วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ;ปรบมือ;aa41ขอให้รู้แจ้งในมรรคผลนิพพาน
     
  2. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697

    สู้ๆจ้าน้องเจน คนเรานั้นมีทั้งทางด้านดีและด้านไม่ดี ไม่มีใครหรอกที่จะมีดีตลอด ต้องมีทั้งสองด้านทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามันเป็นช่วงจังหวะเวลาว่าตอนนี้เราเจอด้านไหนแล้วเป็นอย่างไร พี่คิดว่าน้องเจนโชคดีตรงที่ว่ามีประสบการณ์ได้เจอเหตุการณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิต ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยได้เจอก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นอย่างไรและควรที่จะแก้ไขอย่างไร พี่ขอใช้คำของพี่เล๊กและพี่ตุ๊กตาแก้ว พี่ทั้งสองคนเคยสอนพี่ปูว่า จากที่เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปหรือเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดีควรจะมองมุมกลับว่า สิ่งที่เราเป็นคนทำและเหตุการณ์นั้นมีประโยชน์ที่จะสอนให้กับตัวเราอย่างไร แล้วเราควรที่คิดพิจารณาว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นรู้ว่าผิด นั้นเพราะอะไร เมื่อเรารู้แล้ว เราจะใช้สติและปัญญาแก้ไขอย่างไรที่จะไม่เป็นแบบนั้นอีก สำหรับของน้องเจนพี่เชื่อว่าน้องสามารถหาวิธีจะแก้ไขปัญหานั้นได้จ้า ยังไงอย่าท้อ สู้ๆจ้า พี่ขอเอาใจช่วยจ้ะhello8
     
  3. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สองวันมานี้ได้มาพิจารณาถึงเรื่องความทุกข์ ทำให้มีความรู้สึกเบื่อไม่อยากจะลงมาเกิดอีก แต่ยังมีความสงสัยในเรื่องนิพพิทาญาณ อยากขอความเมตตาอาจารย์คณานันท์ช่วยชี้แนะอธิบายให้เข้าใจ ระหว่างนิพพิทาญาณที่เกิดโดยวิปัสสนากับความที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น มีข้อแตกต่างกันตรงไหน มีจุดใดเป็นที่สังเกตุค่ะ เพราะบางทีพิจารณาไปแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ขอให้ลองพิจารณาดูกันนะคะ
    เมื่อคืนได้พิจารณาถึงความทุกข์ ว่าที่เราเกิดมานั้น มีอะไรบ้าง คนเราส่วนมากกลับไม่ได้คิดว่าการที่เราเกิดมานั้นมีความทุกข์ กลับมองเห็นเป็นเรื่องที่น่ายินดี ในการเกิด ลองนึกดูเวลาที่คนมีครอบครัวพอรู้ว่าได้มีลูก ก็มีความรู้สึกดีใจ เบิกบานใจ แต่หารู้ไม่ว่า นั้นได้มีห่วงมาผูกมัดเราเอาไว้แล้ว ถ้าเราลองพิจารณาดูตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่าน ท่านบอกการเกิดนั้นเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไร ลองนึกดูพอเราเกิดมานั้นพ่อแม่ต้องหาอาหารมาเลี้ยงดูเราไหม ต้องข่มตาหลับขับตานอนมาคอยดูแลเราไหม เวลาป่วยไข้ ท่านทุกข์กับเราหรือเปล่า พอโตขึ้นมาก็ต้องส่งเสียเราเรียนหนังสือให้สูงๆ เพื่อที่จะได้พึ่งพาวันข้างหน้า แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างทีท่านหวัง ท่านทุกข์ใจมากแค่ไหน เพียงเท่านี้ลองพิจารณาดูว่ามีความสุขหรือความทุกข์ แล้วถ้าเราอยู่เพียงคนเดียว ตื่นเช้ามาต้องรีบอาบน้ำอาบท่า ออกไปทำงาน เพื่อจะหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง นั้นเป็นความทุกข์หรือเปล่า กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมาเพื่อที่จะซื้ออาหาร มาเลี้ยงร่างกายที่ทุกคนนั้นคิดว่าเป็นของเรา ต้องหามาจ่ายค่าบ้าน ค่ายาเวลาเราเจ็บป่วย นั้นเป็นความทุกข์ไหม บางครอบครัวที่จะหาเงินมาได้นั้น ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าจะได้เงินที่ต้องการ บางครั้งเงินที่เราหามาได้ก็ไม่สามารถจะพอกับค่าใช้จ่าย ก็ทำให้มีความรู้สึกว่าทุกข์อีก ไม่จบไม่สิ้น

