหายใจจนจิตหยุด สงบ นิ่ง
    ปราศจากความคิด ตั้งมั่น ลอยนิ่งเบาๆ และเข้าถึงความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติตลอดไป
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน บารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Karnta ครับ

    เวลาที่อยู่ในสมาธิดิฉันขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง ทำดีแล้วใช่ไหมค่ะ

    ทำดีแล้วครับ
    แต่เรายังทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ได้อีก
    อย่างเวลาเราแผ่เมตตา เราก็ต้องให้อารมณ์ของเมตตาที่เป็นความสุข ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็นจากภายในจิตใจของเรา ออกมาอย่างแท้จริง
    ต้องให้ความสุขเต็มล้นหัวใจของเรา จนเรารู้สึกเอิบอิ่ม อิ่มเอมอย่างถึงที่สุดก่อน
    แล้วค่อยแผ่ออกไป ยังทุกๆดวงจิตครับ

    แล้วพอจิตใจของเราชุ่มเย็นด้วยเมตตาแล้ว เราจึงค่อย อโหสิกรรมให้อภัยกับผู้อื่น และกราบขอขมาต่อผู้อื่น
    ที่จะต้องให้แผ่เมตตาจนถึงที่สุดเสียก่อน ก็เพราะว่าหากจิตของเรามีเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างแท้จริงแล้ว
    จิตจะมีความอ่อนโยน นิ่มนวลสามารถจะให้อภัยต่อผู้อื่นได้โดยง่าย
    และเมื่อเราขอขมาผู้อื่น หากเรามีจิตที่อ่อนโยน กราบขอขมาด้วยใจที่สำนึกจริงๆ ไม่ใช่เพียงสักแต่ขอขมาไป การขอขมาจึงจะมีผลสูง

    ระหว่าง เวลาเราจะขอขมาคนอื่น เราเดินๆไป เชิดๆ แล้วก็บอกว่า ขอโทษนะ จบ
    กับเราเดินไป ค่อยๆน้อมกราบขอขมาที่เท้าของเขา แล้วบอกว่า ผมขอโทษจริงๆนะครับ ผมสำนึกแล้ว
    แบบไหนเขาน่าจะอยากให้อภัยเรามากกว่า

    ถ้าเรากราบขอขมาแบบจิตไม่นอบน้อมมาก ก็ต้องกราบขอขมาหลายทีหน่อย เขาจึงจะให้อภัย
    ถ้ากราบขอขมาแบบนอบน้อม ด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา ด้วยความนิ่มนวลอย่างแท้จริง แค่ครั้งเดียวเขาก็อาจจะเห็นใจ

    แล้วถ้าเราแผ่เมตตาให้อย่างเต็มที่ด้วย กราบขอขมาด้วยความนอบน้อมด้วย แล้วทำหลายๆครั้งด้วย
    เราจะยิ่งล้างกรรม ตัดกรรมได้เร็วกว่าปกติหลายเท่าตัว

    ตรงนี้ถ้าเราตรองดูก็จะเข้าใจและเห็นได้ชัดเจน

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย จับลมหายใจจนจิตหยุด สงบ นิ่ง
    ปราศจากความคิด ตั้งมั่น ลอยนิ่งเบาๆ และเข้าถึงความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติตลอดไป
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน บารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึง คุณ nataphat ครับ

    พี่ชัดครับ คือมะวานตอนสวดมนต์อยู่นั่งมองไปที่กำแำพงผมเห็นบางสิ่งบางอย่างลักษณะคล้ายๆไอน้ำที่ออกจากหม้อข้าวมารวมกันผมตกใจเลยหนี้หลับไปครับไม่ทราบมันอารัยหว่า(อาเป็นเพราะตาลายก็ได้น่ะครับงง)ประมาณ4-5ทุ่มครับ
    ขอบคุณครับ

    อันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาก็มาให้เห็นครับ จะได้รู้ว่าสวดแล้วมีผลจริง
    เห็นแล้วก็ไม่ต้องตกใจครับ<!-- google_ad_section_end --> ตั้งใจสวดต่อไป

    แล้วก็เวลาสวด เราก็นึกถึงภาพพระให้เห็นท่านแย้มยิ้ม ให้เห็นภาพพระเป็นเพชรด้วยครับ
    แล้วก็มีรัศมี เป็นแสงสว่างประกายเพชร แผ่กระจายจากองค์พระส่องสว่างไปยังทั้งจักรวาล
    แล้วก็สวดไปเห็นภาพพระท่านยิ้มไปครับ จะได้ ได้อานิสงค์สูงสุด
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ boradcard ครับ


    1.คำภาวนาหายไป จิตก็เริ่มเป็นฌาณ ฌาณ 1
    2.เสร็จแล้วจับลมหายใจ สบายๆ จิตก็จะมีความชุ่มเย็น จะอยู่ประมาณฌาณ2
    3.ถ้าลมหายใจเริ่มช้าลง จนลมหายใจแค่ที่ปลายจมูกนิดเดียว จิตก็จะประมาณฌาณ3
    4.พอลมหายใจช้าลงเรื่อยๆ สบายๆ จนลมหายใจหยุดนิ่ง จิตของเราก็หยุด เบาๆ สบายๆ นิ่งๆ ตอนนี้จิตเป็นฌาณ4

    ขอถาม นะครับ...

