สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    * เข้าสิบแล้วเห็นศูนย์ *
    "หยุด" นั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
    ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
    โลกที่จะได้รับความสุข
    ใจต้องหยุด ตามส่วนของโลก
    ธรรมที่จะได้รับความสุข
    ต้องหยุด ตามส่วนของธรรม
    ท่านได้แนะนำไว้ตามวาระพระบาลีว่า
    "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ"
    "สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่ง ไม่มี"
    "หยุด" นั่นเองเป็นตัวสำคัญ
    เพราะเหตุนั้น ต้องทำใจให้หยุด
    เมื่อใจของเราหยุดแล้ว
    เราก็ต้องหยุดในหยุด ๆ ... ไม่มีถอยหลังกลับ
    หยุดในหยุด ๆ ๆ อยู่นั่นเอง
    ใจที่หยุดนั้น ต้องถูกกลาง
    ถ้าไม่ถูกกลาง ใช้ไม่ได้
    ต้องหยุด เข้าสิบ เข้าศูนย์ เข้าส่วน
    ถูกสิบ ถูกศูนย์ ถูกส่วน
    ถ้าหยุดกลางกายเช่นนั้นถูกสิบ
    พอถูกสิบเท่านั้น ไม่ช้าจะเข้าถึงศูนย์
    พอถูกสิบแล้ว ก็จะเข้าถึงศูนย์ทีเดียว
    โบราณท่านพูดกันว่า
    "เห็นสิบแล้วเห็นศูนย์ เป็นเค้ามูลสืบกันมา
    เที่ยงแท้แน่นักหนา ตั้งอนิจจาเป็นอาจิณ
    จุติแล้วปฏิสนธิ ย่อมเวียนวนอยู่ทั้งสิ้น
    สังขาราไม่ยืนยิน ราคีสิ้นเป็นตัวมา"
    "สิบศูนย์" นี้เป็นตัวสำคัญนัก
    สัตว์โลกจะเกิดในโลกได้
    ต้องอาศัยเข้าสิบ แล้วตกศูนย์จึงเกิดได้
    ถ้าเข้าสิบไม่ตกศูนย์แล้ว เกิดไม่ได้
    โลกกับธรรม ต้องอาศัยกันอย่างนี้
    ส่วนทางธรรมเล่าก็ต้องเข้าสิบ
    เข้าสิบแล้วก็ตกศูนย์
    "ตกศูนย์" คือ ใจหยุด
    พอใจหยุด เรียกว่า เข้าสิบแล้ว
    เห็นเป็นดวงใส เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
    ผุดขึ้นที่ใจหยุดนั้น
    นั่นตกศูนย์แล้ว เข้าสิบแล้ว เห็นศูนย์แล้ว
    เรียกว่า "เข้าสิบแล้วเห็นศูนย์"
    พอเห็นศูนย์ ใจก็หยุดอยู่กลางศูนย์นั้น
    กลางดวงใสเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์นั้น
    ดวงนั้นแหละเรียกว่า
    "ดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
    หรืออีกนัยหนึ่ง
    ดวงนั้นแหละเรียกว่า "ดวงปฐมมรรค"
    หนทางเบื้องต้น มรรคผลนิพพาน



    * พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    # จากพระธรรมเทศนาเรื่อง :
    หลักการเจริญภาวนา สมถวิปัสสนากรรมฐาน





    [​IMG]
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่า ...
    "ธรรมทั้งหลาย ย่อมมีมาแต่เหตุ"
    ไม่ว่าจะเป็น "เหตุ" ฝ่ายพระ
    หรือ ฝ่ายมาร
    หรือจาก ฝ่ายกลางๆ
    ถ้าจะพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปอีก
    ก็จะเห็นมี “เหตุในเหตุ” ต่อๆไปอีก
    และเหตุในเหตุ
    ก็ยังจะมี “ต้นๆเหตุ”
    “ต้นๆ ในต้นๆ” ... ต่อๆไปอีก
    “วิชชาธรรมกาย” จะช่วยเปิดเผย
    ให้เห็นความจริงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
    เมื่อสามารถเข้าถึง "ต้นๆเหตุ" ได้มากเพียงใด
    ก็ย่อมจะสามารถแก้ไขที่ ... ต้นๆเหตุนั้น
    ให้ร้ายกลับกลายเป็นดี ... ได้มากเพียงนั้น
    กล่าวคือ ถ้าผู้เจริญภาวนาเข้าถึง "ฝ่ายพระ"
    ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา
    อันมีนัยอยู่ใน “อริยมรรค” มีองค์ ๘ ประการ
    ... ได้มากเพียงใด
    ธาตุธรรมส่วนละเอียด
    ก็จะถูกปกครองโดย “ฝ่ายพระ” หรือ “ฝ่ายบุญ”
    ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งขึ้นเพียงนั้น
    ก็จะเป็นผลให้ “เห็น จำ คิด รู้” สะอาดขึ้น
    และ "ธาตุธรรมส่วนหยาบ" ได้รับผลดีขึ้นด้วย
    และในขณะเดียวกัน ก็กำจัดความไม่บริสุทธิ์
    คือธาตุธรรมฝ่ายดำ หรือฝ่ายมารทั้งหลาย
    ให้หมดไปจากธาตุธรรมดังกล่าว ... โดยอัตโนมัติ
    วิชชาธรรมกาย ช่วยให้เกิด "ปัญญา"
    จากการที่ได้ “ทั้งรู้” และ “ทั้งเห็น”
    และทั้งสามารถช่วยแก้สิ่งร้าย ให้กลับกลายเป็นดี
    ดังที่ได้กล่าวมานี้
    จึงนับเป็นวิชชาที่คมกล้าอย่างยิ่ง
    ให้ผลแก่ผู้เข้าถึงอย่างคุ้มค่า
    และแม้ผู้ปฏิบัติ ที่ยังเข้าไม่ถึง
    หากประกอบด้วยความศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
    ... เจริญให้มากแล้ว
    ก็จะได้รับผลในทางดีมากเช่นเดียวกัน
    เพราะการฝึกฝน "ทำใจให้หยุด"
    อยู่ ณ ที่ "ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗" นั้น
    ถูกทางเข้าถึง “พระ”
    โดยผ่าน ... ปฐมมรรค, ศีล, สมาธิ, ปัญญา,
    วิมุตติ และวิมุตติญาณทัศนะ นั่นเอง
    จึงพลอยให้ได้รับผลจาก “ฝ่ายพระ”
    คือความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจ
    เป็นการกำจัด “ธรรมฝ่ายบาปอกุศล หรือ มาร”
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กิเลสมาร”
    ที่คอยปิดกั้นทางบุญ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์
    และ “ขันธมาร” ที่เบียดเบียนสุขภาพอนามัย
    อันเป็นเหตุให้ไม่สบายกายต่างๆ
    ก็พลอยถูกกำจัดไปด้วย “อานุภาพของพระ”
    และ “ต้นๆของพระ” โดยอัตโนมัติ




    * พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    เราต้องตั้งใจให้ "หยุด"
    ใจของเราถ้าหยุดได้สักกระพริบตาเดียวเท่านั้น
    ได้ชื่อว่า เราได้สร้างบุญใหญ่กุศลใหญ่สำคัญนัก

    "บุญ"ที่เกิดจากการนั่งภาวนานั้น
    เป็นบุญใหญ่ กุศลใหญ่
    เราจะไปสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ สักร้อยหลัง
    ก็สู้บุญที่เกิดขึ้นจาก "การบำเพ็ญสมถวิปัสสนา" ไม่ได้

    เมื่อเราแสวงหาเขตบุญในพระพุทธศาสนา
    พึงบำเพ็ญ "สมถวิปัสสนา"
    ทำใจให้มั่นคงดังนี้ ให้ใจหยุด
    หยุดนี้เป็นตัวสำคัญ

    "หยุด" นี้จะเป็นทางมรรคผลนิพพาน
    พวกที่ให้ทานรักษาศีลนั้น ยังไกลกว่า

    "หยุด" นี้ใกล้นิพพานนัก
    พอหยุดได้เท่านั้น
    ถูกคำสั่งสอนของพระศาสดาแล้ว
    ไม่ยักเยื้องแปรผัน

    * พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

    ที่มา : หนังสือหลักการเจริญภาวนา
    สมถวิปัสสนากรรมฐาน




    [​IMG]
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    อาสวะกิเลสคืออะไร : http://www.mongkoldhamma.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0…


    ธรรมบรรยายโดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    คติธรรมโดย พระเทพญาณมงคล ขอบคุณหนังสือ "๑๐๘ มงคลธรรม "


    https://www.facebook.com/Rakangdham...if_t=notify_me_page&notif_id=1462835166330239




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2016
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    ‪#‎เพราะตัณหานั่นเองความทะยานอยากเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน‬
    ‪#‎ปล่อยอุปาทานไม่ได้ก็เป็นทุกข์ถ้าปล่อยได้หมดทุกข์‬



    ความทุกข์เกิดขึ้น เพราะขืนมัน ขืนธรรมดาของมัน สิ่งที่ไม่เที่ยงจะให้เที่ยง สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็ยังขืนยึดว่าเป็นตัวตน
    เหตุที่ให้ขืนธรรมดาของมันเช่นนี้ อะไร? อุปาทานนั่นเอง ถ้าปล่อยอุปาทานได้ การขืนธรรมดาก็ไม่มี
    ตามแนวที่พระปัญจวัคคีค์ตอบกระทู้ถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสถามว่า เมื่อมันมีอาการแปรผันไปเป็นธรรมดา แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้แล้ว เบญจขันธ์นี้จะเรียกว่าเป็นของเที่ยงไหม ตอบว่าไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตอบว่าเป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้นควรละหรือจะยึดเป็นตัวตน ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า
    อะไรเล่า เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ตัณหานั่นเอง ได้แก่
    กามตัณหา ความทะยานอยากเกี่ยวด้วยอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น
    ภวตัณหา ความทะยานอยากเป็นไปในอารมณ์ ๖ ประกอบด้วย สัสสตทิฏฐิ ถือว่าเที่ยงถาวร
    วิภวตัณหา ความทะยานอยากเป็นไปในอารมณ์ ๖ ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ ถือว่าขาดสูญ
    เมื่อละตัณหาได้ อุปาทานก็ไม่มี ดังจะยกอุทาหรณ์เทียบเคียงให้เห็น ดังเช่นสามีภรรยาที่หย่าขาดจากกัน เมื่อเขายังไม่หย่ากัน สามีไปทำอะไรเข้า ภรรยาก็เก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย หรือ เมื่อฝ่ายภรรยาไปทำอะไรเข้า ฝ่ายสามีก็เก็บเอามาเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย ถ้าว่าหย่าขาดกันแล้ว มิใยที่ฝ่ายใดจะไปก่อกรรมทำเข็ญขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่มีทุกข์ ไม่มีร้อนด้วยเลย
    ทั้งนี้ เพราะอะไร ก็เพราะเขาต่างหมดความยึดถือ (อุปาทาน) ว่าเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว นี่ ฉันใดก็ฉันนั้น
    นี่จะเห็นชัดในข้อที่ว่า ทุกข์เกิดจากอุปาทาน อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดูดดึงเข้ามา แต่ลำพังขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวทุกข์ ได้ในคำว่า ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา
    รวมความก็ว่า
    ปล่อยอุปาทานไม่ได้ เป็นทุกข์
    ปล่อยได้ หมดทุกข์
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    _______________
    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร

    _______________
    ที่มา
    เทศนาธรรมเรื่อง
    พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    ๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๘๘
    ถึง
    ๓ มีนาคม ๒๔๘๙
    _______________
    เพจ อมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    [​IMG]



    ดวงแก้วมณีในรัตนะ 7 นั้น อาราธนาเข้าจรดศูนย์กลางกาย แล้วกลั่นให้ใสจนสุดละเอียด แล้ว ปรากฏกายเหมือนเทวดาขึ้นมาในศูนย์กลางของดวงแก้วมณีนั้น จะเรียกว่ากายอะไร ? และให้คุณประโยชน์อย่างไรบ้างแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ?