    การที่เราเกิดมานั้น เกิดก็เกิดมาคนเดียว หิวก็หิวคนเดียว คนอื่นเขาสนุกสนานเฮฮา เขาไม่ได้มาหิวกับเราด้วย เวลาป่วยเราก็ป่วยเพียงคนเดียวอีกเหมือนกัน แม้แต่เวลาที่เราตาย เราตายเพียงคนเดียว ญาติพี่น้อง พ่อแม่ที่เรารัก เขาก็ไม่ได้ไปกับเราด้วย ทั้งที่เรารักเขาอย่างมาก เขาก็ยังไปกับเราไม่ได้ (อ่านจากหนังสือหลวงพ่อท่านแล้วพิจารณาตามที่ท่านเขียน)
    การที่เราเกิดมานั้น ล้วนแต่มีความทุกข์ทั้งสิ้น ที่เขาบอกว่ามีความสุข ลองมองดูลึกๆ ที่เขาว่าสุข สุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหนกัน ความสุขของเขาที่ว่ามันก็ยังมีความทุกข์มาเจือปนอยู่เหมือนกัน ระหว่างที่พิจารณาก็ขอบารมีพระท่าน ให้เห็นภาพที่เราเกิดมา ให้เห็นทั้งทางด้านที่เกิดมาเป็นกุศล กับอกุศล ก็ขอท่านดูด้านที่เป็นอกุศล ก็เห็นภาพตัวเองนั้นเที่ยวไล่ฆ่าผู้คน ทำลายครอบครัวให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อ แม่ ผัวเมีย ลูกน้อย พรัดพรากจากกัน แล้วก็เห็น ภาพที่เขาไล่ทำร้ายเราบ้าง ทำแบบเดียวกับที่เราทำเขาบ้าง ทำลายครอบครัวเราบ้าง ตอนที่เห็นภาพแบบนี้ เลยเอาจิตของเราไปรับรู้อารมณ์ของคนที่พลัดพรากจากกันตรงนั้นว่ามีความรู้สึกอย่างไร พอรับแล้วสิ่งที่สะท้อนมาคือรู้สึกมีความทุกข์ เศร้าโศกเสียใจ เหมือนกับหัวใจจะแตกสลาย จนทำให้ตัวเองรู้สึกทุกข์เหลือเกิน ไม่อยากจะเกิดอีกแล้ว แล้วขอพระท่านว่าผลที่ได้รับจากการทำครั้งนี้เป็นอย่างไร ก็เห็นตัวเองทนทุกข์ทรมาน อย่างสาหัสสากัน เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ในอบายภูมิ แล้วดูว่าเรารับทรมานในขุมนี้ขุมเดียวหรือ ก็เปล่าก็ยังต้องไปรับความทุกข์ทรมานในขุมอื่นต่อไปอีก ความทุกข์ทรมานนั้นก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันสักเท่าไหร่ พิจารณาต่อไปอีกว่า นอกจากเรารับความทุกข์ที่นี่แล้ว แล้วได้เกิดเป็นอะไรอย่างอื่นอีก ก็มีเป็นอสูรกาย เปรตก็เคยเป็น แล้วมาสัตว์เดรัจฉาน พอมาถึงสัตว์เดรัจฉานมาพิจารณาว่า พวกสัตว์นั้นมีความสุขหรือความทุกข์ มันก็มีความทุกข์ ต้องคอยระมัดระวังในการหาของกิน ว่าจะมีอันตรายกับตัวเองไหม ว่าจะมีใครมาทำร้ายให้ถึงกับเสียชีวิตหรือเปล่า เพราะสัตว์ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของสัตว์ที่แข็งแรงกว่าอยู่แล้ว และบางครั้งก็โดนมนุษย์เรานี่แหละทำร้ายมันเหมือนกัน


    พอพิจารณาก็เห็นภาพ กวางกำลังโดนคนเอาธนูยิงใส่ตรงที่หัวใจ (ไม่แน่ใจว่าที่เห็นเป็นของตัวเองหรือเปล่า) ก็เอาจิตไปจับความรู้สึกนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตรงที่โดนยิง และรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานอย่างหนัก จนน้ำตาไหล แล้วยิ่งมาเห็นอีกภาพตรง ชะนีหรือลิงไม่แน่ใจโดนคนเอาปืนยิง ตอนที่มันยังมีลูกอ่อน ร่วงลงมาล้มตายข้างหน้า คราวนี้ยิ่งทำให้ร้องไห้ ทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก มีความรู้สึกทุกข์เหลือเกิน ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว โลกนี้มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีความสุขอย่างที่คนอื่นเขาเข้าใจกัน พอร้องไห้อย่างมาก ก็ขึ้นไปกราบพระท่าน ท่านสอนว่าถึงแม้จะรู้ว่ามันทุกข์ แต่เราต้องมองให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นของธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา การพลัดพรากจากกันเป็นของธรรมดา ไม่มีใครที่จะหนีพ้นไปได้ แล้วเราต้องอยู่ให้ได้ ในความธรรมดานี้ เราต้องทำหน้าที่ของเราที่จะช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป พอพระท่านสอนก็คลายอารมณ์จากความทุกข์ที่ผ่านมาค่ะ

