ว่ากันเรื่องเหล็กไหล (แบบละเอียด)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พี่รู้, 25 ตุลาคม 2012.

  1. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    น้ำมนต์เหล็กไหลรักษาโรค

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>น้ำมนต์เหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจเป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไปแช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมีประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์

    ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้น้ำธรรมดาๆเป็นนํ้าอมฤตที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานต่อเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการปรับธาตุ ให้ร่างกายสมดุลกับอากาศรอบๆตัวด้วย แต่ลำพังการนำเอาเหล็กไหลมาแช่น้ำไว้โดยให้เหล็กไหล คลายพลังตามธรรมชาติของตนเองออกมานั้น พลังงานที่ได้อาจน้อย เกินไปหรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นในกรณีที่มีผู้เจ็บป่วยหนักหรือต้องการพลังงานที่มากกว่านั้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นในเวลา อันสั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาลัยอำนาจพลังงานทางจิตจากตัว มนุษย์ด้วยวิธีการเพ่งกสิณในขั้นตอนที่นำเอาเหล็กไหลลงไปแช่ในน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้น้ำมนต์เหล็กไหลที่มีอานุภาพมากขึ้นซึ่งผู้ที่จะเพ่ง หรือทำวิธีการนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกกสิณมาบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กสิณไฟ" เพราะกสิณไฟเป็นวิชาที่สามารถเพ่งเหล็กไหลให้ พลังงานภายในเหล็กไหลเกิดการแตกตัวได้

    ก่อนที่จะเพ่งเหล็กไหลด้วยการใช้กสิณไฟจะต้องมีการ บอกกล่าวต่อครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฤาษีด้วย เพราะการแตกตัวของพลังงานภายในเหล็กไหลที่เกิดจากการใช้กสิณไฟนั้นสามารถเทียบได้กับการแตกตัวของพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งผู้ที่ทำพิธีอาจได้ รับอันตรายอันเกิดจากกระแสพลังงานของเหล็กไหลที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสูงส่งกว่าและสามารถควบคุมเหล็กไหลได้

    พลังงานภายในตัวเหล็กไหลจะแตกตัวแบบทวีคูณ โดยพลังงานเหล่านั้นจะเริ่มแตกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในจุดนี้ผู้ที่ทำพิธีจะสามารถส่งโทรจิตและรับรู้ถึงการแตกตัวของอญูธาตุเหล็กไหลได้เฉพาะตัว แต่ผู้ทำพิธีก็สามารถ ทำให้ผู้อื่นรับรู้เป็นรูปธรรมได้ด้วยการที่ผู้ทำพิธีจะเริ่มหยดน้ำตาเทียนลงบนผิวน้ำ โดยสามารถสังเกตได้จากน้ำตาเทียนทุกหยดที่ตกลงไปบนแผ่นน้ำจะแตกตัวออกเป็นแฉกคล้ายรูปดอกพิกุลอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าจากเดิมภายในน้ำที่เรามองไม่เห็นว่าแตกต่าง อะไรจากน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังงานลี้ลับบางอย่างที่มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหลด้วย

    น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  2. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ขี้เหล็กไหล



    [​IMG]ขี้เหล็กไหล


    มักจะปรากฏอยู่ในถํ้าหรือบริเวณที่มีเหล็กไหลเหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหลลักษณะเป็นก้อนกลมๆสีออกดำบ้างนํ้าตาลบ้างไม่สามารถยืดได้หดได้แม่เหล็กดูดไม่ติดหากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณทำพิธีกรรมให้ถูกต้องเฉกเช่นวัตถุมงคลที่ถูกปลุกเสกก็จะมีอานุภาพตามที่ประสงค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  3. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลกับพลังอำนาจอันเร้นลับ</TD></TR></TBODY></TABLE>อำนาจของเหล็กไหลที่ขึ้นชื่อที่สุดคืออำนาจแห่งการคุ้มครองภยันตรายจากปืนผาหน้าไม้ทุกชนิด รวมทั้งของมีคมทั้งปวง และสรรพภยันอันตรายทั้งหลายที่พึงบังเกิดขึ้นจากดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งอานุภาพแห่งเหล็กไหลยังสามารถรักษาความเจ็บป่วยในคนและสัตว์ต่างๆได้อีกด้วยผู้คนหลายยุคหลายสมัยที่พยายามแสวงหาเหล็กไหลนั้น ต่างก็หวังพึ่งพลังอำนาจในการคุ้มครองชีวิตของตนเองเป็นหสัก I ตามธรรมชาติของเหล็กไหลจะส่งกระแสพลังงานอันลี้สับแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้างเพื่อให้ความคุ้มครองตัวเหล็กไหลเอง ซึ่งกระแสนี้ได้ครอบคลุมไปทั่วบริเวณเป็นผลให้สัตว์ป่ารอดพ้นจาก อำนาจปืนผาหน้าไม้ของมนุษย์และจากไฟป่าตามธรรมชาติ

    เราจึงมักได้ยินเรื่องเล่าที่ว่าเวลานายพรานเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่เมื่อไปถึงบริเวณที่มีกายสิทธิ์เหล็กไหลแฝงตัวอยู่ เช่น บริเวณปากถ้ำ

    หรือเงื้อมผาเมื่อนายพรานยกปืนขึ้นเล็งสัตว์ป่าแถบนั้นมักปรากฏว่าปืน ยิงไม่ออกบ้าง กระสุนด้านบ้าง หรือบางครั้งอาจมีอาถรรพณ์ถึงขั้น กระบอกปีนร้าวหรือแตกขึ้นมาได้

    ความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งเหล็กไหลนั้น แม้จะเป็นเพียงน้ำที่ไหลผ่านองค์เหล็กไหลก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพในทาง คงกระพัน แคล้วคลาด ดังเช่นน้ำในลำธารหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ไหลผ่านตัวเหล็กไหลหรือรังเหล็กไหลไม่ว่าจะเป็นเหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดหรือชนิดรองๆลงไปก็ตามยังส่งผลให้น้ำที่ไหลผ่าน แร่เหล็กไหลนั้นกลายเป็นน้ำวิเศษที่สัตว์ตัวใดก็ตามหากได้ดื่มกินน้ำนั้นเข้าไปจะบังเกิดอำนาจความคงกระพันขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ นอกจากนั้นยังสามารถรักษาบาดแผลหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยให้แก่ สัตว์ป่าตัวนั้นได้ด้วย

    ไม่เพียงเท่านั้นแม้ผู้ที่สวมเหล็กไหลไม่ว่าจะเป็นเหล็กไหล น้ำหนึ่ง รังเหล็กไหล และโคตรเหล็กไหล อันเป็นเหล็กไหลชั้นรองๆ ลงไปก็ตาม แต่หากได้ส่วมใส่คล้องเหล็กไหลไว้กับตัวแล้วออกไปล่าสัตว์ ยิงนกตกปลาก็จะเกิดอาถรรพณ์ให้ไม่อาจทำสำเร็จได้เลย ดังมีเรื่องเล่าว่านายพรานบางคนได้คล้องรังเหล็กไหลออกไปล่าสัตว์ปรากฏ ว่าทุกครั้งที่ยกปืนขึ้นประทับเพื่อเตรียมยิงดีแล้วแต่เมื่อกดนก สับลงไป ปีนกลับไม่ลั่นดังแซะๆทุกครั้ง และจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่พกเอาองค์เหล็กไหลไปด้วย แต่ถ้าครั้งไหนที่ลืมไม่ได้เอาองค์เหล็กไหลไป ปรากฏว่าปีนก็จะลั่นเป็นปกติทุกครั้ง แสดงให้เห็นว่าเหล็กไหลไม่ต้องการให้ผู้ที่พกพาตัวเองไปนั้นทำผิดสืลข้อปาณาติบาตหรือการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นนั่นเอง