    -------------------------------------------------------

    ตอบ:


    นั่นเรียกว่า จักรพรรดิ หรือ ภาคผู้เลี้ยง ผู้เป็นประธานรัตนะ 7 คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว แก้วมณี และแว่นแก้ว กล้องแก้ว และกายสิทธิ์ ผู้เป็นบริวารรัตนะ 7 อีกทีหนึ่ง

    สิ่งเหล่านี้ รู้เห็นได้ด้วยตาหรือญาณของพระธรรมกาย และมีคุณประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติธรรมตามที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) อธิบายไว้ มีปรากฏอยู่ในหนังสือมรรคผลพิสดาร ดังต่อไปนี้

    ภาคผู้เลี้ยง

    ที่เรียกว่า ผู้เลี้ยงมนุษย์นั้น คือพวกกายสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมีหน้าที่เลี้ยงดู และพิทักษ์รักษาพวกกายมนุษย์

    พวกกายสิทธิ์มี 3 ชั้น คือ จุลจักร 1 มหาจักร 1 บรมจักร 1 ทั้ง 3 ชั้นนี้มีกายสิทธิ์เป็นบริวารชั้นหนึ่งๆ นับหลายแสนหลายโกฏิอสงไขย มีหน้าที่ต่างกัน คือ

    1.จุลจักรพร้อมทั้งบริวาร มีหน้าที่เลี้ยงรักษามนุษย์ที่มีบารมีอย่างต่ำ
    2.มหาจักรพร้อมทั้งบริวาร มีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ที่มีบารมีชั้นกลาง
    3.บรมจักรพร้อมทั้งบริวาร มีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ที่มีบารมีชั้นสูง
    มนุษย์คนหนึ่งๆ มีจักรทั้ง 3 พร้อมทั้งบริวารชุดหนึ่งๆ เป็นผู้เลี้ยง และอาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาไปตามคราวๆ เป็นต้นว่า

    คราวใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขน้อย
    คราวใด มหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็มีสมบัติและความสุขมัชฌิมา
    คราวใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็มีสมบัติและความสุขบริบูรณ์ทุกประการ
    ไม่เลี้ยงรักษาแต่เฉพาะกายมนุษย์เท่านั้น สิ่งไม่มีวิญญาณก็สมบูรณ์เหมือนกัน ถึงแม้สมัยยุคของโลก ก็เลี้ยงทั่วไป เป็นสาธารณะเหมือนกัน

    ถ้ายุคใดสมัยใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขน้อย ทรัพย์สมบัติและอาชีพต่างๆ ก็อัตคัดกันดาร ไม่สมบูรณ์
    ถ้ายุคใดสมัยใด มหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขเป็นมัชฌิมา ทรัพย์สมบัติและเครื่องกินเครื่องใช้ก็พอปานกลาง ไม่ฟุ่มเฟือยนักและไม่กันดารนัก พอปานกลาง
    ถ้ายุคใดสมัยใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็บริบูรณ์ไปด้วยความสุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติ วิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ก็หาได้ง่าย มั่งคั่งสมบูรณ์ไปตามกัน ไม่เบียดเบียนกัน
    จักรทั้ง 3 กับบริวารที่กล่าวมานี้เฉพาะกายมนุษย์ ส่วนกายอื่นๆ ก็มีจักรทั้ง 3 กับบริวารเลี้ยงรักษา มีประจำสำหรับทุกกายไปตลอดจนกายสุดหยาบสุดละเอียดเท่านั้นเหมือนกัน ถ้าเลี้ยงรักษากายไหน รูปพรรณสัณฐานร่างกายก็เหมือนกายนั้น เช่น จักรเลี้ยงกายมนุษย์และกายทิพย์ เลี้ยงกายปฐมวิญญาณหยาบ เลี้ยงกายปฐมวิญญาณละเอียด เลี้ยงกายธรรมเป็นต้น ก็มีรูปพรรณสัณฐานร่างกายเหมือนกันกับกายนั้นๆ แต่ทว่าดีกว่า ใสสะอาดกว่า ละเอียดกว่ากายนั้นๆ ส่วนรูปร่างเหมือนกับกายที่เลี้ยงนั้น ตลอดจนกายสุดหยาบสุดละเอียด

    จักรทั้ง 3 นั้น เหตุไรจึงเรียกนามว่า จักร คือกายสิทธิ์เหล่านี้มีตัวอยู่ในดวงแก้ว ดวงแก้วนั้นเป็นบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยของเขา เหมือนมนุษย์อาศัยบ้านเรือนอยู่

    ภายในดวงแก้ว นั้นมีรัตนะ 7 คือแก้ว 7 ประการ ดังต่อไปนี้

    1.จักรแก้ว
    2.ช้างแก้ว
    3.ม้าแก้ว
    4.ดวงแก้วมณี
    5.นางแก้ว
    6.คฤหบดีแก้ว (ขุนคลังแก้ว)
    7.ขุนพลแก้ว
    ในแก้ว 7 ประการนี้ จักรแก้วเป็นใหญ่เป็นประธานในแก้ว 7 ประการทั้งหลายเหล่านั้น
    ในแก้ว 7 ประการนี้ จักรแก้วเป็นตัวอำนาจสิทธิ ให้สำเร็จอำนาจและกิจการน้อยใหญ่ ดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งปวง เพราะเหตุนี้แหละ จักรทั้ง 3 นั้น จึงได้นามว่า จักร

    ความต่างกันของจักรทั้ง 3 นั้น คือ

    1.จุลจักร เป็นดวงแก้วกลมใสสะอาดบริสุทธิ์ ประณีต มีฤทธิ์อำนาจและบริวารน้อยกว่าแก้วมหาจักร
    2.มหาจักร เป็นดวงแก้วกลมใสขาวสะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าจุลจักร
    3.บรมจักร เป็นดวงแก้วกลมใสขาวสะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าแก้วมหาจักร มีฤทธิ์อำนาจและบริวารมากกว่าจุลจักร และมหาจักร
    กายหนึ่งๆ ก็มีจุลจักร มหาจักร บรมจักร พร้อมทั้งบริวารชุดหนึ่งๆ เป็นผู้เลี้ยง มีประจำไปเช่นนี้ทุกกาย กายละพวกๆ จนสุดหยาบสุดละเอียด ผู้เลี้ยงก็มีไปจนสุดหยาบสุดละเอียดของกายผู้เลี้ยงเหมือนกัน

    ขนาดแก้วของจักรทั้ง 3 กับแก้วบริวาร คือ

    1.แก้วจุลจักรและบริวาร ขนาดตั้งแต่เล็กเท่าแววตาดำขึ้นไปจนถึงโตเท่าผลมะตูม หรือผลมะขวิด
    2.แก้วมหาจักรและบริวาร ขนาดผลตาลขึ้นไปจนถึงผลมะพร้าวแห้ง
    3.แก้วบรมจักรและบริวาร ขนาดตั้งแต่เท่าบาตรขึ้นไปจนถึงโตเท่าตะแกรงหรือเท่ากระด้ง
    พวกผู้เลี้ยงหรือเรียกว่า พวกกายสิทธิ์ ก็มีธาตุตายธรรมตาย เป็นต้นว่า ภพเป็นที่อยู่ เหมือนกับพวกมนุษย์เช่นเดียวกัน
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    การกำหนดลูกแก้วใสขึ้นในใจ ถ้าไม่สามารถเห็นเป็นลูกแก้วใสได้ จะสามารถใช้ลูกกลมสีขาวที่เกิดขึ้นในใจแทนการเห็นลูกแก้วใสได้หรือไม่ ?

    ตอบ:

    ได้  ใช้ได้เลย    เรื่องการกำหนดลูกแก้วหรือดวงแก้วนั้น   ถ้ากำหนดหรือเห็นได้เป็นดวงขาวที่ยังไม่ใส หรือนึกเห็นเป็นดวงแก้วใสก็ได้ หรือจะนึกเห็นพระพุทธรูปแก้วใสก็ได้

    แต่ที่ยังไม่ใสน่ะ เพราะใจยังไม่หยุดนิ่งเข้าไปที่กลางจุดเล็กใสที่กลางดวงขาวๆ ที่เห็นนั้น    ถ้าหยุดนิ่งสนิทเข้าไป ณ ภายในแล้ว   จุดเล็กใสตรงกลางดวงขาวนั้นจะขยายตัวเองออก   แล้วจะเห็นดวงใสสว่างปรากฏขึ้นมาเอง   

    ดวงขาวใช้ได้  เช่น ใครอาจจะติดใจลูกกอล์ฟ  อาจจะนึกเห็นลูกกอล์ฟก็ได้  ไม่เป็นไร    แต่ว่าเมื่อใจมันรวมลงหยุดนิ่งจริงๆ แล้ว  จะเห็นใสขึ้นมาเอง   แต่ในเบื้องต้นอาจจะต้องช่วยเล็กน้อย ด้วยการอธิษฐานขยายจุดเล็กใสตรงศูนย์กลางดวงใส หรือดวงที่เห็นขาวๆ นั้น   แล้วหยุดในหยุดกลางของหยุดนิ่งๆ กลางของกลางๆ นิ่งๆ เข้าไว้   เมื่อศูนย์กลางนั้นขยายออก ก็จะเห็นดวงใสสว่างปรากฏขึ้นมาเอง
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    ถาม---การกำหนดจุดกึ่งกลางของลูกแก้ว หรือลูกกลมสีขาว ถ้ากำหนดแล้ว เห็นเป็นจุดสีดำ หรือ จุดสีขาวมีขอบดำ จะเป็นการขัดต่อหลักของอาโลกกสิณ หรือไม่ ?

    --------------------------------------------------------------------


    ตอบ


    ถ้าใครนึกให้เห็นลูกแก้วหรือดวงแก้ว หรือดวงขาวแต่ยังไม่ใส แล้วเห็นจุดกึ่งกลางเป็นสีดำ หรือเห็นจุดสีขาวมีขอบสีดำ นี้ท่านเห็นเจตสิกธรรมคือธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตใจ ของจริงแล้ว ให้เข้าใจไว้ แต่เป็นธรรมชาติของจริงฝ่ายธรรมดำหรือภาคดำ ที่เรียกว่าอกุสลาธัมมา ธาตุธรรมดำนั้น กรณีที่เห็นนี้ เป็นได้ 2 ประการคือ


    ประการที่ 1 คือ เป็น “อวิชชา” เป็นอวิชชานิวรณ์ที่ห่อหุ้ม “ดวงรู้” ของผู้ที่เห็นนั้น ไม่ให้ขยายโตขึ้น

    ที่เรียกว่า “ใจ” นั้นประกอบด้วยดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด และดวงรู้ ซึ่งขยายส่วนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของนามขันธ์ 4 คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ที่ตั้งซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เข้าไป ณ ภายใน ตรงกลางธาตุละเอียดของรูปขันธ์ ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ

    ต้องใช้อุบายกำจัดเสีย คือถ้าเห็นจุดเป็นสีดำ ให้นึกอธิษฐานจิตละลายธาตุธรรมนั้นเสีย เสมือนหนึ่งว่าจุดเล็กใสนั้นถูกห่อหุ้มด้วยควันดำหรือว่าหมอกดำ หรืออะไรสีดำก็แล้วแต่ ที่เราต้องชำระล้างด้วยน้ำใส ล้างด้วยน้ำกรดใส สมมุติอย่างนั้น ให้ปรากฏเห็นใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรลูกหรือแก้วเจียรนัยที่ใสบริสุทธิ์ แล้วจึงจรดใจนิ่งลงไปที่กลางของกลางจุดเล็กใสนั้น นิ่งเฉยๆ อธิษฐานให้จุดเล็กใสนั้นขยายออก จะมีจุดเล็กใสขึ้นมาอีก แล้วก็นิ่งไปกลางจุดเล็กใสนั้น ขยายออกแล้วจะเห็นดวงใสสว่างปรากฏขึ้น

    แต่ถ้ายังเห็นสีดำอยู่อีก ให้อธิษฐานละลายธาตุธรรมดำนั้น จนกว่าจะเห็นใสขึ้นมา บางทีบางท่านอาจจะเห็นเหมือนกับมีน้ำชำระล้างดวงนั้นให้ใสขึ้นๆ ก็มี หรืออาจจะนึกเห็นจุดเล็กใสที่เห็นอยู่ลึกลงไปกว่านั้น แล้วให้กำหนดใจไปหยุดที่จุดเล็กใสนั้นขยายศูนย์กลางที่ใสออก มลทินคือความดำนั้นก็จะหายไป