    ข้อธรรมที่นำมาเล่านี้ปูไม่ได้มีเจตนามาอวดอ้างแต่ประการใด เพียงแต่นำมาเล่าเพื่อขอความชี้แนะนำว่าควรจะปรับปรุงการปฏิบัติตรงไหนบ้างค่ะ:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 สิงหาคม 2008
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เรือแตก

    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เรือเก่าๆ ขนาดใหญ่ลำหนึ่งจอดรอผู้คนอยู่ริมฝั่งหน้าแม่น้ำ ทุกๆ เช้าผู้คนในหมู่บ้านจะอาศัยเรือลำนี้ ซึ่งเป็นเรือเพียงลำเดียวที่มีอยู่ ข้ามฟากกลับมาหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่เจริญกว่า และตกเย็นก็พากันพายเรือข้ามฟากกลับมา ช่างต่อเรือที่สร้างเรือลำนี้ขึ้นไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้แล้ว คงทิ้งเรือไว้ให้ผู้คนได้อาศัยใช้สอยกันต่อไป

    เวลาผ่านไปหลายปี เรือลำนี้ก็ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจหรือใส่ใจจะช่วยกันซ่อมแซม แม้ว่าชายชราที่เป็นผู้สูงอายุของหมู่บ้านจะเคยบอกกับชายหนุ่มในหมู่บ้านหลายคนให้มาช่วยกันซ่อมแซมเรือลำนี้ แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธกลับมา
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น. ตอนเช้ามีสอนสมาธิ ที่สวนสมเด็จย่า ตรงข้ามวัดอนงคราราม ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร

    ไม่มีพื้นฐานการฝึกสมาธิมาก่อนเลยก็ได้ ครับ
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อะไรๆ มันก็ไม่แน่...อย่าดีใจ อย่าเสียใจ

    มีนิทานของชาวจีนเรื่องหนึ่งเล่าว่า....
    สามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในชนบทกับท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง
    และมีม้าฉลาดแสนรู้อีกตัวหนึ่ง
    ทั้งสองสามีภรรยารักม้าตัวนี้มาก
    วันหนึ่งม้าหนีไป ทั้งสามีภรรยาเสียใจมาก

    ท่านผู้เฒ่าก็ได้ปลอบใจว่า
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ในยามที่เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองขณะนี้

    ยามที่เราเสพข่าวสารข้อมูลผ่านสื่อก็ดี

    รับฟังคำบอกเล่า จากที่ต่างๆก็ดี

    เราลองดูจิตของเรามีความไหวกระเพื่อมไปตามอารมณ์ต่างๆหรือไม่

    หากเราทรงอารมณ์ใจของเราอยู่ใน พรหมวิหารสี่อัปปันนาณญาณ แล้ว

    เราย่อมทรงจิตเราอยู่ในมหาอุเบกขาเอาไว้ได้

    ไม่หวั่นไหวไปด้วยอคติทั้งปวง

    อคติ ด้วย รัก
    อคติ ด้วย โลภ
    อคติ ด้วย โกรธ
    อคติ ด้วย หลง
    อคติ ด้วย กลัว
    อคติ ด้วย เกลียด

    มีเพียงความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อหมู่สัตว์เสมอกันด้วยกันทั้งสิ้น

    สัตว์ทั้งหลายโลดแล่นไปด้วยแรงแห่งตัณหา อุปทานยึดมั่นถือมั่น

    ถูกฉุดรั้งไปด้วยแรงกรรม อันประดุจคลื่นใหญ่ที่ถาโถม ม้วนกลบสรรพสัตว์ให้ร่วงลงสู่ทุกคติภูมิ

    จงนิ่งสงบด้วยมหาเมตตาเจโตวิมุติ อันหาที่สุด หาประมาณไม่ได้

    ส่องแสงสว่างแห่งเมตตา รัศมีสีทองแห่งความรัก ความเมตตาของเราให้ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมน นรกานต์ของดวงจิตอีกมากมายให้ ตื่นขึ้นอิ่มเอมด้วยแสงแห่งเมตตาที่หล่อเลี้ยงทุกดวงจิตให้เข้าถึงธรรม

    ความสุข สงบ สันติร่มเย็นอยู่ภายในจิตใจทุกๆดวงแม้ กายจะอยู่ท่ามกลางมิคสัญญียุคก็ตาม
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1463079 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>สันโดษ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1463079", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 08:57 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 4,209
    ได้ให้อนุโมทนา: 13,067
    ได้รับอนุโมทนา 27,114 ครั้ง ใน 5,400 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 507 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1463079 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    ช่วยแผ่เมตตาเดี๋ยวนี้คะ

    เปิดลำโพงเเล้ว

    ขอพลังจิต และ รวมสมาธิ

    ด่วนคะ!!!!