    ในบรรดาอานุภาพของเหล็กไหลทั้งปวงนี้ ครูบาอาจารย์กล่าวว่าล้วนเป็นอานุภาพแห่งการห้ามปาณาติบาตทั้งสิ้น ท่านว่าเหล็กไหล เป็นของกายสิทธิ์ที่มีชีวิตและจิตวิญญาณจึงสามารถรับรู้กระแสความคิดของผู้ที่ดูแลและเป็นเจ้าของได้ตัวเหล็กไหลเองมีอำนาจในการห้ามปาณาติบาต ซึ่งเป็นอำนาจที่เขามีไว้เพื่อป้องกันตัวเขาเองอันเป็นผล ให้ผู้ที่สวมใล่ก็พลอยได้รับอานิสงส์ข้อนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าของหรือ ผู้ที่พกพาเหล็กไหลจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปทำผิดเรื่องปาณาติบาต เพราะตัวเองยังคล้องเหล็กไหลก็เพื่อป้องกันตัวจากการเบียดเบียนของบุคคลผู้อื่น ตัวเองยังรักตัวกลัวตายแต่กลับจะไปทำร้ายผู้อื่นเสียเองได้อย่างไรกัน เหล็กไหลที่พกไปก็จะส่งกระแสห้ามไม่ให้บุคคลผู้นั้นผิด ศีลปาณาติบาต แต่หากบุคคลนั้นดื้อรั้นทั้งๆที่ตนเองมีธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลอยู่กับตัวเหล็กไหลที่มีอยู่ก็อาจตักเตือนด้วยการทำให้ปีนลั่น ใส่หน้าหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวเสียเลือดกันบ้าง เพื่อเป็นการเตือนสติว่าเราเบียดเบียนเขา เราทำให้เขาเจ็บ แต่เมื่อเราไม่โดนเองก็ย่อมไม่รู้ หากเราได้รับรู้ถึงความเจ็บ ความทรมานจากอาวุธ จากคมกระสุน คมหอกคมดาบ รู้ว่าการต้องเสียเสือดเป็นเช่นไร เราก็จะมีสติขึ้นมาและหยุดการทำปาณาติบาตเช่นนั้นอีก และแย่ที่สุดคือเหล็กไหลอาจเสด็จหนีจากเราไปในที่สุดเพราะเราไม่มีคุณสมบัติ เพียงพอที่จะมีเหล็กไหลไว้กับตัว

    อำนาจความคุ้มครองจากเหล็กไหลถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด แห่งเครื่องรางของขลังจนเป็นที่ร่ำลือกันว่า เหล็กไหลนั้นมีอำนาจในการคุ้มครองเด็ดขาดที่สุด ผู้ใดก็ตามที่มีเหล็กไหลไว้ในครอบครอง และประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม คนผู้นั้นย่อมจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตตราบนานเท่านาน และไม่มีวันตายโหงหรือประสบอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

    เนื่องจากเหล็กไหลเป็นของเย็น เป็นของสงบ และเป็นของพระฤาษีที่ภาวนาตามป่าตามเขาดังนั้นเหล็กไหลจึงไม่ชอบเรื่องที่วุ่นวายทางโลกไม่นิยมเรื่องการเสพกาม นิยมพรหมจรรย์และไม่ชอบอย่างยิ่ง การรังแกเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กไหลที่มีเทพ พรหมปกปักรักษามีญาณของพระฤาษีดูแลอยู่ภายในด้วยแล้ว จะไม่ ยอมให้มีการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับ เหล็กไหลที่มีญาณของพระฤาษีหรือเทพพรหมที่ตั้งมั่นในศีลจึงต้อง หมั่นดูแลรักษาใจตนเองให้อยู่ในศีลสังวรให้ดี เพื่อให้มีคุณธรรมและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรักษาเหล็กไหลไว้กับตัว มิเช่นนั้นเหล็กไหลๆจะเสด็จหายไปจากผู้นั้นและเหลือไว้เพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมีเหล็กไหลพกไว้กับตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  4. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เมล็ดพระธาตุเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>เนื่องจากเหล็กไหลในธรรมชาติเป็นของกายสิทธิ์ที่หาได้ยากและมีจำนวนน้อย จึงไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ที่แสวงหา และต้องการมีเหล็กไหลไว้เพื่อใช้คุ้มครองตัวอีกทั้งเหล็กไหลก็เป็นของที่คู่ควรกับผู้ที่มีบุญวาสนาเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้น เป็นเหตุให้ครูบาอาจารย์คิดสร้างพระเครื่องหรือเครื่องรางต่างๆ ขึ้นมาเพื่อ ทดแทนของจริงตามธรรมชาติที่หาได้ยาก มีน้อยชิ้น และเป็นของ เฉพาะตัวเท่านั้น แต่ในการสร้างวัตถุมงคลก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพา พลังจากธรรมชาติส่วนหนึ่ง ดังนั้นครูบาอาจารยํจึงต้องแสวงหาแร่ ตามธรรมชาติที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหล เช่น เหล็กไหลลำดับชั้นรอง ๆลงไปอย่างแร่เม็ดมะขาม เป็นต้นหรือแม้แต่ขี้และโคตรเหล็กไหลก็ยังสามารถนำมาใช้ได้เพราะถือเป็นของตามธรรมชาติที่เป็นสื่อและเป็นเชื้อของพลังงานจากเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์

    ตามกรรมวิธีการสร้างเครื่องรางของขลังแต่โบราณนั้นครูบาอาจารย์มักต้องหามวลสารที่มาจากธรรมชาติอันมีฤทธิ์ในตัวเช่น ผงว่านยา108 ผงเกสรดอกไม้ ผงพระธาตุ รวมไปถึงผงเหล็กไหลด้วย ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจตามธรรมชาตินั้นถือเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเรา จะทำการปลุกเสกนานนับร้อยนับพันปีก็ยากที่จะทัดเทียมกับอำนาจของธรรมชาติที่มีมาแต่เดิม ดังนั้นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้รู้และเป็น ผู้ที่คลุกคลีกับธรรมชาติจึงมักหามวลสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มาใช้เป็นชนวนมวลสารในการสร้างพระเครื่องหรือเครื่องรางใด ๆ เพื่อแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ เพราะว่ามวลสารจากธรรมชาติเหล่านี้ มีคุณสมบัติดีในตัวหลายอย่าง เช่น สามารถซึมซับพลังจิตของผู้ ที่ปลุกเสกได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมพลังงานและสามารถแผ่พลังงานออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม หนึ่งในมวลสารตามธรรมชาติที่ครูบาอาจารย์นิยมแสวงหามา ทำเครื่องรางของขลังอย่างพระเครื่องคือ"เหล็กไหล"โดยจะนำเอาส่วน ที่เป็นโคตรเหล็กไหล ขี้เหล็กไหล และขุยดินเหล็กไหลจากหน้าปากถ้ำ หรือโดยการสกัดเอาหินที่มีเหล็กไหลฝังตัวอยู่มาเป็นส่วนผสมในการ ทำเครื่องราง ทั้งนี้เนื่องจากตัวของเหล็กไหลมีรังสีที่มีอานุภาพ

    ดังนั้นทุกครั้งที่เหล็กไหลผ่านเข้าออกรังพลานุภาพของรังสีจากองค์เหล็กไหลที่แผ่พลังงานออกจากตัวเองจึงส่งผลให้หินหรือดินที่ อยู่ในบริเวณนั้นได้รับกระแสพลังงานและมีการสะสมพลังงานนั้น ไว้ในตัว นานวันไปหินที่เหล็กไหลเกาะตัวอยู่จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงร่าง และมีสีสันของเนื้อหินที่แตกต่างไปจากเดิม

    นอกจากนี้ยังมีเหล็กไหลหรือหินไหลตามธรรมชาติอีกหลาย ชนํดที่สามารถหาได้จากตามถ้ำและตามลำธารในป่าลึกโดยของเหล่านี้ ล้วนเป็นของกายสิทธิ์ตามธรรมชาติทั้งสิ้น เมื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสม ของมวลสารในการสร้างเครื่องรางหรือพระเครื่องย่อมบังเกิดอานุภาพมากขึ้นเป็นพิเศษหลายเท่าตัว และมีพลังงานที่ล้ำลึกกว่าพระเครื่องหรือ เครื่องรางโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนผสมของธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล

    ตัวอย่างของพระเครื่องที่มีเหล็กไหลเป็นมวลสารผสมอยู่นั้น มีให้เห็นอยู่อย่างมากมาย ตั้งแต่พระเครื่องที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,200 ปีอย่างพระรอดลำพูน ซึ่งสามารถลังเกตได้จากองค์พระที่แตกหัก ออกมาว่าในเนื้อขององค์พระนั้นมีแร่บางอย่างที่มีลักษณะสีดำ อมแดงฝังอยู่ในเนื้อ และจากการศึกษาค้นคว้าของท่านอาจารย์ อรรคเดชซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพระสกุลลำพูนพบว่าแร่ที่นำมา ฝังในพระรอดลำพูนนั้นเราเรียกว่า"แร่ดอกมะขาม"หรือ"แร่เม็ดมะขาม"ซึ่งคนทางเหนือถือว่าเป็นเหล็กไหลชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ที่ดอยหินเหล็กไหลไฟ จังหวัดลำพูน แร่ชนิดนื้ถือว่ามีพลานุภาพทางด้านอยู่ยงคงกระพันเป็นหลัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  5. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เหล็กไหลกับวัตถุมงคลของไทย

    นอกจากนี้แร่ที่ชาวเหนือถือว่าเป็นเหล็กไหลและได้นำเอามาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระรอดลำพูนยังก็มีอีกหลายชนิดที่สำคัญคือ"เป็ก"หรือ"แร่ข้าวตอกพระร่วง"ซึ่งจัดเป็นแร่เหล็กไหล กายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมสีแดงอมดำฝังตัวอยู่ในพื้นดิน แร่เหล่านี้คนโบราณได้นำเอามาบดจน ละเอียดและได้นำมาสร้างเป็นพระรอดลำพูนจนมีการกล่าวขานกันว่า"พระรอดพระเหล็ก"ทั้งนี้เพราะส่วนผสมส่วนใหญ่ของพระรอดนั้น มีเชื้อของแร่เหล็กไหลกายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอยู่หลายชนิด ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าในยุคสมัยเมื่อพันกว่าปีมาแล้วผู้ทรงฌาน สมาบัติได้ให้ความสำคัญในเรื่องแร่กายสิทธิ์เหล็กไหลไม่น้อย เมื่อมี การสร้างพระเพื่อสืบพระศาสนาและเพื่อเป็นมิ่งขวัญกับบ้านเมืองก็ยัง ได้มีการเอาแร่สกุลเหล็กไหลชนิดต่างๆ มาเป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งนอกจากการนำเอาเชื้อมวลสารเหล็กไหลมาสร้างเป็นพระรอดลำพูน

    อันเลื่องชื่อแล้วยังได้นำเอามวลสารเหล็กไหลนี้มาสร้างเป็นพระ เครื่องอื่นๆ อีก เช่น พระเปิม พระคงและพระสกุลลำพูนอีกหลาย ชนิดด้วยกัน

    นอกจากพระสกุลลำพูนแล้วพระเครื่องอย่างพระซุ้มกอ ก็มีส่วนผสมของแร่เหล็กไหลโดยเฉพาะแร่ดอกมะขามเช่นเดียวกัน กับพระรอดลำพูนรวมไปถึงพระผงสุพรรณและพระเครื่องที่จัดเป็น จักรพรรดิแห่งพระเครื่องทั้งปวงคือพระสมเด็จวัดระฆังก็ได้มีการ นำเอามวลสารที่เป็นเหล็กไหลมาเป็นส่วนผสมสำคัญในการสร้าง ด้วยเช่นกัน พระเครื่องในยุคพุทธศตวรรษที่12-16โดยมากมักเกิดจากการสร้างของฤาษีชีไพรททีทรงฌานสมาบัติแก่กล้าทรงความรู้ทางว่านยาและแร่ธาตุกายสิทธิ์จึงเน้นหนักในการนำเอามวลสารของธาตุทั้งปวง ในตระกูลเหล็กไหลมาผสมเป็นองค์พระ โดยนำธาตุกายสิทธิ์ที่หาได้ภายในท้องถิ่น เช่นข้าวตอกพระร่วง แร่เม็ดมะขาม โคตรเหล็กไหลทรหด โคตรเหล็กไหลงอก ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมหลักๆ ในการสร้างพระรอด พระซุ้มกอ และพระนางพญา ซึ่งบางองค์ก็มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก ที่เข้มข้นจนสามารถเอาแม่เหล็กมาดูดติดได้อย่างน่าอัศจรรย์

    เรื่องมวลสารเหล็กไหลในพระสมเด็จนั้นเข้าใจว่าน่าจะได้มา จากหลวงตาจัน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เนื่องจากหลวงตาจันมักชอบออกธุดงค์และได้ของแปลกๆ กลับมา ทุกครั้ง หลวงตาจันผู้นี้แต่เดิมเป็นฆราวาสชอบเล่นฤทธิ์และติดจริต นิสัยทางไสยศาสตร์ ชอบปล่อยของลองภูมิพระธุดงค์จนกระทั่งตาจัน เข้าสู่วิถีญาณของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน สมเด็จฯท่านจึงมา โปรดและทำการประลองฤทธิ์ โดยตาจันได้เสกผ้าขาวม้าเป็นไก่ชน สมเด็จฯท่านก็เสกรัดประคดเป็นไก่ชนเช่นกัน แล้วเข้าไปจิกตีกัน อยู่อย่างนั้น ไม่นานนักไก่ของสมเด็จฯก็ชนะ จนมีการกล่าวขานกัน ในสมัยนั้นว่า“ไก่โลกียะหรือจะสูไก่โลกุตตระ" หลังจากนั้นตาจันจึงได้ มาศึกษากรรมฐานกับสมเด็จฯที่วัดพลับ จนกระทั่งเมื่อสมเด็จฯท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ตาจันก็ออกบวชและภายหลังจึงได้สร้างพระเครื่องขึ้นมา ในการสร้างพระเครื่องของหลวงตาจันนั้น เนื่องจากหลวงตาจัน ทำผงพระพุทธคุณไม่เป็นเพราะไม่ได้รํ่าเรียนมา ดังนั้นหลวงตาจัน จึงมักไปขอผงพระพุทธคุณจากสมเด็จโตอยู่เสมอ

    และหลวงตาจันก็มักเอาผงศักสิทธิ์ที่ท่านได้มาจากตามป่าตามเขานำไปมอบให้ท่านเจ้าคุณสมเด็จเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผงวิเศษซึ่งกันและกัน ผงวิเศษของหลวงตาจันนี้มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น ผงพระธาตุ ผงขี้เหล็กไหลและโคตรเหล็กไหลเป็นต้น รวมทั้งผงว่านยาอีกหลาย ชนิดที่ได้นำมารวมกันเพื่อสร้างพระบรรจุในกรุ และยังกลายเป็น ล่วนหนึ่งของมวลสารพระสมเด็จวัดระฆังด้วย

    หากลองส่องดูมวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง จะเห็นว่าบางส่วนนั้นมีผงสีดำขนาด เล็กเท่าปลายเข็มอยู่ มวลสารดังกล่าวนี้เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของมวลสารที่มีเชื้อเหล็กไหล มิหนำซ้ำบางครั้งมวลสารเหล่านี้ยังดูดติดแม่เหล็กอีกด้วย และอีกประการหนึ่งที่เชื่อได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆัง มมวลสารของเหล็กไหลผสมอยู่ก็คือ จากตำราการสร้างพระเครื่อง วัดระฆังนั้นกล่าวไว้ว่า สมเด็จฯ ท่านใช้สูตรการสร้างพระมาจากการ สร้างพระซุ้มกอ ดังนั้นเมื่อองค์พระซุ้มกอยังมีแร่เหล็กไหล เช่น แร่ดอกมะขามและแร่เหล็กกายสิทธิ์อีกหลายชนิดอยู่ภายในเช่นนั้น แล้วพระสมเด็จอันเลื่องชื่อที่ถือว่าเป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่องใน เบญจภาคีก็ย่อมมีแร่เหล็กไหลเป็นส่วนหนึ่งของมวลสารเช่นกัน