    เรื่องนี้สำคัญมาก คุณหมอและทุกท่าน จงจำไว้เชียว ที่เห็นเป็นสีดำนั้นน่ะคือธรรมชาติฝ่ายธาตุธรรมดำ เรียกว่า “อกุสลาธัมมา” อันได้แก่ อวิชชา กิเลส ตัณหา เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นเป็นสีดำๆ ไม่ดำสนิทนัก หุ้ม “ดวงเห็น” เป็นปฏิฆานุสัย และที่หุ้ม “ดวงคิด” หรือจิตนั้นเป็นกามราคานุสัย และส่วน “อวิชชานิวรณ์” อันเกิด แต่อวิชชานุสัย ที่หุ้ม “ดวงรู้” อยู่ ไม่ให้ขยายโตเต็มธาตุเต็มธรรมได้ ก็เพราะเจตสิกธรรมคือ ธรรมชาติฝ่ายธรรมดำนี้แหละที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตใจ เป็นของจริงนะ ไม่ใช่ของปลอม เป็นตัว “สมุทัยสัจจะ” ทีเดียว

    ประการที่ 2 ทีนี้ คุณหมอเป็นนายแพทย์ต้องรู้ต่อไปอีก นี้นอกวิชาหมอละ ถ้าเห็นเป็นดวงดำสนิทเหมือนถ่าน ก็ให้พึงรู้เถอะว่านั่นเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ให้รีบกำจัดเสียอีกเช่นกัน แต่ถ้าเห็นเป็นดวงดำมันเลื่อมต้องรีบแก้ไข กำจัดดวงดำนั้นโดยพลัน ถ้าว่ายังไม่ใสก็ต้องเพียรกำจัดให้ใสทีเดียว ถ้ายังไม่ใสก็ไม่หยุดละ ต้องทำให้ใสให้ได้ เพราะเป็นตัว “ทุกขสัจจะ” กล่าวคือ

    ที่เห็นเป็นสีดำๆ แต่ไม่ดำสนิทนัก หุ้มเห็น-จำ-คิด-รู้ อยู่ นั้นคือ ปฏิฆานุสัย กามราคานุสัย และอวิชชานุสัย เป็นตัว “สมุทัยสัจจะ”
    แต่ถ้าเห็นเป็นดวงดำสนิทเหมือนถ่าน นั้นเป็น “ดวงเจ็บ” คือมีหรือกำลังจะมีโรคภัยไข้เจ็บ ให้รีบแก้ไขให้ผ่องใสเสีย
    ถ้าเห็นเป็นดวงดำมันเลื่อมเหมือนสีนิลละก็ นั่นเป็น “ดวงตาย” ถ้าดวงตายมาจรดนานซักระยะหนึ่ง ให้ดวงธรรมของมนุษย์ขาดจากของกายทิพย์แล้ว คนนั้นจะตายทันที นี่คือ “ทุกขสัจจะ” ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามที่รู้เห็นกันในวิชชาธรรมกาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละตัวทุกขสัจจะเลยทีเดียว



    เรื่องนี้สำคัญนัก ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านเจริญภาวนาแก้โรคภัยไข้เจ็บ ก็แก้ที่ธาตุละเอียดของธาตุน้ำ-ดิน-ไฟ-ลม ของผู้ป่วยนั่นเอง

    วิธีแรก ท่านสอนให้ผู้ที่ปฏิบัติถึงธรรมกายและเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้ ให้น้อมนำเอาธาตุธรรมของผู้ป่วยมาเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง พิสดารกายผ่านศูนย์กลางธาตุธรรมของผู้นั้น เพื่อชำระธาตุธรรมให้บริสุทธิ์ผ่องใสจากธาตุธรรมของภาคดำที่เขาสอดละเอียด “ดวงเจ็บ” และ/หรือ “ดวงตาย” อันเป็นวิบากคือผลของอกุศลกรรม ได้แก่ การทำปาณาติปาตแต่อดีตนั้นแหละเข้ามาในธาตุธรรมของคนไข้ให้เจ็บไข้ เมื่อชำระธาตุธรรมของคนไข้นั้นให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ โรคก็หาย ถ้าทำได้บริสุทธิ์บางส่วน เพราะเป็นกรรมหนัก ก็ผ่อนหนักเป็นเบา คือได้ผลเพียงแต่บรรเทาหรือชั่วคราว

    แต่ผู้ทำวิชชาแก้โรคผู้อื่นนี่ก็มีอัตราเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่งเหมือนกัน คือถ้าว่าชำระธาตุธรรมของเขาแล้ว ตัวเองไม่ชำระธาตุธรรมของตนเองให้บริสุทธิ์สุดละเอียดแล้ว มีโอกาสติดโรคนั้นด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาจะไม่แนะนำให้ใครไปแก้โรคถ้ายังไม่ได้วิชชาชั้นสูง

    มีอีกวิธีหนึ่ง ที่เขาทำวิชชาแก้โรค แทนที่จะเอาธาตุธรรมของผู้ป่วยนั้นมาที่ศูนย์กลางตน กลับอธิษฐานตั้งเครื่องธาตุธรรมจากตนไปสู่คนป่วย แล้วให้เครื่องธาตุธรรมนั้นเดินวิชชาให้ใส ในธาตุธรรมของผู้นั้น ถ้าทำได้หมดจดก็เป็นอันโรคหาย ถ้าทำได้เท่าไหร่ก็ได้ผลเท่านั้น

    เรื่องธาตุละเอียดของสัตว์โลกนี้ จะเล่ารายละเอียดให้ฟังพอเข้าใจว่า ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ตรงศูนย์กลางกายเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือนั้นเป็นที่ตั้งธาตุละเอียดของขันธ์ 5 คือธาตุละเอียดของ “รูปขันธ์” ประมาณเท่าเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร กลางรูปขันธ์จะมีธาตุละเอียดของ “นามขันธ์ 4” คือธาตุละเอียดของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ กลางของกลางของกันและกันเข้าไปข้างใน

    เฉพาะแต่ธาตุละเอียดของ “รูปขันธ์” ขยายส่วนหยาบออกมาเป็น “ดวงกาย“ ที่เรานั่งเจริญภาวนา เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วเห็นเป็นดวงใสนั่นแหละ ดวงกายดวงนั้นขยายส่วนหยาบมาจากรูปขันธ์ และภายในดวงกายนั้นยังมีธาตุละเอียดของมหาภูตรูป 4 คือ ธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม เป็นศูนย์เล็กๆ 4 ศูนย์ ลอยอยู่ในดวงธรรมนั้น ธาตุละเอียดของธาตุน้ำอยู่ส่วนหน้า ขวาธาตุดิน หลังธาตุไฟ ซ้ายธาตุลม ตรงกลางอากาศธาตุ กลางอากาศธาตุมีวิญญาณธาตุ

    วิญญาณธาตุนั้นซ้อนอยู่กลางของกลางที่สุดของนามขันธ์ 4 ซึ่งขยายส่วนหยาบ ออกมาเป็น เห็น จำ คิด รู้ รวมเรียกว่า “ใจ”

    แต่เฉพาะที่ว่า ธาตุละเอียดของมหาภูตรูป 4 คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม นั้น ทำหน้าที่ควบคุมของเหลว ส่วนที่หยาบแข็ง อุณหภูมิ และลมปราณที่ปรนเปรออยู่ในร่างกายให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะ แต่ละธาตุต่างทำหน้าที่คนละอย่าง ส่วนอากาศธาตุทำหน้าที่ควบคุมช่องว่างภายในร่างกายให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะ ธาตุทั้งหมดนั่นแหละที่เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นธาตุหยาบ คือ กายเนื้อนี่แหละ ที่โบราณท่านว่าธาตุแตกน่ะ หมายเอาธาตุละเอียด ณ ภายใน แตกคือคุมกันไม่ติด แล้วธาตุข้างนอกจึงแตกคือตาย เพราะ “ทุกขสัจจะ” อยู่ข้างใน เมื่อดวงตายมาจรดตรงกลางหัวต่อ คือระหว่างดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ให้ขาดจากดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายมนุษย์เมื่อไหร่แล้วเป็นอันได้เรื่องเลย

    การแก้โรค โดยวิธีวิชชาธรรมกาย มีหลักการอยู่ว่า ธาตุที่ขยายส่วนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของขันธ์ 5 นี้แหละ ถ้าเห็น จำ คิด รู้ คือ “ใจ” ของผู้ใดที่ส่งใจออกไปข้างนอก ไปยึดไปเกาะอารมณ์ คือรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส ทางกายภายนอก เสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง เป็นช่องทางให้กิเลส มีโลภะ ราคะ โทสะ โมหะ หรือตัณหาเข้าครอบงำจิตใจ ดลจิตดลใจให้ปฏิบัติตามอำนาจของมันแล้ว กิเลสนี้แหละจะเอิบ อาบ ซึมซาบปนเป็นและสะสมตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในธาตุละเอียดของกายโลกิยะทั้งหมด ทำให้ธาตุละเอียดฝ่ายรูปขันธ์อันมีธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม อากาศไม่สะอาดคือ เศร้าหมอง ฝ่ายนามขันธ์ จิตใจก็จะถูกสะสมด้วยกิเลส เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย ตกตะกอน นอนเนื่องอยู่ในจิตตสันดาน เรื่องที่พูดนี่เพียงส่วนเดียว ส่วนละเอียดมีกว่านี้

    ส่วนมหาภูตรูป 4 และอากาศธาตุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของธรรม 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบาป อกุศล เรียกว่า อกุสลาธัมมา ฝ่ายบุญกุศล เรียกว่า กุสลาธัมมา หรือฝ่ายกลางๆ เรียกว่า อัพยากตาธัมมา เมื่อกี้ได้กล่าวฝ่ายบาปอกุศลว่าเป็นธาตุธรรมภาคดำหรือฝ่ายชั่ว เมื่อปล่อยให้กิเลสดลจิตดลใจให้ประพฤติปฏิบัติตามอำนาจของมันแล้ว ธาตุละเอียดเหล่านั้นจะเศร้าหมอง ไม่สะอาด เพราะถูกเอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็นด้วยธาตุธรรมภาคดำ เมื่อธาตุละเอียดไม่สะอาด ความปรุงแต่งแห่งธาตุละเอียดให้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นกายเนื้อนี้ก็จะพลอยได้รับผล ชื่อว่า “วิบาก” ให้เป็นไปตามกรรมนั้นๆ 2 ประการคือ กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำเหตุหนุนให้ทำความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ หนักยิ่งขึ้นไปอีก เช่นว่า คนที่มักฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จิตใจก็จะเหี้ยมโหด ทารุณ เพราะกิเลสก็จะสะสมตกตะกอนนอนเนื่องเป็นอาสวะและก็อนุสัย มีปฏิฆานุสัยเป็นต้น หนาแน่นยิ่งๆ ขึ้นไปอีก นี้ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ทางฝ่ายธาตุที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนที่เป็นน้ำ เป็นของหยาบแข็ง เป็นอุณหภูมิ และเป็นลมปราณ ที่ปรนเปรออยู่ในร่างกายและช่องว่างในร่างกายวิปริต แปรปรวน จึงมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน และถ้าว่ากรรมนั้นหนักถึงเป็นอุปฆาตกรรม ก็อายุสั้น อาจจะด้วยอุบัติเหตุ หรือภัยพิบัติต่างๆ ตามเวรตามกรรม ของกรรมชั่วนั้น สัตว์หรือบุคคลที่ตนไปทำร้าย เบียดเบียนชีวิตของเขา ก็จะผูกเวรด้วยความเจ็บแค้น ให้เป็นเวรจากกรรมชั่วนั้นกลับมาสนองตอบตน

    เพราะฉะนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำ จึงสอนวิธีเจริญวิชชาธรรมกายแก้โรคด้วยการพิสดารกายตนเอง ชำระธาตุธรรมตนเองให้ใสเสียก่อน แล้วก็ซ้อนธาตุธรรมของคนไข้ให้ผ่องใสได้ แต่นี้เป็นวิธีการแก้โรคเพียงเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องสูงต่อไปยังมีอีก เพราะมีเหตุในเหตุไป ถึงต้นๆ เหตุ ที่จะต้องเก็บหรือชำระสะสางธาตุธรรมให้บริสุทธิ์ยิ่งกว่านี้ ซึ่งอาตมาจะยังไม่กล่าว ณ ที่นี้

