สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15826647_623739057827270_1372344713150018353_n.jpg

    15894251_623738607827315_8536663046338334284_n.jpg

    ธรรมบรรยาย เรื่อง "ไหว้พระจำเป็นต้องจุดธูปเทียนหรือไม่"
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    (คัดลอกบางส่วน)

    www.mongkoldhamma.org/ไหว้พระจำเป็นต้องจุดธู-video_439bc602e.html
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15823564_639598876248163_635356749274937733_n.jpg






    คล็ดลับในการตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ผลสำเร็จเร็ว


    บุญ..เป็นธรรมชาติชำระจิตใจให้ผ่องใส นี่จำหลักตรงนี้ไว้ เพราะท่านทำบุญนั้นใจยิ่งใส ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ยิ่งผ่องใส ผ่องใสด้วยคุณความดี

    มันแยกกันด้วยนะ ในตัวเรามันยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ ยิ่งกว่านะ คอมพิวเตอร์นี่ ถ้าไปทำโปรแกรมผิดพลาด ไปใส่ข้อมูลผิดพลาด ก็ผิดไปเลย ออกมาก็ผิดๆ หรือ ไม่ออกมาครบถ้วนตามที่เราต้องการ

    แต่ใจนี่ ตั้งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย โอ้โห บันทึกละเอียดยิบ เจตนาความคิดอ่านทุกขณะจิต เพราะฉะนั้น ท่านจึงบอกให้เรามีสติสัมปชัญญะ ทำดีเข้าไว้ อย่าเผลอสติไปทำไม่ดี อะไรดีทำเข้าไว้ กาย..วาจา..ให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ ใจ..ให้สงบ แล้วก็ทำความดีเพิ่ม มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ให้ยิ่งขึ้นไป บุญตรงนี้ ๑๐ ประการ แล้วแต่ว่าเราทำด้านไหน มันจะแก่กล้าขึ้น

    บุญเนี่ย ถ้าว่าขนาดมาตรฐานปานกลาง มันก็เท่าฟองไข่แดงของไข่ไก่ เท่ากันกับดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย แต่ถ้าทำความดีมากขึ้น กลายเป็นจากแก่กล้าขึ้นมาเป็นบารมี

    บุญโตใหญ่หนึ่งคืบเนี่ย บางคนพอนั่งปุ้บ เห็นสว่างเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ มี ไม่ใช่ไม่มี นั่นแปลว่าดวงบุญเขาเต็ม เต็มหนึ่งคืบของผู้เป็นเจ้าของ แต่มาตรฐานปานกลางนี่เท่าฟองไข่แดงของไข่ไก่

    เพราะฉะนั้น การเห็นดวงใสแจ่มนี่ไม่เท่ากันนะ จำไว้ด้วย ไม่เท่ากัน ไม่อยากจะบอกว่า ถ้าเห็นดวงเล็กนิดเดียวใส แม้ใสเห็นดวงเล็กนิดเดียวนี่ ดวงบุญน้อยไป ปฏิบัติกรรมฐานก็ได้เป็นบาทฐาน เป็นทุนสำรองที่จะไปปฏิบัติในภพชาติต่อไป ในภพชาตินี้ก็คงไม่สำเร็จ ก็คงไม่เจริญเท่าไหร่ แต่ต้องทำนะ ไม่ใช่ไปนั่งเสียใจอยู่ แล้วเลยไม่ทำเลย หนักเข้าไปกว่าเก่าอีกที่นี้ ต้องทำนะ

    เพราะฉะนั้น ดวงบุญน่ะ มันอยู่ตรงนี้ หลวงพ่อท่านเรียกว่า #ทะเลบุญ

    #เพราะฉะนั้นเวลาเราอธิษฐานจิตให้สำเร็จอะไรๆนี่ ทำใจให้สงบนะ ให้เห็นใสแจ่มได้เท่าไหร่ยิ่งดี ดวงบุญใหญ่เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็เป็นบุญ อธิษฐานจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลเนี่ย ถ้าข้ออธิษฐานนั้น มีเหตุปัจจัยฝ่ายบุญกุศลมาประกอบแล้ว สำเร็จเร็วขึ้น

    #ปัจจัยฝ่ายบุญกุศลมาประกอบมีอะไร ?

    มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ที่เราทำอยู่เนี่ย ไม่ใช่ว่าอธิษฐานแล้วไม่ได้ทำอะไรเลยให้มันเกิดนะ มันก็ไม่เกิด หรือมันเกิดช้า เพราะต้องอาศัยบุญเก่า แต่บุญใหม่นี่ เก่ากับใหม่รวมกันนี่ มันจะกว้างขวางมีพลังมาก

    เพราะฉะนั้น ดวงบุญนี่ ถ้าขยายโต เราทำมากขึ้นขยายโตเท่าหนึ่งคืบของผู้เป็นเจ้าของ จะกลั่นตัวเองเป็นบารมีคุณความดีอย่างยิ่งยวด ประมาณหนึ่งองค์คุลีมือ

    แล้วบารมีนี่ เราทำแก่กล้าขึ้น กล้าเสียสละ ๑๐ ข้อนะ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ว่าไป ๑๐ อย่างน่ะ อันไหนมันเจริญแก่กล้าไปเท่าไหร่ ดวงบารมีนั้นก็แก่กล้าขึ้นไปเป็นลำดับ จนเต็มหนึ่งคืบของผู้เป็นเจ้าของ ในแต่ละอย่างๆนั่นน่ะแล้ว นี่เป็นอุปบารมี เป็นอุปบารมีเท่าหนึ่งองค์คุลีมือ

    อุปบารมีนี่ เจริญแก่กล้าขึ้นไปประมาณหนึ่งคืบของผู้เป็นเจ้าของ จะกลั่นตัวเองให้เป็นปรมัตถบารมี คือแก่กล้าเป็นปรมัตถบารมีเท่าหนึ่งองค์คุลีมือ

    นี้ #เมื่อปฏิบัติไปจนปรมัตถบารมีเต็มส่วน ทั้ง ๑๐ ข้อ ในภพชาติใด ผู้ปรารถนาเพียงปกติสาวก เป็นอันว่าบุญบารมีเต็มส่วนในภพชาตินั้น แล้วก็สามารถที่จะเจริญสมณธรรมบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ในภพชาตินั้นเอง เป็นพระอรหันต์ในภพชาตินั้น

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสนะ ตรัสว่าใครเจริญสติปัฏฐาน ๔ ความจริงพระองค์ไม่ได้แสดงเรื่องเงื่อนไขนะ แต่เรามาปฏิบัติแล้วเนี่ยเรารู้ ว่าถ้าบุญบารมีมันยังไม่เต็ม มันก็ไม่ได้บรรลุตามนั้นนะ เราต้องรู้เลยทีเดียว

    ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัส ใครเจริญสติปฏฐาน ๔ อย่างน้อย นี่หมายถึงผู้ปฏิบัติจริงจังนะ อย่างน้อย ๗ วัน อย่างมากไม่เกิน ๗ ปี เป็นอันบรรลุพระอรหันต์บุคคล นี่ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นมีบุญบารมีเต็มแล้ว แก่กล้าแล้วถึงปรมัตถบารมีทั้ง ๑๐ อย่าง รวมเป็นบารมี ๓๐ ทัศ อย่างน้อยอย่างต่ำที่สุด บรรลุเป็นพระอริยบุคคลในขั้นพระอนาคามีบุคคล ไม่เกิน ๗ ปี ถ้าปฏิบัติจริงๆ อย่างนี้แปลว่าบุญบารมีประเภทเต็มแล้ว หรือว่า ใกล้จะเต็มเต็มที ก็จะบรรลุมรรคผลระดับอย่างต่ำพระอนาคามีบุคคล

    นี่ พระพุทธเจ้าตรัสคำนี้เราต้องเข้าใจว่า ต้องประกอบด้วยบุญบารมีด้วย เพราะฉะนั้น เราเจริญไปนี้ ต้องเข้าใจเรื่องบุญบารมี อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ศูนย์กลางกาย เวลาอธิษฐานจิตปรารถนาสิ่งใดๆโดยชอบ กอปด้วยปัจจัยฝ่ายบุญกุศล ตรงนี้ ช่วยให้สำเร็จเร็วขึ้น และแน่นอนขึ้น.

    ________________
    ________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _________________
    ที่มา
    บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง

    "ธาตุเป็นที่ตั้งของธรรมทุกฝ่าย"
    _________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15871576_626377164230126_8778398319639057472_n.jpg

    ตอบปัญหาธรรม "ถ้าไม่ได้เข้าศูนย์กลางกายบรรลุนิพพานไม่ได้ใช่ไหม ?"
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    (คัดลอกบางส่วน)


    http://www.dhammakaya.org/ตอบปัญหาธรรม/ปฏิบัติแนวพุทโธ-ยุบหนอ-ไม่ได้เข้าศูนย์กลางกาย-บรรลุนิพพานไม่ได้-ใช่ไหม
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15966167_627109697490206_5249438778640646794_n.jpg

    ตอบปัญหาธรรม "ผู้ถึงธรรมกาย จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงที่สุดแล้วหรือ ?"
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    (คัดลอกบางส่วน)

    http://www.dhammakaya.org/ตอบปัญหาธรรม/ผู้ถึงธรรมกาย-จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงที่สุดแล้วหรือ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15747825_634878903386827_2053458844832878503_n.jpg



    อมตวัชรวจีหลวงปู่วัดปากน้ำ

    อดใจเพื่อไปนิพพาน


    พระพุทธเจ้าเป็นตำรับตำราเป็นประมุขของเรา ที่เราไหว้เรากราบอยู่ สร้างพระพุทธรูปบูชาปรากฏอยู่จนกระทั่งบัดนี้ เป็นของสำคัญอย่างนี้ เมื่อรู้แล้วว่าเป็นของสำคัญอย่างนี้ เราต้องตั้งใจแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า

    ท่านตั้งอย่างไร ท่านสอนอย่างไร ท่านทำอย่างไร

    ท่านก็สอนว่า ท่านสอนพวกเราให้อดใจ ให้อดทนคืออดใจ

    #อดใจเวลาความโลภหรืออภิชฌาเกิดขึ้น หยุดนิ่งเสีย รู้นี่ รสชาติอภิชฌา อยากจะได้สมบัติของคนอื่นเป็นของของตน อยากกว้างขวางใหญ่โตไปข้างหน้า ต้องหยุดเสีย อดทนหรืออดใจเสีย ประเดี๋ยวก็ดับไป อ้ายความอยากนั้นดับไป ดับไปด้วยอะไร ด้วยความอดทน คือ อดใจ นั่นแหละ

    #ความโกรธประทุษร้ายเกิดขึ้น นิ่งเสีย อดเสีย ไม่ให้หลุดออกมาได้ ให้อยู่ในใจของตัวเอง ไม่ให้คนได้ยิน ไม่ให้คนอื่นรู้กิริยาท่าทางทีเดียว ไม่แสดงกิริยามรรยาทให้ทะเลิ่กทะลั่กแปลกประหลาดอย่างผีเข้าสิงทีเดียว ไม่รู้ทีเดียว นิ่งเสียกะเดี๋ยวหนึ่ง ความโกรธประทุษร้ายหายไปดับไป

    #พยาบาทนั้นหายไปมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐินั้นแปลว่า เห็นผิดละ รู้อะไรไม่จริงสักอย่าง เลอะๆเทอะๆเกิดขึ้น หยุดเสีย ไม่ช้าเท่าไรกะเดี๋ยวดับไป

    นั่นแหละ..ความโลภเกิดขึ้น อภิชฌาเกิดขึ้นให้ดับไปได้ อภิชฌาเกิดขึ้นชั่วขณะอดเสีย ให้ดับไปได้ ฆ่าอภิชฌาตายครั้งหนึ่ง นั่นเป็นนิพพานปัจจัยเชียว จะถึงพระนิพพานโดยตรงทีเดียว

    ความพยาบาทเกิดขึ้น ให้ดับลงไปเสียได้ ไม่ให้ออก ไม่ให้ทะลุลวงออกมาทางกาย ทางวาจา ให้ดับไปเสีย ทางใจนั่นดับไป ให้ดับไปได้คราวใด คราวนั้นได้ชื่อว่าเป็นนิพพานปัจจัยเชียวหนา สูงนัก กุศลนี้สูง จะบำเพ็ญกุศลอื่นสู้ไม่ได้ทีเดียว

    ความหลงเกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม เมื่อเห็นผิดเกิดขึ้น ทำใจหยุดนิ่งเสีย หยุดนิ่งเสีย ไม่ช้าเท่าไร ประเดี๋ยวเท่านั้น ความเห็นผิดดับไป นั่นเป็นนิพพานปัจจัยทีเดียว นี่ติดอยู่กับขอบนิพพานเชียวหนา

    #ความอดทนติดอยู่กับขอบนิพพาน ความอดทนอันนี้แหละ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีล่ะก็ ไม่มีในพระโพธิสัตว์เจ้า สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เป็นด้วยความอดทน

    นี่ จะไปนิพพานได้ ก็ไปด้วยความอดทนนี้ ถ้าอดทนไม่มี ไปนิพพานไม่ได้.