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>พระเหล็กไหล พระเบญจภาคี</TD></TR></TBODY></TABLE>พระเครื่องในชุดเบญจภาคีทั้ง 5 องค์ล้วนมีส่วนผสมของแร่ กายสิทธิ์เหล็กไหลทั้งสิ้น แม้กระทั่งพระนางพญาก็มีมวลสารของแร่เหล็กกายสิทธิ์ด้วย เช่นเดียวกันกับพระรอดลำพูน พระซุ้มกอ พระผงสุพรรณ และพระสมเด็จวัดระฆัง ทั้งนี้เพราะมวลสารเหล็กไหล นั้นเป็นของดีที่มีอยู่ตามธรรมชาติอันสามารถเพิ่มพูนพลานุภาพ ภายในองค์พระให้ขลังมากยิ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์อีกทั้งครูบาอาจารย์ ในสมัยโบราณท่านคงพิจารณาแล้วว่ามวลสารใดบ้างที่สมควรนำมา ใช้ประกอบการสร้างพระเครื่องเพื่อสืบพระพุทธศาสนาและเพื่อ ให้กุลบุตรกุลธิดาได้บูชาในภายภาคหน้าเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล และปกป้องคุ้มครองร่างกายได้

    หลายท่านอาจสงสัยว่า มวลสารเหล็กไหลที่ผสมลงไปใน พระเครื่องดีทางไหน? และเพราะเหตุใดจึงต้องนำเหล็กไหลมาใช้เป็น มวลสารสำคัญในการสร้างพระเครื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน?คำตอบ ก็คีอมวลสารเหล็กไหลอันเป็นมวลสารที่เป็นกายสิทธี้นั้น ดีเด่นที่สุด ในเรื่องของคงกระพัน สามารถป้องกันภยันตรายจากศาลตราวุธ

    ของมีคม ปืน ระเบิดทั้งปวง รวมไปถึงสามารถป้องกันเขี้ยวงาได้สารพัดทั้งอสรพิษจะไม่กล้าขบกดผู้นั้นเลย นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีคุณสมบัติ ตามธรรมชาติที่สามารถดูดซับพลังงานทางจิตได้เป็นอย่างดี จึงเป็นผลให้มวลสารที่มีเชื้อของเหล็กไหลสามารถเก็บพลังพระพุทธคุณหรืออำนาจจิตจากการปลุกเสกพระเครื่องของครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดีและทำให้ทวีความขลังมากขึ้นไปอีก ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงทำให้มวลสารเหล็กไหลเป็นมวลสารหนึ่งที่นิยมใช้ในการสร้างพระเครื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจกล่าวได้ว่าพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ย่อมมีมวลสารของเหล็กไหลฝังอยู่ ภายในพระเครื่องเป็นแน่แท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  6. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

    เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลนั้นล้วนเป็นเรื่องราว ที่เร้นลับซับซ้อน เป็นที่น่าสนใจและน่าติดตามในมุมมองของคน โดยทั่วไป จนอาจกล่าวได้ว่าคนไทยมีความผูกพันใกล้ชิดกับธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้มาก โดยจะเห็นได้จากพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ในสมัยก่อนที่ต้องมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลปะปนเป็นมวลสารอยู่ บ้างไม่มากก็น้อย

    ในราวปีพ.ศ.2537ได้มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับการติดตามพิสูจน์เหล็กไหลว่ามีจริงหรือไม่แพร่ ภาพออกสู่สาธารณชนจนกลายเป็นประเด็นที่ประชาซนทั่วไปให้ ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยรายการดังกล่าวได้ไปถ่ายทำพิธีการ ตัดเหล็กไหลตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย และนับเป็นครั้งแรกที่พิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันเร้นลับได้ถูกเปิดเผยสายตาของประชาชน

    พิธีกรรมการตัดเหล็กไหลที่ได้ไปบันทึกภาพในครั้งนั้นได้ กระทำขึ้นที่ถํ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี โดยมีบุคคลจากหลากหลาย สาขาอาชีพเข้าร่วมในการพิสูจน์และเป็นสักขีพยานด้วย อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมในการตัดเหล็กไหลครั้งนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการตัดเหล็กไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นท่านก็พร้อมที่จะร่วมพิสูจน์และให้ความร่วมมือในการถ่ายทำเป็นอย่างดี

    การตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นเป็นการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่แข็งตัวเองตามธรรมชาติโดยการใช้กสิณไฟตัดด้วยเทียน เพียงเล่มเดียว ผู้ทำพิธีได้ไต่ปันไดไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงบริเวณก้อนหิน ที่เหล็ก1ไหลซ่อนตัวอยู่แล้วใช้เทียนลนไปยังบริเวณรังเหล็กไหล

    ในเวลาไม่นานก็ปรากฏวัตถุอย่างหนึ่งที่มีสีดำเป็นมันเงาเคลื่อนที่ไปมา คล้ายของเหลวได้ยืดตัวออกมาจากซอกหินบริเวณที่ถูกเทียนลน ต่อหน้าสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็น เหมือนกันหมดว่าของเหลวสีดำนั้นเริ่มยืดตัวออกมาจากรังที่มีสีแดง ราวกับโดนไฟที่มีความร้อนจัดแผดเผา จากนั้นของเหลวสีดำดังกล่าว ก็หลุดตัวออกมาจากซอกหินตกลงมายังผ้าขาวที่ได้เตรียมรับเอาไว้ด้านล่าง



    [​IMG]ในกลุ่มของสักขีพยานเหล่านั้นล้วนประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ทุกคนในที่ นั้นต่างก็ช่วยกันพิจารณาเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ และทุกคนต่างก็ ยอมรับถึงสิงที่ได้ปรากฏแก่สายตาตัวเองว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ และไม่สามารถหาคำตอบในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยคณะพิสูจน์เหล็กไหลจึงได้นำเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ไปตรวจพิสูจน์ ที่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อที่จะได้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไรกันแน่

    ผลการตรวจสอบเหล็กไหลที่ได้จากการทำพิธีตัดในครั้งนั้น ปรากฏว่าวัตถุที่ได้นั้นไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลก แต่มีลักษณะเหมือนกับ สะเก็ดดาวหรืออุกกาบาตที่ตกลงมายังโลกอันเป็นวัตถุธาตุที่อยู่ ในห้วงจักรวาลที่เดินทางผ่านกาลเวลาและระยะทางอันแสนยาวนาน มาจากนอกโลกกว่าจะเดินทางมาถึงยังโลกของเรา

    อันที่จริงก็ยังมืวัตถุธาตุจากห้วงอวกาศที่เดินทางเข้ามายัง โลกอีกหลายชนิด บางชนิดเดินทางลงมาเป็นลำแสงแต่ไม่สามารถ หาตัววัตถุเหล่านั้นได้พบ บางชนิดที่มีขนาดใหญ่มากจึงไม่สามารถ เดินทางเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ด้วยวิธีการธรรมดา ดังนั้นการที่จะสามารถเดินทางมายังโลกได้ต้องอาตัยการเดินทางผ่านประตูมิติเวลา เนื่องจากการเดินทางผ่านประตูแห่งกาลเวลา จะทำให้เงื่อนไขของเวลาและระยะทางหมดไป