    นี่แหละคือความวิเศษสุดของวิชชาธรรมกาย ที่ให้เข้าไปรู้ไปเห็นทั้ง “ทุกขสัจจะ” และ “สมุทัยสัจจะ” ที่เห็นดำๆ นั้นแหละ จึงให้ชำระเสียโดยพลัน ด้วยว่าเมื่อใครก็ตาม แม้ถึงธรรมกายแล้ว อาจจะเห็นธาตุธรรมปรากฏเป็นสีดำ เป็นสีเศร้าหมองหรือขุ่นมัวก็ให้พึงนึกเข้าไป หยุดนิ่งกลางของกลางจุดเล็กใส ในธาตุธรรมที่ใสละเอียดที่สุด ณ ภายใน ขยายออกแล้วพิสดาร หรือถ้าเห็นเป็นดวงก็หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของกลางๆๆ ดวงในดวงให้ปรากฏ ใสสว่างขึ้นมา คือหมายความว่าหยุดนิ่งไปกลางของกลางดวงที่ใส ถูกส่วนเข้าศูนย์กลางจะขยายออก ปรากฏดวงที่ใสใหม่ เราก็หยุดนิ่งไปกลางของกลางดวงที่ใสใหม่ กลางของกลางๆๆ เรื่อยไป จนใสแจ่มสุดละเอียด แล้วกายในกาย ณ ภายใน เริ่มตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดที่ผ่องใส ก็จะปรากฏขึ้นต่อๆ ไปจนถึงธรรมกายที่ผ่องใสสว่างมีรัศมีปรากฏยิ่งๆ ขึ้นไป เราก็ทับทวี ดับหยาบไปหาละเอียด เป็นกายในกายที่ละเอียดๆ ต่อๆ ไป หยุดในหยุด กลางของหยุดให้ใสละเอียดทั้งดวงทั้งกายและองค์ฌาน เป็นอันสบายใจได้ จิตใจก็จะผ่องใส เพราะทั้งมหาภูตรูป 4 คือ ธาตุน้ำ-ดำ-ไฟ-ลม และอากาศธาตุ ซึ่งขยายส่วนหยาบมาจากธาตุละเอียดของรูปขันธ์ และเห็น จำ คิด รู้ ที่ขยายส่วนหยาบมาจากธาตุละเอียดของนามขันธ์ 4 ก็จะผ่องใส ได้สบายทั้งใจ และก็สบายทั้งกาย

    นี้คือความวิเศษของวิชชาธรรมกาย ซึ่งมีวิธีปฏิบัติภาวนาที่เป็นตัวสติปัฏฐาน 4 แท้ๆ เพราะจุดมุ่งหมายของสติปัฏฐาน 4 คือ ให้มีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม

    ที่ให้เห็นธรรมในธรรมนั้นน่ะ ที่เห็นธาตุธรรมภาคดำ (อกุสลาธัมมา) จงทำให้มันขาว ให้มันผ่องใสจนกระทั่งใสละเอียด มีรัศมีปรากฏถึงกายธรรมเป็นฝ่ายบุญกุศล (กุสลาธัมมา) นี้เป็น ตัววัตถุประสงค์สำคัญของสติปัฏฐาน 4 ที่มุ่งให้ปฏิบัติภาวนาเพื่อให้ละหรือกำจัดธรรมดำ เพื่อยังธรรมขาวให้เจริญพิจารณาไปทั้งหมด กาย เวทนา จิต ธรรมนั้นแหละ เพื่อละกิเลสเหตุแห่งทุกข์ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจของเราก็ให้รู้ว่ามีกิเลสเกิดขึ้น นั่นคือให้มีสติพิจารณาเห็นจิตในจิต และก็เห็นธรรมในธรรม คือธรรมฝ่ายบาปอกุศล (อกุสลาธัมมา) เห็นแล้วไม่ใช่ให้เห็นเฉยๆ ต้องให้ชำระธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ คือ “ใจ” ดับหยาบไปหาละเอียดไปสู่สุดละเอียด ให้บริสุทธิ์ผ่องใสทั้งกายและใจ นี้เป็นตัววัตถุประสงค์เพื่อละธรรมดำและเพื่อยังธรรมขาวให้เจริญ ธรรมปฏิบัตินี้จึงเป็นความดีวิเศษอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่คุณหมอเห็นเป็นประสบการณ์จากธรรมชาติที่เป็นจริง พึงชำระธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ทุกเมื่อ มีคุณหมอหลายคนนะที่เป็นธรรมกายน่ะ ช่วยคนไข้ได้มากทีเดียว ที่รักษาตามวิชาแพทย์ก็ทำไป ที่ช่วยแก้ไขด้วยวิชชาธรรมกายก็ทำประกอบกันไป

    และต้องไม่ลืมว่า ต้องให้คนไข้นั้นแหละเจริญภาวนาตามแบบวิชชาธรรมกายนี้ช่วยตนเอง จะได้ผลมาก ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นผู้คนก็จะคอยแต่ขอให้ช่วยฝ่ายเดียว ไม่รู้จักปฏิบัติภาวนาช่วยตัวเอง และเห็นมามากต่อมากว่า ถึงวิชชาธรรมกายจะช่วยเขาได้โสดหนึ่ง แต่เมื่อเขาหายแล้ว ก็จะไม่เห็นคุณค่าของธรรม จะสังเกตได้ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้เห็นคุณค่าของธรรมและสนใจปฏิบัติภาวนาธรรมอยู่แล้ว มากต่อมากจะไม่สนใจมาเข้ารับการศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยตนเองเลย เรียกว่า ไม่เดือดร้อนก็ไม่เข้าหาพระ ไม่เห็นโลงก็ยังไม่หลั่งน้ำตา เพราะเอาแต่ประมาท หลงมัวเมาในกามสุข กล่าวคือในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย หลงในลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ และโลกิยสุข หาแก่นสารสาระ มิได้ เอาเป็นที่พึ่งที่แท้ถาวรก็ไม่ได้ หลงรับใช้มารจนลืมความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ และลืมความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตนอยู่ทุกขณะ โดยที่แม้กระทั่งจะตายก็ยังไม่รู้จัก ไม่ใฝ่หาที่พึ่งอันประเสริฐแท้ๆ แก่ตนเอง น่าสงสารแท้ๆ
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    พิสูจน์วิชชาฯ ยามเข้าที่คับขัน


    ****เล่าโดย
    สร้อยเพชร

    ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ ดิฉันขับรถกลับจากโรงพยาบาล หลังจากไปเยี่ยมคุณพ่อซึ่งป่วยอยู่
    ขณะนั้นโพล้เพล้ใกล้พลบค่ำ ผู้คนสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน เพราะต่างกำลังกลับบ้าน
    ดิฉันขับรถไปเฉี่ยวเด็กคนหนึ่ง อายุประมาณ ๗ ขวบ
    หกล้มลงไป และ ร้องไห้จ้า...ด้วยความตกใจ

    ตำรวจได้พาเด็กเข้าโรงพยาบาล
    เอ็กซเรย์ เช็คสมองและส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
    ปรากฏว่า ไม่เป็นอะไรเลย แม้แต่รอยช้ำ

    แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันต้องพาเด็กไปที่โรงพัก ตามคำสั่งของตำรวจจราจร
    พ่อแม่และยายของเด็ก มาคอยรอรับที่โรงพักอยู่แล้ว
    ดิฉันได้มอบเงินค่าทำขวัญ ให้พ่อแม่ของเด็กจำนวนหนึ่ง
    ...เรื่องจึงตกลงกันด้วยดี
    พ่อแม่ก็พาเด็กกลับบ้านไปแล้ว

    แต่นายร้อยเวร...ไม่ยอมให้เรื่องยุติ
    เดินอกผาย ไหล่ผึ่ง ท้องตึง หน้าเงย กล้ามเนื้อพอง
    ตะโกนเสียงดังลั่นโรงพัก ราวกับว่าดิฉันได้กระทำผิดร้ายแรง
    ท่านคงเห็นว่า เป็นรายการ “หมูวิ่งเข้าชนปังตอ”
    จะปล่อยไป...ย่อมผิดธรรมเนียม

    ท่านพูดจาวกวน น่าปวดหัว
    การที่ท่านพูดเช่นนี้ ดิฉันรู้ว่าท่านกำลังหิว ... “หิวเงิน” นะคะ
    ดิฉันก็แกล้งทำหน้าเซ่อ ไม่รู้เรื่อง
    เสียงนายร้อยตรี...เริ่มดังคับห้องขึ้นไปอีก

    ท่านบอกว่า
    “คุณเป็นใหญ่มาจากไหน ผมไม่กลัวคุณ
    ผมจะเอาคุณขึ้นศาลให้ได้ คุณน่ะเป็นข้าราชการนะ
    ถ้าขึ้นศาล เรื่องจะถูกบันทึกในประวัติ จะเสื่อมเสียแก่ตนเอง”

    ดิฉันได้แต่คิดในใจว่า
    “จะบ้าหรือยังไง ดิฉันไม่ได้พูดซักคำว่าใหญ่หรือเล็ก หรือพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว”
    ดิฉันรู้ดีว่า คำพูดของเขานั้น...ส่อเจตนาไม่ดี
    ดิฉันยอมไม่ได้ ดิฉันจะยอมขึ้นศาล

    เวลานี้ตระหนักดีว่า ... “ภัย” มาถึงตัวแล้ว
    และเรากำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
    ถ้าจะพูดจารุนแรงโต้ตอบก็จะเป็นการทะเลาะ ซึ่งเราจะเสียประโยชน์

    ดิฉันจึงบอกนายร้อยตรีนั่นว่า “ยินดีที่จะขึ้นศาล”
    เพราเรื่องต่าง ๆที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอุบัติเหตุ
    ดิฉันก็เป็นพลเมืองดีมาตลอด ก็จะขอทำไปตามกฎหมายบ้านเมือง

    เรื่องดูจะ...ไม่ยุติง่าย ๆ ภัยมาถึงตัวแล้ว
    เวลานี้ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” เท่านั้น...ที่จะช่วยลูกได้

    นึกถึงคำพูดของ คุณพี่ตรีธา เนียมขำ (นายกสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ) ที่เคยกล่าวว่า
    “คนที่ปฏิบัติถึงธรรมกาย จะเกิดบุญฤทธิ์ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง
    เปรียบเสมือนตัวบุ้ง ที่มีพิษในตัว
    ใครคิดร้าย...มาจับต้องทำลาย ก็จะปวดแสบปวดร้อน
    โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเขาเลย”

    และพี่ตรีธา ยังบอกไว้ว่า
    “ถ้าเราสู้...เราอาจแพ้ อาจชนะ
    ถ้าเราถอย...เราแพ้ตลอด
    ถ้าหยุด...เราชนะตลอด”

    ดิฉันนึกถึงคำพูดนี้ จึงได้ลอง “วิชชา” ดู
    ดิฉันกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ ที่ “ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗” จนเกิดความสว่าง ใสสะอาด
    แล้ว “ทำวิชชา” ตามที่คุณพี่ตรีธา...ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชชาให้

    เสียงคุณพี่ตรีธา เวลาบอก “วิชชา” ... ยังดังก้องอยู่ในหู
    ดิฉันพยายามดิ่งไปตามนั้น
    ได้ดึงเอา “กายใน” ของนายร้อยตรีนั้น...เข้ามาในศูนย์กลางกาย
    แล้วล้างสายธาตุธรรมที่สกปรก...ให้สะอาด

    ในขณะที่นายร้อยตรี กำลังเสแสร้งที่จะลงบันทึกประจำวันตามคำขู่ของตน
    ซึ่งเป็นเวลาที่ดิฉันทำสมาธิ...จนสุดละเอียด
    ภายในฐานที่ ๗ ... สว่างไปหมด

    นายร้อยตรี...หยุดกึก
    มือที่กำลังเขียน...ก็หยุดลง
    ปากกาสั่น มือสั่น...จนเขียนหนังสือไม่ได้
    ท่าทางที่ผยอง...ก็ห่อเหี่ยวลงฉับพลัน

    เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองดิฉันอย่างตะลึง แล้วหยุดนิ่ง
    อาการเหมือนกับตกใจ...กลัวอะไรบางอย่าง
    พูดด้วยเสียงละล่ำละลักว่า
    “เอาละ เอาละ ผมจะปล่อยคุณไป
    ผมไม่กลัวคุณ ผมไม่กลัวคุณ...แต่ผมจะปล่อยคุณไป”

    แล้วก็เชิญให้ดิฉันกลับบ้านได้...โล่งอกไปที
    ถ้าไม่ใช่ “อานุภาพวิชชาธรรมกาย” เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ

    เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
    วิชชาธรรมกาย ... เป็นวิชชาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ มีบุญฤทธิ์ในตนเอง
    ถ้ามีคนคิดร้ายต่อธรรมกาย (ที่บริสุทธิ์) *** คนผู้นั้น ... จะแพ้ภัยตนเอง
    วิชชาธรรมกาย ... จึงเปรียบเสมือนเกราะแก้ว กำบังภัยให้แก่เรา


    *** เรียบเรียงบางตอนจาก
    หนังสือ บารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    เนื่องในงานสมโชชนมายุครบ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำ (พระมงคลเทพมุนี)********************************************



    หมายเหตุ ข้าพเจ้านายดาบหัก ผู้นำมาโพส เน้นคำว่า "" ธรรมกาย ที่บริสุทธิ์

    หมายความว่า ตราบใดที่ยังตัดสังโยชน์ไม่ขาดเป็นพระอริยะ

    ให้ทรงความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ เป็นศีล เป็นธรรมเอาไว้

    และใช้ญาณพระธรรมกายเพื่อเจริญวิปัสสนากำจัดกิเลสสังโยชน์เบื้องสูงต่อไป


    ไม่เช่นนั้นแล้ว หากท่านทำพลาด ศีลขาด ปล่อยให้อกุศลครอบงำ
    ธรรมกายที่บริสุทธิ์จะดับไป ถูกอกุศลธรรมอื่นมาแทนที่

    แม้มีอำนาจจิต ก็รังแต่จะนำไปสู่ทางที่ไม่ใช่เพื่อทางพ้นทุกข์
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    [​IMG]




    ผู้ปฏิบัติภาวนาที่ได้ถึงธรรมกายเเล้ว
    จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงที่สุด (บรรลุ มรรค ผล นิพพาน) แล้วหรือ ?

