สอบถามเกี่ยวกับเรื่ององค์ในขณะนั่งสมาธิ

Ndantchor · 24 พฤษภาคม 2015

...กูไม่มีอะไรมาก กูไม่มีอะไรจะสอนพวกมึงหรอก เพราะพวกมึงก็รู้ว่ากูพูดไม่เป็น พูดไม่เก่งเหมือนเขา เทศนาว่ากล่าวอะไรก็ไม่เป็น กูมีแต่ว่าให่ละชั่ว ทำดีกันเท่านั้นแหละ บุญบาปมีจริงลูกหลานเอ้ย ให่เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ให่ละชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ บุญเห็นกับตา บาปเห็นกับตา รักตัวกลัวภัยอย่าทำชั่ว ให่ตั้งอยู่ในเมตตา”

“มันต้องสอนตัวเองก่อน จะแนะนำอะไรเขาตัวเองทำให้เขาดูตัวอย่างก่อน เช่น สอนให้เขาบริจาคทาน ตัวเองต้องบริจาคเสียก่อนด้วยจึงจะถูก ใครมันจะไปเชื่อ เชื่อไม่ได้ ต้องทำให้เขาดูก่อน สอนตัวเองก่อน ถึงค่อยไปสอนคนอื่น จะทำอะไรทุกอย่างมันต้องทำให้เขาดูก่อน เขาจึงจะเชื่อ ...

อย่างพระสงฆ์ อย่าดีแต่ไปสอนคนอื่น สอนตัวเองบ้างเถอะน่า สอนคนอื่นอย่างน้ำไหลไฟดับ แต่ตัวเองไม่สอน บอกให้เขาบริจาคเท่านั้นเท่านี้ แต่ตัวเองไม่ทำให้เขาดูก่อน หรือจะเป็นครูอะไรก็ตาม มันต้องสอนตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น เป็นครูนาฏศิลป์ก็ต้องรำเป็น เป็นครูพละก็ต้องเล่นกีฬาเป็น หรือเป็นครูอะไรๆก็ต้องทำเป็นก่อนทั้งนั้น

พระพุทธองค์ก็เหมือนกัน สอนตัวเองได้แล้ว ท่านอาชนะตัวเองได้แล้ว จึงได้เสด็จออกไปเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์และเวไนยสัตว์”

หลวงพ่อคูณ ท่านสอน เท่านี้ คนศรัทธาท่านตรึม ตามปสาทะ (ส่วนลักษณะที่เป็นปรศิษย์นั่นอีกเรื่อง)
ดูผิวเผิน ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ลึกซึ้ง คือท่านทำได้อย่างที่ท่านกล่าวสอน

ณฉัตร · 25 พฤษภาคม 2015

มาจากดิน said: ↑

นิมิตร (ตามหลักเขียนนิมิต) นิมิตร ตามที่คุณ ณฉัตรพูด หมายถึงอะไรยังไงครับ
Click to expand...

ขอโทษครับ พิมพ์ผิด อย่างเนรมิต ผมก็พิมพ์ผิดบ่อย

นิมิต ในความหมายที่พูดกันมา คือ ภาพ หรือเสียง หรือทั้งสองรวมกัน ที่เกิดในระหว่างกรรมฐาน คือท่านเองยกตัวอย่างว่า มีท่านที่นั่งสมาธิแล้ว เห็นภาพเจ้ากรรมนายเวรบ้าง เห็นเป็นเทพเทวดาบ้าง ได้ยินเสียงพูดบ้าง ต่างๆ นาๆ แล้วท่านก็มาถามว่าคือใคร เกิดได้ยังไง อาการนิมิตหมดครับ

ซึ่งผมก็ตอบสรุปเป็นสองทฤษฎี ทฤษฎีแรก รูปธาตุนามธาตุ มันปั่นป่วนฟุ้งไป อาการเหมือนเราทานอาหารมากทานอาหารน้อย หรือไม่สบายกายใจ มันฝันไป หรือกิเลส กรรม วิบากกรมในตัวคนกระทำมีผลต่อกายและจิตใจ ทฤษฎีที่สอง ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจะมีเรื่องชาติก่อนชาติหลัง เรื่องภพภูมิต่างๆ เรื่องกิเลส กรรม วิบากกรรม ข้ามภพชาติ พวกนี้ ก็เป็นสาเหตุได้ ถ้าท่านเชื่อพระไตรปิฎกในส่วนนี้ หรือท่านจะเชื่อว่าเรื่องในพระไตรปิฎกในส่วนนี้เป็นส่วนปาฏิหารืย์ไม่เชื่อ ต้องตัดทิ้งก็ตามใจ
แต่ถือว่าตอบตามตำรา ผมตั้งข้อสังเกตจากการปฏิบัติอีกว่า นิมิตมักมาหลังตกภวังค เหมือนตอนนอนก่อนผมจะฝันจะเหมือนตกภวังคก่อน

