วัวธนูรุ่นแรก หลวงปู่เท อายุ 102 ปี วัดยี่งอ จ.นราธิวาส ประสบการณ์แรง น.94

ส่งผ้าขาวม้าให้แล้วนะคะ

 

สีผึ้งพรหมประสิทธิ์
พระพรหมในพุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนา พระพรหมเกิดจากท่านผู้มีความเพียรกล้า ทรงไว้ซึ่งปัญญาเกินสามัญชน ปรารถนาจะพ้นจากกิเลสานุสัย เพราะเห็นว่ามีโทษพาให้ยุ่งนัก ใคร่จักห้ามจิตมิให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงสู้อุตสาหะ พยายามบำเพ็ญสมถภาวนา ตามที่ท่านบุรพาจารย์สั่งสอนกันสืบๆ มา บางพวกเป็นชีป่าดาบส บางพวก ทรงพรตเป็นโยคี ฤๅษีในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ในโลก บางพวกก็เป็นพระภิกษุสามเณร ต่างบำเพ็ญสมถภาวนา จนได้สำเร็จฌาน ครั้นถึงกาลกิริยาตายจากมนุษย์โลก จึงตรงไปอุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่สุขไม่มีเรื่องกามเข้าไปเกี่ยวข้อง ตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุเป็นพระพรหมผู้วิเศษ
พระพรหม เป็นชาวสวรรค์ชั้นสูงขั้นหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไป เรียกว่า "พรหม" พระพรหมยังอยู่ในกามาวจรภพ มีการวนเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าชั้นพรหม (พรหมภูมิ)
พระพรหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม

 

รูปลักษณะของพระพรหมทางพระพุทธศาสนา
"พระพรหม" ในทางพระพุทธศาสนา เป็น "พระพรหมผู้วิเศษ" ล้วนแต่บุรุษเพศทั้งสิ้น ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตว์ในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่มชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌานสมาบัติเป็นอาหาร จึงไม่ต้องมีการถ่ายมูตรคูต คืออุจจาระ ปัสสาวะอันลามกเหม็นร้าย สรีระร่างกายหน้าตาแห่งบรรดาพระพรหมนั้น มีสัณฐานกลมเกลี้ยงสวยงามนัก มีรัศมีออกจากกายตัวเลื่อม ประภัสสรรุ่งเรืองกว่ารัศมีพระอาทิตย์ และพระจันทร์ หลายพันเท่า เพียงแต่หัตถ์หนึ่งเล่าอันพระพรหมทั้งหลายเหยียดยื่นออกไปหวังจะให้ส่อง รัศมีไปทั่วห้วงจักรวาลก็ย่อมจักทำได้ อวัยวะร่างกายที่ต่อกัน คือ หัวเข่าก็ดี แขนก็ดี มีสัณฐานกลมเกลี้ยงเรียบงามนัก จักได้เห็นที่ต่อกันนั้นหามิได้ เกศเกล้าแห่งพระพรหมทั้งหลายนั้นงามนัก ปรากฏโดยมากมีศีรษะประดับด้วยชฎา สถิตเสวยสุขพรหมสมบัติอยู่ ณ พรหมภูมิที่ตนอุบัติตราบจน กว่าจะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน

 

การกำเนิดพระพรหมในศาสนาฮินดู-พราหมณ์ มีมากมายหลายตำรา
ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระวิษณุเป็นใหญ่ (ไวษณพนิกาย) จะกล่าวถึง กำเนิดพระพรหม ว่า พระพรหมถือกำเนิดในดอกบัว ซึ่งดอกบัวนี้ผุดขึ้นมาจากพระนาภี (สะดือ) ของพระวิษณุ นั่นหมายถึง พระวิษณุมีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง พระองค์ต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้
ถ้าเป็นคัมภีร์ปุราณะของพราหมณ์ฝ่ายพระศิวะเป็นใหญ่ (ไศวะนิกาย) จะกล่าวถึงกำเนิดพระพรหมว่า พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งลูบพระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง บังเกิดแสงขึ้นมาในพระหัตถ์ พระพรหมก็ออกมาจากแสงนั้นเอง ด้วยเหตุผลที่พระศิวะต้องการสร้างโลก จึงให้กำเนิดพระพรหมขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้ ตำนานนี้พระศิวะจึงเป็นผู้มีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง
สำหรับคัมภีร์ปุราณะของ ฝ่ายพระพรหม เองนั้นบันทึกไว้ว่า พระพรหมเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีสิ่งใดมาก่อน แท้จริงแล้วพระองค์ไม่มีจุดกำเนิด คือ มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นของจักรวาลแล้ว เรียกสภาวะของพระพรหมนี้ว่า อาปวะ เมื่อพระพรหมประสงค์จะสร้างสิ่งต่างๆ จึงได้แบ่งตัวเองออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งคือเพศชาย ภาคหนึ่งคือเพศหญิง (พระแม่สรัสวดี) ร่วมมือกันสร้างเทพองค์อื่นๆ เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณทั้งหลายในโลก

