วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไม่ใช่ดูเฉยๆ

    ก่อนอื่น การที่เราไม่สะดุ้งตกใจหรือมีจิตหวาดกลัว เนื่องจากเราเองมีวิปัสนาญาณอยู่พอสมควรแล้ว รวมทั้งเคยได้กรรมฐานมาในกาลก่อน

    ส่วนการพิจารณานั้น ขั้นแรกให้น้อมมาที่ตัวเราเอง กายของเราเองก่อน ว่าร่างกายเราก็มีสภาพไม่ต่างกันไปจากนี้ เมื่อถึงสภาวะนั้นๆ

    พิจารณาเพื่อให้ได้อารมณ์ของจิตที่คลายในความ หลง ความยึดติด ความสำคัญผิดว่ากายนี้เป็นของสวยงาม น่ารักใคร่ น่ายินดี


    จนจิตเกิดสังขารุเบกขาญาณ ความเบื่อหน่ายในร่างกาย จน วางงเฉยรู้เท่าทันสังขารร่างกายว่าท้ายที่สุดก็มีสภาวะเน่าเปื่อยแตกสลายไปในที่สุด


    ส่วนการพิจารณาในกายภายนอกให้พิจารณาน้อมไปในเพศตรงข้ามที่เราพึงใจ พอใจ เพื่อลด เพื่อบรรเทา กามฉันทะ กามคุณ

    เมื่อฌานในอสุภะกรรมฐานแน่บแน่นกับจิตเรา คราวนี้ เราจะเห็นไม่ว่าคนสวย คนหล่อ หน้าตาดี เพียงใด ก็เป็นอสุภะบ้าง เป็นโครงกระดูกบ้างไปหมด ใจไม่ยินดี พึงใจจนจิตไหลไปตามกิเลส

    แต่หากญาณยังไม่ปรากฏชัดเจน หรือจิตยังไม่แน่บในวิปัสสนาญาณจิตก็อาจไหลปรุงแต่งไปบ้าง


    สำหรับการพิจารณาในอสุภะกรรมฐานนั้น มีข้อพึงระวัง คือ อย่าให้จิตเกิดความกลัว และอย่าวางอารมณ์หนักจนเครียดเป็นอันขาด


    สำหรับ ภาพอสุภะเหล่านี้ มีนัยยะที่ครูบาอาจารย์ท่านได้แฝงบอกอารมณ์พระกรรมฐานเอาไว้ว่า

    "ดอกไม้พระอริยะเจ้า" นั่นคือให้เราพิจารณาด้วย อารมณ์ใจสบายๆ จนจิตเห็นจริงยอมรับนับถือในสภาวะแห่งความไม่เที่ยงของสังขาร จนจิตปล่อบวางจากสังขารที่ร่างกายของบุคลอื่นก็ดี ร่างกายเราก็ดี จนจิตปรากฏความแช่มชื่น ประดุจชมดอกไม้ ด้วยอารมณ์ใจพระอริยเจ้าฉันนั้น


    ขอโมทนาในความตั้งใจดีของคุณสาวปีใหม่ และคำอธิบายของคุณธรที่แจง อารมณ์และคู่ปรับได้ละเอียดละออมากครับ สาธุ
     
  2. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ไม่ชอบเลือด ไม่ชอบศพ
    สามีถามว่า ไหนว่าไม่ชอบ แล้วลงไปทำงานวัดย่านยาวทำไม
    ก็ยังไม่ชอบค่ะ แต่ลงไปช่วยเขา
    เห็นกันทุกวัน ไม่ดูแย่อย่างนี้ นานๆเข้าเขาน่ารักกันทุกคน
    ไม่มีผรุสวาจา ไม่แทงใครข้างหลัง นอนเงียบเรียบร้อย รอกลับสู่อ้อมแขนของผู้เป็นที่รัก

    เพื่อนบอกว่า เธอผ่านอสุภแล้ว ที่วัดย่านยาวนั่นแหละ
    ถ้าผ่านจริงก็ดีค่ะ
    ที่พระนิพพานทุกสิ่งงดงาม ด้วบบารมีพระพุทธองค์ สาธุ
     