    <OBJECT id=WMP7 height=180 width=330 classid=CLSID:6BF52A52-394A-11d3-B153-00C04F79FAA6>
























    </OBJECT>

    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    hello8ช่วยส่งพลังให้ โรงเรียนสันโดษ ช่วยมนุษยชาติทั่วโลกและจักรวาลด้วยนะคะ
    <!-- / sig --></TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1463079")</SCRIPT> [​IMG] [​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></P>
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณดอกขจรครับ

    สำหรับ วิปัสสนา นั้น ความหมายในการปฏิบัติก็คือ

    การเจริญปัญญาพิจารณาในกฏไตรลักษณ์ ในฌานสมาธิ

    ปัญญาที่เกิดจากอำนาจของสมาธิก็จะแจ้งแทงตลอดขึ้นในจิตของเรา จนจิตเบาบางจากกิเลสลงไปได้

    นิพพิทาญาณเป็นผล อันเกิดจากวิปัสนาญาณ

    อารมณ์จิตก็คือเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย คลายจาง จากกิเลสกองทุกข์
    ในร่างกายก็ดี
    ในรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสจากอายตนะทั้งปวง
    เบื่อในความรัก โลภ โกรธ หลง
    ท้ายที่สุดก็คือเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด

    อารมณ์ที่เกิดตัวต่อไปก็คือ การรู้เท่าทัน ความเป็นจริงในขันธ์ห้า เมื่อรู้ทันแล้วก็ปล่อยวาง

    จากการเวียนว่ายตายเกิด ปรารถนาสิ่งเดียวคือการไม่เกิดอีกคือพระนิพพาน

    จนจิตปักมั่นคงทรงในอารมณ์พระนิพพานเป็นที่ตั้ง


    ส่วนหากดวงจิตเรายังละวางไม่ได้

    ก็จะมีอารมณ์เบื่อๆ อยากๆ

    บางขณะจิตเป็นกุศล ก็มีธรรมปัญญาเห็นธรรม

    บางขณะจิตมีอกุศลเข้ามา ก็มี อารมณ์ไหลไปบ้างเป็นธรรมดา

    ค่อยๆขัดเกลาไปทีละน้อย

    พากเพียรไม่ท้อถอย

    เจริญเมตตาหล่อเลี้ยงดวงจิตเราเอาไว้

    ทรงลมสบาย อาณาปานสติวิหารไว้

    ทรงอารมณ์พระนิพพานจับภาพพระพุทธเจ้าเอาไว้เป็นพุทธานุสติ

    ไม่ช้าก็ก้าวหน้าขึ้น

    ขอโมทนากับธรรมมะในทุกๆดวงจิตครับ

    มื่อจิตถอดถอน
     
  11. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอขอบคุณค่ะอาจารย์ ที่ได้อธิบายให้เข้าใจในธรรมยิ่งขึ้นค่ะ
     
  12. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ณ วัดท่าซุง

    rat_wting
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.6 KB
      เปิดดู:
      88
    • DSC05014.jpg
      DSC05014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.3 KB
      เปิดดู:
      165
    • 990.jpg
      990.jpg
      ขนาดไฟล์:
      123.1 KB
      เปิดดู:
      239
    • DSC04892.jpg
      DSC04892.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.8 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC05037.jpg
      DSC05037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSC05039.jpg
      DSC05039.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2008
  13. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ณ วัดท่าซุง

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 030.jpg
      030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.8 KB
      เปิดดู:
      83
    • 078.jpg
      078.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134.2 KB
      เปิดดู:
      63
    • 080.jpg
      080.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.4 KB
      เปิดดู:
      1,614
    • 101.jpg
      101.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.5 KB
      เปิดดู:
      50
    • 104.jpg
      104.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133 KB
      เปิดดู:
      623
    • 120.jpg
      120.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.9 KB
      เปิดดู:
      58
    • 130.jpg
      130.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.2 KB
      เปิดดู:
      348
    • 131.jpg
      131.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.9 KB
      เปิดดู:
      75
    • DSC05117.JPG
      DSC05117.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.5 KB
      เปิดดู:
      601
    • 076.jpg
      076.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.6 KB
      เปิดดู:
      73
    • 991.jpg
      991.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152 KB
      เปิดดู:
      1,644
    • 112.jpg
      112.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.5 KB
      เปิดดู:
      82
    • DSC05039.jpg
      DSC05039.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82 KB
      เปิดดู:
      407
    • DSC05075.jpg
      DSC05075.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.2 KB
      เปิดดู:
      346
    • DSC05037.jpg
      DSC05037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.8 KB
      เปิดดู:
      4,702
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2008
  14. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ณ วัดท่าซุง