    ________________
    ________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    ________________
    ที่มา
    บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง

    "โอวาทปาฏิโมกข์"
    ๒๐ ตุลาคม ๒๔๙๗
    _________________

    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15965748_627563394111503_646103683026448035_n.jpg




    ตอบปัญหาธรรม "อธิษฐานว่าวันนี้ถ้าบุญบารมีพอขอให้เห็นดวง แต่ถ้าไม่พอ จะขอหยุดไว้ก่อน?"
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    (คัดลอกบางส่วน)

    http://www.dhammakaya.org/…/อธิษฐานว่า-วันนี้ถ้าบุญบารมีพอ-…
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ทำสมาธิแล้วมืด ไม่เห็นอะไร พยายามนึกดวงแก้ว แต่ก็ไม่เห็น
    ทำอย่างไรถึงจะแก้โรคเบื่อชีวิต เกิดมาแล้วเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ กิจวัตรประจำวันก็ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อหน่าย เมื่อปฏิบัติสมาธิแล้วก็มืดไม่เห็นอะไรเลย พยายามนึกไปที่ดวงแก้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ จะทำอย่างไรดี ?

    ตอบ:

    หากเบื่อด้วยกิเลส (โทสะ/นิวรณ์) จะเป็นทุกข์ จมอยู่ในความทุกข์ หากเบื่อด้วยปัญญา เข้าใจโลกตามที่เป็นจริง จิตใจย่อมปลอดโปร่ง แล้วหาทางพ้นด้วยการปฏิบัติตามพุทธธรรม

    การนึกดวงแก้วในเบื้องต้นเป็นวิธีทำใจให้สงบ เพราะฉะนั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นได้แค่การ “นึก” ยังไม่ใช่ “เห็น” (ยกเว้นไม่กี่คนที่ครั้งแรกนึกแล้ว “เห็น” เลย)

    เมื่อเพียรพยายาม “นึก” อยู่เรื่อยๆ ใจจะค่อยๆ ได้รับการฝึกให้เชื่อง ความฟุ้งซ่านจะลดลง ได้สัมผัสความ “สันติสุข” จากการที่ใจเริ่มสงบบ้างโดยที่ยังไม่เห็นอะไรนั้น เมื่อถึงจุดที่จิตสงบพอดี หยุดนิ่งอยู่ ณ ศูนย์กลางกาย ก็จะ “เห็น” นิมิตแสงสว่างหรือดวงแก้วปรากฏขึ้น ซี่งเป็นไปด้วยอำนาจของความสงบใจ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของการ “นึก”

    เพราะฉะนั้น หากเข้าใจธรรมชาติของจิตว่าเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็จะไม่บังคับใจ บังคับตา ของเราให้เห็น เราจะไม่ใจร้อนหงุดหงิดเมื่อยังไม่เห็น เราจะไม่พากเพียรจัดเกินไป ด้วยความ “อยาก” เห็น

    แต่เราจะวางใจเป็นกลางๆ ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในทุกอิริยาบถ คือ ยืนเดินนั่งนอน เพราะเรามีความสงบสุขทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ บุญบารมีของเราเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ สติสัมปชัญญะดีขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายเป็นอานาปานสติหรือไม่ ?
    การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายเป็นอานาปานสติหรือไม่ ?

    ตอบ:

    เป็น และหลวงพ่อก็แนะนำสั่งสอน มีอยู่ในพระธรรมเทศนาของท่าน แต่ท่านไม่พูดเรื่องนี้มาก ที่อาตมาจะกล่าวต่อไปนี้ โปรดเข้าใจว่าการเจริญภาวนาธรรมตามแนวนี้มีวิธีปฏิบัติในขั้นสมถะหลายอย่างรวมกันนับตั้งแต่เอาผลในระดับอุคคหนิมิตของอาโลกกสิณคือกสิณแสงสว่าง เอามาใช้เป็นเบื้องต้นของพระกัมมัฏฐาน คือให้นึกถึงดวงแก้วใส ณ ศูนย์กลางกาย นี้ก็เป็นอาโลกกสิณ ซึ่งผู้เพ่งกสิณแสงสว่าง เมื่อได้ประมาณอุคคหนิมิต จะเห็นเป็นดวงใส หลวงพ่อเอาผลของอาโลกกสิณในระดับนี้ เอามาเป็นเบื้องต้น เป็นบริกรรมนิมิต นึกให้เห็นดวงใส เพื่อให้ใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวได้โดยง่าย เพราะเมื่อนึกเห็นอยู่ที่ไหน ใจก็อยู่ที่นั่น

    ใจประกอบด้วยธรรมชาติ 4 อย่าง ภาษาพระเรียก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยธรรมปฏิบัติหลวงพ่อเรียก เห็น จำ คิด รู้ จริง ๆ แล้ว มีลักษณะเป็นดวงใสซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เข้าไปข้างใน ศูนย์กลางตรงกัน ซึ่งขยายส่วนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของนามขันธ์ 4 คือ เวทนาขันธ์ ขยายออกเป็น “ดวงเห็น” ขนาดประมาณเท่าเบ้าตา “ดวงจำ” ประมาณเท่าลูกตาทั้งหมด ขยายส่วนหยาบออกมาจากสัญญาขันธ์ “ดวงคิด” ประมาณเท่าลูกตาดำแต่ใส ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ขยายส่วนหยาบออกมาจากสังขารขันธ์ “ดวงรู้” ประมาณเท่าแววตา ใสบริสุทธิ์ อยู่กลางเห็น จำ คิด นั่นขยายส่วนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของวิญญาณขันธ์ รวมเป็นนามขันธ์ 4 ธาตุละเอียดของนามขันธ์ 4 นี้ ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เข้าไป ณ ภายใน ตรงกลางรูปขันธ์ กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม

    ทีนี้ เมื่อใจเห็น ท่านเลยเรียกว่า “ดวงเห็น” เพราะเห็นด้วยใจ ธาตุเห็นอยู่ในท่ามกลางนั้น ใจเห็นดวงแก้ว จำอยู่ที่ดวงแก้ว คิดตรึกนึกอยู่ที่ดวงแก้ว รู้อยู่ที่ดวงแก้วกลางของกลางนั้น รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ใจจะเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงเร็ว และเป็นที่เกิดที่เจริญของทิพพจักขุ ทิพพโสต นี่วิธีปฏิบัติขั้นสมถะประการหนึ่งที่สำคัญ ที่ท่านเอามาไว้ให้เหมาะกับจริตอัธยาศัยของบุคคลทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่มักฟุ้งซ่านเสมอ

    นอกจากนั้น ยังเอาพุทธานุสติมาเป็นบริกรรมภาวนาว่า “สัมมาอะระหังๆ” ซึ่ง “สัมมา” มาจาก “สัมมาสัมพุทโธ” แปลว่า พระผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ หมายเอาพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า “อรหัง” แปลว่า พระผู้ไกลจากกิเลส หมายเอาพระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า ท่านให้ท่อง สัมมาอะระหัง ๆ นั่นเป็นพระนามใหญ่ของพระพุทธเจ้า ควบพระพุทธคุณในข้อปัญญาคุณและพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นพุทธานุสติ ซึ่งก็ควบเอาธัมมานุสติ สังฆานุสติเข้าด้วยกัน ธัมมานุสติก็คือธรรมฝ่ายบุญฝ่ายกุศล ใจสะอาดบริสุทธิ์ด้วยธรรมฝ่ายบุญฝ่ายกุศล นั่นแหละ “สัมมาอะระหัง” ควบตั้งแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ ถึงสังฆานุสติ คือน้อมพระพุทธคุณมาสู่ใจเรา ผู้ปฏิบัติผู้รักษาพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้ารู้จักวิเคราะห์จะเห็นเลย สัมมาอะระหัง คำเดียว จึงศักดิ์สิทธิ์ด้วย ใครทำบ่อยๆ ใจใส ใจหยุด ใจนิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ คือสำเร็จได้ด้วยใจ ตรึกอธิษฐานใดๆ โดยชอบ ย่อมสำเร็จตามระดับภูมิธรรมของตน นี่สัมมาอะระหังดีอย่างนี้ เป็นพระนามใหญ่ของพระพุทธเจ้า นี่เอามา 2 เรื่อง อาโลกกสิณ กับพุทธานุสติ ซึ่งควบเอาธัมมานุสติ สังฆานุสติ เข้าไว้ อันนี้เหมาะกับผู้มีจริตอัธยาศัยชอบวิตกวิจารณ์ คือไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ น้อมเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเข้ามา ก็ทำให้ใจอ่อนโยนได้ ให้นึกถึงบุญกุศลของตัวด้วย นี่ 2 อย่าง

    อย่างที่ 3 ก็คือ ให้ตั้งใจไว้ตรงกลางกายซึ่งเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม อันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำหนดฐานที่ตั้งใจไว้สำคัญนัก เพราะตรงนั้นเป็นที่ตั้งของธรรมในธรรมฝ่ายบุญฝ่ายกุศล และก็กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต คือ ทั้งธรรม และกายและใจตั้งอยู่ตรงนั้น ณ ภายในมีเท่าไร สุดละเอียดเพียงไหน อยู่ตรงนั้นถึงนิพพานทีเดียว

    เพราะฉะนั้น ท่านให้เอาใจไปจรดไว้ตรงนั้นที่นี้ศูนย์กลางกาย ซึ่งเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม อยู่เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ ถ้าท่านหายใจเข้าออก ท่านจะพบว่าลมหายใจเข้าไปจนสุดนั้น สุดตรงศูนย์กลางกายตรงระดับสะดือพอดี และก็ตั้งต้นหายใจออกตรงนั้น เป็นต้นทางลมและก็เป็นปลายทางลมหายใจเข้าออก ตรงศูนย์กลางกายตรงระดับสะดือพอดี ใจหยุดก็ต้องไปหยุดตรงนั้น เขาเรียกว่า “กลางพระนาภี”

    พระพุทธเจ้าทรงสอนอานาปานสติ เมื่อลมหยุดก็ไปหยุดกลางพระนาภี ถึงให้กำหนดใจกี่ฐานๆ ก็แล้วแต่ สำหรับผู้ทำอานาปานสติกำหนดที่ตั้งสติลมหายใจผ่านเข้าออก ทางปากช่องจมูกหรือปลายจมูก ที่ลำคอ และที่กลางพระนาภี นี่อย่างน้อย 3 ฐาน เขามักจะกำหนดกันกำหนดอานาปานสติ 3 ฐาน เป็นอย่างน้อย กำหนดอะไร กำหนดสติรู้ลมหายใจเข้าออกกระทบอย่างน้อย 3 ฐาน นี้สำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไป แต่เมื่อลมละเอียดเข้าไปๆ ๆ แล้ว โดยธรรมชาติลมหายใจมันจะสั้นเข้าๆ ๆ ละเอียดเข้า

    ทรงสอนว่า ลมหายใจเข้าออกพึงมีสติรู้ ลมหยาบ ลมละเอียด ลมหายใจยาว ลมหายใจสั้น พึงรู้ มีสติรู้ จนถึงลมหยุด หยุดที่ไหน ? หยุดที่กลางพระนาภี หยุดกลางพระนาภี ก็คือศูนย์กลางกายนั่นแหละ ตรงที่สุดลมหายใจเข้าออก หรือที่ตั้งต้น หรือจะเรียกว่าต้นทางลม หรือปลายทางลมก็แล้วแต่จะเรียก จริงๆ แล้ว อยู่ตรงกลางกายตรงระดับสะดือพอดี ที่หลวงพ่อเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ 6

    แต่ว่า ถ้าว่าเอาใจไปจรดตรงนั้นนะ จะไม่เห็นธรรมในธรรม กายในกาย จิตในจิต ได้ชัด เพราะเหมือนอะไร เหมือนเอาตาแนบกระจก ไม่เห็นเงาหรือภาพข้างใน ฉันใด หลวงพ่อก็เลยให้ขยับเห็น จำ คิด รู้ คือใจ ที่ตั้งเห็น จำ คิด รู้ ให้สูงขึ้นมาเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ เหมือนเราขยับสายตาเราห่างจากกระจก เราจะเห็นเงาได้ชัดเจน ประกอบกับดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายและใจมีธรรมชาติหรืออาการเกิดดับตามระดับจิตหรือภูมิของจิต คือเมื่อจิตสะอาดยิ่งขึ้นจากกิเลส จิตดวงเดิมก็ตกศูนย์จากศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ลงไปสู่ศูนย์กลางฐานที่ 6 ธรรมในธรรม ที่ใสบริสุทธิ์ซึ่งมีจิต หรือจิตในจิตซ้อนกันอยู่ ที่ใสบริสุทธิ์กว่า ก็ลอยเด่นขึ้นมาศูนย์กลางกายฐานที่ 7 แล้วก็ทำหน้าที่ของตนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัตว์จะเกิด จะดับ จะหลับ จะตื่น จิตดวงเดิมจะตกศูนย์ จิตดวงใหม่ลอยเด่นขึ้นมาตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เพื่อทำหน้าที่ต่อไป