    โดย
    พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
    รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ






    ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึง "ธรรมกาย" เเล้ว
    ตราบใดที่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก)
    เบื้องต่ำอย่างน้อย ๓ ประการ (คือ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาส) ได้โดยเด็ดขาด

    ตราบนั้นก็ยังมิได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็น "พระอริยบุคคล"
    จึงยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ได้(บรรลุ)ถึงที่สุดเเล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    ผู้สอนภาวนาตามเเนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
    ได้กล่าวถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย
    เเต่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย ๓ ประการได้ ดังกล่าวเเล้วว่า
    "ยังจัดเป็นเเต่เพียง โคตรภูบุคคล"

    ซึ่งท่านอุปมาว่า.....
    เสมือนหนึ่งว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่ง ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน
    ส่วนขาอีกข้างหนึ่ง ยังยืนอยู่ในภพสาม

    กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ถึงธรรมกายเเล้วนั้น ก้าวหน้าต่อไป
    คือ ปฏิบัติภาวนาต่อไปอีกจนสามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำ
    อย่างน้อย ๓ ประการนั้น ..... ได้โดยเด็ดขาด
    ก็ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็น "พระอริยบุคคล" ... ตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

    เเต่หากว่าผู้ที่เคยปฏิบัติได้ถึง "ธรรมกาย" เเล้ว
    ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะของการก้าวถอยหลัง กลับคืนมาสู่โลก (ภพสาม)
    ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำ เหตุหนุน

    จนธรรมสัญญาขาดจากใจ เเละธรรมกายดับลงเมื่อใด
    บุคคลผู้นั้นก็กลับเป็นปุถุชนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส เเละมีสิทธิ์ถึงทุคติได้เมื่อนั้น


    *** ที่มา หนังสืออานุภาพธรรมกาย
    จัดพิมพ์โดย มูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ กรุงเทพ
    พิมพ์เมื่อ พุทธศักราช ๒๕๒๗
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    ทำไมบางทีลืมตาจึงเห็นดวงแก้วหรือองค์พระชัดกว่าหลับตา ?


    ตอบ:

    เป็นธรรมชาติของใจ (เห็น จำ คิด รู้) ที่เมื่อตกไปยังศูนย์กลางกายฐานที่ 6 แล้ว ใจดวงใหม่ก็จะปรากฏลอยขึ้นมาหยุดนิ่ง ณ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เพื่อทำหน้าที่ต่อไปนั้น ตาจะเหลือบกลับเองโดยอัตโนมัติ เช่นเมื่อเวลาสัตว์จะมาเกิด คือมาตั้งปฏิสนธิวิญญาณที่ขั้วมดลูกของมารดา ตาของทั้งบิดาและมารดาก็จะเหลือบกลับเอง เพราะใจตกศูนย์ และแม้เวลาที่สัตว์จะ ดับ (ตาย) จะหลับ จะตื่น และแม้เวลาที่ใจจะหยุดนิ่งสนิท เป็นสมาธิแนบแน่นตรงศูนย์กลางกาย แล้วก็ตกศูนย์ไปยังศูนย์กลางกายฐานที่ 6 และปรากฏลอยเด่นขึ้นมาใหม่ยังศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นั้น ตาของสัตว์หรือบุคคลนั้นก็เหลือบกลับเองโดยอัตโนมัติ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก คนส่วนมากจะไม่เคยได้สังเกตเห็น ให้สังเกตดูตัวอย่างเด็กทารกเวลาที่เธอนอนหลับ ใจกำลังตกศูนย์นั้น จะเห็นตาของเธอเหลือบกลับเหมือนคนที่กำลังชักจะตาย พ่อแม่บางคนเมื่อเห็นถึงกับตกใจนึกว่าลูกตนกำลังชัก แต่แท้ที่จริงเธอกำลังนอนหลับปุ๋ยสบาย

    โดยเหตุนี้แหละ เวลาที่ผู้ปฏิบัติภาวนาสมาธิ หลับตาโดยเม้มเปลือกตาให้ปิดแน่นสนิทมากๆ เพราะความที่ตั้งใจมาก และไม่ทราบกลอุบายนี้ จึงไม่เอื้ออำนวยให้ตาเหลือบกลับเองได้สะดวกตามธรรมชาติในเวลาที่ใจจะเป็นสมาธิ ใจจึงพร่าไม่สามารถรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน (เอกัคคตารมณ์) ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ได้สนิท จึงเห็นเป็นแต่ความมืดหรือเห็นไม่ชัดโดยธรรมชาติ นี้แหละ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงแนะนำเวลาฝึกเจริญภาวนาสมาธิในเบื้องต้นว่า ให้เหลือบตากลับ เพื่อให้ใจอันประกอบด้วย ความเห็น (ด้วยใจ) จำ คิด รู้ ที่มักจะพล่านออกไปยึดไปเกาะอารมณ์ภายนอกนั้นกลับไปข้างหลัง แล้วก็ให้กลับเข้าข้างในไป หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายได้โดยง่าย

    ส่วนว่า ผู้ปฏิบัติภาวนาสมาธิที่ปิดเปลือกตาเบาๆ แต่พอให้ใจเป็นอิสระ คือไม่เห็น และยึดเกาะอยู่กับรูปหรืออารมณ์ภายนอก และพอให้ตาเหลือบกลับเองได้โดยสะดวก ใจจึงสามารถรวมลงหยุดอยู่ในอารมณ์เดียว ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นั้นได้โดยง่าย และเมื่อหยุดในหยุดกลางของหยุดนิ่งลงไปที่กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมตรงศูนย์กลางฐานที่ 7 นั้น ก็จะสามารถเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายได้เร็วและชัดกว่าการปิดเปลือกตาอย่างแน่นสนิท

    เพราะฉะนั้น ผู้ลืมตานิดๆ แค่พอประมาณ หรือแม้ผู้เดินจงกรม เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ และลืมตามองลงชั่วแอก เจริญภาวนา จิตจึงเป็นสมาธิได้เร็ว และสามารถเห็นดวงธรรมในธรรม และกายในกายได้เร็วและชัดกว่าการปิดเปลือกตาที่แน่นสนิท เพราะกดเปลือกตาจนเกินไป



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    * พระพุทธรูปหินดำ ?
    เป็นที่ทราบกันดีจาก “วิชชาธรรมกาย” ว่า ...
    วัตถุที่ไม่สะอาด ที่ไม่บริสุทธิ์มากๆ
    เช่น วัตถุธาตุดำ หรือวัตถุที่มีวัตถุธาตุดำปนเป็นอยู่มาก
    ได้แก่ หินดำ, นิล, พลอยดำ
    หรือ หินรัตนชาติที่มีวัตถุที่ไม่บริสุทธิ์ปนอยู่มาก เป็นต้น
    เหล่านี้ไม่ควรใช้สร้างอุทเทสิกเจดีย์ คือ พระพุทธปฏิมา
    หรือนิมิตเครื่องหมายแทนพระรัตนตรัยเลย
    เพราะวัตถุที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนั้น
    เป็นที่สถิตอยู่ของ “กายสิทธิ์ภาคดำ”
    เป็นกำลังของภาคมาร คือเป็นกำลังของฝ่ายบาปอกุศล
    แม้จะทำวิชชาสะสางธาตุธรรม ให้กลับบริสุทธิ์ขึ้น
    ... ก็สำเร็จเป็นความบริสุทธิ์ที่ถาวรได้ยาก
    โดยนัยนี้จึงมักให้โทษ ... มากกว่าคุณ
    และจะเป็นกำลังให้แก่ภาคมารเขาแกร่งขึ้น
    คือ พวกมิจฉาทิฏฐิ จะมีกำลังกล้าแข็งขึ้น
    ให้สังเกตดูว่า
    วัดใดมีพระพุทธรูปที่ทำด้วย "วัตถุธาตุดำ" องค์ใหญ่
    หรือมีจำนวนมากๆ
    เช่นทำด้วย "หินดำ"
    หรือทำด้วยวัตถุธาตุที่ไม่บริสุทธิ์อย่างอื่น
    มักจะมีปัญหามาก และจะเสื่อมเร็ว
    และให้สังเกตดูว่า
    ดินแดน หรือประเทศชาติ หรือหมู่ชนใด
    ที่มีวัตถุธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ หรือ "วัตถุธาตุดำ"
    เช่นมี “หินดำ” เป็นที่สักการบูชา
    หรือมีอยู่ในครอบครอง
    ก็จะมีปัญหามาก
    เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ ผู้มากไปด้วยโลภะ ตัณหา ราคะ โทสะ พยาบาท และโมหะ
    จะมีกำลังกล้าแข็งมาก ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ
    ได้แก่ ให้เกิดความไม่สงบสุข
    และให้เกิดความทุกข์เดือดร้อนได้มาก
    และจะประสบกับ ...
    "เหตุวิบัติ" คือ ความเสื่อมหรือฉิบหายต่างๆ
    "ปาปศักดิ์สิทธิ์" ด้วยผลของกรรมตัดรอน
    "ภัยพิบัติ" ต่างๆ
    "ภัยสงคราม" หรือการรบราฆ่าฟันกันมากและบ่อย
    "ภัยธรรมชาติ" ได้แก่ ...
    'วาตภัย' คือ ภัยจากลม
    'อุทกภัย' คือ ภัยจากน้ำท่วม
    'อัคคีภัย' คือ ภัยจากไฟไหม้
    'พยาธิภัย' คือ ภัยจากโรคระบาด หรือโรคติดต่อร้ายแรง
    'ทุพภิกขภัย' คือ ภัยจากการขาดแคลนอาหาร
    เกิดข้าวยากหมากแพง จากฝนฟ้าแห้งแล้ง เป็นต้น
    เพราะเหตุนี้
    ผู้รู้จึงไม่นิยมสร้าง "อุทเทสิกเจดีย์"
    ด้วยวัตถุธาตุที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์
    หรือด้วย "วัตถุธาตุดำ" เช่น นิล, พลอยดำ, หินดำ
    หินแกรนิตที่มีวัตถุธาตุดำปนเป็นอยู่มาก เหล่านี้เป็นต้น
    ทั้งไม่นิยมมีไว้ในครอบครอง
    และทั้งไม่นิยมใช้เป็นนิมิต
    ในการเจริญสมาธิภาวนาอีกด้วย
    แม้ในพระวินัยพุทธบัญญัติ ก็ทรงห้ามวัตถุธาตุดำล้วน.
    * หลวงป๋า
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    เรื่องเล่าจากศิษย์รุ่นเก่า"หลวงพ่อวัดปากน้ำ"

    เป็นเรื่องราวของบุคคล ที่เจริญวิชชาตั้งแต่หลวงปู่สดยังทรงกายเนื้อ
    มีทั้งผู้เจริญวิชชาโดยตรงร่วมกับท่าน จำนวนมากหลายท่านยังมีชีวิตอยู่

    พยานบุคคลสำคัญ ที่ไม่ใช่แต่งเติม และไม่ใช่ตีความเอาใจ(เอากิเลสส่วนตัว)เป็นที่ตั้ง

    ............