    ฌาณ 1 ถ้าเปรียบเป็นขั้น คือขั้นปฐมฌาณ ไหมครับ

    รูปฌาณ1 ปฐมฌาณ
    รูปฌาณ2 ทุติยฌาณ
    รูปฌาณ3 ตติยฌาณ
    รูปฌาณ4 จตุถฌาณ
    อรูปฌาณ1 อากาสานัญจายตนะ
    อรูปฌาณ2 วิญญานัญจายตนะ
    อรูปฌาณ3 อากิญจัญญายตนะ
    อรูปฌาณ4 เนวะสัญญานาสัญญายตนะ

    ชื่อไม่ต้องจำมากก็ได้ครับ เน้นอารมณ์ของฌาณแต่ละขั้นเป็นสำคัญ

    พอเป็นอรูปฌาณ จะต้องทำกสิณก่อน พอได้กสิณแล้ว
    ก็ให้เราเพิกภาพ กสิณออก หรือสลายภาพกสิณออก
    ถ้าทรงภาพพระอยู่ ก็ต้องสลายภาพพระออกจากจิตชั่วขณะ เพื่อทำเป็นอรูป

    เห็นว่าภาพกสิณสลายหายไป กลายเป็นความว่างเวิ้งว้าง ว่างเปล่า สีขาว แผ่กระจายออกไปยังทุกๆทิศทาง
    ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ว่างเป็นสีขาวไปหมด
    เราจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของความว่าง เหมือนแกว่งแขนในอากาศ ไม่มีอะไรให้จับต้องได้ ว่าง
    ใจสบาย สว่างเป็นสีขาว เย็น จิตจะเบาสบายมาก แต่อารมณ์นี้ยังไม่ใช่พระนิพพาน

    อารมณ์พระนิพพานจะยิ่งเย็นสบายกว่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นเราต้องพัฒนาจิตของเราให้ยิ่งขึ้นไปกว่าอารมณ์นี้อีก

    ถ้าใครได้อรูป กสิณญาณต่างๆ จะยิ่งมีความแจ่มใส สติปัญญาจะเฉียบแหลมมาก เพราะเป็นวิสัยของปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง


     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    การจับลมสบาย เข้าถึงซึ่งสภาวะที่ จิตหยุดนิ่ง ไม่หายใจ ในที่นั่งเดียว

    ถ้าจะให้ปฏิติแล้วเกิดผลได้ไว
    เราก็ต้องเข้าใจก่อน ว่าอารมณ์ที่เราปฏิบัตินี้ เราต้องการจะให้เข้าถึงจุดไหน
    ไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะปฏิบัติ ไม่ถึง หรือเลยอารมณ์ที่ต้องการได้

    สำหรับอารมณ์ในขั้นของสมถะ ที่เราต้องการจะทำให้ได้ก็คือฌาณ4
    ฌาณ4 จะมีอารมณ์ที่จิตมีอาการหยุด นิ่ง ปราศจากความคิด เป็นสภาวะที่เราหยุดคิด
    ถ้าหยุดคิดได้ก็เป็นฌาณ4 จิตมีความเบา โปร่ง โล่งสบาย

    ซึ่งฌาณ4นี้ วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเข้าถึงก็คือการจับลมหายใจ โดยที่อ่านที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ก็ให้ทำตามไปเลยครับ

    1.ลมหายใจ1 ฐาน
    ให้เรารู้สึกถึงความเบา สบาย ชุ่มเย็น ของลมหายใจที่กระทบบริเวณปลายจมูก ของเรา ทั้งเวลาหายใจเข้า หายใจออก
    เราจะสัมผัสได้ถึงความเบาชุ่มเย็น สบายใจ ของลมหายใจ ที่กระทบบริเวณปลายจมูกของเรา
    ให้เราสัมผัสความชุ่มเย็น เบาสบายของลมหายใจที่ปลายจมูกของเรา
    อาการกระทบ เบาๆ เย็นๆ ของลมหายใจ ไปเรื่อยๆ ประมาณ ซัก 20ครั้งครับ

    2.พอเราได้ประมาณ20ครั้งแล้ว ใจของเราจะเริ่มรู้สึกสบาย พอเริ่มรูสึกสบายมากขึ้น
    ให้เราเพิ่มจุดรับรู้การกระทบของลมหายใจเป็น การจับลมหายใจเป็นสามฐาน

    คือให้เรารูสึกถึงลมหายใจที่กระทบบริเวณปลายจมูกของเรา เบาๆ ไหลผ่านลงมากระทบเบาๆ ที่อก แล้วไหลลงไปกระทบเบาๆ เย็นๆ ที่ท้องของเรา
    เราจะสามารถสัมผัสถึงความเบาเย็นสบายของลมหายใจ ได้ที่จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก
    สัมผัสการไหลเข้าไหลออกของลมหายใจที่ทั้งสามจุด

    เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงความต่อเนื่องของสติ ของตัวรู้ที่มีความต่อเนื่องมากกว่าเดิม
    ลองดูไปเรื่อยๆ ประมาณ 20ครั้งครับ จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก ไปเรื่อยๆ