  3. ดั่งจันทรา

    ดั่งจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +693
    สวัสดี อ.คณานันท์และชาวพลังจิตทุกท่านครับ
    ห่างหายไปนานแต่ก็แวะเวียนมาอ่านอยู่เสมอๆ ช่วงนี้ก็ทำงานเผยแผ่ช่วยพระศาสนาเรื่อยๆครับ เมื่อวันพระที่แล้ว (1 ส.ค.51)ผมได้ไปบรรยายธรรมและพาชาวบ้านที่มาจำศีลที่วัดปฏิบัติภาวนา แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าผมไปพาปฏิบัติหรือพูดบรรยายแบบไหน พอนั่งสมาธิเสร็จผมก็ได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นดอกอะไร ผ่านมาหลายวันกลิ่นก็ยังหอมติดจมูกอยู่เสมอตลอดทั้งวัน แม้กระทั่งตอนที่พิมพ์ข้อความนี้ก็ยังหอมกรุ่นอยู่เลยครับ ใจหนึ่งก็สงสัยว่าโดนทำไสยศาสตร์ใส่รึเปล่า แต่ก็ไม่แน่ใจครับจึงอยากเรียนถาม อ.คณานันท์ว่า เป็นกลิ่นอะไร และทำไมผมถึงได้กลิ่นแบบนี้ครับ ถ้า อ.คณานันท์มีอะไรเสนอแนะก็เชิญเต็มที่ครับ ส่วนเรื่องการปฏิบัติผมก็คลานต้วมเตี้ยมไปเรื่อยๆครับ ถ้าไม่อยุดก็คงถึงฝั่งซักวัน ขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม
     
  4. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    Angle Arnumotana Ja

    เทวดาท่านอนุโมทนาค่ะ
    ข้างบนเขียนจาก อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แถวสีลม
    แป้นพิมพ์ ไม่มีอักษรไทย เพราะไว้บริการฝรั่ง (ประเทศไทยแท้ๆ)
    จิ้มไทยผิดๆถูกๆ เพราะจำแป้นไม่ได้
    เลยเขียนภาษาอื่นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2008
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เป็นกลิ่นหอมที่เทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาแสดงให้เห็นให้รู้ว่าท่านอนุโมทนากับความดีที่คุณได้สร้างได้บำเพ็ญครับ

    พอได้กลิ่นแล้วใจเราก็จะยิ่งสดชื่นเย็นใจครับ

    นอกจากกลิ่นหอมแบบนี้แล้ว จะมีประเภทที่ปรากกฏเป็นฝอยฝน ประพรหมลงมาทั้งที่แดดจ้า ซึ่งเรียกว่า เทวดาพรหมน้ำมนต์ครับ


    สิ่งต่างๆนิมิตรต่างๆในแบบที่ดี เป็นศุภนิมิตรนี้ก็เพื่อให้เราเกิดกำลังใจในการทำความดีให้ยิ่งขึ้นไปครับ


    ส่วนการปฏิบัติ นั้น หลักใหญ่จุดสำคัญอยู่ที่ การตั้งกำลังใจครับ หากวางกำลังใจถูก ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมง่ายและเร็ว ลัดตัดตรงครับ


    จุดสำคัญก็คือ การตั้งจิตในความดี มีสติระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นปกติครับ

    และมุ่งหมายมีจิตยินดี ในความดีที่เราได้สร้าง ปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดี และยินดีเมื่อผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดี

    ตรงนี้จะครอบคลุมในพรหมวิหารสี่ทั้งหมดครับ
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    เมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว... นั่งพิมพ์ข้อความจนเกือบเสร็จแล้ว... อยู่ๆ หน้าเว็บปิดเองเฉยเลยค่ะ...

    เอาใหม่...

    ดูสิว่าจะได้ไหมคราวนี้...

    ........................................................

    - ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    - ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...
    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ


    - นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย... ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ

    ............................................

    วันนี้ตอนบ่ายๆ ในขณะที่กำลังพิจารณาถึงกฎของกรรมของคนคนหนึ่งอยู่...

    ธรกำหนดจิตตั้งใจว่า... ถ้ามีโอกาส... ธรจะบอกคนๆ นั้นว่า... ถ้าต่อไป เกิดเขารู้ว่า... เขาถูกใครกระทำอะไรมาบ้าง... ธรอยากจะขอให้เขาอโหสิกรรม... ยกโทษกรรมทั้งหลายทั้งมวลนั้นแก่ผู้ที่กระทำไม่ดีกับเขามา...

    อย่าจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย...

    เพราะในชาตินี้... คุณโดนกระทำในสิ่งที่ไม่ดีมา... ในชาติที่แล้ว - คุณทำไม่ดีกับเขามา... ชาติก่อนชาติที่แล้ว - คุณก็โดนกระทำมาอีก... แล้วในชาติก่อนนั้น - คุณก็ทำเขามาอีก... มันวนเวียนอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น...

    ( แล้วในการอาฆาตพยาบาทกันนี้... ดวงจิตของผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่... มักจะกำหนดจิตของตัวเองเอาไว้คล้ายๆ ดังนี้ว่า กูขออาฆาตพยาบาทมึงไปทุกภพทุกชาติ... กูจะมาแก้แค้นมึงให้สาสมกับสิ่งที่มึงทำ... กูจะมาเอาคืน ร้อยเท่าพันเท่า... (ขออภัยค่ะที่ใช้คำไม่สุภาพ) ดังนั้น... กว่าที่เจ้ากรรมนายเวรจะยอมอโหสิกรรมให้คุณ... ทั้งคุณและเขา... จะต้องแค้นกันไป แค้นมา ไม่รู้จักจบจักสิ้น... วงเวียนการชดใช้กรรมนี้ จะต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    จนกว่าจะมีการอโหสิ และให้อภัยซึ่งกันและกัน... ซึ่งความทุกข์ ความทรมานที่เกิดขึ้น... มันช่างแสนสาหัส... จนสุดจะบรรยายจริงๆ...)

    ดังนั้น... ขอเถิด... อโหสิกรรมให้แก่กันและกันเสีย

    อย่าจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย...

    เมื่อธรคิดทบทวนแบบนี้ได้สักพัก (พร้อมมีภาพประกอบ)...

    อยู่ๆ ก็มีเสียงกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด... กรีดร้องดังสนั่นด้วยความหวาดกลัว และเจ็บปวดสุดชีวิตดังขึ้นในโสตประสาทของธร... (แต่คนอื่นไม่ได้ยิน)... และจิตบอกให้รู้ว่า... เสียงนั้นเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุประมาณ 3 - 4 ขวบเท่านั้น...

    ความรู้สึก... บอกชัดเจนว่าเธอถูกกระทำการด้วยความทารุณอย่างไรบ้าง... เธอหวาดกลัวขนาดไหน... เจ็บปวดมากมายขนาดไหน...

    (หดหู่จริงๆ ค่ะ)

    ธรรีบทำมหาโมทนา และรวมกุศลผลบุญที่ธรทำมาดีแล้วตั้งแต่ต้นกัปป์ ต้นกัลป์ และอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดให้เธอร่วมโมทนา และได้รับซึ่งกุศลทั้งหมดนั้นเฉกเช่นเดียวกับที่ธรจะพึงได้รับนับแต่นี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน...

    และขอให้เธอได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายนั้นให้กับผู้ที่ทำร้ายเธอนั้นด้วย...

    หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที... มีกลิ่นดอกมะลิหอมฟุ้งโชยมาอย่างแรง... (แต่คนอื่นไม่ได้กลิ่น)...

    เธอมาบอกว่า... เธอยอมโมทนากับกุศลที่ธรอุทิศให้... และเธอยอมยกโทษ... อโหสิกรรมให้แก่เขา...

