ลำนำเพลงรักของนักกลอน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 8 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ได้ยินได้ฟังกันมานานแล้วว่า กล่องโฟมบรรจุอาหารที่เรารับประทานกันเป็นประจำนั้นมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์อย่างไร แต่ทุกวันนี้เราก็ยังเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอาหารในกล่องโฟม เพราะวิถีชีวิตประจำวันมักไม่เปิดโอกาสให้มีทางเลือกมากนัก การจะหาของกินดีๆ ที่ปลอดภัยไร้สารเจือปนจึงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญสำหรับคนยุคนี้

    เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ผู้บริโภคทั้งหลายจึงต้องจำใจยอมรับและในที่สุดก็เกิดพฤติกรรมเคยชิน หรือบางครั้งก็ต้องแกล้งปิดตาข้างหนึ่งก่อนจะกลืนข้าวลงคอ

    เรื่องแบบนี้จึงต้องพูดซ้ำๆ ย้ำกันให้มาก เพื่อกระตุกให้ผู้บริโภคตื่นตัวอยู่เสมอว่า วิกฤติสารพิษในอาหารกำลังโอบล้อมอยู่รอบตัวเราทุกทิศทาง ถ้าแข็งใจสักนิด ย้ำเตือนกับตัวเองบ่อยๆ อย่าเพิ่งเหนื่อยหน่ายถอดใจไปเสียก่อน อย่างน้อยก็ช่วยยืดลมหายใจให้กับตัวเราเองและลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายลงได้บ้าง

    ขาว-สวย-ดุ

    กล่องโฟมบรรจุอาหารได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่แม่ค้าร้านตลาดทั่วไปก็เพราะมันใช้ง่าย ราคาถูก ใส่อาหารได้สารพัดชนิด แถมยังดูสวยงามน่ารับประทานกว่าการยัดใส่ในถุงแกงธรรมดาๆ ช่วยอัพเกรดสินค้าขึ้นมาอีกระดับ แม้ผู้ค้าจำนวนหนึ่งอาจมีสำนึกดีด้วยการใช้ถุงแกงใสๆ รองใต้อาหารอีกชั้นหนึ่ง แต่นั่นก็ยังไม่ดีพอ

    ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายถึงพิษภัยจากกล่องโฟมไว้ว่า โฟมเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากพลาสติกประเภทโพลีสไตรีน (Polystyrene: PS) ก่อนนำมาเติมสารเร่งเพื่อช่วยให้เกิดการพองตัวและเกิดการแทรกตัวของก๊าซในเนื้อพลาสติก ทำให้ได้พลาสติกที่มีน้ำหนักเบา สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นภาชนะบรรจุอาหารในรูปแบบต่างๆ ได้ตามต้องการ แต่เมื่อถูกนำไปใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัดและอาหารทอดที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ จะเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้สารอันตรายแตกตัวออกมาจากภาชนะโฟมได้

    สารพิษที่ไหลออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ได้แก่ สไตรีน (Styrene) เบนซีน (Benzene) โดยที่สารสไตรีนจะส่งผลต่อร่างกายเมื่อถูกผิวหนังหรือเข้าตาจะทำให้ระคายเคือง หากสูดเข้าไปจะมีอาการไอ หายใจลำบาก ปวดศีรษะ ง่วงซึม เป็นต้น

    ส่วนอันตรายจากสารเบนซีนสำหรับผู้ที่ได้รับสารเข้าไปในระยะแรกจะเกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ ถ้าดื่มหรือกินอาหารที่มีสารเบนซีนปนเปื้อนสูงจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง เนื่องจากกระเพาะถูกกัดกร่อน เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงนอน ชัก หัวใจเต้นแรง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

    มีมะเร็งมาฝาก

    จากการติดตามศึกษาถึงผลกระทบและอันตรายในกล่องโฟม ภก.ณรงค์ชัย จันทร์พร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า โดยทั่วไปแล้วกล่องโฟมจะทนความร้อนได้เพียง 70 องศาเซลเซียส หากสัมผัสอุณหภูมิที่สูงกว่านั้นหรือนำเข้าเตาอบไมโครเวฟ กล่องโฟมจะเสียรูปและอาจทำให้สารเคมีที่อยู่ในเนื้อโฟมแพร่กระจายออกมาปนเปื้อนสู่อาหารได้ง่ายและเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้

    “สารเบนซีนเป็นสารที่หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้ากินอาหารที่มีสารเบนซีนปนเปื้อนสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด (ลูคิเมีย) โรคโลหิตจาง เนื่องจากเบนซีนจะเข้าไปทำลายไขกระดูก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้จำนวนเม็ดเลือดลดลงและทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้” ภก.ณรงค์ชัย ระบุ