    3.ถึงตอนนี้จิตของเราจะเริ่มรูสึกสบายยิ่งขึ้นไปอีก
    คราวนี้จะมาถึงลมไร้ฐาน หรือลมตลอดสาย ให้เราใช้จินตภาพของเรา
    นึกภาพว่าลมหายใจของเราเป็นเส้นแพรไหมสีขาวๆ บางๆ ใสๆ ที่พริ้วผ่านเข้ามาในร่างกายของเราแล้วก็พริ้วผ่านออกไป

    เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงความลื่นไหล เนียนนุ่มต่อเนื่อง ของลมหายใจ ที่พริ้วผ่านเข้ามา และพริ้วผ่านออกไปอย่างต่อเนื่อง
    ไหลเข้า ไหลออก เรื่อยๆ
    สัมผัสความเย็นของลมหายใจ สัมผัสความเบาสบายของลมหายใจ สัมผัสอารมณ์สบาย อารมณ์ของความสุขที่เกิดจากสมาธิ
    ลองดูลมหายใจที่ไหลเข้าไหลออกอย่างต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์สบายๆไปเรื่อยๆ ซัก30-40ครั้งครับ

    4.ถึงตอนนี้จิตของเราจะมีความเบาสบายมาก
    แต่ยังมีอารมณ์ใจที่มีความเบาสบายยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ซึ่งเป็นสภาวะที่ลมหายใจดับไป ไม่มีลมหายใจ
    จิตจะมีความหยุดนิ่ง ตั้งมั่น ปราศจากความคิด

    ซึ่งการจะเข้าถึงสภาวะนี้ เราจะใช้การ ล้างลมหายใจหยาบ เข้าช่วย
    โดยการให้เรา
    -หายใจเข้าลึกๆ แรงๆ จนลมหายใจเต็มปอดของเรา จากนั้นให้เรากักลมหายใจเอาไว้ สบายๆ
    -แล้วภาวนาในใจไปที่ท้องว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งถี่ยิ่งเร็วยิ่งดี
    -พอผ่านไป10วินาที ให้หายใจออก แล้วทำซ้ำอีก 10ครั้ง จะเกินก็ได้ไม่เป็นไร

    จากนั้นให้เราจับลมหายใจตลอดสาย เห็นลมหายใจเป็นเส้นแพรไหมที่พริ้วไหวเข้า พริ้วไหวออกเหมือนเดิม
    ให้เราปล่อยลมหายใจสบายๆ จะหายใจแรง จะ เบา จะยาว จะสั้น ก็ปล่อยไป
    เราก็ตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
    ลมหายใจของเรา จะค่อยๆ ช้าลงๆ เบาลงๆ จนกระทั่งลมหายใจเบาลง จนหยุด นิ่ง
    จนรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ

    จิตจะหยุดนิ่ง ตั้งมั่น สงบ เบาสบาย ปราศจากความคิดทั้งหมด ลอยนิ่งอยุ่เบาๆ
    เสร็จแล้วให้เราประคองสภาวะที่จิตนิ่ง ที่สงบนิ่งสบายแบบนี้เอาไว้
    สัมผัสความสุขสงบ ที่เกิดจากสมาธิ ความสบายจากการได้พักผ่อนจากการคิด

    พอจิตของเราสัมผัสสุขแบบนี้อยู่นานเท่าที่เราต้องการแล้ว
    ให้เราอธิษฐานว่า

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะของลมสบายที่ลมหายใจดับไป ลมหายใจหายไป จิตมีอารมณ์หยุดนิ่ง ตั้งมั่น เบาสบายนี้ ได้ตลอดไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกครั้งที่ต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำ เอาไว้สามครั้ง

    จากนั้นจึงค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ
    โดยการหายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ สามครั้ง
    ครั้งที่ 1 เข้า พุท ออก โธ
    ครั้งที่ 2 เข้า ธัม ออก โม
    ครั้งที่ 3 เข้า สัง ออก โฆ

    ตื่นขึ้นด้วย พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    เสร็จแล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    ลองทำดูนะครับ
    พอได้แล้วเราก็มาทำขั้นแผ่เมตตา เพื่อสัมผัสความสุขที่มีความละเอียดประณีตยิ่งขึ้นต่อไป

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งฌาณ ญาณ มโนมยิทธิ อภิญญาได้อย่างง่ายดายทุกๆคน ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เชิญ ทุกๆท่าน ร่วมจารึกคำอธิษฐานเพื่อส่วนรวม ปลุกทุกดวงจิตขึ้นสู่สัมมาอภิญญา

    อานิสงค์นี้จะได้หนุนทุกๆท่าน ให้สามารถปฏิบัติ เข้าถึงความสุข ฌาณ ญาณ สมาธิ มโนมยิทธิ อภิญญาสมาบัติ มรรคผลนิพพาน ได้โดยง่าย

    http://palungjit.org/posts/2406643"][B]1[/B] </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Xorce<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2406643", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 1,091
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,174
    ได้รับอนุโมทนา 8,707 ครั้ง ใน 985 โพส
    พลังการให้คะแนน: 325 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2406643 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->เว็บพลังจิต ร่วมสร้างพระเจ้าองค์แสน ปลุกตื่นทุกดวงจิตสู่สัมมาอภิญญา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    "พระเจ้าองค์แสน"