ท่าทีต่อนิมิตตอบไปแล้วครับ

เรื่องภวังค ผมเคยอ่านมา เหมือนพระท่านจะบอกว่า ถ้าไม่ตกภวังคหรือเข้าภวังค จะแสดงฤทธิไม่ได้ ผมนั่งสมาธิ ไม่ค่อยหลุดจากคำบริกรรม หรือจุดกำหนด ไม่ค่อยตกภวังคในภายหลัง แต่ตอนนั่งช่วงเริ่มแรกจะตกภวังคแรง คือ ร่างกายสั่น โยก หมุน ลอย แต่ไม่ค่อยเห็นภาพหรือเสียงในช่วงนี้ สักพักเมื่ออยู่ตัวอาการก็หาย หลังจากนั่นตอนเปลี่ยนระดับสมาธิ แต่แค่ช่วงวูบเดียว ไม่เกิดนิมิตใดครับ เรื่องเข้าภวังคในฌาณ เคยอ่านมา แต่ทำไม่ได้ครับ ดูมันยากๆ เข้าฌาณแล้วเข้าภวังคระหว่างฌาณ เรื่องภวังคนี่ท่านพอมีความรู้หรือไม่ หรือว่าถ้าเข้าฌาณออกฌาณบ่อยๆจะชำนาญเรื่องภวังค ถ้าทำได้ก็จะได้นำฌาณมาใช้ในการวิปัสสนาต่อไปครับ ไม่ตอบไม่เป็นไร ผมไม่มายด์เรื่องฤทธิ แต่ติดปัญหาจะออกจากฌาณมาเพื่อเข้ากระบวนวิปัสสนาโดยใช้กำลังของฌาณได้อย่างไร

ตอนเป็นเด็ก ฝึกมาหยุดแค่นี้ครับ

ทุกวันนี้ นั่งธรรมดาๆ ไม่ถึงฌาณแล้วครับ ส่วนใหญ่ทำบุญ แผ่เมตตา นั่งสมาธิวันละนิด

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

Acklorwil said: ↑

...กูไม่มีอะไรมาก กูไม่มีอะไรจะสอนพวกมึงหรอก เพราะพวกมึงก็รู้ว่ากูพูดไม่เป็น พูดไม่เก่งเหมือนเขา เทศนาว่ากล่าวอะไรก็ไม่เป็น กูมีแต่ว่าให่ละชั่ว ทำดีกันเท่านั้นแหละ บุญบาปมีจริงลูกหลานเอ้ย ให่เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ให่ละชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ บุญเห็นกับตา บาปเห็นกับตา รักตัวกลัวภัยอย่าทำชั่ว ให่ตั้งอยู่ในเมตตา”

“มันต้องสอนตัวเองก่อน จะแนะนำอะไรเขาตัวเองทำให้เขาดูตัวอย่างก่อน เช่น สอนให้เขาบริจาคทาน ตัวเองต้องบริจาคเสียก่อนด้วยจึงจะถูก ใครมันจะไปเชื่อ เชื่อไม่ได้ ต้องทำให้เขาดูก่อน สอนตัวเองก่อน ถึงค่อยไปสอนคนอื่น จะทำอะไรทุกอย่างมันต้องทำให้เขาดูก่อน เขาจึงจะเชื่อ ...