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 058.jpg
      058.jpg
      ขนาดไฟล์:
      158.9 KB
      เปิดดู:
      933
    • 059.jpg
      059.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      457
    • 060.jpg
      060.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.3 KB
      เปิดดู:
      48
    • 045.jpg
      045.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126 KB
      เปิดดู:
      46
    • 022.jpg
      022.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.9 KB
      เปิดดู:
      1,167
    • 942.jpg
      942.jpg
      ขนาดไฟล์:
      204.5 KB
      เปิดดู:
      64
    • DSC04995.jpg
      DSC04995.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.6 KB
      เปิดดู:
      333
    • 987.jpg
      987.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.5 KB
      เปิดดู:
      1,354
    • 993.jpg
      993.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.5 KB
      เปิดดู:
      47
    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.9 KB
      เปิดดู:
      67
    • 975.jpg
      975.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      70
    • 000.jpg
      000.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.3 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  15. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ณ วัดท่าซุง

    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 127.jpg
      127.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.6 KB
      เปิดดู:
      799
    • 890.jpg
      890.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152.1 KB
      เปิดดู:
      101
    • 875.jpg
      875.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.4 KB
      เปิดดู:
      59
    • 876.jpg
      876.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.7 KB
      เปิดดู:
      674
    • 130.jpg
      130.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.2 KB
      เปิดดู:
      72
    • 874.jpg
      874.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.6 KB
      เปิดดู:
      123
    • 939.jpg
      939.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      52
    • 913.jpg
      913.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.7 KB
      เปิดดู:
      58
    • 883.jpg
      883.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.5 KB
      เปิดดู:
      60
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2008
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1466561 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>wellrider<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1466561", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 2,616
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 20,177 ครั้ง ใน 2,132 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 1325 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1466561 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->วิธีนอนเจริญฌาน...พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วิธีนอนเจริญฌาน
    โ ด ย : พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) (ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนกวาง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

    วิธีนอนเจริญฌานมี ๒ อย่าง คือนอนพักผ่อนร่างกาย กับนอนเพื่อหลับ ซึ่งมีวิธีปฏิบัติต่างกันดังนี้


    ๑. นอนพักผ่อนร่างกาย คือ เมื่อเจริญฌานในอิริยาบถทั้ง ๓ มาแล้ว เกิดความมึนเมื่อยหรืออ่อนเพลียร่างกาย ก็พึงนอนเอนกายเสียบ้าง นอนในท่าที่สบายๆ ตามถนัดจะหลับตาหรือลืมตาก็ได้กำหนดใจอยู่ในกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่ง หรือเอาสติควบคุมใจให้สงบนิ่งอยู่เฉยๆ ก็ได้

    ๒. นอนเพื่อหลับ การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่จำเป็นของร่างกาย ใครๆ ก็เว้นไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์ก็ต้องพักผ่อนหลับนอนเช่นเดียวกันกับปุถุชน ที่ท่านว่าพระอรหันต์ไม่หลับเลยนั้น ท่านหมายทางจิตใจต่างหาก มิได้หมายทางกาย การหลับนอนแต่พอดี ย่อมทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ถ้ามากเกินไป ก็ทำให้อ้วนเทอะทะ ไม่แข็งแรง ถ้าน้อยเกินไปก็ทำให้อิดโรย อ่อนเพลีย ความจำเสื่อมทรามและง่วงซึมประมาณที่พอดีนั้น สำหรับผู้ที่ทำงานเบา เพียง ๔ - ๖ ชั่วโมง เป็นประมาณพอดี แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนัก ต้องถึง ๘ ชั่วโมงจึงจะพอดี ในเวลาประกอบความเป็นผู้ตื่น (ชาคริยานุโยค) นั้น ทรงแนะให้พักผ่อนหลับนอนเพียง ๔ ชั่วโมง เฉพาะยามท่ามกลางของราตรีเพียงยามเดียว

    เวลานอกนั้นเป็นเวลา ประกอบความเพียรทั้งสิ้น และทรงวางแบบการนอนไว้เรียกว่า "สีหไสยา" คือนอนอย่างราชสีห์ การนอนแบบราชสีห์นั้นคือนอนตะแคงข้างขวา เอนไปทางหลัง ให้หน้าหงายนิดหน่อย มือข้างขวาหนุนศีรษะ แขนซ้ายแนบไปตามตัว วางเท้าทับเหลื่อมกันนิดหน่อย พอสบาย แล้วตั้งสติ อธิษฐานจิตให้แข็งแรงว่า ถึงเวลานั้นต้องตื่นขึ้น ทำความเพียรต่อไปก่อนหลับ พึงทำสติอย่าให้ไปอยู่กับอารมณ์ภายนอก ให้อยู่ที่จิต ปล่อยวางอารมณ์เรื่อยไป จนกว่าจะหลับ ถ้าให้สติอยู่กับอารมณ์ภายนอกแล้ว จะไม่หลับสนิทลงได้