    แสนคำอธิฐานอันเป็นกุศลนั้นมาหล่อหลอม
    รวมใจเป็นองค์พระพุทธปฏิมาเพียงหนึ่งเดียว


    ขอเชิญทุกท่าน ร่วมกันโพสต์คำอธิษฐานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ลงในกระทู้นี้
    ทางทีมงานพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจะนำคำอธิษฐานเพื่อส่วนรวมของทุกๆท่าน
    มาเขียนลงบนแผ่นทองเหลือง และนำไปร่วมหล่อ พระเจ้าองค์แสน

    คำอธิษฐานที่เป็นไปเพื่อส่วนรวม ที่สะท้อนถึงแรงปรารถนาที่จะทำให้ส่วนรวมมีความสุข อย่างถึงที่สุด 1000 คำอธิษฐาน

    ทางทีมงานจะจัดทำเป็นเพลต แล้วน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ภายใต้สถานการณ์ของบ้านเมืองในยุคปัจจุบัน
    ยังคงมีผู้คนที่มีจิตปรารถนาเพื่อความสุขของส่วนรวมเป็นสำคัญ
    และพร้อมจะทำงานเพื่อสนองเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ อยู่เป็นจำนวนมาก

    ขอให้อานิสงค์ของการโพสต์ และจารึกคำอธิษฐานเพื่อส่วนรวมนี้
    เป็นปัจจัย เพื่อปลุกตื่นทุกๆดวงจิต ขึ้นสู่ความเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    ขึ้นสู่สัมมาอภิญญา เป็นอภิญญาที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่เราอยากจะค้ำจุนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    และดำรงพิทักษ์บวรพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี อย่างแท้จริง จากภายในหัวใจของเรา
    ขึ้นสู่ปรมัตถบารมี คือการยอมเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขของส่วนรวม และขึ้นสู่การตัดกิเลสเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด

    แล้วเรามาสร้างพระร่วมกัน ในนามของทุกๆคน ในเว็บพลังจิต และในนามของทุกๆคนที่ปรารถนาความสุขของส่วนรวมครับ




    <TABLE class=tborder id=post1615218 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kananun<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1615218", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 8,204
    Groans: 10
    Groaned at 15 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 33,739
    ได้รับอนุโมทนา 158,008 ครั้ง ใน 8,239 โพส
    พลังการให้คะแนน: 9568 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1615218 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->ความเป็นมาของ"พระเจ้าองค์แสน" ตามที่พระท่านมาสั่งงานนั้น

    ท่านบอกว่า ท่านให้จัดสร้าง พระพุทธรูป ขึ้น โดยการรวบรวม แผ่นทองเหลือง จากผู้ ที่มีจิตปรารถนาดีต่อส่วนรวม

    และให้ คน ทั้งแสนคนนั้น เขียน จารึกคำอธิฐาน ความตั้งใจเพื่อส่วนรวม


    จะเป็นไป เพื่อชาติ
    เพื่อพระพุทธศาสนา
    เพื่อพระมหากษัตริย์

    หรือประชาชนส่วนรวมก็ดี ชาวโลกก็ดี เหล่าสรรพสัตว์ก็ดี หรือจะจารึกอธิฐาน ตั้งจิตความปรารถนาซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานก็ดี


    "พระเจ้าองค์แสน" แฝงความหมายถึง การตั้งจิตอธิฐานในความปรารถนาอันเป็นกุศล ของคนแสนคน

    แสนคำอธิฐานอันเป็นกุศลนั้นมาหล่อหลอม รวมใจเป็นองค์พระพุทธปฏิมาเพียงหนึ่งเดียว


    ที่สำคัญนั้นท่านให้ตั้งกำลังใจ ว่าเราได้สร้างพระพุทธรูป แทนองค์พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับแต่สมเด็จองค์ปฐม เป็นต้นมาจนถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ท่านจะปรากฏต่อไปในอนาคต

    การจัดสร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ดังนั้นการจัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้จึงรวมจิตสานดวงใจ ทั้งสามสถาบันหลักคือชาติ พระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์เอาไว้ด้วยกัน


    โดยเราจะจัดร่วมกันจัดสร้างเป็นพระพุทธรูปหล่อทองเหลือง ปาง "สมเด็จองค์ปฐมทรงเครืื่่องจักรพรรดิ์ "ปิดทอง ขนาดหน้าตัก กว้าง สี่ศอก

    น้อมถวายไว้ที่ วัดวังมุย จ.ลำพูน ซึ่งเป็นวัดเดิมของครูบาชุ่ม (สหธรรมมิกของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(ซึ่งท่านมรณะภาพแล้ว) โดยถวายครูบาวิทูร ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

    วิธีการในการร่วมจัดสร้างนั้น

    ผู้มีจิตศรัทธา จัดหา แผ่นทอง (ซึ่งหาได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไปได้ครับ) จะแจกจ่ายให้ญาติมิตร ครอบครัว หรือคนรู้จัก ให้เข้าใจในโครงการสร้างพระพุทธรูป พระเจ้าองค์แสน