    ตรงนี้นักปริยัติบางท่านก็เข้าใจว่า จิตเกิดดับ แต่เกิดดับอย่างไรไม่รู้ เพราะไม่เคยเห็น และยังมีบางท่านที่ละเอียดเข้าไปกว่านั้นอีก บอกว่าจิตเดิมแท้ๆ ไม่ได้เกิดดับนะ ที่เกิดดับนั้น มันเฉพาะอาการของจิตที่มีกิเลสของจรมาผสม หรือว่ามีบุญเข้ามาชำระกิเลสนั้น จิตก็เปลี่ยนวาระ เป็นอาการของจิต คือถูกทั้งนั้น แต่ว่าอาการของจิตที่เกิดดับตรงนั้น มันมาปรากฏตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 หลวงพ่อก็เลยกำหนดที่เหมาะๆ สำหรับที่ควรเอาใจไปหยุดไปจรดไปนิ่งตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม เป็นที่ตั้งของกายในกาย จิตในจิตและธรรมในธรรม อาตมาพูดจิตในจิต ให้พึงเข้าใจว่า รวมทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเข้าด้วยกัน นี้เป็นเรื่องที่ 3 ที่หลวงพ่อกำหนดไว้เพื่อให้เข้าพิจารณาเห็นกาย เวทนา จิตธรรม ณ ภายในไปสุดละเอียด เป็นตัวสติปัฏฐาน 4 ไปจนถึงนิพพาน และเป็นตัวชำระ กิเลส ณ ที่ตรงนั้น ด้วยหยุดในหยุดกลางของหยุด เพราะถูกกลางของกลางธรรมในธรรม ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยไป เป็นการละหรือปหานอกุศลจิตเรื่อยไป จึงมีสภาวะที่เป็น “นิโรธ” ดับสมุทัย

    ทีนี้ มีธรรมชาติสำคัญอันหนึ่ง เมื่อกี้กล่าวมาถึงว่า เมื่อใจหยุดนิ่งจะตกศูนย์เองโดยธรรมชาติ ณ ที่ตรงนั้น ลอยเด่นขึ้นมาก็ตรงนั้น กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม เมื่อผู้เจริญภาวนากระทำอานาปานสติหรือเจริญอานาปานสติ ถึงจะตั้งสติไว้ตรงไหนฐานไหนก็ตาม ถ้าว่าจิตละเอียด ลมหายใจจะสั้นเข้าๆ ๆ สติสัมปชัญญะก็อยู่ตรงนั้น รู้ตรงนั้น ลมหายใจไม่ได้ไปอยู่ตรงแม่เท้าหรือหัวเข่า หรืออยู่บนกลางกระหม่อม ก็ไม่ใช่ทั้งนั้นนะ ลมหายใจมันละเอียดไปๆ ไปหยุดตรงกลางพระนาภี เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็เลยให้ตั้งใจไว้ตรงนั้น ที่แท้ก็คือเป็นตัวอานาปานสตินั้นเอง เป็นอยู่แล้ว แต่ว่าหลวงพ่อไม่เพ่งเล็งเรื่องให้สาวลมหายใจเข้าออก เพราะอะไร เพราะรู้ว่าธรรมชาติของใจมันจะหยุดนั้น ให้สังเกตดูว่าหลวงพ่อเอาอะไรมาประกอบการเจริญภาวนา ท่านจะเอาผลอย่างน้อยส่วนหนึ่งหรือขั้นหนึ่งเอามาเป็นเหตุเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการปฏิบัติ ในเมื่อผลของอานาปานสติ ใจหยุดตรงกลางพระนาภี ก็เลยให้กำหนดใจอยู่ตรงนั้น สติรู้ลมหายใจเข้าออกจึงอยู่ตรงนั้น จะได้ไม่ต้องสาวไปสาวมา ผู้ที่ไม่รู้เหตุรู้ผลของอานาปานสติ จะสาวลมหายใจเข้าออกอยู่นั้นแหละ จิตก็หยาบ คือจะละเอียดได้ครึ่งหนึ่ง แต่จะไม่ละเอียดที่สุด เพราะหยาบ ต้องสาวลมหายใจเข้าออก ลมจึงไม่ละเอียดที่สุดและก็ไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ที่แท้จริงได้ เลยไม่ได้ถึงผลของอานาปานสติที่แท้จริงตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ได้ผลส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ไม่ได้เลย แต่ผู้ที่รู้ผู้ที่ปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน รู้เรื่องอานาปานสตินี่ เขารู้นะว่าลมหายใจเข้าออกยาว แล้วค่อยๆ สั้นเข้าๆ ค่อยๆ ละเอียด ไปหยุดอยู่ตรงกลางพระนาภี รู้ทุกท่าน พระอริยเจ้ารู้ทุกท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่า ให้นำนิมิตไปพิจารณาที่ศูนย์กลางกาย

    เพราะฉะนั้น เรื่องอานาปานสตินี้ วิชชาธรรมกายมีอยู่ เป็นอยู่แล้ว และหลวงพ่อพูดและสอนถึงอยู่เสมอ แต่มิให้ไปกังวลเรื่องการสาวลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะทำให้ใจไม่ละเอียดที่สุด คือละเอียดได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะฉะนั้น จึงให้ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ศูนย์กลางกายอันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม เป็นที่สุดเป็นที่ตั้งต้นลมหายใจเข้าออก ให้มีสติรู้ตรงนั้น เมื่อจิตละเอียดก็หยุดตรงนั้นเอง

    บางครั้งกำหนดนิมิตดวงแก้วใส นึกไม่เห็น ก็จะมีอุบายบอกว่า ทำใจให้สว่างเหมือนกลางวัน นึกให้เห็นดวงแก้ว เหมือนกับว่ามีอยู่แล้วในท้องของเรา นึกให้เห็นลมหายใจเข้าออกกระทบดวงแก้ว ก็แปลว่าให้สติอยู่ตรงศูนย์กลางดวงแก้ว เห็นลมหายใจเข้าออก นี้เป็นตัวอานาปานสติ แต่ไม่ต้องสาวลมหายใจเข้าให้จิตละเอียดเร็วขึ้น หยุดเร็วขึ้นกว่าเห็น พอนึกเห็นลมหายในเข้าออกกระทบดวงแก้วได้ที่แล้ว ปล่อยความสนใจในลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตละเอียดยิ่งขึ้นและหยุดได้เร็วตรงนั้น นี่ก็เป็นอุบายและเป็นตัวอานาปานสติจริงๆ ด้วย ให้เข้าใจนะว่า หลวงพ่อท่านสอน แต่ไม่สอนให้สาวลมหายใจเข้าออก ให้มีสติรู้อยู่ตรงกลางของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมแห่งเดียว เพื่อจิตจะได้หยุดเร็ว หยุดถูกที่ เร็วด้วยและก็ถูกที่ด้วย ถูกที่อะไร? ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ถูกกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ตรงนั้นเป็นตัวอานาปานสติ และเข้าสติปัฏฐาน 4 ตรงนั้นเลย มีสติเห็นคือเห็นจริงๆ ไม่ใช่นึกเห็น เพราะใจหยุด มันไม่ได้นึกหรอก สิ่งที่เห็นนั้นไม่เคยนึกเห็นได้มาก่อน อย่างเช่นกายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหมนี้ไม่ได้เคยไปนึกเห็นกายละเอียดมาก่อนว่า สวยอย่างนั้น ละเอียดอย่างนั้น มีไอ้โน่น มีไอ้นี่ ไม่รู้หรอก แต่พอใจเข้าถึง ก็เห็นด้วยใจอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น คนไม่ทราบมักจะวิจารณ์ว่าการปฏิบัติแบบเรานี้เป็นวิปัสสนึก คือนึกเอา ที่แท้ไม่ได้นึก ก็ให้หยุดๆ นึกที่ไหนเล่า ใจหยุด ไม่ใช่ใจนึก นึกตอนแรกเพื่อให้ใจมารวมกัน คือ เห็น จำ คิด รู้มารวมกัน พอใจหยุดแล้ว ก็หยุดในหยุดกลางหยุด ดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อย สิ่งที่เห็นก็จึงเป็นของจริงโดยสมมติ ถ้าสิ่งที่เห็นนั้นยังอยู่ในระดับโลกิยะ ถ้าสุดละเอียดไปเมื่อถึงโลกุตตรธรรมจึงเป็นของจริงโดยปรมัตถ์ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ฌาน ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ และผู้ที่อยู่ในฌาน ก็เหมือนคนนอนหลับ พิจารณาอะไรไม่ได้ ?
    ผู้ที่จะได้รูปฌาน อรูปฌาน เป็นของไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ (เป็นบางคนเท่านั้น) และผู้ที่อยู่ในฌาน เหมือนคนนอนหลับ ที่มีความสุขมาก จะพิจารณาอะไรไม่ได้ นอกจากจะอยู่ในอุปจารสมาธิ พระศาสดากว่าจะเข้าปรินิพพานยังเข้าฌานออกฌานแล้วออกจากฌานที่ 4 จึงปรินิพพาน ความเข้าใจเช่นนี้ของผม ถูกต้องหรือไม่ ?

    ตอบ:

    ประการสำคัญที่สุด คำว่าเจริญฌานสมาบัติ แล้วพิจารณาสภาวธรรม เจริญฌานสมาบัติแล้วน้อมเข้าสู่วิชชา จะเป็นวิชชา 3 หรือจะเรียกว่า อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปันนังสญาณ ก็ได้ พิจารณาสภาวธรรม



    การพิจารณสภาวธรรม ไม่ได้เจริญฌานสมาบัติ 8 ท่านเข้าใจผิด ไปอ่านใหม่ เขากล่าวถึงเจริญฌานสมาบัติเฉยๆ ที่ให้พิจารณาทั้งหมด เขาถอยฌานลงมาทั้งหมด เจริญฌานเพื่อให้จิตละเอียด จิตละเอียดตั้งมั่น อ่อนโยนแล้ว อธิษฐานจิต เช่นว่า พิจารณากายคตาสติทั่วสังขารร่างกาย อธิษฐานจิตลงมาในระดับอุปจารสมาธิ คือ อธิษฐานให้เห็นรูป สัณฐาน กลิ่น สี ตามที่เป็นจริง เราเกือบจะไม่พูดกันถึงเรื่องฌาน เมื่อพูดไปแล้วจะไปเรื่องใหญ่เรื่องโตของสมถะอย่างเดียว แต่เราพูดถึงเรื่องสติปัฏฐาน 4 ทั้งสมาธิและปัญญา เราเจริญขึ้นพร้อมกัน

    ในทางปฏิบัติ เมื่อพิจารณาสังขารร่างกาย ให้ถอยให้เห็นสี กลิ่น สัณฐาน ตามที่เป็นจริง

    ฌาน ยากสำหรับคนทำไม่ได้ คนทำได้ก็ง่าย ท่านพูดเรื่องฌาน อรูปฌาน ท่านไม่พูดเรื่องสติปัฏฐาน 4 เราทำสติปัฏฐาน 4 อย่าไปสนใจเรื่องฌาน เพราะเกิดขึ้นเป็นผล แต่ถ้าเราไปตั้งต้นทำฌานสมาบัติ จะออกไปทางฤาษีชีไพร

    เพราะฉะนั้น การพิจารณาสภาวธรรม ละระดับสมาธิลงโดยอัตโนมัติที่ในหนังสือบอกไว้ นั่นเขาพิจารณาสภาวธรรมแล้ว เขาอาศัยกำลังฌาน อาศัยวิกขัมภณวิมุตติ เพื่อชำระธาตุธรรมเขา เพื่อให้ถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ สุดละเอียด เพื่อไม่ให้อวิชชาทำอะไรได้ ธรรมกายที่สุดละเอียดจะไปปรากฏในอายตนะนิพพาน ได้รู้ได้เห็น ได้สัมผัส และได้อารมณ์พระนิพพานด้วย

    จริงๆ แท้ๆ พระคุณเจ้า อันนี้กระผมไม่กล้ายืนยัน เพราะยังไม่เห็นในตำราไหน แต่มันเป็นเพียงคำพูดที่จงเก็บมาฟังไว้ ในตำราวิสุทธิมรรค ปัญญานิทเทส กล่าวถึงอาการที่จะบรรลุมรรคผล อันชื่อว่า อุภโตวุฏฐาน คือ ออกจากภาคทั้ง 2 คือ ออกจากสังขารนิมิต และออกจากตัณหาปวัตติเครื่องปรุงแต่ง พร้อมกันว่า

    เมื่อพระโยคาวจร เจริญสมถวิปัสสนา เมื่อมรรคจิตจะเกิดขึ้นนั้น กำลังฝ่ายสมถะและวิปัสสนาเสมอกัน จิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ มรรคจิตมรรคญาณเจริญขึ้นปหานสัญโญชน์ให้หมดสิ้นไป จึงเข้าสู่ผลสมาบัติ เป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นๆ ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