    ( มีต่อ )
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    บันทึกของศิษย์ฆราวาสหญิงคนหนึ่ง ของหลวงพ่อสด .....

    คำนำ -ปก





    ยี่สิบเก้าปีที่ล่วงผ่าน
    คือช่วงกาลหลวงพ่อป้องรักษา
    ให้ลูกนี้มีชีพยืนยาวมา
    งามสง่าด้วยธรรมน่านิยม

    ความศรัทธาอันลึกล้ำ
    เป็นสายน้ำช่วยพร่างพรม
    ลูกจึงอยู่สู้แดดลม
    แข็งแกร่งสมเป็นลูกหลวงพ่อเรา

    จากวันนั้นถึงวันนี้หลายปีแล้ว
    เจ้าไม้แก้วเติบใหญ่กิ่งใบหนา
    ผลไม้ดกนกชุมได้พึ่งพา
    ให้สมค่าที่หลวงพ่อเฝ้าขัดเกลา




    เครดิต นวกาพรหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2016
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    หน้าที่สอง






    In you my life become pure gift.





    มกราคม 2519

    ความเจ็บปวดแผ่ขยายจากหัวใจไปถึงไหล่และไปทั่วทั้งตัว
    จนกระทั่งศีรษะก็รู้สึกว่าเส้นผมจะร่วงหลุดออกมาทุกเส้น

    "ทนไม่ไหวแล้ว"

    ข้าพเจ้าเจ็บจนขาดใจทันที

    พลันร่างหนึ่งก็หลุดกระเด็นออกจากกายที่เจ็บปวดนั้น
    อาการทุกข์เวทนาทรมานหายสิ้นเป็นปลิดทิ้ง
    เห็นพระสงฆ์ 1 รูปและแม่ชี 1 รูป ยืนอยู่ที่ปลายเตียงคนไข้
    ความรู้สึกว่าข้าพเจ้าจะต้องเดินตามเขาไป
    จึงเดินตามไปได้สักระยะหนึ่ง เสียงร่ำไห้ปิ่มว่าใจจะขาด
    ของคุณแม่ลอยมา ข้าพเจ้าจึงหันหลังกลับไปมอง
    เห็นคุณแม่ร้องไห้อย่างหนักจนตาบวม สงสารแม่มาก!!!

    "ท่านเจ้าคะ...หนูไม่ไปด้วย หนูขอกลับไปหาแม่ก่อน"

    ว่าแล้วข้าพเจ้าก็หันหลังเดินกลับมา ปรากฏกายข้างเตียงคนไข้
    ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงนอนซ้อนร่างลงกับร่างของตนเอง
    รู้สึกตัวเห็นหมอและพยาบาลกำลังช่วยชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ชุลมุน
    นี่ !!! ข้าพเจ้าขาดใจเพราะหัวใจวายอีกครั้งเหมือนเมื่อวาน
    และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้ซ้ำอีก ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
    อย่างมาก

    "แม่จ๋า.....อย่าร้องไห้เลย ลูกไปไม่ได้ ลูกทรมานมาก
    ให้ลูกไปเถอะ"

    นี่เองที่โบราณว่า อย่าร้องไห้น้ำตาถูกผู้ตาย
    จะเป็นห่วง เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    กุมภาพันธ์ 2519

    อาการโรคหัวใจกำเริบหนัก ข้าพเจ้ารอการผ่าตัดในเดือน
    พฤกษภาคมที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะรอ
    ได้ อาการทรุดลง ๆขณะที่ข้าพเจ้าและครอบครัวเริ่มหมดหวัง
    นายแพทย์ชลิต........ศัลย์แพทย์ผ่าตัดหัวใจระดับทอปเทน
    ของโลกกลับมาเยี่ยมบ้านความมีชื่อเสียงของท่าน ทำให้
    หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์นำเกียรติประวัติและผลงานออกสู่
    มวลชน

    คุณพ่อข้าพเจ้าจึงรีบไปติดต่อขอความช่วยเหลือ
    ท่านและคณะจะผ่าตัดหัวใจให้ที่โรงพยาบาลวชิระ
    เพราะท่านมาเปิดแผนกผ่าตัดหัวใจให้กับคณะที่โรงพยาบาลแห่งนี้

    หนึ่งวันก่อนผ่าตัด.......รุ่นพี่ธรรมศาสตร์มาเยี่ยมและอาสา
    จะพาไปรักษาโรคด้วยวิชชาธรรมกายโดยไม่ต้องผ่าตัด
    ข้าพเจ้าหัวเราะเพราะไม่เชื่อเรื่องศาสนา ได้แต่รับ
    พระผงวัดปากน้ำรุ่นหนึ่ง ที่เพื่อนรุ่นพี่มอบให้
    ข้าพเจ้าสอดไว้ใต้หมอนคนไข้อย่างคนไม่รู้คุณค่า

    หลังการผ่าตัดข้าพเจ้ายังไม่ได้สติสามวันสามคืน ในความรู้สึกเห็น
    ร่างหนึ่งของตนลอยซ้อนร่างจริงที่นอนต่อสายระโยงระยาง

    อยู่ในเตียงคนไข้หนัก ร่างนั้นเบาบางมาก พนมมือ
    มีเสียงสวดมนต์ห่อหุ้มร่างกาย
    กระแสพุทธานุภาพไหลหลั่งไปทั่ว
    เย็นชุ่มฉ่ำ สบายกาย สบายใจ
    และมีหลวงพ่อแก่ ๆ รูปหนึ่ง ยืนมองด้วยสายตาที่เมตตายิ่ง
    ในใจข้าพเจ้าสวดมนต์ตามเสียงมนต์เหล่านั้น
    ทั้ง ๆ ที่ตัวจริงของข้าพเจ้าไม่เคยสวดมนต์
    และสวดมนต์ไม่เป็น
    ช่างสุขกาย สุขใจจริงหนอ

    และยังเห็นคุณแม่แอบมองอยู่ที่ช่องกระจกหน้าประตูห้อง

    (กรณีเสียงมนต์ที่มีคุณานุภาพดับทุกข์เวทนาและโรคภัยไข้เจ็บ
    ขณะที่ข้าพเจ้านอนพักฟื้นในห้องคนไข้ จะสามารถรับมนต์
    ที่ผู้คนสวดทำวัตรเช้า วัตรเย็น ทั้งมนต์จีน และมนต์ไทย
    ทำให้ข้าพเจ้าประจักษ์ถึง ผู้ใดต้องกระแสมนต์ กระแสบุญที่บุคคล
    กระทำและอุทิศแผ่เมตตา สามารถโปรดสิ้นสรรพสัตว์ทุกตัวตน
    ดังนั้นเมื่อภายหลังข้าพเจ้ามีสำนักของตนเอง จึงจัดการปฏิบัติ
    มีการสวดมนต์ทั้งมนต์จีนและมนต์ไทย ปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทาน
    และบำเพ็ญภาวนา และขาดเสียไม่ได้ คือการแผ่เมตตาว่า...
    ผู้ใดต้องกระแสมนต์ กระแสบุญ โปรดสิ้นสรรพสัตว์ทุกตัวตน)

    วันที่สี่หลังการผ่าตัด ข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นอยู่ในห้องพักคนไข้
    ห้องพิเศษมองไปทั่วห้องไม่เห็นใครสักคนเพราะยังเช้าตรู่อยู่
    จึงลุกขึ้นกายเบาดุจนุ่น ออกจากห้องพักลงลิฟท์ไปเดินเล่นที่
    สวนของโรงพยาบาลสักครู่ได้ยินเสียงคุณหมอที่ผ่าตัดข้าพเจ้า
    ขับรถเข้ามาเห็นข้าพเจ้าเดินเล่นตามลำพัง จึงเอะอะร้องเรียก
    พยาบาลเอารถเข็นมาบังคับข้าพเจ้ากลับเข้าห้องพัก จึงทราบ
    ว่า......เขายังไม่อนุญาตให้ลุกเดินไกล ๆ เพราะกระดูกซี่โครง
    หน้าอกทั้งแผงที่เลาะออกเวลาผ่าตัด บัดนี้ถูกเย็บด้วยลวด
    กระดูกยังไม่ประสานกัน ต้องระมัดระวังอย่าไปกระเทือนถูก
    ข้าพเจ้ารู้สึกสบายดี ไม่เจ็บแผลผ่าตัดที่ยาวร้อยกว่าเข็ม
    ไม่ต้องฉีดยา กินยาอย่างไร สุขกาย สุขใจ

    ไม่รู้หลวงพ่อที่ไหนมามองข้าพเจ้าทุกครั้งที่หลับตาลง !!!

    เมื่อเพื่อนรุ่นพี่มาเยี่ยม จึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
    เขารีบกลับบ้านไปเอาหนังสือพระมามากมายให้ข้าพเจ้าดู
    โอ..พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    (สด จนทฺสโร)ข้าพเจ้าปีติจนน้ำตาไหล หลวงพ่อมาโปรด
    มารักษา มาต่อชีวิตให้

    ใครหนอ.......ที่ส่งนายแพทย์ฝีมือเยี่ยมมาผ่าตัดหัวใจให้โดยเฉพาะ
    แล้วเขาก็เดินทางกลับสู่สหรัฐอเมริกา

    ใครหนอ.......ที่เฝ้ามองด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความ
    เมตตาปราณี

    เสียงเหล่าใดเล่า....ที่เฝ้าสวดมนต์ห่อหุ้มกายให้เย็นสบาย
    และแข็งแรงไม่เจ็บ ไม่ปวด และกลับบ้านได้ในหนึ่งสัปดาห์
    หลังผ่าตัด

    ลูกคนนี้มากราบอยู่หน้าหีบทองของหลวงพ่อ.......แล้ว

    ลูกขออาราธนาหลวงพ่อโปรดคุ้มครองปกปักรักษาลูกตลอด
    กาลนาน

    ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) (สด จนทฺสโร)
    ซึ่งข้าพเจ้าถึงว่า..เป็นที่พึ่งกำจัดโรคได้จริง ด้วยสักการะนี้





    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    บทที่สอง



    Guide me along the darkness of the night.2520




    อีกสองวันแล้วสินะที่จะถึงวันแต่งงาน ขณะที่นั่งอ่านหนังสือ
    อยู่ที่โต๊ะพลันรู้สึกตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ เห็นพระภิกษุสงฆ์
    3 รูปเหาะผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน มายืนอยู่
    เบื้องหน้าข้าพเจ้าแล้วโบกมือไปมา ว่า........

    "อย่าแต่งงาน เรือถึงฝั่งแล้วพายกลับทำไม ? "

    ข้าพเจ้าโต้กลับไปว่า "จะแต่ง"

    "ห้ามไม่เชื่อ จงจำไว้ !! เมื่อมีทุกข์จงนึกถึงพระ"

    "ทำไม ท่านเป็นใคร?" ข้าพเจ้าถามอย่างงุนงง

    "เราคือพี่น้องกัน พระจะมาช่วย
    จงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม
    ความดีจะเอาชนะทุกสิ่ง จำไว้ให้ดี"

    เสียงสำทับก้องกังวานจนข้าพเจ้าสะดุ้งรู้สึกตัวทันที
    เอ๊ะ!! ข้าพเจ้าไม่ได้หลับ ทำไมจึงเห็นเช่นนี้ แปลกมาก
    ตลอดทั้งเดือนก่อนแต่งงาน ทุกคืนข้าพเจ้าจะนิมิตฝันเห็นแต่
    พระมาโบกมือห้ามข้าพเจ้าแต่งงาน ไม่เข้าใจจริง ๆ
    ข้าพเจ้าจะแต่งงานเกี่ยวอะไรกับพระด้วย

    "เรือถึงฝั่งแล้ว พายกลับทำไม" หมายความว่าอย่างไร!!!!


    ความคิดแล่นกลับไปยังวัยเยาว์อายุ 10 ขวบ
    ขณะที่ยืนเล่นอยู่หน้าบ้านคุณป้า(พี่สาวของคุณแม่)
    เห็นแม่ชีเหาะลงมายืนต่อหน้า แม่ชีเอามือเชยคางข้าพเจ้าขึ้น
    แล้วพูดว่า.....