อย่างพระสงฆ์ อย่าดีแต่ไปสอนคนอื่น สอนตัวเองบ้างเถอะน่า สอนคนอื่นอย่างน้ำไหลไฟดับ แต่ตัวเองไม่สอน บอกให้เขาบริจาคเท่านั้นเท่านี้ แต่ตัวเองไม่ทำให้เขาดูก่อน หรือจะเป็นครูอะไรก็ตาม มันต้องสอนตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น เป็นครูนาฏศิลป์ก็ต้องรำเป็น เป็นครูพละก็ต้องเล่นกีฬาเป็น หรือเป็นครูอะไรๆก็ต้องทำเป็นก่อนทั้งนั้น

พระพุทธองค์ก็เหมือนกัน สอนตัวเองได้แล้ว ท่านอาชนะตัวเองได้แล้ว จึงได้เสด็จออกไปเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์และเวไนยสัตว์”

หลวงพ่อคูณ ท่านสอน เท่านี้ คนศรัทธาท่านตรึม ตามปสาทะ (ส่วนลักษณะที่เป็นปรศิษย์นั่นอีกเรื่อง)
ดูผิวเผิน ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ลึกซึ้ง คือท่านทำได้อย่างที่ท่านกล่าวสอน
Click to expand...

เข้าบรรยาศเลย (deejai)

https://www.youtube.com/watch?v=eUr4XDIappw

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

Acklorwil said: ↑

เสียเวลามาหลอกถามกันนะครับ เป็นถึงแอดมิน กรัชกาย ในลิ้งเวบลายเซ็น คุณตอบซะมากมาย

กลับมาถามกลับว่า เนสัชชิก เขาอธิษฐานเพื่ออะไร น่าจะรู้อยู่หลอกครับ

เออ..เป็นพันธมิตร กับคุณ พลศักดิ์ ผู้จากโลกนี้ไปแล้ว หรือครับ
Click to expand...

พันธมิตร กลุ่มกู้ชาติขอรับ :d

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

ผู้ชอบเรื่องฌาน ต้องเริ่มต้นอย่างสองตัวอย่างนี้

เมื่อวานนี้ ได้นั่งพิจารณา อารมณ์และตามดูจิต ยืน เดิน นั่ง นอน ได้แทบทั้งวัน
รู้สึกถึงความเย็น สงบ ใครนินทา กล่าวร้าย ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันนิ่งได้ทั้งวันจริง ๆ
พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง
คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพร่างกายหายไปแบบตอนแรก แต่
ครั้งนี้ เกิดนิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็ก ๆ กลายเป็นลูกใหญ่ คือเวลาเราหลับตา มันจะดำๆ
แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่
หลับตาอยู่นั่นเอง และพอกำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไรได้หมด

.............

เมื่อเช้านี้ ก่อนจะออกจากสมาธิ มันดันเห็นเป็นภาพหยดน้ำ
เลยนึกสนุกเล่นกับภาพนั้น
ก็จินตนาการ หยดน้ำนั้นเป็น 3 มิติ แล้วก็หมุนภาพ ซ้ายขวา
พอทำได้ อ้าว ทำได้ด้วย
ก็เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจแทน ทำได้อีก
สุดท้ายเลย เปลี่ยนเป็นรูปรถยนต์ หมุนจนเห็นท้องรถเลย
ที่ปลื้ม เพราะก่อนหน้านี้ สักเกือบๆเดือน เวลาที่จิตฟุ้งในสมาธิ พยายามจะนึกถึงภาพพระจันทร์ เพื่อให้จิตตัวเองนิ่ง
แต่มันทำได้แค่ ไม่ถึงสองวินาที พระจันทร์ก็หายไปแล้ว
แต่นี่ภาพไม่หาย แถมพลิกซ้ายขวา ย่อ ขยายได้อีกต่างหาก
ตอนนี้เลยเล่นสนุกเลย

ธรรมแท้ว่าง · 25 พฤษภาคม 2015

Acklorwil said: ↑

เสียเวลามาหลอกถามกันนะครับ เป็นถึงแอดมิน กรัชกาย ในลิ้งเวบลายเซ็น คุณตอบซะมากมาย

กลับมาถามกลับว่า เนสัชชิก เขาอธิษฐานเพื่ออะไร น่าจะรู้อยู่หลอกครับ

เออ..เป็นพันธมิตร กับคุณ พลศักดิ์ ผู้จากโลกนี้ไปแล้ว หรือครับ
Click to expand...

เจ้าคนนี้เขาชอบทำจิตให้เหมือนคนเอ๋อ เอ๋อเพื่อลองภูมิ
ชาวบ้านตลอด

พยามารคงชอบเขาเป็นพิเศษ และคงช่วยช่วยให้เขา
เอ๋อจริงสมอยาก!!