    คำว่า เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่นึกเอา ในวิชชาธรรมกาย พิสดารกายไปสู่สุดละเอียด มีสภาวะเป็นตัวนิโรธ หรือจะเรียกว่า วิกขัมภณะก็ได้ ด้วยการข่มกิเลส ปหานอกุสลจิตของกายในภพ 3 หรือดับสมุทัย ดับหยาบไปหาละเอียดจะอวิชชาทำอะไรไม่ได้ เป็นวิกขัมภณวิมุตติ ตกศูนย์เข้าอายตนนิพพาน แล้วจึงซ้อนหยุดแน่นนิ่งไปตรงกลางของพระนิพพาน ตรงนี้แหละ เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ประการหนึ่ง

    ประการที่สอง ออกจากสังขารนิมิต ดับหยาบไปหาละเอียดจนจิตละเอียดหนัก ปล่อยวางอุปาทานในขันธ์ 5 ได้ชั่วคราว ของกายในภพ 3 เป็นอันว่านิมิตซึ่งประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง คือตัณหานั้นหมดไป พ้นจากสังขารนิมิตนี้ เป็นแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของธรรมกาย

    ในขณะเดียวกัน เมื่อมรรคจิตของธรรมกายเกิดและเจริญเต็มที่ ปหานสัญโญชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก หรือปหานตัณหาปวัตติเครื่องปรุงแต่งให้หมดไป เข้าผลสมาบัติเป็นพระอริยบุคคลตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ชื่อว่า อุภโตวุฏฐานะ ออกจากภาคทั้ง 2

    เมื่อมาถึงตรงนี้ ท่านจะเข้าใจที่ผมพูดนี้ ผมพูดตามตำราที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ หรือประสบการณ์ของคนที่เขาปฏิบัติได้ กระผมกราบเรียนไว้อย่างนี้ กระผมมิได้กล่าวว่ากระผมเป็นอริยเจ้า.
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ปฏิบัติแนวพุทโธ ยุบหนอ ไม่ได้เข้าศูนย์กลางกาย บรรลุนิพพานไม่ได้ ใช่ไหม ?
    ที่ว่าวิชชาธรรมกายเป็นทางสายเอก อย่างนี้การปฏิบัติในแนวทางอื่น เช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ ซึ่งไม่ได้เข้าทางศูนย์กลางกายก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ใช่ไหมครับ ? หรือว่ากระผมเข้าใจผิด

    ตอบ:

    การบรรลุมรรคผล บรรลุจากธาตุ-ธรรม และเห็น จำ คิด รู้ คือ “ใจ” ณ ภายในนะครับไม่ใช่ภายนอก และธาตุ-ธรรม เห็น จำ คิด รู้ คือใจ นั้นอยู่ตรงกลางกำเนิด ธาตุธรรมเดิม ใจอยู่ที่ไหน? นั้นท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดบอกแล้วว่า“ใจ” มันทำหน้าที่ตาม โรงงานต่าง ๆ โรงงานกาย โรงงานหู โรงงานตา โรงงานลิ้น แล้วก็โรงงานหัวใจก็มี พอไปทำงาน โรงงานต่าง ๆ เสร็จตามออฟฟิซเหล่านั้นแล้วกลับมานอนบ้าน ตื่นเช้าก็ออกจากบ้าน บ้านอยู่ ตรงไหน? อยู่ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ภาษาบาลีว่าคุหาสยํ “อยู่ในถ้ำ” ถ้ำก็อยู่ตรงนั้นแหละ ตรงกลางกายกลางพระนาภี เพราะฉะนั้นใจมันอยู่ตรงนั้น เมื่อใจอยู่ตรงนั้น การเปลี่ยนวาระจิต เปลี่ยนภูมิธรรม มันเปลี่ยนที่ไหน? ก็เปลี่ยนที่ใจ ใจอยู่ตรงไหน? ก็อยู่ตรงศูนย์กลางกำเนิด ธาตุธรรมเดิม การเปลี่ยนวาระจิตตามภูมิธรรมก็เปลี่ยนตรงนั้น จะดีจะชั่วก็ตรงนั้น จะไป นิพพานก็ตรงนั้น

    หลวงพ่อวัดปากน้ำน่ะท่านจึงรู้ว่าตรงศูนย์กลางกายนั้น คือ ทางสายเอก จะทำอะไร จะถือศีลกี่ร้อยกี่พันข้อ จะนั่งสมาธิ วิปัสสนา จะยุบหนอพองหนอ พุทโธ อะไรก็ตาม มันไป เป็นอยู่ตรงนั้น ใจมันเกิดดับตรงนั้น ไปจนถึงนิพพานก็เป็นตรงนั้น คุณธรรมจะสูงขึ้น ก็เปลี่ยนที่ตรงศูนย์กลางกายนั้นแหละอาตมาจะพูดง่าย ๆ “ใจ” นั้นตั้งอยู่ตรงกลางธาตุ ธาตุเป็น ที่ตั้งของธรรม เมื่อใจสะอาดด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ธรรมก็สะอาด ธรรมคือบุญบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี อันเป็นธรรมชาติเครื่องชำระจิตใจที่อยู่กับใจและอยู่ในธาตุนั้นก็ เป็นธรรมสะอาด และเมื่อธรรมสะอาด ธาตุนั้นจะสกปรกได้ไหม? มัวหมองได้ไหม? ไม่ได้ เมื่อไม่ได้มันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเท่าไหร่ ธาตุที่ละเอียดสุดละเอียดนั่นแหละ สุดท้าย เมื่อพ้นจากความบริสุทธิ์ของกายในภพ 3 จึงถึงธรรมกายไม่ว่าจะทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล หรือบารมีสิบ มันไปกลั่นไปชำระกันตรงธาตุ-ธรรม และเห็น จำ คิด รู้ คือ ใจ จากสุดหยาบ ไปสุดละเอียด ถึงธรรมกาย ณ ที่ตรงนั้น เมื่อเป็นตรงนั้นอาตมาจึงกล่าวว่าจะบรรลุมรรคผล นิพพาน ก็บรรลุด้วยธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ที่บริสุทธิ์สุดละเอียด ตามระดับภูมิธรรม ธาตุที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งชื่อว่า “วิสังขาร”

    ใจของสัตว์ในโลกในภพ 3 ชื่อว่า “ใจ” ได้แก่ เห็น จำ คิด รู้ ที่ขยายส่วนหยาบ มาจาก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ถ้าสุดละเอียด เป็นใจของธาตุล้วนธรรมหรือ วิสังขารแล้ว ไม่เรียกว่า “วิญญาณ” ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ แต่เรียกว่า “ญาณ” คือความหยั่งรู้ หรือ ความรู้แจ้ง ด้วยการที่ได้ทั้งรู้และทั้งเห็น

    ที่นี้นี่แหละบรรลุมรรคผลด้วยคุณธรรมตั้งแต่หยาบ เราไปทางกาย ทางวาจา ทางใจ มันไปเป็นผลที่ธาตุที่ธรรมในที่สุดละเอียดแล้วเบิกบานขึ้น จึงชื่อว่า “พุทโธ” เบิกบาน ตื่น นั่นเบิกบานขึ้นมาธรรมกายก็ดี หรือกายที่ละเอียด ๆ นี่มันโตใหญ่ เพราะไม่ถูกหุ้มด้วยกิเลส อวิชชา ธาตุ ธรรม เห็น จำ คิด รู้ ไม่ถูกหุ้ม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำดีอะไร จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันเป็นอยู่ตรงนั้น นี่แหละตรงนี้แหละที่คนไม่รู้เคล็ดลับ คุณธรรมจะดี เป็นคุณธรรมที่ดี ที่สูง ที่สะอาดบริสุทธิ์ ก็เป็นที่ธาตุ ธรรม เห็น จำ คิด รู้ เพราะฉะนั้นแหละตรงศูนย์กลางกาย สุดกายหยาบ กายละเอียด ถึงธรรมกายและพระนิพพานถึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางสายเอก แม้จะยุบหนอพองหนอ พอใจสะอาดมันก็ไปสะอาดตรงนั้น แต่ผู้ปฏิบัติยุบหนอพองหนอที่ไม่เคย รู้จุดตรงนั้น ก็อาจจะไม่ทราบว่าใจของตนไปสะอาดตรงนั้น หรือจะพุทโธก็แล้วแต่พระอริยเจ้า จริง ๆ แล้วท่านรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ครับ แต่ว่าผู้อื่นที่ยังไม่ถึงอริยเจ้า ท่านไม่รู้ เป็นได้ มีได้ หรือที่รู้ ก็มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าปฏิบัติสายไหนนะครับ มันเป็นเรื่องเดียวกัน จึงไม่ต้องมาว่ากัน ดีด้วยกันทุกสาย เพราะมันไปสะอาดที่ธาตุ ธรรม เห็น จำ คิด รู้ คือ “ใจ” เหมือนกัน จะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม จึงมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวว่ามรรคผล มันเกิดตรงนั้น ธรรมกายมรรค ผล และนิพพาน เบิกบานขึ้นมาจากตรงนั้น ตื่นขึ้นมาจาก ตรงนั้น เท่านั้นเอง แต่ว่าผู้เป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ทุกองค์ ต้องรู้ รู้มากอย่างละเอียดหรือว่า ผู้พอเข้าใจแจ่มแจ้งพอสมควรเท่านั้นเองครับเพราะฉะนั้นไม่ต้องกังขา ปฏิบัติสายไหนดีทั้งสิ้น เป็นทางไปมรรค ผล นิพพาน ได้ทั้งนั้นถ้าใครปฏิบัติไปแล้ว กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ ธาตุ-ธรรม เห็น จำ คิด รู้ สะอาดบริสุทธิ์ ใจสะอาดบริสุทธิ์ ปัญญาก็บริสุทธิ์ ที่สุดใจก็หมดกิเลสแล้ว ก็ไปหมดกันตรงนั้นนะครับ เพราะฉะนั้นจึงเหมือนกัน ไม่แตกต่างกันเพียงแต่จะรู้ หรือไม่รู้ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติยังไม่ถึง หมายความว่ายังไม่เป็นมรรคเป็นผลที่แท้จริง ก็อาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ผู้ที่ถึงมรรคผล และพระนิพพานแล้วเชื่อแน่ว่าต้องรู้แน่นอนครับ
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ดวงธรรม และธรรมกาย ทั้งหลายนี้ เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ?
    เมื่อสมัยเกือบ 20 ปีมาแล้วก่อนท่านกับผมลาออกนิดหน่อย ท่านยังไม่ได้บวช ผมเคยถามปัญหาธรรมท่านอย่างหนึ่ง พอดีมีคนอื่นมาขัดจังหวะ ท่านเลยยังไม่ได้ตอบผม ปัจจุบันนี้อายุผมเกือบจะ 70 แล้ว ก็ยังไม่ได้คำตอบ ผมจึงขอเรียนถามท่านเสียที่นี่อีกครั้งนะครับ ผมถามอย่างนี้ครับ ดวงธรรม และธรรมกายทั้งหลายนี้ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรมครับ ผมเรียนถามเท่านี้ละครับ ผมตีไม่แตกซะที

    ตอบ:

    เรื่องที่ถามไป ขอเจริญพรตอบสั้นๆ ไว้ก่อนว่า เฉพาะเรื่อง “ดวงธรรม” ที่ทำให้เป็นกายโลกิยะ (มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม) ส่วนที่รับรู้ เป็นนามธรรม ส่วนที่ถูกรับรู้เป็นรูปธรรม กล่าวคือ ส่วนที่ขยายส่วนหยาบจากธาตุละเอียดของนามขันธ์ 4 คือ เห็น-จำ-คิด-รู้ นั้นก็คือ “ใจ” ซึ่งเป็นนามธรรมนี้ตั้งอยู่ในท่ามกลางดวงกายซึ่งขยายส่วนหยาบจากธาตุละเอียดของรูปขันธ์ ซึ่งเห็นเป็นดวงใสอยู่ชั้นนอก และมีธาตุละเอียดของมหาภูตรูป 4 คือ ธาตุน้ำ-ดิน-ไฟ-ลม และอากาศธาตุ ตั้งอยู่ภายในดวงกายนั้นแหละ ส่วนนี้เป็นรูปธรรม และยังมีเจตสิกธรรมที่เป็นบุญกุศล, บาปอกุศลหรือกลางๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตที่เป็นกุศล/อกุศล/กลางๆ อีกด้วย ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็น “สังขารธรรม” ทั้งสิ้น จึงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นสังขตธรรมสังขตลักษณะคือความเกิดปรากฏ 1 ความเสื่อมสลายปรากฏ 1 เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ 1 (อุปฺปาโท ปญฺญายติ วโย ปญฺญายติ ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ)

    ส่วน “ธรรมกาย” ที่บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ (วิราคธาตุ) ล้วน ๆ ของพระอริยเจ้า-พระอรหันตเจ้าที่ยังมีชีวิต คือยังครองเบญจขันธ์อยู่ชื่อว่า “สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ” ที่เบญจขันธ์แตกทำลายแล้วชื่อว่า “อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ” เฉพาะพระนิพพานธาตุของพระอรหันต์เป็น “วิสังขารธรรม” ที่ไม่ตกอยู่ในอาณัติแห่งพระไตรลักษณ์ มีสภาวะที่เป็นนิจจัง ปรมัง สุขังและธุวัง (ธุวํ-ยั่งยืน หรือ สสฺสตํ มั่นคง หรือ ตาทิ-คงที่) เป็นอมตํ ปทํ เป็นอสังขตธรรมที่มีอสังขตลักษณะคือไม่ปรากฏความเกิด 1 ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย 1 (และ) เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน 1 (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ น วโย ปญฺญายติ น ฐิตสฺส อญฺยถตฺตํ ปญฺญายติ) นี้แหละที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ผู้บรรลุพระโสดาบันบุคคลแล้ว ด้วยอนัตตลักขณสูตร มีความตอนหนึ่งว่า

    “รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส. นยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย. ฯเปฯ ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว รูปํ อนตฺตา. ตสฺมา รูปํ อาพาธาย สวตฺตติ.”