    อย่างไรก็ตาม สำหรับสารสไตรีนยังไม่มีข้อมูลระบุชัดว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ด้วยหรือไม่ แต่พบว่าทำให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลอง จึงจัดเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B (Possibly Carcinogen) โดยปริมาณของสารสไตรีนที่แพร่กระจายเข้าสู่อาหารจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ อุณหภูมิของอาหารที่บรรจุ ปริมาณไขมันในอาหาร และระยะเวลาที่ภาชนะโฟมสัมผัสกับอาหาร

    ภก.ณรงค์ชัย ย้ำอีกว่า “นอกจากสารสไตรีนและเบนซีนแล้ว ยังมีสารทาเลท (Phthalate) ซึ่งเป็นสารที่มีพิษต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้ผู้ชายเป็นหมัน ส่วนหญิงมีครรภ์อาจให้กำเนิดลูกที่มีอาการดาวน์ซินโดรมหรือปัญญาอ่อน”

    ภก.ณรงค์ชัย ยืนยันข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาพิษวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ของ ชุมาพร รถสีดา ปี 2552 เรื่อง ‘การประเมินความเสี่ยงจากสไตลีนโมโนเมอร์ที่เคลื่อนย้ายจากภาชนะบรรจุอาหารชนิดโฟมโพลีสไตรีนเข้าสู่อาหาร’ ผู้วิจัยได้ทดสอบปริมาณสไตรีนที่เคลื่อนย้ายจากอาหารที่บรรจุอยู่ในกล่องโฟม ภายใต้อุณหภูมิห้องและอุณหภูมิร้อน การใส่เครื่องปรุง ได้แก่ มะนาว น้ำปลา น้ำเกลือ น้ำพริก น้ำเชื่อม น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ น้ำกลั่น การแช่ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง รวมถึงการอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ

    ผลวิจัยพบว่า “การแพร่กระจายของสไตรีนปนเปื้อนสู่อาหาร มีความสัมพันธ์กับปริมาณความเข้มข้นของสไตรีนและสารเคมีในกล่องโฟม อาหารที่ร้อน มีความเป็นกรด เค็ม หวาน เผ็ด มัน และระยะเวลาที่อาหารสัมผัสกับกล่องโฟม รวมทั้งการอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ”

    กฎหมายตามไม่ทัน

    ปัจจุบันกฎหมายที่ควบคุมมาตรฐานและการแสดงฉลากของกล่องโฟมมี 3 ฉบับคือ

    1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 (พ.ศ. 2548) เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ซึ่งได้กำหนดปริมาณสไตรีน ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด

    2. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4225 (พ.ศ. 2553) เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสำหรับอาหาร ตามมาตรฐานเลขที่ มอก.655 เล่ม 1-2553 โดยได้กำหนดประเภทภาชนะพลาสติกที่ทนความร้อน ธรรมดา ทนความเย็น และกำหนดปริมาณสไตรีน ตะกั่ว และสารเคมีอื่นที่ให้มีได้ในเนื้อโฟมสูงสุด

    3. ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2544) เรื่อง ให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ซึ่งต้องแสดงคำเตือน ‘ห้ามใช้บรรจุของร้อน’ และ ‘ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่กำลังร้อนจัด โดยเฉพาะอาหารทอดด้วยน้ำมัน‘ สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ทนความร้อนได้ไม่เกิน 95 องศาเซลเซียส

    ภก.ณรงค์ชัย ตั้งข้อสังเกตต่อกฎหมายทั้ง 3 ฉบับว่า “จะเห็นได้ว่ายังไม่มีการกำหนดมาตรฐานการแพร่กระจายของสารเบนซีนและทาเลทในภาชนะกล่องโฟม และไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจังด้านคุณภาพ มาตรฐาน และการแสดงฉลากให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะคำแนะนำไม่ให้ใช้ภาชนะกล่องโฟมในการบรรจุอาหารที่ร้อนเกิน 70 องศาเซลเซียส หรืออาหารที่มีไขมัน หรือนำเข้าไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งและสารพิษจากกล่องโฟม”

    ตัวใครตัวมัน

    แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายควบคุมมาตรฐานการผลิตกล่องโฟมในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้ประกอบการพยายามพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้ก็ยังมีการใช้ภาชนะโฟมที่ไม่เหมาะสม เช่น นำชามโฟมไปใส่ก๋วยเตี๋ยวที่ร้อนจัด หรือนำไปใส่อาหารที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ ซึ่งสไตรีนจะละลายตัวได้ดีในน้ำมัน ทำให้ผสมปนเปกับอาหารได้ง่าย หรือแม้กระทั่งมีการนำอาหารในกล่องโฟมไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายอย่างยิ่ง