    จากนั้น ตั้งจิตอธิฐานในสิ่งที่เป็นกุศล และจารึกคำอธิฐาน ที่เป็นไปเพื่อส่วนรวม ลงในแผ่นทองเหลืองที่จะนำไปหล่อรวมเป็นองค์พระพุทธรูป

    จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ มักเขียนคำอธิฐานเพื่อตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่

    ต่อเมื่อดวงจิตของท่านได้รำลึกถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ท่านก็ได้ยกระดับจิตขึ้นสู่ดวงจิตที่เสียสละ จิตที่ละความเป็นตัวตนลง มุ่งประโยชน์ของส่วนรวมก่อนซึ่ง โลกเราในขณะนี้ กำลังต้องการ

    ก่อนที่จะตั้งจิตอธิฐานจารึก คำอธิฐานเพื่อส่วนรวมลงในแผ่นทอง

    ขอให้ตั้งจิตให้เป็นสมาธิกำลังสูงสุด ตามกำลังที่เราทำได้

    จากนั้นวางกำลังใจให้สะอาด ตัดกิเลสให้เบาบาง

    วางจิตให้ตั้งในพรหมวิหารสี่ยังทิศทั้งปวง ทรงภาพพุทธนิมิตรในจิตให้ตั้งมั่น

    แล้วจึง ตั้งจิตจารึกคำอธิฐานลงไป ให้จิตเห็น แผ่นทองคำระยิบระยับ อักษรที่จารึกเป็นเพชรแพรวพราว


    ในขณะที่ท่านร่วมจิตอธิฐาน ร่วมสร้างพระเจ้าองค์แสน

    ข้างบนท่านก็จารึกลงใน "บัญชี" ของข้างบนด้วยเช่นกัน



    พระพุทธรูป"พระเจ้าองค์แสน"ที่จัดสร้างนี้ เป็นพระพุทธรูป สมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ์ขนาดหน้าตัก 4 ศอก หล่อด้วยทองเหลือง

    สำหรับสถานที่ประดิษฐานจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ

    ขณะนี้อยู่ในช่วงรวบรวม แผ่นทองเหลืองที่จารึกคำอธิฐานครับ

    หลายๆท่านได้เขียนคำอธิฐานเอาไว้แล้ว

    หากนำลงในกระทู้นี้ได้เลยครับ

    เพราะจะได้จัดพิมพ์คำอธิฐาน จำนวน แสนคำอธิฐานและถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับการจัดทูลเกล้าทูลกระหม่อม "พระเจ้าองค์แสน" ครับ

    "แสนคำอธิฐานอันเป็นกุศล

    แสนความตั้งใจเพื่อส่วนรวม

    แสนไท ผู้รู้ตื่นจากภายใน

    หลอมรวมใจเป็นพระปฏิมาคู่บ้านคู่เมือง

    เพื่อน้อมถวาย"เจ้าเดือนเด่นฟ้า"
    "พระมหานเรศ"
    "เอกองค์ภูมิพล"
    ผู้ทรงพระนาม "เทวัญพรหมบุตร"



    จะจัดส่งแผ่นทองที่เขียนคำอธิฐานแล้ว ส่งมาได้ ตามที่อยู่นี้ครับ

    ตู้ปณ. 45 ปณฝ. สันติสุข กทม. 10113 ครับ

    ทางคณะจัดสร้างจะรวบรวมนำแผ่นทองพร้อมคำอธิฐานของทุกๆท่านเพื่อส่วนรวมนำไปจัดสร้างพระพุทธรูป สมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ์ ตามแบบของทางวัดท่าซุง ถวายไว้ในพระพุทธศาสนาครับ

    พระเจ้าองค์แสน</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    ขอให้พรอันประเสริฐที่คุณxorceมอบให้ตามติดข้าพเจ้าทุกชาติภพตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ และขอให้พรนี้สำเร็จแก่คุณxorceและทุกรูปทุกนานที่มีจิตโมทนา สาธุ....

    ขอบคุณคุณxorceมากค่ะ
    เริ่มปฏิบัติตามคืนนี้เลย
     
  11. Troysan

    Troysan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +215
    ขออฐิฐานตั้งใจปฏิบัติอีกครั้งครับ
    ล้มเหลว มาหลายครั้งแล้ว ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย
    เพราะเจอกับอารณม์กระทบทั้งการงาน และครอบครับ
    อารมณ์จึงไม่อาจทรงนิ่งๆ ได้ทั้งวัน และแม้แต่เวลาที่จะนั่งทำจริงๆจังๆ
    ก้อไม่อาจเขาถึงในจุดที่ใจสบายๆ ได้ เหมือนทำไปวันๆ หาจุดเกาะไม่ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2009
  12. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    มา post ให้ครบ 20 post ครับไม่งั้นคุยกันทาง web ไม่ได้นะครับ
     