    “ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา ภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ.... ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูป[นี้]แลเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป[นี้]จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ผู้ปฏิบัติสายอื่น ไม่เห็น “ธรรมกาย” แต่ระดับจิตถึงธรรมกาย มีไหม ?
    ผู้ปฏิบัติไม่เห็น "นิมิตธรรมกาย" (นี่คิดผิดนะครับ) คือปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงพระธรรมกาย นั้นมีไหม ?

    ตอบ:

    ข้อหนึ่ง คำว่า “นิมิตธรรมกาย” นั้นอย่าพูดเลยนะครับ ธรรมกายไม่ใช่นิมิต นะครับ... ของจริงนิมิตมีสองสามอย่างให้เข้าใจ ประเภทของนิมิต

    หนึ่ง.. นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต เจริญภาวนา ไป ใจมันหยุดรวม ได้อุคคหนิมิตเห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน ใจก็รวมหยุดแน่วแน่ เข้าไปอีกถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิมันก็ชั้นสูงจาก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำสูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิต ก็อัปปปนาสมาธินั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิต อย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตมันค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้น กลายเป็นอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง..นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิตเรียกว่า สุบินนิมิต ถ้าไม่นอนฝัน..อะไร ๆ ที่เรามองเห็น นี่เรียกว่า นามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้.. การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต คือจากการมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด ทิพย์ ทิพย์ละเอียด พรหม พรหมละเอียด อรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด แต่นิมิตมันมีของปลอมกับของจริง

    ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติบางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดด โฮ้ก..เข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี.. แต่เปล่าผีไม่มี นี่เรียกว่า เห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ..ใจ หรือเห็น จำ คิด รู้ ที่มันเห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ

    นิมิตจริง ก็เห็น นาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร แม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็น ๆ อยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ

    นี่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความ เงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้”

    แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไปเห็นธาตุล้วนธรรมล้วน จริง ๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิต ชื่อว่า เบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา แต่ธรรมกาย ไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่า ธรรมขันธ์ เหมือนพระรุ่น 4 ที่ว่าดัง ๆ นั่น...พระผงธรรมขันธ์ ก็ธรรมกายนั่นแหละ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพ 3 นี้ไป เป็นของจริงครับ เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่าจำเพาะส่วน ที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น โคตรภู คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตตระ แต่กำลังจะขึ้นไป แต่ถ้าว่า เป็นธรรมกาย มรรค ธรรมกายผล พระนิพพาน แล้วหละก็เป็นธรรมขันธ์แท้ ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่า นิมิตครับ ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละครับ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริง ของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้ เรียกว่านิมิต จริง ๆ นิมิตอยู่ใน ครรลอง ในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพ 3 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นเห็นกายมนุษย์ คือ ตาเห็นรูป หรือว่า ทิพพจักขุ เห็นกายทิพย์ พรหมจักขุเห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3

    แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักขุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง..มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกัน มันไม่ถูกหรอกครับ เพราะมันเข้าไม่ถึง มันเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่าน จะเข้าใจอย่างไรก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน อีกเหมือนกัน

    สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะ มีไหม?

    มีครับ..ต้องมีครับ อันนี้ไม่ปฏิเสธนะครับ จะสายพุทโธ ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอะระหังหรือว่าอะไร ๆ ก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึงครับ ไม่มีปัญหาครับ

    ถ้ามีจะหลุดพ้นหรือไม่ ? หลุดสิครับ ทำไมจะไม่หลุด
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ผู้ถึงธรรมกาย จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงที่สุดแล้วหรือ ?
    ผู้ปฏิบัติภาวนาที่ได้ถึงธรรมกาย แล้วจัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ได้ถึงที่สุด (บรรลุมรรค ผล นิพพาน) แล้วหรือ ?

    ตอบ:

    ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายแล้ว ตราบใดที่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการ (คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้โดยเด็ดขาด ตราบนั้น ก็ยังมิได้บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคล จึงยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ (บรรลุ) ถึงที่สุดแล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้สอนภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย แต่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการได้ดังกล่าวแล้วว่า ยังจัดเป็นแต่เพียงโคตรภูบุคคล
    ซึ่งท่านอุปมาไว้ว่า
    เสมือนหนึ่งว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ส่วนขาอีกข้างหนึ่งยังยืนอยู่ในภพ 3 กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ถึงธรรมกายแล้วนั้นก้าวหน้าต่อไป คือปฏิบัติภาวนาต่อไปอีกจนสามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการนั้นได้โดยเด็ดขาด ก็ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคลตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ แต่ถ้าผู้ที่เคยปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะของการก้าวถอยหลังกลับคืนมาสู่โลก (ภพ 3) ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำ เหตุหนุน จนธรรมสัญญาขาดจากใจและธรรมกายดับลงเมื่อใด บุคคลผู้นั้นก็กลับเป็นปุถุชนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส และมีสิทธิถึงทุคคติได้เมื่อนั้น

    ผู้ปฏิบัติธรรมจนได้ถึงธรรมกาย และยังทรงอยู่เสมอนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้บวชภายใน
    ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คือแปลว่า ใจนั้นบวชอยู่ และถ้าหากได้บรรพชาอุปสมบทอีกด้วย (ในกรณีที่เป็นชาย) ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้บวชทั้งภายในและภายนอก
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]

    [​IMG]
    สมัครเข้ารับการอบรมได้ปีละ 2 รอบ รอบปลายปีช่วง 1-14 ธค
    ช่วงกลางปี 1-14 พค





    อบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นกลางปี (ฆราวาสเข้าร่วมอบรมได้) ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชุบรี
    - ขั้นพื้นฐาน เพื่อให้จิตสงบ พบดวงใส
    - ขั้นกลาง เพื่อต่อจากดวงใส เป็น 18 กาย และต่อไปถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า
    - ขั้นสูง เพื่อตรวจภพตรวจจักรวาล เจริญวิชชา และละกิเลสในใจตน
    นำโดย พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล, ป.ธ.6) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม พระวิทยากร และอุบาสก อุบาสิกาวิทยากร ที่ครูบาอาจารย์คัดเลือกให้สอนสมาธิได้

    - ปฏิบัติธรรมรวมกลุ่มใหญ่
    - ปฏิบัติธรรมแยกกลุ่มย่อยกับวิทยากร
    - ฟังธรรมจากพระมหาเถระ
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15965748_627563394111503_646103683026448035_n.jpg

    ตอบปัญหาธรรม "อธิษฐานว่าวันนี้ถ้าบุญบารมีพอขอให้เห็นดวง แต่ถ้าไม่พอ จะขอหยุดไว้ก่อน?"
    โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    (คัดลอกบางส่วน)

    http://www.dhammakaya.org/ตอบปัญหาธรรม/อธิษฐานว่า-วันนี้ถ้าบุญบารมีพอ-ขอให้เห็นดวง-แต่ถ้าไม่พอ-จะขอหยุดไว้ก่อน
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    15895148_1437248782975992_7907272661150774292_n.jpg



    บทความจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา


    สมาธิตอนเด็กๆ พูดแล้วก็อัศจรรย์ พอทำอยู่กับหลวงพ่อตรึกอะไรก็ไปได้เลย ตอนนี้สู้ตอนนั้นไม่ได้ พอตอนเช้าๆออกมาทานข้าว คนในโรงครัวกับคนทำวิชชาเขาจะแยกกัน...ขณะที่เราเดิน จิตจะสว่างหมด จะเห็นดวงใสอยู่ในกาย จะมองเห็นหน้าคนไม่ชัด ใจจะติดอยู่แต่ข้างใน หลวงพ่อท่านเห็นว่า หมอเป็นเด็กฉลาดและคล่องแคล่วในตอนแรกเลยนั้น ท่านให้ไปฝึกแก้โรคที่ตรงประชาสัมพันธ์ ฝึกแก้โรคก็ไม่ยากหรอก ท่านบอกว่าพวกนี้มันมีเหตุมาหลายอย่าง มนุษย์เรามี 2 สาย คือสายดำกับสายขาว สายขาวคือสายธรรมะของเราก็พยายามให้แสงสว่างให้มีความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา สายดำของเขา เขาก็สั่งให้ทำบาป ยิ่งทำเลวร้าย สกปรกโสมม ไปผิดศีล ผิดธรรม เขายิ่งชอบมากเลย สายดำเขาให้กำลังความชั่วอย่างนี้

    แต่สายเราสายขาวก็ให้กำลังแต่ธาตุธรรมฝ่ายดี หลวงพ่อจะแยกธาตุท่านจะบอกว่าสายดำมันมาแยกอย่างนี้นะ จะเกิดอะไรขึ้นมาท่านก็ให้ช่วยทำให้สว่างไสว ให้แม่ชีช่วยทำด้วย แต่ทีนี้แม่ชีน้อยเหลือเกิน มีแค่ 30-40 คน ไม่พอ เพราะการทำวิชชาต้องใช้คนเยอะ เวลาทำวิชชาใช่ว่าใจทุกคนจะนิ่งแน่นตลอดหมดทุกคน สามารถดิ่งไปได้เรื่อยๆ มีที่หลับที่ตื่นก็มี หลวงพ่อท่านก็จะคอยปลุก คือท่านจะเรียก เรียกทีไรตื่นทุกที ได้ยินทุกที หลวงพ่อเหมือนท่านจะไม่ได้หลับเลย อยู่ทุกกะ และได้ยินเสียงท่านตลอด
    หลวงพ่อจะชื่นชมทุกคน รักลูกทุกคน ท่านเมตตามาก สมัยก่อนที่คณะทำวิชชาจะมีต้นมะม่วงอยู่ 2 ต้น หลวงพ่อท่านก็จะเด็ดใส่กระจาด แล้วให้แม่ชีจับฉลาก หมอก็มักอธิษฐานว่าถ้าลูกมีบุญวาสนาก็ให้จับได้ แล้วก็จับได้เป็นอัศจรรย์ หลวงพ่อท่านมีอะไร ท่านก็จะเอามาแบ่งปันให้ลูกๆทุกคน ตอนที่ทำวิชชาจะไม่เห็นกันนะพระอยู่ฝั่ง ชีอยู่อีกฝั่ง หลวงพ่ออยู่ตรงกลางมีฝากั้น แม้หลวงพ่อท่านจะไม่เห็นลูกๆ แต่ท่านรู้เรื่องของลูกๆหมดเลย ...โอ้โห...พอออกไปข้างนอก กลับมาท่านก็จะถามไปไหนมา ท่านทักทีขยาดก็แล้วกัน ท่านรู้หมด หาอย่างหลวงพ่อนี่ไม่มีอีกแล้ว ท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ ท่านด่าก็ด่าเจ็บ ว่าก็ว่าเจ็บ เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก

    มีเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่ง คราวนั้นเป็นฤดูหนาว หนาวมากเลย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ออกมาอยู่แถวๆหน้ากฏิทำวิชชา ดูท่าทางเขาหนาวมาก พอเห็นแล้วก็สงสาร จึงเอาผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียวของตัวเองให้เขาไป พอบ่ายๆเย็นๆหลวงพ่อก็ถามว่า ใครไม่มีผ้าห่มบ้างวะ เหมือนกับท่านรู้ แล้วท่านก็ส่งผ้าห่มให้ 1ผืน ส่งผ่านมาทางช่องเล็กๆ อย่างที่เล่าให้ฟังว่าห้องทำวิชชาจะมีช่องเล็กๆไว้ยื่นส่งของ วิชชาดับดาวนั้นมีจริงๆ หลวงพ่อท่านไม่อยากให้มีดวงดาว ดวงอาทิตย์ เมื่อมีดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ต้องมีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านทำในเหตุ ดับในเหตุ ทำต่อเนื่องกันมา แม้จะมีอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ ท่านก็จะทำ ถ้าเราพูดถึงหลักธรรมะ คือดับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก็ทำ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ท่านต้องการไม่ให้มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจึงให้ดับความกำหนัด เมื่อเกิดความกำหนัดยินดี ก็เกิดราคะ เมื่อเกิดราคะ ก็เกิดอวิชชา สร้างบาปสร้างกรรมก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    หลวงพ่อท่านทักอะไรใคร ก็จะเป็นอย่างนั้น เคยสัมผัสมาหลายครั้ง ทั้งเรื่องเจ็บป่วย และเรื่องตาย หมอเคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง คือเด็กสมัยก่อนก็บ้าๆบอๆเสียสติ เวลาเรือแล่น สมัยก่อนเรือนั้นจะแล่นเร็วมาก แล้วเด็กจะเกาะเรือตามสายน้ำมาเรื่อย สติไม่ดี ท่านบอกว่ามันไม่หาย มันไม่บ้าแต่มันบอ ไม่หาย แล้วหลวงพ่อท่านจะบอกเอง จะเป็นจะตาย ดีไม่ดีท่านบอกเอง ไม่ต้องไปจุกจิกกับท่าน ท่านรู้ดี ท่านจะไม่ทายส่งเดช และไม่อวดรู้

    หลวงพ่อเป็นองค์พระที่ปฏิบัติตนดีมาก พระของขวัญของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ ถ้าใครเอาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง สมัยนั้นมีบางคนเอาไปทิ้งทะเล ทิ้งแม่น้ำ หาว่าพระของหลวงพ่อมีกระดูกมีอะไรต่ออะไรผสมอยู่ จริงๆแล้ว ก็จะมีเกศาของหลวงพ่อผสมอยู่ทุกองค์ และดอกมะลิ ดอกมะลินี้ก็มีกายสิทธิ์ กายสิทธิ์นี้ก็มีจริงๆนะ ในลูกหินมีกายสิทธิ์ มนุษย์เราถ้ามีจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งรวย กายสิทธิ์ก็ยิ่งลูกใหญ่ คนมีบุญถึงจะมีกายสิทธิ์ อย่างพวกแก้วแหวนเงินทอง ก็มีกายสิทธิ์อยู่ทั้งนั้น เรามองไม่เห็น ต่อเมื่อนั่งธรรมะ จึงจะรู้และสัมผัสได้ ตอนท่านทำพระของขวัญ ก็ได้ช่วยหลวงพ่อ ท่านยังบอกเลยว่า เอ็งไม่เอาเหรอ 25 บาท ใครมีพระหลวงพ่อจะได้สมบัติพันล้าน ความนัยของหลวงพ่อที่พูดก็คือ ที่เราสร้าง 25 บาท เงินอันนี้ไปสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม หลังแรกของวัดปากน้ำ ศาลาหลังนี้นะ พระไปเรียนไปศึกษาพระปริยัติธรรม ก็จะได้บุญตลอด แล้วทำไมจะไม่มีพันล้าน จะมีมากกว่าพันล้านอีกจะติดตัวไปเป็นร้อยๆ ชาติ พระของหลวงพ่อ ถ้าเอาไปใช้ในทางไม่ดี ไปจี้ปล้นหลอกลวง ก็ไม่ได้ผล ต้องใช้ในทางกุศลเท่านั้น

    ตอนที่ทำพระรุ่น 4 นั้น หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว ตอนที่หมอมีพระของขวัญของท่านก็ไม่ได้รักษา ท่านเคยเตือนว่า ระวังพระจะหายนะ ต่อมาพระก็หายจริงๆ หลวงพ่อท่านจะเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าประมาท เราจะคว้าขอนไม้หรือจะคว้าดวงแก้ว คนที่ไม่มีธรรมะเหมือนกับขอนต้นไม้ ถ้าเรามีธรรมะเหมือนกับมีดวงแก้วเกาะ เราไม่ไปนรกแน่นอน เพราะถ้าเรามีดวงแก้ว มีดวงธรรม เราก็ไม่กล้าทำบาป เราเห็นแล้วว่าแม้แต่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่ามดฆ่าปลวก ข้างในเขาก็คือคนเหมือนเราทั้งนั้น ลักทรัพย์แม้แต่บาทหนึ่ง เฟืองหนึ่งเราก็ไม่เอาของเขา

    เวลาทำบุญนะ อย่าไปผลัดก่อน ให้รวยก่อนแล้วมาทำ มารอให้รวยก็ตายก่อน มารมาตัดรอนได้ เราต้องให้คู่กันระหว่างโลกกับวัด มีวิชาชีพเราก็ต้องทำ แต่บุญเราก็ต้องทำคู่กันไป จะคอยให้รวยก่อนแล้วค่อยทำไม่ได้ ต้องทำคู่กันไป สมัยที่ทำวิชชาหลวงพ่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ให้อยู่ในวิชชาอย่างเดียว ให้แก้ในเหตุ นิ่งแน่นๆ ละเอียดลงไปๆ แล้วนั่งสมาธิทุกวัน ไม่เบื่อและไม่ต้องเคร่งครัดทำสบายๆ และท่านจะเตือนอยู่เรื่อย ไปถึงไหนแล้วท่านจะรู้ ตอนเย็นตอน 4-5 โมงเย็น ต้องเข้ามานั่งฟังวิชชา เข้าหมดรวมหมดทุกคน หลวงพ่อจะอบรมสั่งสอน มีระเบียบมาก ออกมาข้างนอกให้รีบๆไม่ให้คุย ออกมานานไม่ได้ต้องดิ่งธรรมะ ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก แทบไม่ได้พักผ่อน และท่านมีบุญมาก ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆองค์
    ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา ผิวท่านผ่องใส พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ แก้ให้เป็นดี จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน ให้เซฟมันไป ไม่มีหรอก มีแต่ให้มันดีขึ้น

    ถ้ามีเรื่องกับผู้ชายก็ให้ผู้หญิงไปเจรจา ถ้ามีเรื่องกับผู้หญิงให้ผู้ชายไปเจรจา อย่างเซฟนี้คือเวลาเขาสายดำ ท่านก็จะให้เซฟคืออย่าให้เกิดขึ้นอีก อย่างบางคนที่อยู่คณะทำวิชชาแล้วออกไปจะกลัวมาก หลวงพ่อเซฟหมดเลย คือหลวงพ่อเก็บไม่ให้มันเกิดเลย แต่จริงๆ แล้วหลวงพ่อท่านไม่ให้เก็บหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร แต่ที่เขาตกต่ำ เพราะไม่รักษาธรรมะไว้

    ตอนที่เป็นชีนั้น หลวงพ่อตั้งให้เป็นอาจารย์สอนธรรมะ ไปสอนที่สุพรรณ ก็มีลูกศิษย์มาก ต่อมาป่วยและจะสึก หลวงพ่อท่านไม่ให้สึก ท่านบอกว่า เอ็งจะสึกไปแทะกระดูกเหรอ ทางโลกไม่มีอะไรดี ท่านห้ามนะ แต่สุดท้ายหมอก็สึก สึกแล้วก็ยังอยู่ที่วัดตอนนั้นป่วยไม่สบาย ป่วยมากเลย หลวงพ่อก็เลยให้แม่ชีชั้นไปช่วยแก้ สึกแล้วจะลงไปหาญาติ ท่านถามว่าจะไปทำไม ก็บอกว่าจะไปขอเงิน ท่านก็บอกให้เอาไป 30 บาท ไปเบิกกับคุณประยูร ไม่ต้องไป ให้นั่งทำวิชชา แล้วจะลาท่านไปไหนนะ ท่านให้นั่งสมาธิไป พวกรุ่นหมอตอนนั้นก็ประมาณ 10 ขวบ กว่าทั้งนั้นนะก็วัยรุ่นทั้งนั้น ท่านบอกเรานั่งธรรมะแล้ว จะต้องไปหาเขาทำไม ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้รักสายธรรมะ พอสึกได้สักพัก เรียนหนังสือเพิ่ม แล้วก็มาแต่งงาน มาเจอคุณจุตติตอนกลับบ้าน ตอนบวชเราก็เคยอธิษฐานจิต ขอให้เจอคนที่มีศีลธรรม

    พอเจอแฟนคนนี้ก็บอกว่า ถ้าหลวงพ่ออนุญาติให้แต่งก็แต่งนะ คุณจุตติก็ไปขอหลวงพ่อ ครั้งแรกหลวงพ่อก็ไม่ให้ ครั้งที่ 2 ถึงให้ ท่านบอกว่า ออกไปข้างนอกไม่ใช่สบายนะ ต้องไปแทะกระดูก ตอนแต่งงาน หลวงพ่อก็ไปฉันที่บ้านด้วย มีพระมา 9 องค์ พระที่มากับหลวงพ่อรู้สึกว่า ตอนนี้จะไม่เหลือแล้ว มีพระมหาวิชัย อาจารย์เฉลียว ท่านชวลิต แล้วหลวงพ่อท่านก็สอนธรรมะว่าเอ็งนะ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่าเอาเข้า สมณะชีพราหมณ์นะลูกนะ ใครไม่ให้ช่างเขา เราต้องให้ แล้วให้สร้างสาธารณกุศล ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง แล้วก็สอนสามีว่า ถ้าทำบุญ ไม่ให้ห้าม เขาจะสร้างบุญสร้างกุศลไม่ให้ห้าม แล้วก็สงเคราะห์ญาติฝ่ายภรรยาและสามี วันแต่งงานท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านก็กลับวัด ท่านไปถามครูญาณีว่า มันจะมีลูกกี่คน ก็บอกว่าจะมี 7 คน แล้วก็มี 7 คนจริงๆตรงตามที่แม่ชีพูดไว้

    พอแต่งงานชีวิตก็ยิ่งกว่าทะเลอีก ลำบากมากๆ ตอนนั้น ชีวิตตกต่ำที่สุด เมื่อลำบากหนักเข้าก็นั่งสมาธิ หลวงพ่อท่านก็มาหา มาเข้าฝัน ท่านบอกว่า เอ็งนะ ถ้ามีวิชชาเอ็งจะไม่ลำบากหรอก เราก็บอกหลวงพ่อ วิชชาของลูกเนี่ย ทำสมาธิอยู่ทางโลกลูกไม่เก่ง พอออกมาแล้ว เย็บปักถักร้อยได้ แต่ไม่เก่งเลย ลูกจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมาประกอบอาชีพ ท่านก็บอกเองว่า เอ็งมีวิชชาความรู้จะไม่ลำบาก

    ชีวิตลำบากมากเลย สามีตกงานลูกก็เยอะ แล้วสามีก็ป่วยอีก หลวงพ่อก็มาเข้าฝันอีก ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านบอกเองตั้งใจให้ดีนะลูกนะ ท่องคาถานี้นะจดจำไว้นะ ต่อไปเองจะได้ไม่จน "สิริวิยะ มหาวิชะ มหาลาภะ" พอตื่นขึ้นมาก็เล่าให้สามีฟัง สามีก็รีบจดแล้วใช้ท่อง สามีป่วยเป็นโรคมาลาเรีย สมัยนั้นไวรัสลงตับ ตายลูกเดียว ตาเหลือง รักษาลำบาก

    พอหลวงพ่อบอกเท่านั้น ก็มีคนรู้จักมาแนะนำว่าให้ไปถอนหญ้าคา ก่อนถอนก็บอกว่า พ่อหญ้าคา แม่หญ้าคา ขอให้กินยาแล้วหายขาด หลังได้คาถามา พอมากินยาหม้อนั้นก็หายเลย เพราะหลวงพ่อช่วยไว้ สามีจึงรอดชีวิต
    หลังจากนั้นก็สมัครงาน ปรากฏว่ามาได้งานที่การไฟฟ้า แผนกการเงินสอบผ่าน สมัยก่อนต้องผ่านทางด้านกฏหมาย ดูว่าเคยทำอะไรผิดพลาดบ้างไหม ปรากฏว่าผ่าน แล้วชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

    เราก็เลยเอาพ่อแม่สามีมาอยู่ด้วย พอมาอยู่ จากที่พ่อของสามีชอบไปจับปลา และทานเหล้า เราก็ห้าม แล้วให้ใส่บาตร วันหนึ่งงูเข้ามาในบ้าน งูนั้นร้ายมากเลย พ่อไปตีจนมันเจ็บ ตอนเย็นไปช่วยพ่อทำกับข้าว งูก็มากัดหมอเลยนะ กัดนิ้วโป้ง กัดไม่ปล่อยเลยนะ คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ พอกัดได้สักพัก ก็รู้สึกจุ๊บเข้าไปในหัวใจ พิษแล่นขึ้นมาเลย

    นึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ลูกก็สร้างแต่บุญ ถ้ามาตายด้วยอสรพิษ ลูกก็ไม่เสียดายชีวิตหรอก พอพ่อได้ยินดิฉันร้อง ทั้งพ่อทั้งสามีและคนใช้ ก็เอาไม้มาไล่ตีงู จะฆ่าให้ตายให้ได้ งูนั้นตัวใหญ่มาก แต่ดิฉันไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ทำ นึกว่าจะตายก็ตาย จิตก็สัมผัสถึงหลวงพ่อมาตลอด คือพอเรานึกถึงอะไรสิ่งนั้นก็จะมาสัมผัส