    "หนูเป็นคนมีบุญ แต่เสียดายอายุสั้น
    ให้หมั่น "สัมมาอรหัง" จะช่วยให้อายุยืนยาว"

    พูดจบแม่ชีก็หายวับไป ข้าพเจ้าตกใจยิ่งไม่เข้าใจคำว่า
    "สัมมาอรหัง" คืออะไร ไต่ถามผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครให้
    คำตอบได้ (มีแต่แนะนำให้ข้าพเจ้าปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทานจะ
    ได้อายุยืนยาวแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงให้แม่บ้านไปตลาดซื้อปลา
    และเต่ามาปล่อยเป็นประจำทั้งปล่อยชีวิตโคกระบือก็อีกมาก
    เพราะทางบ้านเป็นคนมีฐานะเฉพาะเต่าปล่อยเป็นร้อย ๆ ตัว
    ก่อนปล่อยก็มีการเอาแผ่นทองมาแปะกระดองเต่าตามประสา
    เด็ก ๆและบอกว่า

    "จำไว้นะ !!! ฉันเป็นคนปล่อยเธอ"

    (จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทานทุกวันพฤหัสบดี
    จำนวนชีวิตสัตว์ที่ถูกปล่อยตั้งแต่เด็กมาถึงปัจจุบันนับไม่ถ้วนทีเดียว)

    จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ)
    มาต่อชีวิตให้ จึงทราบว่าเป็นคำภาวนาของท่านในการเจริญสมาธิ
    "สัมมาอรหัง" "นึกถึงพระ" "หลวงพ่อ" อะไรกันนี่

    เช้าวันแต่งงาน ขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถเจ้าสาวเพื่อออกเรือนไป
    ความรู้สึกเหมือนมีอะไรเลื่อนหลุดตกลงมาจากกายภายใน
    (ทราบภายหลังคือ การถอยธาตุธรรมลงเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน)
    ใจหายบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ทราบว่าคืออะไร

    นับแต่นั้นมาความทุกข์ยากลำบากในชีวิตการครองเรือนแสนสาหัส
    จากชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไร กิน นอน เที่ยว เรียนหนังสือ
    ต้องมาทำงานทุกอย่าง ไม่ว่างานบ้าน การงานหาเลี้ยงชีพ
    และการปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวใหม่ แต่ทิฐิมานะในตัวว่า
    ชีวิตคู่นี้ข้าพเจ้าเลือกเอง ไม่ว่าจะลำบากเพียงไร สุขหรือทุกข์
    ข้าพเจ้าจะสู้ไม่ถอย แต่ความทุกข์ยากลำบากในชีวิตครองเรือน
    กลับมีคุณค่าช่วยแปรเปลี่ยนตัวข้าพเจ้าจากนกน้อยในกรงทอง
    เอาแต่ใจตัวเอง มาเป็นคนแข็งแกร่งและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า...

    การเรียนรู้ด้วยตนเองจากประสพการณ์ชีวิต
    เป็นวิถีทางที่ดีกว่าการเรียนรู้จากการสอน การฟัง และการอ่าน
    ความลำบากสอนให้ข้าพเจ้า..........

    เรียนรู้ในการรับผิดชอบตนเองและครอบครัว
    เรียนรู้ในการสังเกตุเหตุ ประกอบผล
    และเรียนรู้ในการอดทนและทนอด
    ความลำบากถ้าเราคิดว่าทุกข์ มันก็ทุกข์
    แต่ถ้าคิดว่ามันมีคุณค่า ช่วยสร้างความเป็นคนที่สมบูรณ์
    และรู้แก่นแท้ของชีวิตว่า ทุกสิ่งสำคัญที่ใจ

    และรู้จักตัวตน กิเลสตัณหาว่า เราติดโน่นติดนี่ อยากโน่นอยากนี่
    เมื่อไม่มี ไม่ได้ ก็ไม่เห็นตาย
    จับเจ้าตัวกิเลสเหล่านี้มาฆ่าเสีย จิตก็เป็นสุข
    เสื่อผืนหมอนใบ มีที่ซุกหัวนอน กระเป๋าไม่มีสตางค์ ก็สุขได้

    อุปสรรคชีวิตมีไว้ให้เราก้าวพ้น
    เมื่อล้มก็ลุกขึ้นยืนใหม่ได้
    หลังพายุเมฆฝนกระหน่ำ ก็ย่อมมีท้องฟ้าผ่องอำไพ
    นี่คือสัจจธรรมของโลก

    ท่ามกลางความยากลำบาก มีสิ่งหนึ่งที่คอยปลุกปลอบให้
    ข้าพเจ้าสู้และอดทน และเป็นเพื่อนอยู่ทุกขณะจิต คือรูปถ่าย
    ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ที่ข้าพเจ้าซื้อมาจาก
    สนามหลวงแล้วนำไปใส่กรอบไม้แขวนบูชา ไม่ว่าจะโยกย้าย
    ไปไหนต้องหอบหิ้วไปด้วยกันเสมอ เพราะข้าพเจ้าเหลือหลวง
    พ่อท่านเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งทางใจ ที่ระหกระเหินไปใช้ชีวิตตาม
    จังหวัดต่าง ๆ



    เช้า.......ธุ 1 ที หลวงพ่อลูกไปทำงานนะ
    เย็น.......ธุ 1 ที หลวงพ่อลูกกลับบ้านแล้ว

    ลำบากกาย ลำบากใจ ก็บ่นกับรูปหลวงพ่อ
    เหงา ก็คุยกับรูปหลวงพ่อ
    เศร้าใจ ก็นั่งมองรูปหลวงพ่อ
    ดีใจ ก็เอารูปหลวงพ่อมากอด ชื่นใจ ๆ

    มีรูปหลวงพ่อที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวติดตัวไป รักรูปหลวงพ่อมาก
    ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีใครคุยด้วย ก็มีแต่รูปหลวงพ่อ
    ยึดมั่นหลวงพ่อไว้เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์ จนเสมือนรูปนั้นมีชีวิต
    ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน เห็นสายตาของหลวงพ่อมองอยู่
    ด้วยความเมตตา ปราณี อบอุ่นใจ

    ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ภาษีเจริญ (สด จนทฺสโร) ซึ่งข้าพเจ้าถึงว่าเป็นที่พึ่ง
    กำจัดทุกข์ได้จริง ด้วยสักการะนี้
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    บทที่สาม


    Your compassion is great.





    ตุลาคม 2524

    วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่ธนาคารเอเซีย จำกัด
    สาขาสระบุรี เวลานั้นกำลังพักเที่ยง เพื่อนร่วมงานต่างทยอย
    ออกไปรับประทานอาหารกลางวันกัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกหนึ่ง
    คนอยู่เวรที่เคาน์เตอร์รับเงิน ระยะสองเดือนนี้เกิดมีธนบัตรฉบับ
    ละ 500 บาทปลอมระบาดไปทั่วประเทศ และธนาคารอื่นใน
    อำเภอเมืองนี้ก็ได้รับมาบ้าง ผู้จัดการได้สั่งกวดขันการรับเงิน
    จากลูกค้า โดยเฉพาะฉบับละ 500 บาทให้ตรวจนับอย่าง
    ละเอียดว่าปลอมหรือไม่ ผู้ใดรับไว้จะต้องรับผิดชอบ

    เที่ยงวันนั้นมีลูกค้าเข้ามาฝากเงินหลายคน ข้าพเจ้ารับ
    เงินฝากเหล่านั้น ยังไม่ทันที่จะเก็บเข้าลิ้นชักเก็บเงิน ก็มีลูกค้า
    คนหนึ่ง เห็นข้าพเจ้าตรวจนับเงินอย่างละเอียด จึงไต่ถามและ
    ให้ข้าพเจ้าสอนวิธีดูแบงค์ปลอม ข้าพเจ้าจึงหยิบธนบัตรฉบับ
    ละ 500 บาท ขึ้นมา 2 ใบ ให้เขาดูเป็นตัวอย่าง 1 ใบ
    ข้าพเจ้าอธิบาย 1 ใบ เสร็จแล้วจึงเก็บเงินเข้าลิ้นชักให้เรียบ
    ร้อย

    ถึงเวลาเลิกงาน ข้าพเจ้าทำบัญชีและจัดเงินสดเพื่อส่ง
    แคชเชียร์ ผู้รักษาเงิน ปรากฏว่าเงินหายไปหนึ่งพันบาท
    ข้าพเจ้าตรวจนับใหม่จนแน่ใจว่าเงินหายแน่นอน จึงรายงาน
    แคชเชียร์ทราบ แคชเชียร์ให้ข้าพเจ้าพยายามคิดว่าทำผิด
    พลาดที่จุดใด นับเงินผิด หรือลงบัญชีผิด ข้าพเจ้ามั่นใจว่าไม่
    ผิดทั้งสองอย่าง ต้องเงินหายแน่นอน และสงสัยว่าจะเกิดขึ้น
    ในขณะพักเที่ยง บุคคลที่สงสัยที่สุดคือ ลูกค้าที่ได้อธิบายวิธี
    ดูธนบัตรปลอมให้

    แคชเชียร์พาข้าพเจ้าไปหาที่อยู่ลูกค้าคนนั้นจนพบเข้า
    ไปเจรจาสอบถาม ทั้งบอกถึงความเดือดร้อนของตนที่จะต้อง
    ถูกตัดเงินเดือนชดใช้ และยังเสียประวัติการทำงาน ซึ่งมีผล
    ต่อการปรับเงินเดือนและโบนัส (เงินเดือนสมัยนั้น จบปริญญา
    ตรี 1,250.- บาทเท่านั้น) เขาปฏิเสธและยืนยันความบริสุทธิ์
    ของตน ข้าพเจ้าได้แต่กลับบ้านด้วยความผิดหวัง

    เมื่อถึงบ้านก็รี่เข้าหารูปหลวงพ่อ จุดธูปขออาราธนา
    บารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยที หลวงพ่อ
    ช่วยดลใจให้

    "ผู้ใดก็ตามที่หยิบเงินไป กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ฝันร้าย
    จนกว่าจะยอมเอาเงินมาคืนลูก"

    เมื่อครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ที่ข้าพเจ้าขอเวลาผู้จัดการไว้
    หากไม่ได้เงินคืนวันนี้ จะยอมให้ตัดเงินเดือนจ่ายคืนธนาคาร
    แทนเวลาบ่ายคล้อย ข้าพเจ้ากำลังจัดเงินอยู่ ลูกค้าที่ข้าพเจ้า
    สงสัย คนนั้นก็เดินหน้าดำหมองเข้ามาที่เคาน์เตอร์ พร้อมทั้ง
    ยื่นเงิน 1,000 บาท ให้ข้าพเจ้า และพูดว่า

    "ขอคืนนะ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ฝันร้ายทุกคืนเลย
    ขอโทษด้วย"

    แล้วเขาก็เดินออกจากธนาคารไป ข้าพเจ้าดีใจมาก แต่ก็ไม่ได้
    เอะอะโพทนาเรื่องนี้ให้ใครทราบ เพราะเห็นแก่ลูกค้าจะเสียชื่อ
    เสียง ได้เงินคืน ไม่โดนตัดเงินเดือน ก็บุญโข........

    ต่อไปข้าพเจ้าจะระมัดระวังการงานให้มากกว่านี้ หากไม่ได้
    หลวงพ่อของลูกช่วยที ข้าพเจ้าคงแย่

    พระคุณหลวงพ่อยิ่งใหญ่สุดพรรณาจริง ๆ
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    บทที่สี่



    Left and right , avoid all.







    2525

    วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากลับมาเยี่ยมกรุงเทพฯ
    เพื่อนก็มาชวนไปทำบุญที่วัดอาวุธวิกสิตารามกับหลวงปู่บุดดา
    ข้าพเจ้างง!!ที่ทุกคนต่างพกแป้งหอมกระป๋องไปให้
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เสกแป้งหอมให้ ข้าพเจ้าสงสัยมาก
    เลยกราบถามหลวงปู่บุดดา ว่า เสกแป้งไปทำอะไร?



    [​IMG]



    หลวงปู่บุดดา มีเมตตามาก ยิ้มตอบข้าพเจ้าว่า
    เหตุที่เกิดมีการนิยมเอาแป้งมาให้ท่านเสกเพราะ คราหนึ่ง
    ท่านเป็นโรคผิวหนัง ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายต่างก็ซื้อแป้งมาให้โรย
    ทำให้ท่านมีแป้งมาก ใช้ไม่หมด หลวงปู่ท่านเลยแจกแป้ง
    เหล่านั้นให้แก่ผู้คนที่ไปกราบสักการะท่าน พร้อมให้ศีลให้พร
    จึงเกิดเป็นแบบอย่างนิยมกันขึ้นมาว่า ใครมากราบก็พกแป้ง
    มาให้หลวงปู่เสก ว่า เมตตามหานิยมดีนักแล
    พูดเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาแป้งมาโรยใส่ตัวข้าพเจ้า
    พร้อมให้ศีลให้พร และว่า

    "อุบาสก อุบาสิกาที่ดีเขาพ้นไปแล้ว
    ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้ว รู้หรือเปล่า?