    จากผลการพิสูจน์ที่ออกมายิ่งทำให้คณะพิสูจน์เหล็กไหลและ กลุ่มสักขีพยานไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหล็กไหล คืออะไรกันแน่ เพราะหากธาตุชนิดนี้ไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลกแล้วเหล็กไหล เดินทางมาจากที่ไหนและมาบนโลกเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? นอกจากนี้ทางรายการยังได้แพร่ภาพพิธีกรรมการตัดเหล็กไหล ณ สถานที่อื่นๆอีกหลายครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าเหล็กไหลที่ได้ก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือเป็นของเหลวสีดำเป็นมันเงาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ราวกับเป็นสิงที่มีชีวิตเมื่อโดนไฟลนก็จะสามารถยืดตัวและหดตัวได้ เหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นจะมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นของเหลวคล้ายปรอทและไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติ จนกระทั่งถูกตัดออกมาจากรังแล้วจึงจะแข็งตัว เหล็กไหลน้ำหนึ่งมีหลากหลายสีด้วยกัน แต่เท่าที่เคยพบก็มีสีดำ สีท้องปลาไหล สีเขียวอมดำ เขียวหัวเป็ด เขียวอมทอง เขียวปีกแมลงทับ สีน้าเงินอมดำ และไม่มีสี (เป็นแก้วใส)

    แม้ว่าจะเคยมีรายการทางโทรทัศน์ได้เผยแพร่เรื่องราว เกี่ยวกับเหล็กไหลไปแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวของเหล็กไหลนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจหาคำตอบให้ได้และยังคง เป็นสิ่งที่เหนือความรู้และความคิดของคนโดยทั่วไปอีกมาก แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเหล็กไหลจะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ หรือขัดต่อหลักของธรรมชาติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าวิทยาการความเบนโลกเรา ยังไม่อาจเข้าใจธาตุกายสิทธื้ที่มาจากนอกโลกชนิดนี้ได้ จึงมีเรื่องราว อันเร้นลับอีกมากมายของเหล็กไหลที่มนุษย์ยังคงไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  7. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด



    [​IMG]
    วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด เเละ วิธีพัฒนาธาตุกายสิทธิ์ที่ร้าย...ให้กลายเป็นดี


    ๑. ธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล) เหล่านี้ ปรารถนาที่จะเข้าสู่กระเเสธรรม มุ่งอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีธรรม
    เพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนเองเข้าสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมเป็นสำคัญ
    จึงต้องอยู่กับคนดีมีศีลธรรมเท่านั้นจึงดี เเละจะให้คุณเป็นความเจริญด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
    เเละเป็นอุปการะเเก่ผู้มีไว้ในครอบครองผู้บำเพ็ญบารมีธรรม ให้ถึงความบรรลุ มรรค ผล นิพพาน...ได้สะดวก


    เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้
    จักต้องดำรงตนอยู่เเต่ในคุณความดี เพิ่มพูนบารมีธรรม
    โดยปฏิบัติ "ทานกุศล" "ศีลกุศล" "ภาวนากุศล" ให้ยิ่งๆขึ้นไป
    เเละให้เขาได้มีโอกาส "อนุโมทนาบุญ" เเละ "ร่วมบำเพ็ญบารมีธรรม" ...ไปกับเราด้วย


    โดยประการนั้นเเหละถูกต้องความประสงค์ของเขานัก
    เเละ "กายสิทธิ์" ที่สถิตอยู่ก็จะได้ทำหน้าที่เป็น "ภาคผู้เลี้ยงพระ" ได้อย่างสมบูรณ์


    ๒. ถ้าเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน หรือ เเม้ผู้เป็นนักบวช ผู้ยังไม่ชำนาญในการเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมได้เอง
    ควรมีธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ "ผู้รู้" หรือ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ท่านได้นำมาสร้างเป็นพระ หรือได้ฝังอยู่ในองค์พระ
    เเละที่ผ่านการเจริญภาวนาชำระสะสางธาตุธรรม นำเข้าสู่กระเเสธรรมเเห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีเเล้ว จึงจะดี เเละ ปลอดภัยที่สุด
     
  8. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การตัดเหล็กไหลด้วยการเพ่งเทียนกสิณ

    ผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีการเพ่งกสิณได้จะต้องเป็นผู้ ที่มีความเข้าใจในเรื่องธาตุอย่างถ่องแท้โดยเฉพาะธาตุไฟ เพราะจะต้องสามารถควบคุมธาตุไฟให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้รวมถึงจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเข้าใจในธรรมชาติ ของเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีนี้ จะใช้แค่เทียนอาคมที่เป็นเทียนขี้ผึ้งแท้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น

    เทียนขี้ผึ้งที่ใช้อาจจะชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ เมื่อเตรียมเทียนอาคมเป็นที่เรืยบร้อยแล้วก็จุดเทียนเล่มดังกล่าว แล้วนำไปลนยังบริเวณรอบๆ รังเหล็กไหล ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องกำหนดจิตใช้อำนาจกสิณไฟเพื่อเร่งธาตุความร้อนของเปลวไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวให้เกิดอานุภาพความร้อนเท่ากับความร้อน ของเปลวไฟจากเทียนนับล้านๆเล่มให้ได้

    รังเหล็กไหลที่ถูกลนด้วยเปลวไฟกสิณจะมีลักษณะสีแดง ฉานเหมือนเหล็กที่ถูกหลอมในเตาไฟ จากนั้นเหล็กไหลที่ยึดตัวอาศัยอยู่ในรังเหล็กไหลดังกล่าวก็จะยืดตัวออกมาจากรัง ในขั้นตอนนี้จะ ต้องมีการเตรียมของอันเป็นมงคล เช่น ผ้าขาวลงอาคมอักขระ อ่างน้ำผึ้ง อ่างน้ำมนต์ไว้สำหรับรองรับเหล็กไหลที่ยืดตัวออกมาจากรัง ซึ่ง เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยวิธีนี้จะมีสัณฐานคล้ายกับหยดนั้าอันเกิดจากการที่เหล็กไหลยืดตัวเองและเยิ้มหยดตัวลงมาก่อนที่ เหล็กไหลจะแยกตัวหลุดมาจากรังด้วยไฟกสิณนั่นเอง

    เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยไฟกสิณส่วนมากมักเป็นเหล็กไหลเจ้าป่า(พญาเพชรดำ) หรือเหล็กไหลประเภทอุลกมณีและเมื่อนำเหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยการใช้กสิณไฟจาก เปลวเทียนไปตรวจสอบก็จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นหินที่มาจากนอกโลก โดยจะเป็นหินจำพวกสะเก็ดดาวและเนื่องจากเหล็กไหลดังกล่าวมีลักษณะที่เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมายังโลก ในบางครั้งจึงเรียกเหล็กไหลประเภทนี้ว่า "เหล็กไหลจากต่างดาว"
     
  9. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิต

    การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิตในการตัดจะเริ่มต้นจากการเทน้ำผึ้งพระจันทร์ (น้ำผึ้งป่าที่ผ่านการทำพิธีอาบแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญมาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง) ลงบนฝ่ามือแล้วกำหนดจิตเรียก เหล็กไหลให้ไหลเยิ้มตัวลงมาเสพนั้าผึ้งพระจันทร์นั้น เมื่อเหล็กไหลประเภทนั้าหนึ่งไม่อาจทนความหอมหวานจากนั้าผึ้งพระจันทร์ได้ก็จะทำตัวไหลย้อยออกมาคล้ายตัวปลิงหรือไม่ก็ย้อยตัวลงมาเป็นเส้นบางๆคล้ายใยบัวหรือเส้นผมผู้หญิงลงมาบนฝ่ามือจากนั้นผู้ตัดจะคลึงเหล็กไหลที่ลงมาเสพน้ำผึ้งไปมาบนฝ่ามือ เมื่อน้ำผึ้งกับเหล็กไหลกลิ้งรวมเข้าด้วยกันแล้วเหล็กไหลก็จะออกมาจากรังเหล็กไหล โดยจะมืสัณฐานเป็นแท่งยาวคล้ายแคปซูลผิวเนื้อเหล็กไหลจะเรียบเป็นมันแวววาวไม่มีรอยขีดข่วนดูคล้ายกับเนื้อของธาตุปรอทกลิ้งอยู่ในฝ่ามือไปเรื่อยๆ รอจนกว่าเหล็กไหลจะเสพกลิ่นและเสพรสจากน้ำผึ้งพระจันทร์จนเป็นที่พอใจแล้วเส้นใย ของเหล็กไหลจึงจะเริ่มชักตัวเองกลับเข้ารังในช่วงเวลานี้เองที่อาจารย์ผู้กระทำพิธีจะกล่าวคาถาพร้อมกับกำหนดจิตเพื่อตัดเหล็กไหลออก จากรังด้วยการกระชากมือเบา ๆ ให้เล้นใยเหล็กขาดออกจากกัน เมื่อเหล็กไหลถูกตัดใหม่ๆ จะยังคงมีลักษณะเป็นของเหลวข้นคล้ายกับ ปรอทและมีน้ำหนักดุจดั่งโลหะประเภทเหล็ก สามารถกลิ้งไปมาบน ฝ่ามือได้เหมือนกับธาตุปรอทและจะเริ่มแข็งตัวในเวลาต่อมา