    ครั้นหลับแล้ว ตื่นขึ้น พึงกำหนดดูเวลา ว่าตรงกับอธิษฐานหรือไม่ ? แล้วพึงลุกออกจากที่นอน ล้างหน้า บ้วนปาก ทำความพากเพียร ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์สืบไป ถ้าสามารถบังคับให้ตื่นได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ไม่เคลื่อนคลาด เชื่อว่าสำเร็จอำนาจบังคับตัวเอง ขั้นหนึ่งแล้ว พึงฝึกหัดให้ชำนาญต่อไป ทั้งในการบังคับให้หลับ และบังคับให้ตื่นได้ตามความต้องการ จึงจะชื่อว่า มีอำนาจเหนือกายซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปฏิบัติอบรมจิตใจขั้นต่อๆ ไป


    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10889
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    http://www.wimutti.net
    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่จริง"
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
    <!-- / sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. thebestman

    thebestman สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ในความคิดผมนะ
    ทำความดีให้ถึงที่สุด ทำความดีให้พร้อมครับ ถึงจะไม่พ้นภัยพิบัติ แต่ความดีที่เราจะไม่สูญเปล่า เอาไปใช้ในภพหน้าได้ด้วย
     
  18. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    [​IMG]
    พี่น้องที่รัก เราเลี้ยงสังขารมาใช้งานใช่ไหม
    เลี้ยงช้าง ม้า วัว ควาย ต้องการใช้งานใช่ไหม
    แต่อยากจะให้ข้อคิดเจริญพรถามท่านว่า
    ท่านเลี้ยงสังขารไว้ทำอะไร
    เลี้ยงมาสร้างปัญหา มาสร้างทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
    ไม่มีโอกาสจะเลี้ยงสังขารให้เป็นประโยชน์แก่ตนเลย
    ไม่สามารถจะนำสังขารสร้างความดีให้แก่ตนเลย
    เลี้ยงสังขารต้องหมดข้าวปลาอาหาร
    เสียทรัพยากรชีวิตอีกทั้งยังเสียเวลาด้วย

    พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ถ้าท่านถึงธรรมะเมื่อใด
    ท่านจะคิดว่า ชีวิตของท่านมีค่ามาก
    เวลาของท่านจะมีประโยชน์มาก

    ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่า ชีวิตไม่มีค่าอะไรเลย เกิดมาไม่มีค่า
    เวลาของท่านเอาไปชอปปิ้ง ไปนั่งคุยนินทากัน
    เสียเวลาการมิใช่น้อย ทุกคนโปรดได้คิด
    การศึกษาธรรมะต้องคิด ไม่ใช่เพื่อความสนุก
    ท่านจะทุกข์ถนัด ท่านต้องเอาไปคิดกัน
    ไปสร้างความดีให้แก่ตนและครอบครัว
    จึงจะเป็นการถูกต้องมาก

    ไม่ใช่ท่านไม่มีความรู้ ท่านเป็นผู้ทรงความรู้ทั้งนั้น
    เรียนจบหลักสูตรมาทั้งนั้น
    อายุอานามก็มากพอสมควร แต่ท่านอย่ามากแต่อายุเลย
    ขอให้มากด้วยความดีที่สะสม อบรมไว้มานาน
    ด้วยการทำงานด้วยความตั้งใจของท่าน
    เดี๋ยวนี้บางคนเดินทางผิดพลาดกันมาก
    เอาผีเอาเจ้ามาเป็นที่พึ่ง
    ถ้าท่านเดินทางผิดพลาดท่านมีความประมาท
    ท่านจะแก้ตัวไม่ได้ ชีวิตของท่านจะไม่มีค่าเลย

    อาตมาตรึกตรองตลอดเวลาทั้งลมหายใจเข้าออกว่า
    หายใจเข้าไม่ออก หายใจออกไม่เข้า เราก็ต้องตาย
    ตายแล้วได้อะไรไปบ้าง คิดบ้างไหม
    ถ้าชีวิตมีค่า เวลาของท่านจะมีประโยชน์มาก
    อาตมาดีใจที่ท่านอุตส่าห์เสียเวลาศึกษาธรรมะให้ได้คิด
    ได้มีสติปัญญาตามอัตภาพของท่าน
    ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนานะ
    ท่านมีความรู้แจ้งด้วยกันทุกคน
    แต่อาจขาดสติ ขาดความคิด มีความประมาท
    ถ้ามีความประมาทในชีวิตแล้วท่านจะได้อะไร

    ถ้าท่านเป็นญาติกับพระศาสนาแล้ว
    ท่านจะหอมหวลทวนลม จิตใจเข้มแข็งอดทนจนชีวิตหาไม่
    จึงจะมีประโยชน์แก่ท่านมิใช่น้อย


    หลักศาสนาที่ท่านจะยึดถือเป็นประโยชน์ตรงไหน
    ท่านจะยึดถืออะไร เดี๋ยวนี้ชาวพุทธแท้มี 10 เปอร์เซ็นต์
    อีก 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นพุทธแบบฟอร์ม เพราะรู้ไม่จริง