บุรุษไร้เงา · 25 พฤษภาคม 2015

มาจากดิน said: ↑

ผู้ชอบเรื่องฌาน ต้องเริ่มต้นอย่างสองตัวอย่างนี้

เมื่อวานนี้ ได้นั่งพิจารณา อารมณ์และตามดูจิต ยืน เดิน นั่ง นอน ได้แทบทั้งวัน
รู้สึกถึงความเย็น สงบ ใครนินทา กล่าวร้าย ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันนิ่งได้ทั้งวันจริง ๆ
พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง
คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพร่างกายหายไปแบบตอนแรก แต่
ครั้งนี้ เกิดนิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็ก ๆ กลายเป็นลูกใหญ่ คือเวลาเราหลับตา มันจะดำๆ
แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่
หลับตาอยู่นั่นเอง และพอกำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไรได้หมด

.............

เมื่อเช้านี้ ก่อนจะออกจากสมาธิ มันดันเห็นเป็นภาพหยดน้ำ
เลยนึกสนุกเล่นกับภาพนั้น
ก็จินตนาการ หยดน้ำนั้นเป็น 3 มิติ แล้วก็หมุนภาพ ซ้ายขวา
พอทำได้ อ้าว ทำได้ด้วย
ก็เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจแทน ทำได้อีก
สุดท้ายเลย เปลี่ยนเป็นรูปรถยนต์ หมุนจนเห็นท้องรถเลย
ที่ปลื้ม เพราะก่อนหน้านี้ สักเกือบๆเดือน เวลาที่จิตฟุ้งในสมาธิ พยายามจะนึกถึงภาพพระจันทร์ เพื่อให้จิตตัวเองนิ่ง
แต่มันทำได้แค่ ไม่ถึงสองวินาที พระจันทร์ก็หายไปแล้ว
แต่นี่ภาพไม่หาย แถมพลิกซ้ายขวา ย่อ ขยายได้อีกต่างหาก
ตอนนี้เลยเล่นสนุกเลย
Click to expand...

เสียเวลาและไร้ประโยชน์ ขวางการเข้าถึงผลที่จะก่อให้เกิดประโยชน์
ในการนำมาใช้งานได้จริงทั้งในชีวิตประจำวัน และในเรื่องการหนุน
เพื่อเดินปัญญาครับ. ระดับนี้บางคนไม่ต้องฝึกก็ทำได้ครับ.
ถ้ามาทางสายกรรมฐานพิเศษ เรื่องแบบนี้ท่านห้ามอย่างเด็ดขาด
นอกจากเสียเวลา ไร้ประโยชน์แล้ว จะทำให้ยึดมั่นถือมั่น
กลายเป็นคนหลงตัวเอง เพราะต่อไปจะไปยึดติดในนิมิตร
ในสิ่งที่เห็นจนกลายเป็นตัวเองอย่างไม่รู้ตัวครับ.
ผมท้าเลยครับ คนที่มีกิริยาอย่างนี้ การรู้เห็นยังไม่พ้น
การปรุงแต่งที่เกิดจากจิต ไม่ใช่การรู้เห็นจากการเชื่อมข้างบน
และตัวจิตไม่มีความสามารถในเรื่องพลัง. พูดง่ายๆกรรมฐานที่ฝึก
ยังไม่พ้นการทำงานในนิมิตร นำขึ้นมาใช้จริงๆยังไม่ได้ครับ.
พิสูจน์ได้ ลองไปฟังเรื่อง ปฎิสัมภิทาญานตอนที่ ๕ ประมานนาทีที่๑๖ ขึ้น
จะพบว่า ลพ.ท่านกล่าวไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรู้ความสามารถพิเศษ
อะไรต่างๆที่เกิดระหว่างทางท่านก็ห้ามไปสนใจ.
เพราะฉนั้นเรื่องที่มันขวางการปฏิบัติอย่างนี้ ไร้ประโยชน์
อย่างนี้ ไม่ควรจะนำมาลงเพื่อเป็นอุบาย เป็นแนวทางให้นักปฏิบัติครับ
เพราะมันมีแต่สร้างกิเลส มีแต่เพิ่ม ไม่ได้เป็นไปแบบที่ ท่านสอนเพื่อเป้าหมาย
ในการไม่มีทั้งหลายครับ.