 

รูปลักษณะของพระพรหมทางศาสนาฮินดู-พราหมณ์
พระพรหมมีสี่พักตร์ พระศอสวมลูกประคำ พระหัตถ์แต่ละข้างถือดอกบัว, คัมภีร์ และหม้อน้ำ มีพาหนะเป็นหงส์ หรือ ห่าน พระชายา คือ พระสุรัสวดี เทพีแห่งศิลปะวิทยาการและความรอบรู้ ( ในคัมภีร์มัตสยาปุราณะเล่าว่า พระพรหมเดิมทีมีถึงห้าพักตร์ การที่มีห้าพักตร์เกิดจาก การที่พระพรหมให้ได้กำเนิดผู้หญิงนางหนึ่งชื่อ ศตรูป ขึ้นมา ความงามของศตรูปทำให้พระองค์หลงใหล เมื่อศตรูปนี้เคลื่อนไปทางใด พระพรหมก็จะหันพระพักตร์เพื่อมองตามไปด้วย แต่ว่ามีครั้งหนึ่งที่พระพรหมไปดูแคลนพระศิวะเข้า ทำให้พระศิวะพิโรธ และใช้ไฟบรรลัยกัลป์จากพระเนตรที่สามที่กลางพระนลาฏเผาพระพักตร์ที่อยู่ด้านบนเศียรของพระพรหม จนเหลือเพียงสี่พักตร์ แต่อีกความเชื่อหนึ่งเล่าว่า เพราะพักตร์ด้านบนของพระพรหมนั้นเจิดจรัสมาก ทำให้พวกสุระและอสุระทนไม่ได้ จึงขอร้องให้พระศิวะเป็นผู้ตัดให้ และยังเชื่อด้วยว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างบุคคลในวรรณะต่าง ๆ จากอวัยวะแต่ละส่วน ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ เกิดจากพระโอษฐ์, วรรณะกษัตริย์ เกิดจากอก, วรรณะแพศย์ เกิดจากส่วนท้อง และวรรณะศูทร เกิดจากเท้า )
ด้วยเหตุดังนี้ พระพรหมจึงมีพระนามต่าง ๆ อาทิ ท้าวมหาพรหม พระพรหมมา พรหมธาดา" หรือ "ประชาบดี" (ผู้สร้าง), "หงสรถ" หรือ "หงสวาหน" (ผู้มีหงส์เป็นพาหนะ), "จตุรพักตร์" (ผู้มีสี่หน้า), "ปรเมษฐ์" (ผู้ประเสริฐ) อาทิกวี อาตมภู โลกาธิปดี ฯลฯ เป็นต้น

 

คติความเชื่อเรื่องพระพรหมของชาวไทย
ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ว่าพระพรหมเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุด (ตรีมูรติ) เป็นผู้สร้างโลกและให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล และเป็นผู้ให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท บรรพบุรุษไทยตั้งแต่สมัยโบราณจึงเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า "พรหมลิขิต" และผู้ใดที่บูชาพระพรหมอยู่เป็นนิจ พระองค์จะประทานพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม" หรือ "พรหมประสิทธิ์" และนี่จึงเป็นที่มาของวิชาพรหมประสิทธิ์ที่ตกทอดจากหลวงพ่อแช่ม พรหฺมสโร แห่งวัดตาก้อง สู่หลวงปู่เท วัดยี่งอ

 

ความเป็นมาของสีผึ้งพรหมประสิทธิ์
หลวงพ่อแช่ม ท่านได้วิชานี้มาจากไหน ไม่มีผู้ใดได้สอบถามและบันทึกไว้ แต่ที่แน่ๆท่านใช้วิชานี้มาตลอดอย่างแน่นอนและมีการทำเป็นน้ำมันพรหมประสิทธิ์เอาไว้ น้ำมันนี้บางคนเอาไปป้ายตาแล้วสามารถมองทะลุวัตถุที่กางกั้น จนเห็นภาพวัตถุที่อยู่ภายในได้ พวกนักพนันมักเรียกน้ำมันนี้ว่า น้ำมันโป เพราะเอาไปป้ายเปลือกตาไว้ดูจำนวนเม็ดถั่วเม็ดโปเวลาเล่นพนัน หรือดูแต้มลูกเต๋าในถ้วยตอนแทงไฮโล บางทีก็ป้ายตาเอาไว้ดูไพ่ของแต่ละคนในวง ส่วนพวกเจ้าชู้ก็มักนำไปป้ายตาไว้ดูสาวๆและเอาไปกระทำในทางเสน่ห์ ส่วนคนธรรมดาทั่วไปก็ไว้ใช้ในทางเมตตาค้าขาย เข้าเจ้า เข้านาย ให้เมตตาเอ็นดูค้ำชูอุปถัมภ์ จนประสบการณ์ความขลังในน้ำมันโปของหลวงพ่อแช่มนั้นโด่งดังไปทั่ว กระทั่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังต้องเดินทางมากราบนมัสการและขอน้ำมันโปกับหลวงพ่อแช่ม