    ตอนนี้เธอเป็นนางฟ้าไปแล้วค่ะ...

    ธรได้แต่ดีใจ... โมทนากับเธอ... และยินดีกับทั้งสองฝ่าย...

    ถ้าธรไม่ตาย หรือเป็นอะไรไปเสียก่อน... เมื่อธรมีโอกาส... ธรจะบอกให้เขาทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้... จะขอให้เขาให้อโหสิกรรม และ ขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร... ทั้งหมดทั้งมวล... ของเขานับแต่ที่บอก ตราบเข้าสู่พระนิพพาน...

    ตลอดเวลาที่ธรได้รับรู้รับทราบเรื่องนี้...

    พระท่านก็ทรงมาเป็นประธาน... มายืนยันว่าสิ่งที่ธรได้พบเจอนี้... เป็นของจริง...

    ดังนั้น...

    ถ้าเป็นไปได้... ขอให้ทุกคน... ยกโทษ ให้อโหสิกรรม แก่ทุกผู้ทุกนามที่เคยล่วงเกินทุกท่านมาด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี ทำไปด้วยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    ขอทุกท่านได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินท่านด้วยเถิดค่ะ...

    และอย่าลืม ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของทุกท่านด้วยนะคะ...

    อย่าทำแต่ปาก... เพราะแทบจะไม่มีผลอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ... ขอให้ทำด้วยใจ... ให้การให้อภัยนี้ออกมาจากจิต จากใจ ข้างในของท่าน... ให้เจ้ากรรมนายเวรของท่านรับรู้รับทราบให้ได้ว่า... ท่านเสียใจจริงๆ ที่ล่วงเกินพวกเขามา และ ณ บัดนี้... ท่านสำนึกแล้ว ซึ่งความผิดทั้งหลายเหล่านั้น... ท่านไม่คิดจะก่อเวร ก่อกรรมอะไร กับใคร เพิ่มขึ้นอีกแล้ว...

    ท่านใดที่ทำได้... ธรขอร่วมโมทนาในจิตอันเป็นกุศลเหล่านั้นด้วยค่ะ...

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2008
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    พรุ่งนี้ (๘ สิงหา ๕๑)... หนังสือวิชชาฯ (ฉบับพื้นฐาน) มีกำหนดคลอดจากโรงพิมพ์สดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ... เมื่อหนังสือที่ซีร๊อกซ์หมดลง... จะนำเล่มที่พิมพ์จากโรงพิมพ์แจกฟรีเป็นธรรมทานเช่นกันค่ะ... ท่านใดที่ยังอยากได้หนังสือ พร้อมดีวีดีคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ...

    แจ้งชื่อ ที่อยู่เข้ามาได้เลยนะคะ... ที่กระทู้ "ลงชื่อรอรับวิชชาฯ" ค่ะ

    จะจัดส่งให้โดยไม่คิดมูลค่าเลยค่ะ...
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ช่วงนี้กำลังฝึกพิจารณาวิปัสสนาและการตัดสังโยชน์ พอดีเข้าไปอ่านหนังสือของหลวงพ่อท่านเห็นว่ามีประโยชน์อย่างมากเลยนำมาฝากทุกท่านค่ะ

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>สังโยชน์ 10</TD></TR><TR><TD align=left>สังโยชน์ 10
    1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง


    2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น

    แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ
    สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
    - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ


    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด

    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ

    3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้

    4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า

    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ

    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล

    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต

    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป

    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน

    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก

    แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด

    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ

    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว

    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า

    ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต

    5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2008
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ลองอ่านดูนะคะ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>นิทานอิงธรรมะเรื่องที่ 5 เราเกิดมาทำไมกันหนอ? <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]



    ในตอนเย็น เมื่ออาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ก่อให้เกิดแสงสีแดงของอาทิตย์ยามอัสดงขณะนั้นศิษย์ และอาจารย์กำลังสนทนาธรรมกันอยู่