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

nopphakan said: ↑

เสียเวลาและไร้ประโยชน์ ขวางการเข้าถึงผลที่จะก่อให้เกิดประโยชน์
ในการนำมาใช้งานได้จริงทั้งในชีวิตประจำวัน และในเรื่องการหนุน
เพื่อเดินปัญญาครับ. ระดับนี้บางคนไม่ต้องฝึกก็ทำได้ครับ.
ถ้ามาทางสายกรรมฐานพิเศษ เรื่องแบบนี้ท่านห้ามอย่างเด็ดขาด
นอกจากเสียเวลา ไร้ประโยชน์แล้ว จะทำให้ยึดมั่นถือมั่น
กลายเป็นคนหลงตัวเอง เพราะต่อไปจะไปยึดติดในนิมิตร
ในสิ่งที่เห็นจนกลายเป็นตัวเองอย่างไม่รู้ตัวครับ.
ผมท้าเลยครับ คนที่มีกิริยาอย่างนี้ การรู้เห็นยังไม่พ้น
การปรุงแต่งที่เกิดจากจิต ไม่ใช่การรู้เห็นจากการเชื่อมข้างบน
และตัวจิตไม่มีความสามารถในเรื่องพลัง. พูดง่ายๆกรรมฐานที่ฝึก
ยังไม่พ้นการทำงานในนิมิตร นำขึ้นมาใช้จริงๆยังไม่ได้ครับ.
พิสูจน์ได้ ลองไปฟังเรื่อง ปฎิสัมภิทาญานตอนที่ ๕ ประมานนาทีที่๑๖ ขึ้น
จะพบว่า ลพ.ท่านกล่าวไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรู้ความสามารถพิเศษ
อะไรต่างๆที่เกิดระหว่างทางท่านก็ห้ามไปสนใจ.
เพราะฉนั้นเรื่องที่มันขวางการปฏิบัติอย่างนี้ ไร้ประโยชน์
อย่างนี้ ไม่ควรจะนำมาลงเพื่อเป็นอุบาย เป็นแนวทางให้นักปฏิบัติครับ
เพราะมันมีแต่สร้างกิเลส มีแต่เพิ่ม ไม่ได้เป็นไปแบบที่ ท่านสอนเพื่อเป้าหมาย
ในการไม่มีทั้งหลายครับ.
Click to expand...

หลวงพ่ออะไรครับ

แล้ววิธี่ที่ ลพ. และคุณ nopphakan เป็นยังไงครับ

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

Neoworld said: ↑

เจ้าคนนี้เขาชอบทำจิตให้เหมือนคนเอ๋อ เอ๋อเพื่อลองภูมิ
ชาวบ้านตลอด

พยามารคงชอบเขาเป็นพิเศษ และคงช่วยช่วยให้เขา
เอ๋อจริงสมอยาก!!
Click to expand...

ลุงแมวพูดจริงหรือเล่นขอรับ :d (deejai)

มาจากดิน · 25 พฤษภาคม 2015

ณฉัตร said: ↑

ขอโทษครับ พิมพ์ผิด อย่างเนรมิต ผมก็พิมพ์ผิดบ่อย

นิมิต ในความหมายที่พูดกันมา คือ ภาพ หรือเสียง หรือทั้งสองรวมกัน ที่เกิดในระหว่างกรรมฐาน คือท่านเองยกตัวอย่างว่า มีท่านที่นั่งสมาธิแล้ว เห็นภาพเจ้ากรรมนายเวรบ้าง เห็นเป็นเทพเทวดาบ้าง ได้ยินเสียงพูดบ้าง ต่างๆ นาๆ แล้วท่านก็มาถามว่าคือใคร เกิดได้ยังไง อาการนิมิตหมดครับ