 

ไว้อ่านต่อพรุ่งนี้นะ

 

วิชาน้ำมันโปนี้ก็มีในสายหลวงพ่อเนียม วัดน้อยเหมือนกัน โดยพระอาจารย์ซัว วัดสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ( ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ) ได้ถ่ายทอดไว้ให้หลวงปู่เลี่ยม วัดทรงกระเทียม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี พระอาจารย์รูปหนึ่งของผู้เขียน โดยมีรายละเอียดของวิชาเหมือนกันกับที่ท่านอาจารย์ฮวดและหลวงปู่เทได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อแช่ม ทั้งนี้น่าจะเป็นไปได้ว่าหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้เรียนกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย มา เนื่องจากมีข้อมูลจากทางหลวงปู่แบม วัดดอนมะนาว หลวงปู่เหลียว วัดศิลามูล และหลวงปู่ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกว่า หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง มีความสัมพันธ์กับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย (ระยะทางจากวัดตาก้องไปยังวัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี นั้นก็ไม่ไกลกันมากนัก)

 

ต่อมาน้ำมันนี้ได้ตกทอดมาถึงท่านอาจารย์ฮวด ภายหลังท่านอาจารย์ฮวดได้นำน้ำมันพรหมประสิทธิ์นี้มาขยายออก โดยมีหลวงพ่อเล็ก วัดตาก้อง เป็นผู้ช่วยในการสวดขยายด้วยธาตุและคาถาถึง ๘๔,๐๐๐ จบในพรรษาซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

 

หลวงพ่อเล็กท่านได้เก็บน้ำมันพรหมประสิทธิ์นี้เอาไว้เป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี เมื่อทราบว่าหลวงปู่เทก็เคยเรียนวิชานี้กับหลวงพ่อแช่มเช่นกัน จึงนำน้ำมันพรหมประสิทธิ์มาถวายให้หลวงปู่เททำเป็นสีผึ้งพรหมประสิทธิ์ในวันที่หลวงปู่เทมาเททองวัวธนู และรูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน ณ วัดตาก้อง โดยหลวงปู่เทท่านได้อัญเชิญหลวงพ่อแช่มลงประสิทธิด้วย ภายหลังหลวงปู่เทได้กล่าวว่า “ถ้าหากแปลฉายา ”พรหฺมสโร'' ของหลวงพ่อแช่ม จากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยจะมีความหมายว่า ''ดุจดังพรหม'' ดังนั้นหากหลวงพ่อแช่มประสิทธิ์วิชาลงสถิตในวัตถุมงคลใดๆนั่นย่อมเป็นเคล็ดว่าพรหมประสิทธิ์เช่นกัน”

 

การหุงสีผึ้งพรหมประสิทธิ์นี้เป็นการหุงสีผึ้งชั้นสูง ไม่เหมือนการหุงสีผึ้งตามตำรับทั่วไป เพราะไม่ใช้ไฟหุง เนื่องจากกลัวพลังของธาตุไฟไปเผาผลาญพลังของธาตุน้ำที่คุณสมบัติทางเมตตาให้ลดน้อยถอยลง ตามตำราบังคับไว้ว่า จะต้องใช้พลังจากแสงอาทิตย์หลอมขี้ผึ้งให้ละลายเท่านั้น เมื่อแสงอาทิตย์กำลังหลอมละลายขี้ผึ้งกับน้ำมันพรหมประสิทธิ์ให้เข้ากันดีนั้น ให้ผู้ปลุกเสกภาวนาคาถา อะสะมิโต ตังเมสะทิ โกสุสะเร โสอะปะนา ปะสุสุขี...(ปิดบังเอาไว้)....สาพุทเทวา ไปเรื่อยๆจนครบ ๑๐๘ จบ สีผึ้งในบาตรก็จะหลอมละลายหมดพอดี แต่หากจะนำสีผึ้งนี้มาปลุกเสกประจุธาตุน้ำ (รังสีสีขาว) ให้สว่างไสวอีกกี่คาบจนกว่าผู้ปลุกเสกจะพอใจก็ทำได้ ตำรามิได้ห้ามไว้ น้ำมันนี้ได้พระพรหมประสิทธิ์ให้ เพื่อไปลิขิตดวงชะตาให้ผู้บูชามีโชควาสนาตามแต่จะร้องขอ พรหมจะช่วยลิขิตให้เป็นจริง