    ถ้าท่านรู้จริงนะ ท่านคิดได้ตามที่อาตมากล่าว
    เดี๋ยวนี้เสียดายเหลือเกิน คนรู้มากเยอะ
    รู้จริงๆ หายาก รู้มากหาง่าย รู้จริงต้องลงมือทำ รู้จำต้องลงมือท่อง
    รู้แจ้งต้องลงมือคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนินหน้าที่ มิรอรีแต่ประการใด
    หากท่านยังนิ่งดูดาย เป็นชาวพุทธซังกะตาย
    ไปหาผีเจ้าเข้าทรงกันเยอะ ไปไหว้ผีกันเป็นแถวหมด
    แต่ไม่หมายความถึงผีปู่ย่าตายาย ซึ่งควรไหว้เพื่อแสดงกตัญญูกตเวที

    อาตมาแสดงความเศร้าสลดใจกับพุทธศาสนิกชน
    ที่ไม่มีแก่นแท้เลย เปลือกก็ไม่มีด้วย
    ต้นไม้ต้องอาศัยเปลือกฉันใด
    เปลือกก็ต้องอาศัยแก่นฉันนั้น
    เปลือกของต้นไม้ที่เปรียบเหมือนศาสนาพิธีก็ยังไม่ค่อยรู้กัน
    อาราธนาศีลก็ไม่เป็น อาราธนาธรรมก็ไม่เป็น
    เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่เขาเก่ง
    เขาอบรมพุทธศาสนาวันอาทิตย์
    เลยต้องไปบอกนักเรียนให้มาอาราธนาศีลแทนเวลามีงานมีการ

    คนดีต้องการไปหาของดี
    คนชั่วจิตใจมัวซัวและต่ำช้า
    ชอบไปหาของชั่วด้วยกัน คบอันธพาลไม่พัก
    ออกมาในลักษณะการอย่างนี้ จะว่ากันไม่ได้หรอก
    พระพุทธเจ้าไม่เคยว่าใคร ท่านให้แต่ของดี
    ไม่เคยรับกิเลสของใครมาไว้ในใจท่าน
    พระสงฆ์องค์เจ้าก็เช่นเดียวกัน ท่านคงไม่รับกิเลสของใคร
    แต่อาจจะรับไทยทานเป็นการส่วนกุศล
    เอาไปบำรุงพระพุทธศาสนาก็จะเป็นได้
    ถ้าจะไปรับเรื่องของชาวบ้านมาให้หมดแล้ว
    ก็คงไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

    คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่รับเรื่องปัญหาของคน
    ท่านสอนคนให้แก้ปัญหา
    และคนก็นำเอาปัญหามาให้พระ ไม่รู้จักจะช่วยตัวเอง


    คำสอนพระพุทธเจ้าแต่ละบทพระคาถา
    สอนให้ช่วยตัวเองได้
    สอนให้พึ่งตัวเองได้
    สอนให้สอนตัวเองได้
    ไม่ต้องไปพึ่งใคร


    จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น
    ไม่ต้องการว่าไปเข้าวัดให้พระแก้ปัญหาให้
    และก็เอาดอกไม้ธูปเทียนมาหาพระกราบแล้วกราบอีก
    นึกว่ามาขอธรรมะ แต่มาขอให้ช่วยแก้ให้สามีดีหน่อย
    สามีหรือภรรยาไม่ดีต้องแก้ตรงไหน
    สามีไม่ดีแก้ที่ภรรยา ภรรยาไม่ดีแก้ที่สามี ลูกไม่ดีแก้ที่พ่อแม่
    พ่อแม่กินเหล้าเมายาสอนลูกให้เป็นโจร
    ต้องแก้ที่ลูก ให้ลูกสร้างแต่ความดี
    อย่าเชื่อฟังพ่อแม่ที่สอนลูกให้เป็นโจร ขอฝากท่านไว้
    ไม่ใช่เข้าวัดไปหาพระช่วยนะ พระท่านช่วยไม่ได้

    แต่ตถาคตเพียงชี้บอกหนทางให้เราเดินกันเท่านั้น
    ให้เราทำหน้าที่ให้ถูกต้องสำหรับมนุษย์
    แต่ถ้าท่านทำหน้าที่ไม่ถูกต้องและก็ปฏิบัติไม่ถูกทาง
    พระท่านจะช่วยได้ไหม
    ยกตัวอย่าง ขออภัยที่จะขออนุญาตกล่าว
    ถ้าท่านดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นการพนันมีอบายมุข
    สนุกในสังคมแล้วก็ไปบนบานศาลกล่าวขอให้พระช่วย
    พระคงช่วยท่านไม่ได้อย่างแน่นอน ท่านอย่าโง่ต่อไป

    ท่านจะเป็นชาวพุทธซังกะตาย เป็นชาวพุทธแบบฟอร์ม
    ไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง
    เข้าใจว่าพระพุทธศาสนา คือ เครื่องรางของขลัง
    เป่าหัวให้ลูกหน่อยจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
    แต่แม่เช่าหนังมาให้ลูกดูทุกวัน พระช่วยไม่ได้
    ท่านตีความให้เข้าใจในข้อนี้ให้มากที่สุด