    นึกถึงหลวงพ่อตลอดทางมาถึงโรงพยาบาลจุฬา พอ 4 ทุ่มคุณหมอก็บอกว่า ต้อง 2 ยามจึงจะพ้นขีดอันตราย พอ 2 ยามก็พ้น กลับบ้านได้ อีก 7 วัน งูตัวนั้นก็มาอีก พ่อก็เอาไม้ตีมันจนตาย หมอกลับไปถึงบ้านรู้สึกเสียวไส้เลยจึงให้พ่อบวช
    (เรื่องเล่าโดย คุณหมอจินตนา โอสถ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 1)
    ที่มา https://phramongkoltepmuni.blogspot.com/?m=1
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    จะบริกรรมภาวนาอย่างเดียว จะได้ผลหรือไม่ ?
    เกี่ยวกับบริกรรมนิมิต เมื่อใดจะได้นิมิตสักที เพราะกำหนดบริกรรมนิมิตไม่ได้ จะบริกรรมภาวนาอย่างเดียวจะเกิดผลหรือไม่ ?
    ตอบ:
    จะภาวนาอย่างเดียวก็ได้ แต่ว่าถึงอย่างไร ใจต้องมีที่ตั้ง เพราะใจเรานั้น เห็นด้วยใจ เห็นที่ไหนใจอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้น ต้องให้เห็นอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ใจจึงจะอยู่ที่นั่น
    การนึกบริกรรมนิมิตให้เห็นด้วยใจ ณ ภายใน ซึ่งจะได้ผลดีเป็นของยาก ถ้านึกนิมิตอยู่ภายนอก มักเห็นได้ง่ายกว่า แต่เมื่อใครนึกอยู่ ณ ภายในได้จะได้ผลดีที่สุด เพราะเมื่อใจหยุดตรงนั้น ถูกกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ตรงศูนย์กลางกายเหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ เมื่อถูกแล้ว เราจะสามารถเข้าถึงธรรมในธรรม กายในกาย จิตในจิต ได้โดยสะดวก และไปถึงธรรมกายถึงพระนิพพาน
    เรารู้ว่าจุดนี้เป็นจุดที่เที่ยงตรง เห็นหรือไม่เห็น จงทำต่อไปจนกว่าจะเห็น แต่ถ้านึกไม่เห็นปวดเมื่อยเหนื่อยใจหนักหนา ก็นึกให้เห็นจุดเล็กใสเข้าไว้เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ใจเข้าอยู่ ณ ภายใน การนึกให้เห็น อย่าไปคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่นึกเอา นึกให้เห็นเป็นอุบายเบื้องต้น ใจประกอบด้วยความเห็นด้วยใจ ความจำ ความคิด ความรู้ มารวมกันเป็นจุดเดียวกันตรงเห็นนั้น เพราะฉะนั้นความจำเป็นในเบื้องต้นที่นึกให้เห็นจึงต้องทำ

    แต่อุบายวิธีที่เราจะให้เห็นตรงนั้นก็ต้องปล้ำกันหลายเพลง เช่นว่า นึกดวงไม่เห็น อาจจะนึกองค์พระก็ได้ หรือนึกง่ายๆ คือนึกว่าในท้องมีลูกแก้วลูกหนึ่ง ประมาณเอา คือใจจะค่อยปรับตัวจนหยุดนิ่ง นี่เป็นอุบายอย่างหนึ่ง อาจจะต้องใช้อุบายหลายเพลงเช่นกันกว่าจะเห็นได้


    แม้กระทั่งดวงไฟตรงไหนที่ไหนที่เห็นกลมๆ ก็นึกดวงให้สว่างอยู่ข้างในท้อง ซึ่งใช้ได้เช่นกัน

    ถ้านึกอย่างนั้นไม่ได้ให้ท่อง "สัมมา อรหังๆๆๆ" ไปตรงกลางจุดศูนย์กลางนึกให้เห็นจุดเล็กใส นิ่งๆ ไว้ พอนึกเห็นตามสบาย อย่าอยากเห็นจนเกินไป จนไม่ได้เห็น เพราะเพ่งแรงเกินไป จิตที่จะเห็นต้องพอดีๆ เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายลองเอาปิงปองวางอยู่ในน้ำ จะกดปิงปองให้จม ในน้ำได้โดยวิธีไหน อุปมาอย่างนั้นฉันใด การเลี้ยงใจให้หยุดให้นิ่ง และจะได้เห็นเองก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าจะนึกให้เห็น พอไม่เห็นอึดอัดโมโหหรือหงุดหงิดอย่างนี้ไม่มีทางเห็น ทำให้เป็นธรรมดา เห็นก็ช่างไม่เห็นก็ช่าง ความจะเห็นต้องประกอบด้วยใจสบาย ละวางให้หมด เรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต แม้ตัวเราก็ต้องละให้หมด วางใจนิ่งๆ พอดีๆ ใจสบายๆ ก็จะเห็นได้ง่าย



    อีกวิธีหนึ่ง ก่อนนอนจะหลับให้ท่อง “สัมมาอรหังๆๆ” นึกเบาๆ ท่องไป พอใจจะหลับ สภาพของใจจะตกศูนย์ ความรู้สึกภายนอกจะหมดไป จะเหลืออยู่แต่ข้างใน พอจิตตกศูนย์ ดวงธรรมดวงใหม่จะลอยขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย ใสสว่างอยู่ตรงนั้นก่อนหลับ แล้วก็เผลอสติหลับไป
    เห็นตรงนั้นจับให้ดี พอเห็นดวงก็เข้ากลางของกลาง หยุดในหยุดนิ่งก็จะสว่าง นี่จะเห็นของจริงก็จะไม่หลับ จะรู้เลยว่าเมื่อวิตกวิจาร คือเห็นดวงสว่างระดับอุคหนิมิต หรือปฏิภาคนิมิตแล้วนั้น ความง่วงเหงาซึมเซาจะหมดไป กิเลสนิวรณ์หมดไปในขณะนั้น ช่วงจะหลับสามารถจะเห็นได้ง่าย

    ช่วงจะตื่นถ้าเคยตื่น 6 โมงเช้า ลองตื่นตีห้าครึ่ง พอตื่นแล้วไม่ตื่นเลย คือไม่ลุกขึ้นทันที ตายังหลับอยู่แต่ใจเราตื่น ดูไปที่ศูนย์กลางกายจะเห็นดวง ทำไมจึงเห็น เพราะใจคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายลอยเด่น ยังเห็นได้อยู่ พอเห็นแล้วเราเอาอารมณ์นั้นมาสู่ใจเรา ทำบ่อยๆ ก็จะเป็น เมื่อถึงเวลาก็เป็นเอง บางทีอาจเห็นธรรมกายใหญ่มาก ขณะเดิน นั่ง ปกติธรรมดา อารมณ์สบาย ใจเป็นบุญเป็นกุศล ใจก็สบาย พอใจสบายก็จะเห็น ใจสบายด้วยบุญกุศลแตกต่าง กับการสบายด้วยกามคุณคือได้นั่นได้นี่ตามที่เราอยากได้ อันนั้นไม่สบายอย่างที่เราสบายอย่างนี้ การสบายด้วยบุญคือสบายเฉยๆ และลองกำหนดเห็นศูนย์กลางก็จะเห็นเป็นดวงใสได้โดยง่าย

    ต้องทำบ่อยๆ เนืองๆ แม้อาตมาเองถ้าไม่ทำบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะจาง ต้องทำบ่อยๆ จึงดี


    attachment.php?attachmentid=841404&stc=1&d=1264129121.jpg






    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2017
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,596
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ประสบการณ์วิชชาธรรมกาย. โดย นุชจรีย์ สุนทรวรรณ

    ผู้เขียนเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนโพธิสารพิทยากร เขตตลิ่งชันกรุงเทพฯ เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาไทยมาก่อน ต่อมาได้ผันตัวเองเป็นผู้บริหารโรงเรียน ได้มีโอกาสมาวัดปากน้ำ รู้จักหลวงพ่อวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตเมื่อปีพ.ศ. 2526 ได้ลาไปศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒ ประสานมิตรรุ่นนั้นมีกันเพียง 12 คน เป็นช่วงเวลาเดียวกับการพบคลื่นชีวิตช่วงปี 2526 พี่ชายคนหนึ่งที่ผู้เขียนรักมากเกิดป่วยหนักถึงขั้นสูญเสียการควบคุมสติอย่างรุนแรงพยายามทำลายชีวิตตนเอง โดยกระโดดตึกโรงพยาบาลหลายหน จำพ่อแม่พี่น้องไม่ได้ ขับถ่ายไม่รู้ตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ แพทย์หาสาเหตุไม่พบ ทำให้ผู้เขียนทุกข์ใจอย่างยิ่งการเรียนก็หนักหนาสาหัส ต้องอ่านหนังสือมาก ต้องมีการแสดงความคิดเห็นและสัมมนากันตลอดเวลา แต่ผู้เขียนเรียนไม่รู้เรื่องเลย นั่งซึมน้ำตาใหลห่วงกังวลน่ะสงสารพี่ชาย แต่ยังโชคดีมีบุญพบเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันซึ่งผู้เขียนปลื้ม ในความดีความเก่งนับถือเหมือนพี่สาวที่สำคัญพี่เป็นกัลยาณมิตรของผู้เขียนพวกเราเรียกว่า"พี่แป๋ว" ทุกท่านที่มาทำบุญที่วัดปากน้ำจะรู้จักพี่สาวคนนี้ดี ชื่อพลตรีหญิงทัศนศรี ไตรยคุณคุณ ขณะนั้นเป็นพันตรีหญิงมีความเมตตาเอื้ออาทรมาก มาพูดคุยไต่ถามสาเหตุแห่งความสุขเศร้าปลอบโยนแล้วแนะนำให้ไปวัดปากน้ำไปขอบารมีหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ขอบารมีคุณน้าตรีทา เนียมขำเรียกท่านตามพี่แป๋ว ซึ่งเป็นอาจารย์สอนสมถวิปัสสนากรรมฐาน ถึงซึ่งวิชชาธรรมกายระดับสูงให้ช่วยบรรเทาปัญหาชีวิตของพี่ชาย พาไปกราบหลวงพ่อบนหอสังเวชนียมงคลเทพนิรมิต พาไปพบคุณน้าตรีธา เนียมขำ ท่านแนะนำให้ไปกราบหลวงพ่อสดไปขอบารมีให้หลวงพ่อช่วยให้ยึดมั่นใน หลวงพ่อให้รักษาศีลและหมั่นนั่งสมาธิเอาบุญทั้งหมดให้พี่ชายเพราะเขาไม่รู้เรื่องทำด้วยตัวเองไม่ได้ คุณน้าตรีธาก็จะช่วยแก้โรคให้พี่ชายด้วย ถ้ามีเวลาว่างก็ให้มันไปนั่งสมาธิบนหอขาว สถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อบอกว่าเป็นศูนย์จักรพรรดิ

    แรกแรกผู้เขียนไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะมีความเชื่อว่าการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของพระภิกษุเท่านั้นแต่ด้วย มีความศรัทธาในตัวพี่แป๋วเป็นทุนเดิมและเห็นความรักความปรารถนาดีจึงลองไปนั่งสมาธิที่วัดปากน้ำและส่งรูปพี่ชายที่ป่วยบอกวันเดือนปีเวลาเกิด ฝากพี่แป๋วขอให้คุณน้าตรีธาให้ช่วยอัดบุญแก้โรคภัยไข้เจ็บให้พี่ชายทั้งทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร ยังไม่มีความมั่นใจ
    ช่วงนี้เองเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เขียนเข้าใกล้ธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรมมากขึ้นได้รู้ได้ฟังได้พิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อวัดปากน้ำมากขึ้นได้เพิ่มสติปัญญาทีละน้อยทีละน้อยแต่ทำเป็นประจำนั่งสมาธิเสร็จไม่ได้ขออะไรให้ตัวเองตั้งความปรารถนาส่งบุญให้พี่ชายปลอดภัยหายป่วยเท่านั้น