 

วิชาพรหมนี้นับว่าเป็นวิชาลับของหลวงพ่อแช่ม ที่หลวงปู่เทบอกว่าหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วก็ใช้พรหมมาช่วยทำของเช่นกัน และให้ไปดูในวิหารบูรพาจารย์ของวัดกลางบางแก้ว (ที่วัดเรียกว่าอนุสาวรีย์) ว่ามีพระพรหมประดิษฐานอยู่หรือไม่? จากคำกล่าวเหล่านี้ของหลวงปู่เท

 

<a href="http://image.ohozaa.com/view2/y83KBIQTwXMVxd0T" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/93e/vxbCwN.jpg" /></a>

พระพรหมในวิหารบูรพาจารย์ วัดกลางบางแก้ว

 

ท่านใดที่จองมีดนเรศวรปราบหาสาหลวงปู่เท อย่าลืมโอนเงินนะคะ

 

เหรียญรุ่นแรก เนื้อตะกั่ว หลังจารมือ สนใจ จองได้คะ เหรียญละ 3,000 บาท

 

ย่อมแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่ท่านได้เรียนวิชาพรหมมาจากทั้ง ๒ พระเกจิอาจารย์ มิน่าเล่าวัตถุมงคลของท่านจึงแตกต่างกับหลวงพ่ออื่นๆ อย่างยากที่จะหาผู้ใดจะเปรียบๆได้ เพราะลูกศิษย์ที่บูชาวัตถุมงคลของท่านต่างก็โชคดีถูกหวยกันเป็นว่าเล่น โดยรายล่าสุดนี่คือคุณอุดมศักดิ์ รอดนุช ที่บูชาเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่เทจากเปิดโลกแกลเรอลี่ไปแล้วถูกหวยติดต่อกันถึงสองงวด ก็คงเป็นเพราะวิชาพรหมของหลวงปู่เทนี่เอง

 

ล่าสุดนี้มีประสบการณ์เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่เทอีกแล้ว
คุณภาสภูดิศ บุญเพ็ง อาศัยอยู่ที่ อ.เมือง จ.ระยอง เป็นหนึ่งในผู้ที่ติดตามประวัติแยละศรัทธาในหลวงปู่เท เป็นอย่างมาก เขาเล่าให้ฟังว่าได้ฝันเห็นหลวงปู่เทอยู่2-3ครั้ง พร้อมกับพบปาฏิหาริย์ในบุญบารมีของท่านกับตัวคือ ก่อนหน้านี้เขาได้เช่าเหรียญเงินรุ่นแรกแบบลงยาสีน้ำเงินของหลวงปู่เทมาบูชาและพกติดตัวอยู่ตลอด โดยเอาไปใส่กรอบพร้อมแหนบเหน็บติดเสื้อไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาและภรรยาได้พาลูกชายวัย 3 ขวบไปตัดผมที่ร้านประจำแห่งหนึ่ง แต่ลูกชายไม่ยอมไป ร้องไห้งอแงตั้งแต่ขึ้นรถจนไปถึงร้านตัดผม หลอกล่อยังไงก็ไม่ยอม ช่างตัดผมที่อยู่ในร้านถึง3คนก็ต่างช่วยกันพูดหว่านล้อมยังไงก็ไม่ยอมให้ตัดผมอยู่ดี จนเขาและภรรยาไม่รู้จะทำอย่างไร ในที่สุดก็เลยลองปลดแหนบออกจากเสื้อแล้วเอาเหรียญหลวงปู่เท มากำไว้และอธิษฐานขอให้หลวงปู่ช่วยดลจิตดลใจให้ลูกชายยอมตัดผมง่ายๆด้วยเถิด และแล้วเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง5นาที ลูกชายกลับยอมให้ช่างอุ้มขึ้นไปนั่งตัดผมอย่างง่ายๆแบบไม่ขัดขืนและไม่ร้องไห้งอแงเลย เสมือนเอาหุ่นไปตั้งไว้ทีเดียว นอกจากนี้คุณภาสภูดิศ ยังเล่าว่า หากวันไหนลืมเอาเหรียญหลวงปู่เทติดตัวไปขายของ วันนั้นจะขายไม่ดีเลย แตกต่างกับทุกๆวันที่เหน็บเหรียญของหลวงปู่เทไปขายของ จะขายดีทุกวัน

 

ประสบการณ์เหรียญรุ่นแรกจากคุณภาสภูดิศ บุญเพ็ง ยังมีอีกเรื่อหนึ่งก็คือ .....

 

เหรียญรุ่นแรก เนื้อตะกั่ว หลังจารมือ ของหลวงปู่เท สามารถจองได้ เหรียญละ 3,000 บาท