    ซ้ายไม่ไป ขวาไม่ไป หลังไม่มอง
    เดินหน้าสู่ทางสายกลาง เข้าใจหรือเปล่า?"


    ข้าพเจ้าพยักหน้าไม่ตอบอะไร พร้อมกับกราบลาออกมา
    แปลกมาก !!! คำพูดของหลวงปู่ท่านกระแทกใจเข้าอย่างจัง
    ทำให้ข้าพเจ้าจำความหลังยังวัยเยาว์ขึ้นมาได้ว่า

    ตั้งแต่เกิดมาคุณย่าข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงดู และไปไหนก็ไปด้วยกัน
    คุณย่าเป็นอุบาสิกาใส่ชุดขาว(กุยอี)ปฏิบัติธรรมที่วัดเกาะ
    (สัมพันธวงศ์) ความเป็นเด็กข้าพเจ้าก็จะเดินเล่นไปมาอยู่หน้าโบสถ์
    กระโดดขึ้นลงหน้าบันใดตรงกลางหน้าตึก จนกระทั่งวันหนึ่ง
    เพื่อนของคุณย่า(ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่าเจอี๊)มรณะทำพิธีฌาปนกิจศพ
    รุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปกับคุณย่าไปงานเก็บอัฐิของเจอี๊ ปรากฏว่า
    อัฐิของเจอี๊เป็นพระธาตุสวยงามมาก ข้าพเจ้าเกาะโต๊ะมองดู
    และถามคุณย่าอย่างแปลกใจว่า "นั้นคืออะไร?"

    คุณย่าข้าพเจ้าจึงอธิบายว่า คือพระธาตุ เพราะเจอี๊บรรลุธรรมแล้ว
    พร้อมกับเล่าเรื่องให้ฟังว่า..........

    ที่วัดเกาะแห่งนี้มีผู้นิยมมาปฏิบัติธรรมกันมาก อุบาสก อุบาสิกา
    ที่ปฏิบัติธรรม บรรลุธรรมก็มี เมื่อเผาแล้วอัฐิเป็นพระธาตุกัน
    และอุบาสิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นคือ

    [​IMG]

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    คุณแม่บุญเรือนได้มาฟังธรรมหลวงปู่บุดดาที่วัดแห่งนี้
    มีคนมาฟังกันแน่นคุณแม่บุญเรือนถึงกับเลื่อมใส กลับบ้านไป
    โกนผม นุ่งขาวห่มขาวบอกลาทางบ้านไปบวชเป็นชี ปฏิบัติ
    ธรรมด้วยความเพียรจนบรรลุธรรมและเป็นผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงใน
    ด้านการปฏิบัติธรรมยุคนั้นนำพาผู้คน อุบาสก อุบาสิกา นุ่ง
    ขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมกันอย่างมาก

    ข้าพเจ้าจึงถามคุณย่าว่า "บรรลุธรรมคืออะไร?
    บรรลุแล้วตายเป็นพระธาตุหรือ?"

    คุณย่าไม่ตอบได้แต่ยิ้ม ๆ และว่า

    "ย่าได้แต่หวังให้เจ้าบรรลุธรรมเช่นกันตอนเจ้าเกิด ย่า
    นั่งสมาธิเห็นขบวนสวรรค์แห่แหน มาเข้าบ้านขณะที่เจ้าคลอด
    ออกมาพอดี ย่าจึงรักและเลี้ยงดูเจ้าเอง จำไว้นะ จงประพฤติ
    ธรรม และหาคำตอบเอาเองเมื่อเจ้าโตแล้ว"

    ในยามนั้นข้าพเจ้าไม่เข้าใจคำพูดนั้นแต่อย่างไร ได้
    แต่ไปวิ่งเล่นต่อ แต่คำพูดของหลวงปู่บุดดาทำไมข้าพเจ้าจึง
    เข้าใจทันที

    ซ้ายไม่ไป ขวาไม่ไป หลังไม่มอง เดินหน้าสู่ทางสายกลาง
    หลังคืออดีตที่ผ่านมา อย่าไปเก็บมาคิด มาใส่ใจ
    ปัจจุบันและอนาคต ให้เดินทางตรงสู่ทางสายกลาง
    อย่าไปหลงมัวเมา ซ้าย-ขวา นอกลู่นอกทาง

    คือให้มีปัญญาระลึกรู้สภาวธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏ
    เป็นปัจจุบันเท่านั้นไม่ใช่ตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
    หรือคิดล้ำไปถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

    บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
    ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
    สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
    และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
    ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน
    ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้
    บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
    พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ
    ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
    เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น
    ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
    พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้
    มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
    นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ (ภัทเทกรัตตสูตร)

    "เอ!!! ทางสายกลางมันอยู่ที่ไหนหนอ แล้วเราจะหาเจอไหมนี่"
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    ข้อควรปฏิบัติ และไม่ควร : พระเทพญาณมงคล - ข้อควรปฏิบัติ และไม่ควร


    ธรรมบรรยายโดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    คติธรรมโดย พระเทพญาณมงคล ขอบคุณหนังสือ "๑๐๘ มงคลธรรม ๑๓๕"








    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,602
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,114
    บทที่ เจ็ด



    Our one house is Your Mercy.



    2526




    ยามค่ำก่อนนอนข้าพเจ้ากำลังเล่นกับลูก ๆ อยู่ในห้องนอน
    ถึงจะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่กับลูก ๆ คือ ยาวิเศษ คือ
    ความสุขที่ข้าพเจ้าพอจะหาได้ในยามนี้

    ข้าพเจ้าอพยพพาเด็ก ๆ กลับสู่กรุงเทพ ฯ เพื่อที่จะให้เด็ก
    ๆ ได้รับการศึกษาที่ดี เพราะโรงเรียนในเมืองหลวงย่อมดีกว่า
    โรงเรียนต่างจังหวัด อีกทั้งการโยกย้ายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ปี
    ละจังหวัดกับคุณพ่อเด็ก ลำบากต่อการศึกษามาก

    ข้าพเจ้าลาออกจากงานธนาคารที่ต่างจังหวัดมาอาศัยบ้าน
    ญาติออกหางานทุกวัน แต่ไม่มีที่ไหนรับแม่ลูกอ่อนคนนี้เลย
    จนเงินเก็บสะสมใกล้หมด ถ้าไม่ได้งานอีกสักเดือน คงต้องกิน
    น้ำข้าวกันแน่ ๆ ขณะที่คลานเล่นกับลูก พลันต้องตกใจอย่าง
    สุดขีด เมื่อเงยหน้าขึ้นพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูกยืนอยู่

    "มัวเล่นกับลูก ๆ อยู่ได้ เดี๋ยวก็ต้องพาลูกไปนอนข้าง
    ถนนหรอก ทำไมไม่หาซื้อบ้านของตน"

    เสียงหลวงพ่อ ฯ พูดขึ้น ถึงแม้จะตกใจนั่งจุมปุ๊กตา
    ค้างอยู่บนพื้น แต่ข้าพเจ้าก็เถียงขึ้นทันทีว่า

    "เงินไม่มี งานไม่มี นมลูกยังไม่มีเงินซื้อ จะซื้อบ้าน
    ได้อย่างไรเจ้าคะ"

    "นกน้อยยังสร้างรังของตนได้ คนอย่างเจ้าอยู่ที่ไหนก็เจริญ
    จงรีบไปซื้อบ้าน ชอบที่ไหนก็ให้ซื้อไว้
    เมื่อได้บ้านจะได้งาน ใน 3 วัน 7 วัน"

    เสียงหลวงพ่อกล่าวอย่างปราณี

    "แล้วเงินซื้อบ้านล่ะเจ้าคะ" ข้าพเจ้าถาม

    "แล้วจะส่งมาให้เอง"

    พูดเสร็จหลวงพ่อก็หายวับไปกับตา
    โอ!!! ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันไปนะ รีบกอดลูก ๆ อย่างดีใจ

    "หลวงปู่มาช่วยเราแล้วลูก เราจะได้บ้าน จะได้งาน
    จะได้เงิน ไม่อดตายแล้ว"

    ด้วยความมั่นใจในพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) ที่คอยช่วยเหลือข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้าออก
    ตระเวณหาซื้อบ้านจากถูกสุดแสนกว่าบาท จนมาพบและถูกใจ
    บ้านที่อาศัยอยู่นี้ ราคาล้านกว่าบาท ข้าพเจ้าบอกจองไว้ด้วย
    ปากเปล่า เจ้าของโครงการว่า ต้องเอาเงินดาวน์มาวาง พลัน
    เหลือบมาเห็นข้าพเจ้าใส่สร้อยพระหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่นหนึ่ง
    อยู่ ก็ขอดูและบอกว่า เขานับถือหลวงพ่อ ฯ มาก อยากได้
    พระองค์นี้มาแทนเงินดาวน์บ้านได้ไหม ข้าพเจ้าไม่ยอมเพราะ
    เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียว ต่อไปหากมีเงินเป็นล้าน ๆ ก็หาเช่า
    กลับไม่ได้ และคงไม่เหมือนองค์นี้ที่เป็นเหตุนำพระเดชพระคุณ
    หลวงพ่อมาสู่ชีวิตของตน

    ข้าพเจ้าได้แต่เล่าว่าก็หลวงพ่อแหละ !!! เป็นคนให้
    มาซื้อบ้าน ขอจองไว้ก่อน จะรีบหาเงินมาวางดาวน์ ถ้าครบ
    กำหนดไม่มาก็ให้ขายคนอื่นได้ เจ้าของโครงการตอบตกลง

    เมื่อจองบ้านได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้งานทันที สมัครที่ไหนก็รับ
    ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ออกหางานจนรองเท้าสึกยังไม่มีใครรับ
    ด้วยความดีใจเมื่อไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่จึงบอกกล่าวให้ฟัง
    ท่านทั้งสองนั่งอึ้งไปสักครู่ ก็เอ่ยปากขึ้นว่า

    "พ่อแม่รู้ว่าลูกลำบากมาตลอดตั้งแต่แต่งงานออกไป
    คอยที่ลูกจะมาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่ลูกดื้อมาก
    ฉะนั้นจงอย่าพาเด็ก ๆ ไปลำบากกันอีกเลย พ่อแม่จะช่วย
    ออกค่าบ้านให้กึ่งหนึ่งเป็นของขวัญรับหลาน ๆ
    จงรับเงินเพื่อลูก ๆ ของเจ้า"

    ข้าพเจ้าน้ำตาคลอ เพราะตั้งแต่แต่งงานกับสามีที่ตนรัก
    ไม่ยอมแต่งงานกับผู้มีฐานะตามที่พ่อแม่เลือกให้ ออกเรือนมา
    อย่างมือเปล่า ลำบากอย่างไร ไม่เคยมีใครเหลียวแล นี่คุณ
    พ่อคุณแม่ช่วยเงินซื้อบ้านกึ่งหนึ่ง

    และเงินที่เหลือ เมื่อเข้าทำงานจับหยิบอะไรก็เป็นเงิน
    เป็นทองไปหมด จนสามารถจ่ายเงินค่าบ้านตามงวดที่กำหนด
    จนครบ

    ระหว่างที่บ้านหลังนี้กำลังก่อสร้างยังไม่เสร็จ บ้านที่
    อาศัยอยู่ เจ้าของขอคืนเพราะขายได้ ข้าพเจ้าจึงนำลูก ๆ เข้า
    อยู่ทันที มีแค่ห้องนอนห้องเดียวที่ปูเสื่ออยู่กัน อยู่ไปสร้างไป
    กับพวกคนงานก่อสร้าง แต่ก็ปลอดภัยมีสุขเพราะหลวงพ่อคอย
    คุ้มครองปกปักรักษา ถ้าไม่ได้หลวงพ่อคงต้องเอาลูก ๆ ไป
    นอนข้างถนนอย่างที่หลวงพ่อบอกไม่มีผิด

    บัดนี้ข้าพเจ้าและลูก ๆ ได้มีบ้านหลังน้อยอาศัยอยู่
    ทุกอณูของบ้านอบอวลไปด้วยความสุข ความอบอุ่น
    เพราะเป็นบ้านที่หลวงพ่อประทานให้เรา

    พระเดชพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) และ
    คุณพ่อคุณแม่ยิ่งใหญ่สุดพรรณา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...