    ศิษย์
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ผมรู้สึกว่าผมได้ค้นพบจุดสำคัญของการถอดกายทิพย์แล้ว จึงอยากจะนำมาฝากกัน

    ปกติคนเราเวลานอนหลับ จะหลับในท่าที่ไปขัดขวางระบบทางเดินหายใจ
    ทำให้เวลาตื่นนอนขึ้นมาเรามักจะไอบ้าง เจ็บคอบ้าง อึดอัดบ้าง
    ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ขวางไม่ให้จิตของเราแยกออกจากร่าง
    เพราะความอึดอัดจะทำให้จิตไม่สงบระงับถึงจุดสูงสุด

    ดังนั้นวิธีที่เราจะต้องทำก็คือ
    ปรับท่าในการนอน ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกว่าเราสามารถหายใจได้สะดวก
    วิธีของผมก็คือหนุนหมอนให้สูง ให้ลมหายใจสามารถไหลเข้าไหลออกได้สบาย
    หากนอนหลับโดยที่ทางเดินหายใจของเราไม่ติดขัด จะทำให้จิตสงบระงับเป็นฌาณได้ง่าย
    และจะมีโอกาสถอดกายทิพย์ได้สูง

    จากที่ผมลองปรับมาแล้ว ครั้งแรกที่นอน จิตก็จับความสบายเป็นอารมณ์ ตื่นขึ้นมาเหมือนได้ทิพยโอสถมารักษาอาการป่วย
    ครั้งที่สอง ก็คือเมื่อคืนผมก็ฝันว่าผมถูกยิงตาย แล้วก่อนตายผมท่องอย่างเดียวว่า "ตายเมื่อไหร่ไปนิพพานๆๆ" พอซักพักจิตก็ออกจากร่าง พอออกมาแล้ว มันเปลี่ยนจากฝันมาเป็นสภาพถอดกายทิพย์มาเดินเล่นอยู่ในบ้านตัวเอง ผมก็ตั้งจิตอธิษฐานปักหมุด
    แล้วก็เหาะเล่นในบ้านตัวเอง จนตื่น
    พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสติสัมปชัญญะอยู่ดี

    ถ้าถามว่าใครบอกผมเรื่องนี้ ก็คงจะต้องตอบว่า พระท่านเมตตาสงเคราะห์ให้ผมรู้
    ผมขอถวายความดีงามทุกๆอย่างทุกๆประการให้กับทุกๆท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน
    หากมีใครถอดกายทิพย์ได้แล้ว ให้นึกถึงพระ และขอบคุณพระเป็นสำคัญนะครับ
    เป็นเหตุผลของการนอนท่าสีหไสยาส คือเป็นท่าที่ลมหายใจไหลได้สะดวก
    แต่เราไม่ต้องนอนท่านั้นนะครับ ให้เลือกท่าที่เหมาะกับเรา
    แล้วลองทดสอบดูเองว่าไหนที่ลมหายใจของเราลื่นไหล ไม่ติดขัด

    ขอให้ทุกๆคนเข้าถึงซึ่งความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุดโดยเร็วนะครับ
     
  11. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เมื่อก่อนเคยคิดแต่เพียงว่าการปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องอ่านแต่หนังสือธรรมะอย่างเดียว หนังสืออย่างอื่นคงไม่มีอะไรทีน่าสนใจ แต่พอลองได้มาอ่านนิทานแฝงคติสอนใจจึงทำให้รู้ว่าตัวเราเองนั้นคิดผิด อย่างวันนี้ได้มาลองอ่านนิทานเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการสอนตัวเราเองโดยเฉพาะ


    เลื่อนตัวเองขึ้น อย่าลดคนอื่นลง

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ



    อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"



    ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"



    อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า " คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง "



    แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า" เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม



    นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น



    คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน



    การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม



    แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    โมทนากับพี่เล็ก พี่ธร พี่ปู และน้องชัด ด้วยน่ะครับ ขอบคุณกับสิ่งดีๆที่ให้กันเสมอเลย
    การปฎิบัติธรรมบางครั้งก็มีความวุ่นวายทางโลกเข้ามาเกี่ยวบ้าง ถือว่าเป็นการทดสอบที่ดี
    เรื่องบางเรื่องมันอยู่ที่ใจจริงๆครับ ว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือก จะรับหรือไม่รับ ขอให้ใจเราเข้มแข็งเป็นพอครับ และที่สำคัญสติต้องติดตัวตลอดเวลา
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ถูกต้องแล้วจ้ากร การที่คนเราทำอะไรขาดสติและขาดปัญญา โดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบครอบกลับทำให้คนอื่นนั้นเดือดร้อน สุดท้ายก็ย้อนกลับมาโดนตัวเราเอง แต่ถ้าทำแล้วรู้ตัวว่า สิ่งที่เราทำลงไปแล้วนั้นผิด ตัวเราก็ควรเอาสิ่งที่ผิดพลาดมาพิจารณาซ้ำอีกที ว่าผิดตรงไหนแล้วควรที่จะไม่ทำให้ผิดซ้ำอีก แรกๆอาจจะยากหน่อยที่จะทำให้ได้เดี๋ยวนั้น ถ้าหมั่นตรวจตราการกระทำของเราในแต่ละวันก็จะช่วยแก้ไขได้ระดับหนึ่งจ้ะ แต่บางทีสติของเราก็ตามจิตไม่ทัน การที่เรามีกัลยาณมิตรที่ประสริฐมาเตือน มาแนะนำชี้ทางเราทำให้ถูกต้อง เราควรที่ขอบคุณเขา ที่เขาเตือนเรานั้นเพราะเขารักและหวังดีกับเราจริงๆ ดังนั้นเรามีเพื่อนที่ดีที่เปรียบเสมือนกระจกส่องให้เราได้เห็นในการกระทำที่ผ่านมา เพราะบางอย่างเราก็ไม่สามารถมองเห็นความผิดพลาดที่เราทำลงไปได้ เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 สิงหาคม 2008
  14. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ธรรมะ เสมือนลมหายใจ
    <!-- Main -->[SIZE=-1]
    ธรรมะ เสมือนลมหายใจ

    [​IMG]
     
  15. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    โมทนาบุญกับการฝึกปฎิบัติที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ของน้องชัช ด้วยค่ะ
    ทำให้พี่ อยากเหาะได้มั้งจัง จริง ๆ อภิญญา อย่างอื่นเฉย ๆ ได้มาก็จากไป
    แต่เหาะได้นิ น่าสนุกดี แฮะ ๆ เพราะ ตอนเด็ก จนโต ชอบฝันว่า อยากมีปีกแล้วบินได้
    แต่น้องนิ ไม่ต้องมีปีกเรยเนอะ ,, ​

    ขอให้น้องเป็นตัวอย่างเยาวชนที่ดี มีอุดมการณ์ที่น่านับถือ และ เป็นแรงบันดาลใจ
    ให้พี่ได้ดูเป็นตัวอย่าง และ เร่งฝึกตนให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยค่ะ​

    ;13

    ขอโมทนาบุญกับพี่ๆ ด้วยค่ะ ที่สรรหา ธรรมะดีๆ ข้อคิด คำแนะนำที่ดี มาฝาก
    นู๋ก็ปฎิบัติ ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร แต่ นู๋ก็ปราถนาที่จะปฎิบัติ
    ให้ถูกต้องตามทำนองครองทำ อยู่ใน สัมมาทิฐิ จนถึงรักษาดวงจิตไม่ให้เคร้าหมอง
    บำเพ็ญตนตามที่พระองค์ทรงตรัส ,, ค่ะ​

    หลาย ๆ อย่างในชีวิตค่อย ๆ ดีขึ้นมากค่ะได้พบกัลยานิมิตร ที่ไม่ธรรมดา กันเรยแต่ละท่าน
    รู้สึกภาคภมูิใจ และ เป็นบุญจริง ๆ ค่ะ ,, มีกำลังใจเพิ่มขึ้น มากมาย ค่ะ ​