  13. ิีbibimbub

    ิีbibimbub สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    อยากทราบว่าตัวเองอยู่ขั้นไหนควรจะฝึกอย่างไร และนั่งแบบไหนเหมาะกับจริตตัวเองค่ะ
    เกริ่นก่อนนะคะ ครั้งแรกที่นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่า ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ คือลองนั่งเอง ตอนนั้น สวดมนต์ สวดคาถา ชินบันชร แล้วเพ่งรูปสมเด็จพุฒาจารย์ โต ค่ะ ก็เกิดอาการ ตัวหมุนตัวพอง จนไปถึงแสงขาวสว่างแผ่จ้าไปไกล แล้วหลังจากนั้น ก้ไม่ได้ฝึกนั่งต่อ พอโตขึ้นมาก็เลยไปนั่งสมาธิที่วัด เวฬุวัน สายหลวงพ่อจรัญ แบบ ยุบหนอ พองหนอ แล้วหลังจากนั้นก็นั่งเองค่ะ แต่ก้ไม่เคยไปให้ใครสอนนั่งแบบใกล้ชิด
    การฝึกก็ไม่ได้สมำ่เสมอ จนพึ่งมาเจอเวปนี้ เลยลองอ่านและได้ความรู้ค่ะ
    ที่เคยฝึกมั่วซั่ว ภาวนา พุธโธ บ้าง ยุบหนอพองหนอบ้าง เพ่งรูปบ้าง ก็เริ่มทราบแล้วว่า จริงๆ แต่ละแบบนั้นมีความต่างกันมาก
    ตอนนี้ เวลานั่ง และทั้งที่ไม่ได้หลับตา จะเกิด อาการ วูบวาบตรงหว่างคิ้ว ทุกๆครั้งที่นั่งก็จะตัวหมุน ตัวพอง ตัวจะลอยบ้าง ไปจนถึงลมหายใจหยุด แล้วก็เห็นแสงสว่างแผ่ไปไกล นี่คือ อาการที่ๆเกิดทุกครั้งในการนั่ง แต่ล่าสุด
    เกิดอาการแปลกๆคือ วันนั้นสวดมนต์ระลึกถึงเจ้าแม่กวนอิม และก่อนนั่งก็อาราธนา องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าให้เป็นประธานและคุ้มครองเรา และขอให้เจ้าแม่กวนอิมช่วยให้เข้าสมาธิได้ง่าย พอนั่งไปสักพัก เริ่มรู้สึกสบาย สงบ รู้ ได้ยินทุกอย่าง ก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างเคลื่อนเข้ามาในตัว เหมือนจะมาซ้อนทับ ในใจตอนนั้นกลัวมาก อธิธานให้พระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิม คุ้มครอง แต่พลังนั้นก็ไม่หาย เคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ กลัวจะเป็น เจ้าเข้าทรง ก้เลยลืมตา ออกจากสมาธิเลยค่ะ ไม่ทราบว่าอะไร
    อีกสองวันถัดมา
    ขณะนั่งอยู่ อยู่ดีๆเกิดอาการร้อนวูบวาบทั่วตัว กลัวเลยลืมตาขึ้นก็ยังร้อนอยู่
    อยากทราบว่าเพราะอะไรคะ
    (วั้นนั้นสวดมนต์ระลึกถึงหลวงพ่อโสธร ที่สวดเพราะ บังเอิญไปเจอ พระพุทธรูป ในห้องทำงานของเจ้านายเพื่อน ตอนนี้อยู่ต่างประเทศค่ะ และเพื ่อนและเจ้านายเพื่อน ก็เป็นฝรั่งไม่ใช่คนพุึทธ แล้วหลวงพ่อโสธร ก็เป็นพระที่คุณพ่อนับถือมากเพราะท่านเป็นคนแปดริ้ว บ้านเก่าอยู่ตรงข้ามวัด รู้สึกแปลก ที่ได้ไปเจอพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรในที่ๆไม่คาดว่าจะเจอ) (ขอโทษค่ะไม่ทราบจะอธิบายยังไงคืะ เพราะไม่ค่อยรู้จักคำศัพท์ ที่ใช้ไกันค่ะ)

    ขอบพระคุณค่ะ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai ครับ

    เอาการเปิดจักระก่อนก็แล้วกันครับ

    สำหรับการจะเกิดอภิญญา ทั้งจากการเปิดจักระ และออร่า
    จริงๆแล้ว อภิญญาไม่ได้เกิดจากการที่จักระ ถูกเปิด
    แต่ว่าเกิดจากกำลังของกสิณ ที่เราใช้ในการเปิดจักระ

    ดังนั้นเรื่องจักระ หรือออร่า ก็เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ยังไม่ใช่ตัวหลักที่เราจะไปพึ่งพาได้ตลอด
    จุดๆจริง ที่จะทำให้เกิดอภิญญาได้ ก็คือกำลังของกสิณ ที่ต้องใช้ในการเปิดจักระ

    สำหรับการเปิดจักระ โดยวิธีขอบารมีจากพระนั้น

    หากใครได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ขึ้นไปขอบารมีโดยตรงจากข้างบนได้เลย เป็นแสงจากพระนิพพานส่องตรงลงมา

    เริ่มแรก ให้ทุกๆคน นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าที่เราน้อมเคารพอย่างถึงที่สุดมาองค์หนึ่ง
    เห็นภาพพระองค์ทรงแย้มยิ้ม ถ้าเห็นภาพพระเป็นเนื้อเพชรใส ประกายระยิบระยับได้ยิ่งดี