ซึ่งผมก็ตอบสรุปเป็นสองทฤษฎี ทฤษฎีแรก รูปธาตุนามธาตุ มันปั่นป่วนฟุ้งไป อาการเหมือนเราทานอาหารมากทานอาหารน้อย หรือไม่สบายกายใจ มันฝันไป หรือกิเลส กรรม วิบากกรมในตัวคนกระทำมีผลต่อกายและจิตใจ ทฤษฎีที่สอง ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจะมีเรื่องชาติก่อนชาติหลัง เรื่องภพภูมิต่างๆ เรื่องกิเลส กรรม วิบากกรรม ข้ามภพชาติ พวกนี้ ก็เป็นสาเหตุได้ ถ้าท่านเชื่อพระไตรปิฎกในส่วนนี้ หรือท่านจะเชื่อว่าเรื่องในพระไตรปิฎกในส่วนนี้เป็นส่วนปาฏิหารืย์ไม่เชื่อ ต้องตัดทิ้งก็ตามใจ
แต่ถือว่าตอบตามตำรา ผมตั้งข้อสังเกตจากการปฏิบัติอีกว่า นิมิตมักมาหลังตกภวังค เหมือนตอนนอนก่อนผมจะฝันจะเหมือนตกภวังคก่อน

ท่าทีต่อนิมิตตอบไปแล้วครับ

เรื่องภวังค ผมเคยอ่านมา เหมือนพระท่านจะบอกว่า ถ้าไม่ตกภวังคหรือเข้าภวังค จะแสดงฤทธิไม่ได้ ผมนั่งสมาธิ ไม่ค่อยหลุดจากคำบริกรรม หรือจุดกำหนด ไม่ค่อยตกภวังคในภายหลัง แต่ตอนนั่งช่วงเริ่มแรกจะตกภวังคแรง คือ ร่างกายสั่น โยก หมุน ลอย แต่ไม่ค่อยเห็นภาพหรือเสียงในช่วงนี้ สักพักเมื่ออยู่ตัวอาการก็หาย หลังจากนั่นตอนเปลี่ยนระดับสมาธิ แต่แค่ช่วงวูบเดียว ไม่เกิดนิมิตใดครับ เรื่องเข้าภวังคในฌาณ เคยอ่านมา แต่ทำไม่ได้ครับ ดูมันยากๆ เข้าฌาณแล้วเข้าภวังคระหว่างฌาณ เรื่องภวังคนี่ท่านพอมีความรู้หรือไม่ หรือว่าถ้าเข้าฌาณออกฌาณบ่อยๆจะชำนาญเรื่องภวังค ถ้าทำได้ก็จะได้นำฌาณมาใช้ในการวิปัสสนาต่อไปครับ ไม่ตอบไม่เป็นไร ผมไม่มายด์เรื่องฤทธิ แต่ติดปัญหาจะออกจากฌาณมาเพื่อเข้ากระบวนวิปัสสนาโดยใช้กำลังของฌาณได้อย่างไร

ตอนเป็นเด็ก ฝึกมาหยุดแค่นี้ครับ

ทุกวันนี้ นั่งธรรมดาๆ ไม่ถึงฌาณแล้วครับ ส่วนใหญ่ทำบุญ แผ่เมตตา นั่งสมาธิวันละนิด
Click to expand...

 [FONT=&quot](ความหมาย นิมิต, นิมิต ที่ใช้ทางพระวินัย กับ นิมิต ที่ใช้ทางธรรม)[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]นิมิต[/FONT][FONT=&quot] ในทางพระวินัย หมายถึง วัตถุที่เป็นเครื่องหมายเขตที่ประชุมสงฆ์บ้าง หมายถึงอาการแสวงหาลาภในทางที่ผิดด้วยวิธีขอเขาแบบเชิญชวนโดยนัย บ้าง แต่ทางธรรมปฏิบัติ หมายถึง ภาพที่เห็นในใจในการเจริญกัมมัฏฐาน

นิมิต ๑. เครื่องหมาย ได้แก่ วัตถุอันเป็นเครื่องหมายแห่งสีมา, วัตถุที่ควรใช้เป็นนิมิตมี ๘ อย่าง ภูเขา ศิลา ป่าไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ น้ำ ๒. (ในคำว่าทำนิมิต) ทำอาการเป็นเชิงชวนให้เขาถวาย, ขอเขาโดยวิธีให้รู้โดยนัย ไม่ขอตรงๆ ๓. เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เป็นอารมณ์กรรมฐาน มี ๓. คือ ๑. บริกรรมนิมิต นิมิตแห่งบริกรรม หรือ นิมิตตระเตรียม ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือ กำหนดนึกเป็นอารมณ์กรรมฐาน ๒. อุคคหนิมิต นิมิตที่ใจเรียน หรือนิมิตติดตาติดใจ ได้แก่ สิ่งที่เพ่งหรือนึกนั้นเอง ที่แม่นในใจ จนหลับตามองเห็น ๓. ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่ อุคคหนิมิตนั้น เจนใจจนกลายเป็นภาพที่เกิดจากสัญญาเป็นของบริสุทธิ์ จะนึกขยาย หรือย่อส่วนก็ได้ตามปรารถนา ๔. สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นก่อนเสด็จออกบรรพชา ๔ อย่าง
[/FONT]

[FONT=&quot][/FONT]
..........