    ผู้เขียนนั่งสมาธิครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2526 บนหอขาววัดปากน้ำฟังเสียงหลวงพ่อสด จากเทปทำตามที่ท่านสอนทุกขั้นตอนได้ง่ายดายเห็นดวงแก้วตั้งแต่วันแรกเลยไม่รู้สึกแปลกอะไร ยังไม่รู้ว่าเป็นนิมิตหรือเป็นของจริง เข้าใจว่าทุกคนก็เห็นดวงแก้วใส เหมือนที่ผู้เขียนเห็น สว่างใสขึ้นทุกวันทุกวัน นึกเมื่อไรเห็นเมื่อนั้น เห็นตลอดเวลาพึ่งมารู้ภายหลังจากที่เล่าให้พี่แป๋วฟังว่าไม่ได้เห็นกันทุกคน ผู้เขียนเอาจิตกำหนดรู้เห็นภายในได้ง่าย เร็ว ไม่ได้เอาใจส่งออกภายนอกเลย เหมือนถูกควบคุมด้วยกลไกอะไรซักอย่าง สบายสบาย สงบ นิ่ง เย็น หยุดเข้าสู่กลางของกลาง ณ ศูนย์กลางกาย ไม่เหมือนถูกบีบบังคับใดๆ ใจแตะเบาเบาพอดีพอดีไม่หนักไม่เบาเกินไป ภาวะเช่นนี้ผู้เขียนมาสังเเกตอาการได้ในภายหลัง แต่ขณะนั่งสมาธิลงตัวโดยอัตโนมัติ

    ปีพ.ศ. 2530 ผู้เขียนมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ไปโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงแล้วเนื่องด้วยมีอาชีพครูก็ดี ทำให้มีโอกาสพาเด็กเด็กมานั่งสมาธิในห้องพระที่โรงเรียน มีเด็กหลายคนมานั่ง บางคนเห็นเพื่อนมา ก็ตามตามกันมา มีเด็กที่นับถือศาสนาอิสลามก็มานั่งด้วย เป็นผู้นำองค์การและกิจกรรมทางศาสนาเสมอมาพานักเรียนเข้าค่ายธรรมะเป็นประจำ

    ผู้เขียนนั่งสมาธิติดต่อกันตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ถึง 2530 เห็นดวงแก้วทุกครั้งหารู้ไม่ว่าคนอื่นไม่ได้เห็นกันทุกคน ช่วงนั้นรักษาอุโบสถศีลเป็นปกติ ศรัทธาแรงขึ้นเพราะเห็นผลเกิดแก่พี่ชายหายป่วยอย่างอัศจรรย์ซึ่งป่วยเป็นปีถ้าใครพบเห็นตัวอาจคิดว่าเป็นผี ผอม หน้าตาไม่ใช่มนุษย์เลย เหลือแต่หนัหุ้มกระดูก แต่ด้วยบารมี"ธรรมกาย"ทำให้หายสนิท ขับรถได้ส่งผลให้คนในครอบครัวของผู้เขียนศรัทธา ผู้เขียนพาคุณพ่อพี่ชายพี่สาว มาฝึกสมาธิที่หอขาววัดปากน้ำ ผู้เขียนลืมเล่าไปว่าตอนที่พี่ชายเริ่มป่วยอาการทรุดหนักความหวังไม่มี ผู้เขียนจึงได้อธิฐานจิตกราบขอบารมี จากหลวงพ่อสดที่หอประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อว่าขอให้พี่ชายหายป่วย ได้ฝึกสมาธิก่อนแล้วจะเอาไปตายก็ไม่ว่าเพราะพี่ชายมีลูกเล็กสามคนและชีวิตของพี่มีอาชีพเป็นทหารไม่ค่อยได้ลิ้มรสพระธรรม ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ผู้เขียนกราบขอพรไว้ต่อมาก็ประสบผลตามทีอธิษฐาน พี่ชายพื้นอย่างอัศจรรย์ยิ่ง จนคุณหมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฏออกปากกับคุณแม่ว่า คุณป้าครับ ในพันคนรอดสักหนึ่งคนก็ยากครับ

    พ่อแม่พี่ๆของผู้เขียนได้พบเห็นผลแห่งการฝึกสมาธิและบารมีของหลวงพ่อสด ทำให้พี่ชายรอดชีวิตและได้บรรพชาอุปสมบทถึงสามเดือนจุดนี้ทำให้ครอบครัวเกิดศรัทธายิ่งขึ้น

    ต้นเดือนมิถุนายน 2530 ผู้เขียนรู้สึกอยากไปปฏิบัติธรรมปลีกวิเวกรักษาศีลแปดนั่งสมาธิช่วงวันเกิด 13 มิถุนายน อยากปลีกวิเวก อยู่ที่สงบตามป่าเขาหรือธรรมชาติ ทางบ้านเป็นห่วง แต่ไม่กล้าทัดทานเพราะเกรงจะบาป ผู้เขียนฟังวิทยุว่ามีวัดหลวงพ่อสดธรรมกายยารามที่จังหวัดราชบุรี ผู้เขียนจึงชวนหลานสาวเดินทางไปรักษาศีลแปดปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายยารา 3 วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 12 - 15 มิถุนายน 2530 ได้ฝึกสมาธิ เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ เกิดความมหัศจรรย์ จากเดิมเคยเห็นดวงแก้วใสที่ศูนย์กลางกายเป็นปกติ ก็เห็นซ้อนกันหลายดวงนับไม่ถ้วน ขยายใหญใสสว่างมาก ในดวงแก้วมีกายของตนเองซ้อนอยู่ ขยายใหญ่ ในกายมีดวงซ้อน สลับกันไปมา ใสสะอาด กลางดวงใสกับกลางของกลางกายเป็นจุดเดียวกัน เร็วมากถ้าจะพูดถึงดวงและกายก็ยังพูดไม่ทันเลยเพราะความเร็วสูงมาก

    ต่อมาได้เห็นกายหลายกายซ้อนดวง ดวงแก้วซ้อนดวงกาย กลางกายมีดวงขยายใหญ่ใสใส ต่อมาเห็นองค์พระเข้าใจว่าเป็นประธานนั่งขัดสมาธิธิ ผู้เขียนเห็นในศูนย์กลางกายซ้อนจากดวงแก้วใส เห็นมาถึงประมาณเอวของพระพุทธรูปหยุดแค่นั้น ไม่ตื่นเต้นตกใจเลย ไม่ดีใจ จิตนิ่งเฉยเฉยเป็นอัตโนมัติ เหมือนถูกดูแลในสัดส่วนความพอดี เห็นองค์พระครึ่งองค์ ก็หยุดแค่นั้น จึงระลึกถึงหลวงพ่อ ในจิตมีคำถาม ว่า"ลูกเป็นอะไร"ทันทีนั้น ผู้เขียนได้ยินเสียงเกิดมาจากฐานที่7 ศูนย์กลางกาย จำได้ว่าเป็นเสียงหลวงพ่อสด แต่ข้อความนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนข้อความนั้นเป็นเสียงว่า"อย่าดีใจเดี๋ยวจิตจะแลบ"

    ผู้เขียนสัมผัสชัดเจนมากๆจิตไม่ดีใจ ไม่ตื่นเต้น แต่สงบเย็นโดยอัตโนมัติ ทันใดจิตเห็นภาพพระพุทธรูปจากสะดือเลื่อนขึ้นไปถึงพระศียรเห็นทั้งองค์ กลางกายองค์พระ กับกลางกายเนื้อและศูนย์กลางดวงธรรมเป็นศูนย์เดียวกัน ที่แปลกผู้เขียนเห็นองค์พระหันหน้าไปทิศทางเดียวกับกายเรา เห็นด้วยทัด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ส่วนบน ส่วนล่างขององค์พระเลย พอออกจากท่านั่สมาธิ พระที่สอนนำท่านก็พูดท่ามกลางความสงบ ซึ่งคนอื่นๆต่างก็ได้ยินชัดว่า "เห็นแล้วใช่ไหม"แปลกว่าพระท่านทราบได้อย่างไร จึงถามท่านว่าตัวผู้เขียนเป็นอะไร ท่านตอบว่า"คุณโยมได้ธรรมกายแล้ว"ผู้เขียนงงๆไม่ดีใจใดๆเป็นเวลาเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหนุ่มสาวผู้เฒ่าที่ศาลาปฏิบัติธรรมต่างเข้ามารุมล้อมอนุโมทนา ผู้เขียนงงคิดว่า ถูกสะกดจิตถูกหลอกหรือเปล่าแต่ก็พิจารณาประมวลได้ว่า ได้ยินเสียงหลวงพ่อสดจากศูนย์กลางกายของตนเองถ้อยชัดคำและภาพองค์พระใสยังคงอยู่เสมอมา แต่ก็อดไปถามพระ คุณน้าตรีธาและแม่ชีไม่ได้ ผู้เขียนได้ไปถามพระ แม่ชี ผู้ได้ธรรมกายเพื่อยืนยันความรู้ความเห็นท่านก็ยืนยันคำตอบตรงกัน

    ความแปลกอีกประการในวันที่ผู้เขียนเห็นองค์ธรรมกายและเข้า 18 กายได้เร็วมากตอนนั้นไม่รู้จักว่า 18 กายคืออะไรยังจำได้ว่าวันนั้นที่เห็นธรรมกายเป็นวันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2530 เวลา 06.15 น เป็นวันคล้ายวันเกิดของผู้เขียนพอดีตรงทั้งทางจันทรคติและสุริยคติ และเวลาตกฝากด้วย และเป็นเวลาที่ฝนตกมาเป็นครั้งแรกของฤดูฝนที่จังหวัดราชบุรี พระที่นั่นบอกว่าให้ไปต่อวิชชาที่วัดปากน้ำ ท่านต่อให้ไม่ได้แล้ว วันสุดท้ายจะกลับบ้านก็เห็นองค์พระแก้วใสขยายใหญ่มากๆ สุดตา ได้มาเล่าทั้งหมดให้คุณพ่อคุณแม่และพี่พี่ฟัง ทุกคนต่างปลื้มปิติน้ำตาไหล ตอนแรกก็กลัวว่าเค้าจะไม่เชื่อและกลัวว่าจะผิดบาปที่นำเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตนมาเล่า เป็นการอวดอุตริหรือเปล่า พระท่านก็แนะนำว่าให้อธิฐานจิตก่อนเล่า ขณะที่เล่าเรื่องเป็นเวลาราวสองทุ่มทุกคนต่างได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิดลงบ้าน สะเทือนไหวแรงทั้งบ้านสักพักก็หยุดไม่มีอะไรตกแตก เสียหายเลย พีๆจึงบอกผู้เขียนว่าให้รีบอุทิศบุญกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้าน ซึ่งผู้เขียนเองก่อนไปรักษศีลสามวันได้บอกกล่าวกับพระพุทธรูปประจำบ้านและเทพเทวาว่าจะไปรักษาศีลแปดปฏิบัติธรรม แล้วจะนำบุญมาฝากท่านทั้งหลาย แล้วก็ลืมคำพูดไปพอได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนมาเตือน จึงทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาขอรับส่วนบุญครั้งนี้

    หลังจากนั้นพี่แป๋วได้ไปเรียนให้คุณน้าตรีธาเนียมขำ ทราบเผอิญเป็นช่วงเวลาที่ท่านไม่ค่อยว่างจึงแนะนำให้ไปต่อวิชชาธรรมกาย กับแม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย ท่านได้เมตตา ต่อวิชชาธรรมกายให้จนหมดต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติเองทำเองรักษาไว้เองให้เจริญและละเอียดใสเสมอ

    ได้พบสิ่งมหัศจรรย์แปลกแปลกเกิดขึ้นมากมายไม่เคยรู้มาก่อน มีอยู่คืนหนึ่งขณะนั่งสมาธิรู้ตัวทุกอย่าง ขอไปดูสวรรค์นรกก็ได้โดยตรึกระลึกถึงบารมีหลวงพ่อสด เห็นชัดเจนมาก มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่หลับไม่ฝัน

    สิ่งแปลกแปลกหลากหลายเกิดขึ้น มากผู้เขียนได้บันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นไว้อย่างละเอียดในช่วงแรกๆ พบเห็นมากจนกลายเป็นเรื่องปกติ งานราชการก็มีมากจนต้องหยุดบันทึก
    สิ่งที่ได้เขียนให้ผู้อ่านได้ทราบนี้เป็นไปตามคำขอของ พลตรีหญิงทัศนศรี ไตรยคุณ ใจจริงแล้วไม่ค่อยอยากเขียนเกรงคนไม่เข้าใจ แต่คิดว่าโอ้อวด แต่พี่แป๋วบอกว่า เขียนเถอะ เป็นธรรมทานถวายเป็นพุทธงูชาธรรมบูชา และบูชาพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    อาจารตรีธาและลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคนมีความยินดีและอนุโมทนากับผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายทุกคน เป็นการยืนยันว่าวิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อได้พากเพียรพยายามปฏิบัติมา และนำมาสั่งสอนให้ผู้อื่นได้รู้เห็นเป็นความจริง ใครที่ตั้งใจยึดถือปฏิบัติจริงจัง ได้เห็นผลจริงทุกราย ไม่ใช่เรื่องของการเพ้อฝันหรืออยากดังใดใดทั้งสิ้น
    จากหนังสือที่ระลึกกฐินพระราชทาน วัดปากน้ำ ปี 2554

    เครดิต https://www.facebook.com/groups/788626957950730/


    15977471_1562363627126632_3851100974802514643_n.jpg

    15894299_1562363640459964_5981229199489571826_n.jpg

    16114720_1562363660459962_1594957444922420379_n.jpg

    15977305_1562363690459959_2674486634263698739_n.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...