    เหล็กไหลที่ได้จากการตัดโดยวิธีนี้จะมีสัณฐานเป็นแท่งคล้ายแคปซูล ซึ่งเป็นรูปทรงที่เกิดจากการกลิ้งมวลเหล็กไหลบนฝ่ามือ แร่เหล็กไหลที่ได้ จากการตัดในลักษณะนี้มักเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งซึ่งหาได้ยากมากที่สุด ในขณะที่เหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งในลักษณะคล้ายกับใยบัวหรือเส้นผมนั้นนับว่าเป็นช่วงที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด เพราะหากตัดเหล็กไหลผิดจังหวะแล้วเส้นใยของเหล็กไหล ที่ยืดตัวออกมาจะตวัดพันร่างกายของผู้ที่ตัดเหล็กไหลให้ขาดออก เป็นชิ้นๆ ได้ ถ้าเหล็กไหลตวัดพันถูกส่วนไหนชองร่างกายแล้ว ร่างกายส่วนนันก็จะถูกตัดขาดออกจากกันทันที

    ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเหล็กไหลจึงควรเป็นช่วง เวลาที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งจนอิ่มแล้ว และจะต้องเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เส้นใยของเหล็กไหลกำลังจะชักตัวกลับรัง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการตัดเหล็กไหลโดยวิธีนี้ ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมากจึงจะสามารถรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะชักตัวกลับรังเมื่ออาจารย์ผู้ประกอบพิธีตัดเหล็กไหลได้สื่อสารด้วยกำลังฌานจนแน่ใจว่า เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของถ้ำซึ่งเป็นพลังงานที่ดูแลคุ้มครองเหล็กไหลชิ้นดังกล่าวได้อนุญาตและมอบเหล็กไหลชิ้นนี้ให้ในขณะที่เหล็กไหลกำลังจะหดตัวกลับรังนั้นเอง ท่านก็จะกล่าวคาถาตัดเหล็กไหล กล่าวคำขอขมาและกล่าววาจาสัตย์อธิษฐานจิต ให้แน่วแน่ถึงจุดประสงคํที่มาขอเหล็กไหลว่าจะนำไปเพื่อใช้ทำอะไร ซึ่งคำสัตย์เหล่านี้จะคอยควบคุมเหล็กไหลชิ้นนั้นตลอดเวลา

    และหากเริ่มผิดคำสัตย์ตามทีได้กล่าวไว้เมื่อใด เหล็กไหลก็จะเริ่มให้โทษแก่ผู้ครอบครองและจะหาหนทางกลับมายังรังที่อยู่เดิมอีกครั้ง หลังจากที่ตัดเหล็กไหลมาได้แล้วจะต้องนำเหล็กไหลมาอธิษฐาน ที่หน้าปากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปีนการตรวจดูให้แน่ซัดว่าเป็นเหล็กไหล ประเภทที่ต้องการหรือไม่และหากไม่ใช่เหล็กไหลชนิดหรือประเภทที่ได้กล่าวสัจจะวาจาขอเอาไว้ก็ต้องนำเหล็กไหลชิ้นนั้นไปวางคืนไว้ที่ภายในถ้ำ เพราะหากนำเหล็กไหลผิดชนิดหรือผิดประเภทซึ่งไม่ตรงตามที่ได้กล่าวสัจจะขอไว้กลับไปก็จะเป็นอันตรายกับตนเองอย่างใหญ่หลวง
     
  10. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การเรียกเหล็กไหล

    หลังจากที่เราได้ทราบถึงวิธีในการหาเหล็กไหลแล้วก็มา ถึงขั้นตอนที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเรียกเหล็กไหลให้ออกมาจากรังเหล็กไหล ซึ่งวิธีการเรียกเหล็กไหลโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มต้น ด้วยการทำพิธีบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขารวมถึงเจ้าที่ผู้ดูแลเหล็กไหล โดยครูบาอาจารย์ผู้ประกอบพิธีเรียกเหล็กไหลจะทำการบวงสรวง ถวายต่อเจ้าป่าเจ้าเขาผู้ดูแลเหล็กไหลที่บริเวณหน้าปากถ้ำ เพื่อเป็นการเสี่ยงทายว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่ดูแลเหล็กไหลชิ้นนั้นอยู่จะยอมอนุญาตให้นำเหล็กไหลออกไปได้หรือไม่ ซึ่งจะสังเกตได้จาก ธูปเทียนที่จุดบูชาว่าจะติดไฟจนหมดหรือว่าดับกลางคัน หากว่าธูปเทียนเกิดดับกลางคันแสดงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ยินยอมให้เหล็กไหลชิ้นนั้น จำต้องยุติพิธีกรรมการตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นทันทีเพราะถ้ายังคงดื้อดึงที่จะกระทำพิธีต่อไปก็อาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>รังเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>แต่หากว่าธูปเทียนติดไฟจนหมดก็แสดงถึงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอนุญาตให้นำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกไปได้ ครูบาอาจารย์ผู้ที่จะทำพิธีเรียกเหล็กไหลก็จะเริ่มพิธีการเรียกเหล็กไหลโดยจะเทน้ำผึ้งชนิดพิเศษที่ เรียกว่า "น้ำผึ้งพระจันทร์" (นํ้าผึ้งป่าที่ถูกปาดจากรังผึ้งในคืนวันเพ็ญ) ลงบนฝ่ามือจากนั้นจะยื่นฝ่ามือเข้าไปใกล้ๆรังเหล็กไหล แล้วกำหนดจิตถึงเหล็กไหลที่อยู่ภายในรัง หลังจากนั้นเพียงไม่นานเหล็กไหลก็จะยืด ตัวลงมาเสพน้ำผึ้งในฝ่ามือจนหมด ซึ่งหากต้องการที่จะตัดเหล็กไหล จะต้องกระทำในช่วงที่องค์เหล็กไหลกำลังยืดตัวอยู่นั้นเอง โดยต้อง ตัดใยเหล็กไหลให้ขาด เหล็กไหลที่ตัดได้จะนิ่มตัวอยู่บนฝ่ามือสักครู่ จากนั้นจึงแข็งตัวเอง

    แต่โดยมากแล้วการเรียกเหล็กไหลนั้นเป็นเพียง การขอชมบารมีจากองค์เหล็กไหล ดังนั้นผู้ที่ทำการเรียกเหล็กไหล จึงไม่นิยมตัดเหล็กไหล แต่หากต้องการครอบครองเหล็กไหลที่จะทำการเรียกจะต้องมีการกำหนดจิตบอกต่อเจ้าป่าเจ้าเขาว่าต้องการ เหล็กไหลชนิดไหนสีสันวรรณะใด ต้องแจ้งให้ชัดเจน เพราะเมื่อเรียกเหล็กไหลออกมาแล้วเหล็กไหลที่ได้มาผิดไปจากชนิดที่ได้ขอไว้ก็ไม่สามารถนำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกมานอกถาได้ จะต้องคืนให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขาไป เพราะถือว่าผิดสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากฝืนเอาออกมาด้วยความโลภแล้วย่อมจะเกิดภัยพิบัติกับตัวเองได้​