    ในเมื่อยังไม่สามารถควบคุมการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารอย่างถูกสุขลักษณะได้ ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จึงได้แนะนำให้ผู้บริโภคตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้กล่องโฟม ก่อนนำมาใช้ควรกำจัดเศษโฟมที่หลงเหลืออยู่ตามผิวภาชนะออกก่อน หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟม ถึงขั้นแนะนำให้พกพาภาชนะส่วนตัวเมื่อไปซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีสะสมในร่างกายในระยะยาวจนก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

    ขณะเดียวกัน หากจะออกมาตรการบังคับให้ผู้ผลิตภาชนะติดฉลากบนผลิตภัณฑ์ให้ชัดๆ ว่า ‘กล่องโฟมนี้มีสารก่อมะเร็ง’ หรือแม้กระทั่งมาตรการเพิ่มภาษีในผลิตภัณฑ์บรรจุอาหารที่ทำจากโฟม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะภาครัฐกลัวถูกภาคเอกชนฟ้องร้องเอาได้ ในข้อหากีดกันการค้า

    สรุปง่ายๆ ว่า ถ้ายังไม่อยากตายผ่อนส่ง ผู้บริโภคก็ควรระแวดระวังกันเอาเอง เพราะในเวลานี้ยังไม่สามารถพึ่งพาหรือฝากความหวังให้กับหน่วยงานรัฐได้

    ทางเลือกราคาแพง

    กล่องโฟมที่ผลิตขึ้นในวันนี้จะใช้เวลาในการย่อยสลายอีก 450 ปีข้างหน้า ภก.ณรงค์ชัย ให้ข้อมูลว่า บางประเทศอย่างสวีเดนถึงกับกำหนดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะกล่องโฟมใบละ 6 บาท สูงกว่าราคากล่องโฟมซึ่งขายกันราคาใบละ 1 บาท เพราะหากเทียบกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและพิษต่อร่างกายแล้ว ราคานี้ถือว่าสาสม

    เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน ฝรั่งเศส แคนาดา สหรัฐอเมริกาในบางรัฐ ซึ่งตระหนักถึงปัญหาการใช้กล่องโฟม โดยได้ยกเลิกการใช้กล่องโฟมเป็นภาชนะบรรจุอาหาร และส่งเสริมการใช้กล่องบรรจุอาหารที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ เช่น กล่องโฟมจากมันสำปะหลัง ข้าวโพด ชานอ้อย ฯลฯ ซึ่งใช้เวลาเพียง 45 วัน ก็ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยในดิน

    “จากการตรวจสอบราคาภาชนะทดแทนกล่องโฟมที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า พบว่า กล่องบรรจุอาหารที่ทำจากวัสดุย่อยสลายได้ ขนาด 600 ซีซี มีราคาสูงกว่ากล่องโฟมขนาดเท่ากันใบละ 30 สตางค์ (ราคาใบละ 2 บาท และ 1.70 บาท) ส่วนชามไบโอชานอ้อย ขนาด 6 นิ้ว มีราคาสูงกว่าชามโฟมในขนาดเท่ากันใบละ 1 บาท (ราคาใบละ 3.90 บาท และ 2.90 บาท)” ภก.ณรงค์ชัย ระบุ

    หันกลับมามองประเทศไทย ยังไร้วี่แววว่าหน่วยงานรัฐจะหันกลับมาคิดทบทวนถึงปัญหาเหล่านี้อย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งมาตรการสนับสนุนราคาของวัสดุทดแทนโฟมให้ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ การบังคับให้แสดงฉลากที่ชัดเจน และการรณรงค์ส่งเสริมให้ใช้วัสดุย่อยสลายได้ อีกส่วนหนึ่งย่อมต้องอาศัยพลังจากผู้บริโภคเองที่จะต้องตื่นรู้และร่วมมือกันงดใช้ภาชนะโฟม ไม่เช่นนั้นก็รับประทานเมนู ‘ข้าวคลุกสไตรีน’ กันต่อไป

    ที่มา : http://waymagazine.org/report/โฟม-กล่องฆ่าคน
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    กราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
    งามนะคะ
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    ฝนตก ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    5 สิ่งที่เห็นมีค่ามากกว่าเงิน
    1 การได้สังขารมนุษย์
    2 การได้พบพระพุทธศาสนา
    3 มีมิตรดี
    4 มีสุจริตเป็นสันดาน
    5 มีใจที่ปราศจากริษยา
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    เลิงนกทา ฝนตกจนมะนาวร่วง
    ตู้เสื้อผ้าขึ้นรา
    หอยทากไต่ขึ้นบ้านค่ะ
    ชื้นมากๆ
     
  12. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    ลับสมองกันนะคะ ^^
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
  17. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    รักจ้ะ
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    » เลี้ยงลูกท่าไหน ถึงผลักไสให้เขา กลายเป็น Generation ME
    » Gen ที่หลงตัวเองที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

    เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่าวที่ฮือฮามากในนิตยสาร “TIME” ที่ทำสกู๊ปหน้าปกเรื่อง “ME ME ME Generation” พร้อมภาพเด็กหญิงวัยสาวกำลังนอนราบกับพื้นและยกกล้องจากโทรศัพท์มือถือขึ้นโน้มลงมาถ่ายรูปหน้าตัวเอง

    เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่ ที่อ้างข้อมูลของโจเอล สไตน์ จาก “The National Institutes of Health” (สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกา) พบว่า

    คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-2000 นั้นหลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ และกว่า 80% ของคนรุ่นนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี ต้องการได้งานที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่

    คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วมก็ได้ประกาศนียบัตร” โดยไม่สนใจถึงประสิทธิผลหรือวิธีการหรือความสำคัญของการเข้าร่วม

    ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้นทุกๆ สองปีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงานหรือประสิทธิภาพ

    และจากข้อมูลดังกล่าว เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่าง หรืออีกคำที่เขาเรียกว่าเป็นกลุ่มหลงตัวเอง

    ::::::::::::::::::


    คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” สรุปคร่าว ๆ มักจะมีอาการและพฤติกรรม ดังนี้


    1) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความโกรธแค้น สร้างความน่าละอาย/ขายหน้า และความอัปยศน่าอดสู

    2) เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตนเอง

    3) มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี

    4) พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง

    5) มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือรักในอุดมคติ

    6) ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง

    7) ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับและหลงใหลอยู่ตลอดเวลา

    8. เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น และมีความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น

    9) คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง

    10) ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโยชน์แก่ตนเอง

    ::::::::::::::::::


    แม้จะมีความพยายามในการวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่และส่วนสำคัญที่สุดก็คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก

    แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า Generation ME !!


    • ประการแรก : ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน

    ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก

    โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น


    --


    • ประการที่สอง : ลูกไม่เคยผิดหวัง

    สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยขัด และตามใจมาโดยตลอด จึงมักตอบสนองในทุกเรื่อง แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

    เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไปขอยืมมา หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อของเล่นชิ้นใหม่จนได้ เป็นต้น


    --


    • ประการที่สาม : ลูกไม่เคยแพ้

    ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ ไม่ว่าจเะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม

    ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย

    แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น

    แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย

    --


    • ประการที่สี่ : ลูกไม่เคยลำบาก

    ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไป ที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว ก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป

    ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี


    --


    • ประการที่ห้า : ลูกไม่เคยแก้ปัญหา

    พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง

    พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตของลูกไปซะอีก เวลาลูกเจอปัญหาอะไรต้องให้เขาฝึกเผชิญด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง

    เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอื่น หรือโทษว่าเพราะคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา


    --


    • ประการที่หก : ลูกได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ

    การชื่นชมหรือชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เพราะถ้าชื่นชมมากเกินไป พร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นสร้างปัญหาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเพียงแค่เปลือก ชมที่ภายนอก

    เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือดีว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้


    ::::::::::::::::::


    • ฝากทิ้งท้าย

    ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำให้ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดถึงตัวเอง หรือภาษาของคนชาวอเมริกันที่เขาบอกว่าเข้าข่ายหลงตัวเอง

    จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “Generation ME” ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มักมองแต่ตัวเอง

    จะว่าไปแล้วอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เกิดพฤติกรรมหลงตัวเองก็คือ “สื่อยุคไร้พรมแดน” เพราะสื่อและเทคโนโลยีที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเด็กโดยตรง

    และมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สุดแสนจะโอชะ เพราะใช้เงินง่าย ตกเข้าไปในกระแสทุนนิยมก็ง่าย ยิ่งบรรดาสมาร์ทโฟนที่เด็กรุ่นใหม่ใช้กันเกลื่อนเมือง ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มอย่างมากที่ก้าวเข้าสู่การเป็น Generation ME ได้ง่ายขึ้น

    ตรงกันข้าม ถ้าเด็กเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและถูกวิธี มีการปลูกฝังทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับวัย เมื่อถึงวันที่กระแสบริโภคนิยมเข้ามาปะทะตัวเด็กเต็ม ๆ มีสื่อไฮเทคเข้ามาถึงบ้าน แต่ทักษะชีวิตที่ได้รับการปลูกฝังมาดี

    เมื่อถึงเวลานั้น ทักษะที่มี มันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี

    ::::::::::::::::::


    Credit : สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน / Quality of Life / Manager.co.th
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  20. tassumalee

    tassumalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    1,579
    ค่าพลัง:
    +8,825




    นั่นน้องหมูหรือน้องหมาค่ะนั่น.......อู้ย จ้ำหม้ำเชียว อยากได้มากอด

    ซักวัน.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...