    กราบขอบพระคุณทุกๆท่านค่ะ ,,

    ขอให้ ความทรงจำที่ดีเหล่านี้ หล่อหลอมให้นู๋ได้เป็นคนหนึ่ง
    ที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เชกเชนเดียวกับที่พี่ ๆได้ช่วยเหลือนู๋มาน่ะค่ะ ,,

    ;12​
     
  16. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ระยะนี้ไม่รู้ว่าเจอธรรมะอะไรก็รู้สึกเหมือนโดนใจตัวเองมาก เหมือนกับต้องทบทวนการปฏิบัติธรรม พินิจพิจารณาในสิ่งที่ตัวเองยังบกพร่อง ต้องขัดต้องเกลากิเลส อุปนิสัยให้ดีขึ้นเบาบางขึ้นด้วยค่ะ ถ้าปูเคยทำอะไรที่เคยล่วงเกินพี่ๆน้องๆ ทั้งทางกาย วาจา ใจ โดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี ไม่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี ต้องกราบขอขมาอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><STYLE type=text/css>TD.attachrow { FONT: 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif}TD.attachheader { FONT: 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif}TABLE.attachtable { FONT: 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; BORDER-COLLAPSE: collapse}</STYLE><HR>
    [​IMG]

    บันทึกแด่ลูกรัก
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    โมทนาจ้าน้องเจน
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพิจารณาวิปัสสนาญาณเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระอาสวักขยญาณ
    เพราะว่าจะไม่มีประโยชน์เลย หากเรามีอภิญญา5ใน6 วิชชา2ใน3
    แต่ไม่อาจจะทำให้เกิดพระอาสวักขยญาณได้
    เพราะเราจะไม่มีความสุข และยังตกอยู่ในความเสื่อม สามารถจะลงอเวจีมหานรกได้
    ดังนั้นเราจะต้องหมั่นล้างสังโยชน์ออกไปวันละนิดวันละหน่อย ล้างออกไปสบายๆ
    แต่ให้มั่นคง และขาดอย่างถาวร
    ให้เราตีสักกายทิฏฐิให้มาก
    ยิ่งเราบรรเทาความรักในร่างกาย ความมักมากในร่างกายได้มากเท่าไหร่
    เราจะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
    ดังนั้นขอให้ทุกๆคน เพิ่มในด้านวิปัสสนาญาณให้มาก
    เพื่อเป็นโล่คุ้มครอง การทำงานของเราในอนาคต
    ให้เราตั้งมั่นอยู่ในความดี เมื่อเผชิญกับปัญหา
    ซึ่งจะมีบททดสอบอีกมากมายที่ให้เราต้องผ่านในภายภาคหน้า
    ขอให้ทุกๆคนสามารถรักษาความเป็นสัมมาทิฏฐิเอาไว้ ตราบจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้านี้โดยเร็วด้วยเทอญ
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เวลาใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะบีบรัดอย่างไร หวังว่าทุกๆท่านจะไม่ท้อถอยในการปฏิบัติธรรมและเพียรทำความดียิ่งๆขึ้นไปนะคะ ขอเอาใจช่วยค่ะ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>
    [​IMG]

    บันทึกแด่ลูกรัก
     
  20. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    สวัสดีค่ะ พี่น้อง ญาติมิตรธรรม ไม่ได้ มานานเลย ถามว่าตอนนี้ทำอะไร ก็ยังคงต้องทำงานกับคนที่เราเมื่อก่อนเคยพยาบาทเค้าต่อไป แต่ ตอนนี้ ไม่พยาบาทเค้าแล้ว ปล่อยได้แล้วๆๆๆ ฝึกกันต่อไป เค้าคนนี้เหมือนครู เราจริงๆๆ ถ้าไม่มีเค้า เราก็จะไม่รู้จัก คำว่าอภัย เฮ้อ ทำสิ่งใด ก็ ได้สิ่งนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...