    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเรียกเหล็กไหลนั้นแท้ที่จริงคือ การขอชมบารมีของเหล็กไหลเท่านั้น ต่างจากการตัดเหล็กไหลซึ่ง เป็นการบังคับเอาเหล็กไหลด้วยการใช้วิชาอาคมและพลังจิตที่ เหนือกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่รักษาเหล็กไหล การเรียกเหล็กไหลนั้นเป็น การอัญเชิญเหล็กไหลด้วยความอ่อนน้อมโดยอาศัยการกำหนดจิตเป็นสำคัญเพื่อขอชมบารมีของเหล็กไหลที่อยู่ภายในถ้ำจากเจ้าป่าเจ้าเขา ส่วนการเชิญเหล็กไหลให้เสด็จมาหาตนนั้น ท่านให้หาฝักขี้ผึ้งอย่างดีทีทำด้วยรังผึ้งขวางตะวันที่ร้างโดยธรรมชาติ และวางฝักขี้ผึ้งนั้นไว้บนพานครูที่ประกอบไปด้วยเทียนขาว 9 เล่ม ธูป 9 ดอก น้ำผึ้ง 1 ถ้วย ข้าวตอกดอกไม้ จากนั้นให้นำพานดังกล่าว ไปบูชาไว้บนหิ้งพระแล้วสวดพระคาถาอัญเชิญเหล็กไหลเป็นประจำ ประกอบกับการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาพร้อมทั้ง อุทิศล่วนกุศลให้กับเทพยดาที่รักษาเหล็กไหล หากจิตเราไปตรงกับ เทพยดาองค์ใดพร้อมด้วยกุศลอันเพาะบ่มดีแล้วก็จะทำให้เหล็กไหล เสด็จมาหาเราได้จริง ๆ ซึ่งก็เป็นการเรียกหรือการอัญเชิญเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่ง

    ในสมัยที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านยังอยู่นั้นนับว่าท่านเป็น ผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องธาตุกายสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ท่านมัก เจริญฌานเต็มกำลังแล้วอธิษฐานเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆ มารวมกัน กล่าวกันว่าในสมัยนั้นมีธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดมาหา ท่านในลักษณะที่เป็นดวงไฟลอยลงมาขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญภาวนา มีทั้งพระธาตุ มีทั้งดวงแก้ว มีทั้งคด แต่จะมีเหล็กไหลด้วยหรือไม่นั้น มิอาจทราบได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่าการบำเพ็ญภาวนา นั้นสามารถทำให้ธาตุกายสิทธิเสด็จมาหาเราได้จริง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้ที่ภาวนาด้วย
     
  11. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

    เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

    พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

    สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

    อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

    เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

    สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

    นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

    พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ ทำได้ ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

    เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

    เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

    เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

    แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

    เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

    1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

    2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ
     
  12. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=10 width=550 bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD vAlign=top width=275><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=255 align=center><TBODY><TR><TD class=covertext>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=covertext>บทความต่างประเทศ

    Lek-Lai (A Magical Metal Amuet
    </TD></TR><!--DWLayoutTable--><TR><TD class=covertext>
    The fact that we cannot see or cannot prove the existence of something does not mean it is not real. Supernatural phenomena such as traces of a naga slithering down some places in the north-eastern provinces or photographs or video tapes that accidentally recorded an image of something like a ghost are what people doubt but cannot utterly deny. In Thailand there is a substance that cannot be explained by the laws of science. Yet, some people have great faith in this amulet's protective power. It is lek-lai, which literally means fluid metal.​
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=covertext>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=coverpic>
    Lek-lai at their source before being cut ​
    </TD></TR><TR><TD class=coverhead></TD></TR><TR><TD class=coverhead>According to the Thai dictionary of the Royal Institute, lek-lai is a type of metal said to melt at candle temperature. It is also regarded as a rare magical metal that forms naturally and possesses biological properties.

    The legend of lek-lai is described in ancient sacred books as follows. In the time as old as the Atlantis continent, there was an ascetic named Kalaikot, who attained a high state of serenity via meditation. This ascetic caused an element which could become either solid or liquid and could disintegrate or cohere to gather on the wall of the cave where he was inhabiting. Another ascetic, who reached the same level of meditation and whose name was Kassapa did the same thing. </TD></TR><TR><TD class=covertext></TD></TR><TR><TD class=covertext>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=coverpic>
    Cut pieces of lek-lai​
    </TD></TR><TR><TD class=covertext></TD></TR><TR><TD class=covertext>And after both of them transferred their power into this element, it became magical. Other ascetics later followed this practice as a tradition. That is why many pieces of lek-lai have been found in remote caves.</TD></TR><TR><TD class=covertext></TD></TR><TR><TD class=covertext>Categories and Shapes</TD></TR><TR><TD class=covertext>
    Lek-lai comes in various shapes, like a capsule, a tiny ball, a turtle, etc. According to gurus, this magical amulet can be divided into twelve categories. For example, Lord of the Jungle lek-lai has a glossy black colour, particularly when under light. It has the ability to contract and expand. Oozing lek-lai has a greenish black colour. It exists in narrow spaces of some caves. This type of lek-lai is sometimes dubbed "the King of Metal" because it contains a strong protective might which is ideal for police or soldiers who are always at risk of being killed. Other kinds of lek-lai are different in appearance and properties. However, almost all of them can protect the owner from the danger of weapons. Followings are some magical qualifications of lek-lai in brief.

    - To be able to stay motionless and to move itself
    - To give a fragrant smell
    - To burn itself
    - To cool hot water off in the blink of an eye
    - To make a gun or explosive substance duds
    - To soak in water to make it holy
    - To loose or gain weight by itself ​
    </TD></TR><TR><TD class=covertext></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width=275><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=255 align=center><TBODY><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>Where to Find Lek-Lai</TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff height=67 vAlign=top colSpan=2>It's not easy to discover lek-lai as there is no scientific means to indicate its location, and even worse, most people never know what it looks like.</TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=coverpic bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    On the way to find lek-lai​
    </TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    Some ancient sacred books mention that to find lek-lai, one must search for a cold, peaceful and clean cave without any animal dung. ​
    </TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=coverpic bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>Or one can ask for guidance from an experienced hunter or roaming monk. Or one can practise meditation until gaining the insight of the habitat of lek-lai. Or one can use a medium to guide the way to the hidden place of lek-lai. When a discovery is made, the ritual of cutting lek-lai must be held by a guru with a complete set of necessary equipment.</TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>How to Prove an Authentic Lek-Lai</TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>People believe that if it is the real thing, a gun will not be able to fire in three consecutive tests. Moreover, it is impossible to trade a piece of real lek-lai because lek-lai itself will decide with whom it will stay. Even though one locks lek-lai in a safe, it will miraculously get outside.
    There are some restricted qualifications for a lek-lai owner:

    The person must be born with the holy power to possess lek-lai. He or she must have great faith in it and wholeheartedly wish to receive lek-lai and must strictly observe the five Buddhist precepts. It always happened that when the owner behaves unethically, his or her lek-lai will disappear.

    The best way to preserve lek-lai is that one should not make weapons from it nor perform a magical ritual to insert it into a human body because it can cause illness and even death.</TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=coverpic bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>
    The atmosphere during the
    ritual of cutting lek-lai​
    </TD></TR><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2></TD></TR><!--DWLayoutTable--><TR><TD class=covertext bgColor=#ffffff vAlign=top colSpan=2>Because of the magical power of lek-lai, many people fall victim to con artists. It is reported that some contracts of purchase of fake lek-lai stipulated a price as high as 600 million baht. A swindler has numerous fraudulent ways to deceive his victims. It is easy for him to malfunction the gun e.g., by soaking the ammunition in alcohol, disabling the firing. Thus, the victim will trust that the lek-lai is real.