    เราเป็นชาวพุทธ จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์เหมือนทองคำธรรมชาติ
    ที่หล่อเหลา ดีเด่น เห็นชัดและเห็นไกล
    ดีนอก ดีใน มะตูมแข็งนอก มะกอกแข็งใน
    อดทนนอก อดทนใน อดทนไว้ให้ได้
    หลวงพ่อทน หลวงพ่อนิ่ง
    ไปไหนตาดู หูฟัง ปากนิ่ง ตีนรีบวิ่ง มือทำแต่ความดี
    รีบวิ่งหนีความชั่ว สร้างตัวให้ดีจึงจะถูกต้อง
    ถ้าท่านไม่กระทำดังที่กล่าวมาแล้ว
    รับรองผิดหวังต่อศาสนามาก
    เข้าใจว่า ศาสนาคือเครื่องรางของขลัง
    รดน้ำมนต์แล้วสอบได้ไม่จริงแน่ๆ

    ท่านจะทำบุญ ต้องละบาปให้ได้
    ถ้าละบาปไม่ได้แล้ว ท่านจะไม่ได้บุญ

    จะได้บาปออกจากวัดไปตามเดิม
    อาจจะเลวกว่าเก่า มาทำบุญแต่ไม่ได้บุญ
    เพราะท่านไม่ละบาป บาปเต็มกระเป๋าอยู่มาหลาย
    แล้วบุญจะมีทางเข้าไปได้อย่างไร
    ขอฝากไปคิดโดยทั่วหน้ากัน
    ไม่ใช่เข้าวัดโน้นออกวัดนี้ ไปได้บุญวัดโน้น ไม่ใช่ทัวร์บุญ
    ต้องทัวร์ตัวเอง อ่านตัวให้ออก บอกตัวให้ได้ ใช้ตัวให้เป็น
    จะเห็นตัวตาย จะคลายทิฏฐิ จะได้ดำริชอบ
    จะประกอบกุศล จะได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ
    อย่าตามใจตัวเอง
    ถ้าเราเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดีแน่ๆ




    คัดลอกจาก...
    http://jarun.org<!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่าน สำหรับข้อความที่นำมาเตือนกันทุกข้อความ... ที่แสดงถึงความปรารถนาดีที่จะช่วยสงเคราะห์... บอกกล่าวให้ส่วนรวมพ้นภัยให้ได้มากที่สุดค่ะ...

    กราบขอบพระคุณมากค่ะ... _/\_


    และกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ช่วยกันส่งกระแสแห่งความเย็น ความดีงาม ความเมตตาที่มีให้กัน... ออกไปยังทุกสรรพดวงจิตทั่วอนันตจักรวาลนี้ค่ะ...

    กราบขอบพระคุณค่ะ...
     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ๑. จับลมสบาย...


    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... นึกน้อมยอมรับขอให้ข้าพเจ้าเป็นสัมมาทิฐิไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน...

    เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ทั้งหลายพร้อมๆ กัน...


    ๓. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...

    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึง
    การณ์ก็ดี...

    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่
    บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
    "

    ก้มลงกราบพระบาททุกๆ พระองค์อีกครั้ง


    ๔. น้อมนึกถึงศีลที่ถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... โดยน้อมนึกว่า...

    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"


    ๕. หลังจากนั้นให้น้อมนึก อโหสิกรรมให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินเรามา

    "- ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"


    ๖. เมื่ออโหสิกรรมให้ผู้อื่นเสร็จแล้ว... ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เราเคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิตของตัวเรา (นึกให้เห็นดวงจิตของเราเองสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐาน ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร ดังนี้...

    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...

    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)

    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...

    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"


    ๗. ท้ายที่สุดให้น้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความดีงามทั้งหลายที่เราเคยสร้างมาดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของเราให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของตัวเองสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...


    "- ข้าพเจ้าขอน้อมถวายส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมี... องค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นที่สุด

    อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...

    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...

    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือเรามีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของเราเองมารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน)

    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ ... คนไทยและต่างชาติที่กำลังชุมนุมประท้วง ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทย และทั่วโลก... อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอภัยทาน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา... มีความรัก ความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมชาติ... ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันเทอญ"


    ๘. เสร็จแล้ว อธิษฐานว่า...

    "ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้จากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้แล้ว... ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์พระศรีรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เป็นสัมมาทิฐิ ...

    ขอได้โปรดช่วยคุ้มครองคนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม... คนทุกชาติ ทุกศาสนา ที่อยู่ในประเทศไทย... องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเชื้อพระวงศ์ทุกๆพระองค์... จากสิ่งไม่ดี มิจฉาทิฐิ และดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัตินานาประการ... ตลอดทุกลมหายใจเข้า - ออก ทั้งยามหลับและตื่น ทั้งยามที่รู้สึก และไม่รู้สึกตัวก็ตาม นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"


    ..........................

    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...