    -จากนั้นให้เรานึกถึงภาพพระท่าน ทรงประทับลอยอยู่เหนือศรีษะของเรา
    และบนศรีษะของเรา มีดอกบัวแก้ว กำลังเบ่งบาน รองรับการประทับของพระพุทธองค์อยู่

    -จากนั้นให้เรานึกว่า มีลูกบอล กลม เนื้อแก้ว หรือเนื้อเพชร อยู่ในจุดต่างๆบนร่างกายของเรา
    พอนึกได้แล้วให้เห็นลูกแก้วเปล่งแสงสว่าง ตามจุดต่างๆด้วย
    1.ลอยอยู่ในสมอง แกนตรงขนานกับระหว่างคิ้วของเรา
    2.ลอยอยู่ใน คอของเรา
    3.ลอยอยู่ในอก ของเรา
    4.ลอยอยู่ในกลางท้อง บริเวณสะดือของเรา
    5.อยู่บริเวณก้นกบของเรา
    6.อยู่กลางท้องน้อยของเรา

    รวมกับดอกบัวเหนือศรีษะ ก็เป็น 7 จุด

    เสร็จแล้วให้เรา เห็นทั้งภาพพระ ดอกบัว และลูกแก้ว 6 จุดพร้อมๆกัน

    แล้วตั้งจิตว่า

    ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงเมตตาสงเคราะห์ ปลุกตื่นข้าพเจ้า
    ขึ้นสู่สรรพวิชชาในอดีตทั้งหมด กรรมฐานทุกกอง ฌาณ ญาณ สมาธิ ทั้งหมด
    ปลุกตื่นข้าพเจ้าขึ้นสู่ความเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    ตั้งตรงต่อ เส้นทาง แห่งมรรคผลนิพพาน ตลอดไปทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    จากนั้นให้เรานึกภาพว่า
    ภาพของพระพุทธเจ้า ทรงเปล่งแสงสว่าง ฉัพพรรณรังสี ส่องสว่าง
    -ลงมาที่ดอกบัวบนกลางกระหม่อมของเรา
    -แสงสว่างส่องต่อลงมา ตามลูกแก้ว ไล่ลงมาตั้งแต่ ในสมอง ในคอ ในอก ในท้อง ที่ก้นกบ และในท้องน้อย
    -แสงสว่างส่อง จากภาพพระลงมา ทะลวง ผ่านดอกบัว และลูกแก้วทั้ง6ลูก
    -เมื่อแสงสว่างส่องผ่านดอกบัว ดอกบัวแก้ว ก็เบ่งบานเปล่งแสงสว่าง ไปยังทุกทิศทาง
    -เมื่อผ่านลูกแก้วแต่ละลูก ลูกแก้วก็เปล่งแสงสว่าง ไปยังทุกทิศทาง จนครบทุกลูก

    เป็นอันเสร็จ

    คราวนี้เราก็ลองเอามือของเรา มาวางไว้เหนือศรีษะของเรา เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นๆ เหนือศรีษะของเรา
    เป็นอันว่าจักระ ถูกเปิดแล้ว ด้วยบารมีของพระท่าน

    เปิดจักระ ทีเดียว เราได้ทั้ง พุทธานุสติ กสิณแสงสว่าง และไม่ต้องเสียเงินด้วย ปกติทำแค่นี้เขาชาจค่าหน่วยกิจแพงพอดู

    ลองทำดูครับ เป็นการฝึกทรงภาพพระไปในตัว

    ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อ่อที่ว่าเบื่อแต่รุ้ รูปธรรม คือ รู้ว่าที่เห็นทุกอย่างมัน อนัตา ไม่มีความยั่งยืนรู้ว่ามีแต่ไม่ยั่งยืน
    นามธรรม เช่นลมหายใจ เสียง กลิ่น และสิ่งที่ มันมองไม่เห็นมันก็ อนัตตา แต่ผมไม่ได้นึกถึงนิพพานในแบบ อนัตตา แต่รู้ว่า นิพพานเป็นสิ่งที่น่าไปที่สุดและยั่งยืนไม่มีวันเสื่อม และเป็นที่ๆสวยงามที่สุด ที่บอกว่าอารมณ์เบื่อ คือเบื่อที่ๆเป็นอยู่คับ เบื่อ รูปเบื่อรส เบื่อ ที่จะกิน เบื่อ วัฏจัก ไม่ต้องดูเป็นชาติคับ ดูตอนนี้เลย ที่ต้องกินถ่ายนอน พรุ้งนี้มากินถ่ายนอนอีก ไปเรื่อยๆจน ตายแล้วเกิดตายแล้วเกิดอีก ประมาณนี้คับ
    คือจิตมันรู้อย่างนี้

    นั่นแหละครับ วิปัสสนาญาณ
    มันเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับทุกคนที่เกิดมา
    หากอยากจะพ้นจากกิจวัตรอันไม่สิ้นสุดนี้ ก็มีอยู่ทางเดียว คือต้องไม่เกิด ไปพระนิพพานเท่านั้น

    แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังทรงร่างกายอยุ่ ก็ต้องทำงาน ใช้ชีวิตไปตามปกติ
    แต่ก็ไม่รู้สึกทุกข์กับการทำงาน หรือว่าทะเยอทะยานมากจนเกินไป
    ใช้ชีวิตด้วยความใจ สบาย ใช้ชีวิตตามธรรมดา แต่ตายเมื่อไหร่เราจะไม่ยอมมาเกิดอีก จะไปพระนิพพานเท่านั้น
    อารมณ์นี้ต้องทรงให้ได้ครับ

    และช่วงหลังๆ ผมไม่รู้สึกถึงอารมณ์ เมตตาฌานแล้วเป็นเพราะอะไรคับ

    แล้วอารมณ์ที่เรารู้สึกเป็นอารมณ์อะไรครับ เย็นกว่าเมตตาไหมเอ่ย

    เราลองกำหนดเป็นเมตตา แต่คราวนี้เราควบอารมณ์ว่า
    เป็นความรักความเมตตา ที่ปรารถาจะให้ทุกๆคนไม่ต้องเกิดอีก ให้ทุกๆคนได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานแบบที่ เราได้ตั้งใจเอาไว้แล้วนี้

    จะได้เป็นอารมณ์ของเมตตา ควบอารมณ์พระนิพพาน เมตตาควบวิปัสสนาญาณ หรือเรียกว่าอริยะเมตตา
    ซึ่งจะเป็นการแผ่อารมร์พระนิพพานไปยังทุกๆดวงจิต
    แสงสว่างที่แผ่ออกไปจะกลายเป็นรัศมีเพชร ใส ระยิบระยับ อารมณ์จิตจะยิ่งเบา เย็นสบาย กว่าเมตตาปกติ

    ถ้ารักษาอารมณ์ของเมตตาควบอารมณ์พระนิพพานนี้ได้ ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานแน่นอนครับ

    อย่าลืมอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ด้วยครับ
    ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงอารมณ์ที่จิตปรารถนาในพระนิพพานอย่างถึงที่สุดนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกครั้งที่ต้องการ ทุกภพชาติตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริงด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งครับ

    และตอนดึกๆ รู้สึกว่าตัวเองใสๆเรืองแสงมีแสงเบาๆลอยอยู่และก็ไม่มีแขนไม่มีขาไม่มีหัว -.-<!-- google_ad_section_end -->

    ดีแล้วครับ ก็เป็นจิตเรานั่นแหละครับ
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เข้าถึงจิต ที่มีสภาวะ สะอาด สว่าง สงบ
    สงบด้วยกำลังสมถะ สว่างด้วยรัศมีแห่งเมตตา รัศมีจากความงดงามของจิต สะอาดด้วยกำลังแห่งวิปัสสนาญาณ
    เราก็ต้องรักษาจิตของเราให้ได้แบบนี้ตลอดไปครับ

    ลองเล่าอารมณ์ที่เรารูสึกให้คนอื่นๆฟังด้วยครับ
    เย็นแค่ไหน เบาแค่ไหน สบายแค่ไหน

    ขอให้สามารถรักษาอารมณ์จิตให้มีความสุขสงบ แบบนี้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  16. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาคับคุณชัด มันรู้สึกเย็นกว่าเดิมนะคับ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องนั่งนานๆเหมือนเมื่อก่อนที่นั่งแล้วเกร็งอารมณ์หนักเดี๋ยวนี้นอนบ้างนั่งบ้างยืนบ้าง ก็รู้สึกเย็นสบายแล้วบางครั่งผม กำหนดจิตมีสมาธิ ไม่ได้นอนทั้งคืนรุ่งเช้ามาทำงานต่อได้เป็นปรกติเลย ไม่มีความรู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใดตลอดทั้งวัน จะมีความรู้สึกง่วงนิดๆก็แต่ช่วงเย็นหาวเล็กน้อยครั้งสองครั้งเป็นต้น แต่อดนอนบ่อยๆไม่ดีคับ ^^; รู้ตัว

    แต่กิเลสก็ยังมีอยู่-.- รู้สึกกิเลสตัวนี้มันเกาะแน่นซะจริงแต่ บางทีก็เบื่อมันนะกิเลสตัวนี้ ^^เบื่อที่จะมีกิเลสตัวนี้ มันเหมือน มีความสุขจอมปลอมหลอกๆให้เราดีใจเล่นๆแต่แป๊ปๆก็หาย เด่วก็มีความสุขอีกแป๊ป ลุ่มๆดอนๆอารมณ์ดีบ้างไม่ดีบ้างก็เลยเืบื่อกิเลสตัวนี้ อิอิ แต่ถามว่ามีไหมก็ยังมีอยู่ แต่รู้สึกว่าจะควบคุมได้มากขึ้นนะ ^^
    อนุโมทนาบุญกับคำตอบครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2009
  17. MayaJit

    MayaJit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +56
    แวะเวียนเข้ามาทักทายคุณ Xorce และกล่าวคำอนุโมทนาสาธุครับ
     
  18. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    ภวังค์มันคืออะไรครับ
     
  19. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    ภวังค์มันมีความรู้สึกอย่างไรครับ
     
  20. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    ทุกคนต้องผ่านภวังค์หรือเปล่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...