    Those who want to purchase this amulet should bear in mind that real lek-lai cannot be traded nor made into a required shape. So it means that what they got is only a sham amulet of a coloured stone, but not lek-lai.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ตื่นตาตื่นใจ จริงๆครับลูกพี่ พอจะมีแบ่งปันให้ดูเป็นบุญตาบ้างไหมครับ
     
  14. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ผมก็อยากชมของจริงเป็นบุญตาเหมือนกันขอรับ:cool:
     
  15. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    แก๊ง 18 มงกุฎ ตุ๋นขายเหล็กไหล

    เมื่อเดือน กันยายน 2540

    มีคณะรับซื้อเหล็กไหล อ้างว่าเป็นชาวไต้หวันกับคนไทยร่วมกัน รับเป็นนายทุนดำเนินการในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ก่อนการทดสอบของ สามารถตรวจสอบวงเงินซื้อขายได้จากทางธนาคารกรุงเทพฯ สาขาท่าเรือ กาญจนบุรี หากของไม่ผ่านการทดสอบ ผู้เสนอขายจะต้องจ่ายให้ 5 แสนบาท หากผู้ซื้อไม่สามารถแสดงวงเงินที่ซื้อขายได้ก็ยินดีจ่ายให้ฝ่ายผู้ขาย 5 แสนบาทเช่นกัน

    พอถึงเวลาทั้งสองฝ่ายก็นัดตรวจสอบยอดเงินกัน ปรากฏว่าฝ่ายชาวไต้หวันซึ่งใช้ชื่อว่า

    มิสเตอร์อัง

    ได้ทำทีเป็นโทรศัพท์ติดต่อกับทางต่างประเทศ พูดไปพูดมาก็สรุปว่า กำลังจะโอนเงินให้อยู่ นั่งรอกันเกือบชั่วโมงเพื่อรอการเช็คข้อมูลจากธนาคาร ก็ไม่ปรากฏว่ามีการโอนเงินโชว์ผ่านทางธนาคารแต่อย่างใด แต่ฝ่ายผู้ขายได้เตรียมเงินสดมาแสดงพร้อม 5 แสนบาท

    ทางฝ่ายผู้ขายและเจ้าของเหล็กไหล ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วย จึงได้เชิญตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปพูดจากัน ผู้ขายจึงจะขอทำการปรับตามข้อตกลง ปรากฏว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับให้ได้ เพราะค้นแล้วมีเงินติดตัวกันรวม 700 บาทเท่านั้น

    ซึ่งฝ่ายนายทุนยอมรับว่าได้แอบอ้างวิธีการนี้หากินแบบนี้มานานแล้ว บางรายก็สำเร็จบางรายก็ไม่สำเร็จ เพราะรู้ว่า เหล็กไหลของจริงนั้น ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ คือ ไม่ผ่านการทดสอบหรือมีการหนีไปก่อน แต่ถ้าเป็นของปลอมก็ถูกปืนยิงกระจุย

    ฝ่ายเจ้าของเหล็กไหลจึงนำเอาเหล็กไหลองค์ที่จะขายแช่ไว้ในแก้วน้ำแล้วอธิษฐานจิตเพียงครู่เดียว แล้วนำเอาแก้วน้ำไปตั้งกลางแจ้ง ให้ฝ่ายนายหน้าลองทดสอบดูด้วยปืน .357 จนหมดโม่ก็ยิงไม่ออก เรื่องนี้ปรากฏต่อสายตาคนเกือบร้อยคนที่ทราบข่าวที่มามุงดู ถ้าจะเป็นการแสดงก็คงระดับบรมครู
     
  16. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    โจ๋คึก! แห่ฝังเหล็กไหลปลอมเจ็บระนาว


    (11 พค.) จากกระแสข่าวที่เด็กใน 2 หมู่บ้าน ในขตตำบลบัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ หลายราย กำลังอยู่ในอาการเจ็บป่วย ที่เป็นผลมาจากไปฝังเหล็กไหลกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง ซึ่งได้มาตั้งตนเป็นจอมขมังเวทย์ เปิดสำนักฝังเหล็กไหลให้กับเด็กในหมู่บ้าน ทำให้เกิดอาการเป็นแผล อักเสบ เมื่อวันที่ 11 พค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถาม ผู้ปกครองเด็กชายอายุ 12 ปี คนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า เห็นบุตรชายมีอาการเจ็บที่ต้นแขนด้านขวา เมื่อตรวจดูพบว่ามีรอยบาดแผล คล้ายถูกวัตถุแหลมทิ่มแทง และมีเลือดซึมออกจากปากแผลตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีรอยนูน เหมือนมีวัตถุบางอย่างฝังอยู่ข้างใน เมื่อซักถามจึงได้รู้ว่าลูกชาย และเพื่อนจำนวน 6 คนในละแวกหมู่บ้านเดียวกัน ได้ถูกพระธุดงค์ที่มาปักกลดที่วัดป่าท้ายหมู่บ้าน ชักชวนให้ฝังเหล็กไหล โดยพูดโน้มน้าวถึงอานุภาพที่ขลังอยู่ยงคงกระพันของเหล็กไหล ทำให้เด็กหลงเชื่อ และยอมให้ฝัง ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว



    ด้านเด็กชาย กล่าวว่า ตนไม่อยากฝังเลย เพราะกลัวเจ็บ แต่ถูกพระธุดงค์รูปนั้นสบประมาทว่าถ้าไม่ฝังก็จะเป็นกะเทย จึงตัดสินใจฝังในที่สุด โดยพระธุดงค์ได้ใช้มีดปลายแหลมเล็กๆ มีลักษณะเหมือนมีดแกะสลัก แทงเข้าไปที่แขน จากนั้นก็ยัดเหล็กไหลสีดำ ลักษณะเป็นแผ่นเล็กๆ ขนาด 5 ซม.เข้าไปฝังข้างใน

    รพ.แนะการฝังเหล็กไหลไม่ว่าจริงหรือปลอมจะก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังต้องระวังให้ดี และผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาย้ำเตือนขออย่าไปหลงเชื่อพระที่ทำเกี่ยวกับเหล็กไหล เพราะโดยมากพระจะโกหกและไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นการอวดอุตริทั้งสิ้น พบเห็นพระสงฆ์ทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากลทำให้ศาสนาเสื่อมขอให้พุทธศาสนิกชนแจ้งกรมศาสนา
     
  17. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ข่าวต้มตุ๋นก็ยังมีอยู่ให้เห็น เฮ้อ คนเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  18. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ขอบคุณครับ ท่านพี่รู้ ข้อมูลละเอียดดีจริงๆ
    ผมเคยอยู่ร่วมในพิธีด้วยครั้งนึง ที่ ถ้ำมาลัย จ.พัทลุง

    - สีเขียวปีกแมลงทับ -
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ภาพลักษณะของเหล็กไหลที่ทะลุยื่นออกมาจากผนังถ้ำ แล้วอาจารย์ผู้ทำพิธีเค้าจะใช้มีดที่เป็นเหล็กไหลตัด และดึงเหล็กไหลยืดออกมาจากผนังถ้ำ โดยตัดตามแต่เจ้าถ้ำผู้ดูแลเหล็กไหลจะให้ ใช้ผ้าขาวรองบนพาน เหล็กไหลเมื่อเจออากาศจะแข็งตัว
    [​IMG]
    ภาพนี้ที่ถ้ำหละปู่ จ.พังงา


    มีข้อเขียนเล่าเรื่องเหล็กไหลคร่าวๆ แบ่งปันกันไว้อยู่ในนี้นิดหน่อยด้วยครับ
    ธรรมศาลา - เหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์


    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ตุลาคม 2012
  19. หยดน้ำเพชร

    หยดน้ำเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ขอบคุณพี่ๆเจ้าของกระทู้นะคับที่ได้รวบรวมแล้วเอามาให้อ่านเป็นกระทู้เดียวไม่ต้องได้ไปหาข้อมูลมาเลย
     
  20. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    แล้วจะแปลงร่างได้เป็น มนุษย์เหล็กไหล หรือเปล่า

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=X1vtqcFmCYY]Mercury Man - มนุษย์เหล็กไหล - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...