นิมิต ทางธรรมในที่นี้ ท่านหมายเอานิมิตซึ่งเกิดจากการทำสมถะ เช่น ภาพกสิณเป็นต้นที่ปรากฏทางใจ เป็นภาพที่ใช้เจริญกุศลจิตได้

แต่ภาพ,เสียงพูด .... ซึ่งยกตัวอย่างมาบ่อยๆ ซึ่งก็เกิดจากการปฏิบัติทางจิตเหมือนกัน แต่อันนี้ควรกำหนดละ ย้ำว่าต้องกำหนดละ ไม่อย่างนั้นแล้วเข้าศรีธัญญาครับ
[FONT=&quot] [/FONT]

บุรุษไร้เงา · 26 พฤษภาคม 2015

มาจากดิน said: ↑

หลวงพ่ออะไรครับ

แล้ววิธี่ที่ ลพ. และคุณ nopphakan เป็นยังไงครับ
Click to expand...

ปฏิสัมภิทาญาน มีห่มเหลืองท่านเดียวหละครับที่

ทำเป็นบันทึกการสอนและสามารถสอนแนวทาง

แบบนี้ได้เป็นรูปธรรมครับ..พิมพ์ใน Google

ว่าปฏิสัมภิทาญาน ม้วนที่ ๕ ก็เห็นรูปแล้วครับ..

โห้ย เข้าเวปพลังจิต มาในห้องอภิญญา-สมาธิ

น่าจะพอทราบบ้างหละครับ...
ส่วนเรื่องการฝึกสมาธิไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานอะไร..
ถ้าอยากจะฝึกให้มันสำเร็จผลในชาตินี้นะครับ...
ควรรู้ว่าปลายทางที่จะฝึกนั้น ผลที่ได้เป็นอย่างไร..
ผลที่เกิดเป็นอย่างไร..นำไปใช้งานได้อย่างไร..
และฝึกไปเพื่ออะไร...ต้องค้นหาคำตอบให้ได้
ด้วยตัวเอง..และถ้าเป็นประเภทกรรมฐานพิเศษ
ต่างๆถ้าตั้งปลายทางไว้เพื่อตัวเอง..โอกาสที่
ชาตินี้จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยากครับ...
และเมื่อฝึกไปแล้ว..ก็ดูว่าฝึกแล้วเกิดผลไหม
ไม่ว่ากับการนำมาปรับใช้งานในชีวิตประจำวัน..
หรือถ้าฝึกทางกรรมฐานพิเศษก็ดูว่า มันใช้งาน
ได้จริงๆไหมในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ใช้ได้แต่ในนิมิตร
เพื่อเอามาเล่าให้คนอื่นๆฟัง..มันจะทำให้เรายึดติด
และหลงตัวเองแบบไม่รู้ตัวครับ ..
ถ้าผลยังไม่เกิดต่อตัวเอง และยังใช้งานไม่ได้..
พวกกิริยาต่างๆที่เกิดในขณะที่เราฝึก
ถ้าตัวจิตเราไม่สามารถทราบได้ว่ามันคืออะไร..
มันเป็นอะไร.ณ ตอนนั้น.ให้เลิกสนใจ และไม่ต้องไปคิด
ไปพยายามค้นคว้า..หาคำตอบอะไรให้มากมาย..
ว่ามันคืออะไร ทำไมมันถึงเป็น และมันเกิดจากอะไร ฯลฯ..
เพราะว่ามันจะทำให้เราเสียเวลาเปล่า ทำให้จิตฟุ้ง
และทำให้กลายเป็นนิวรณ์ได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว...
และพอเราเลิกสนใจแล้ว ให้เน้นมาสร้างสติเน้นเดินปัญญา
มายกระดับพัฒนาจิต ด้วยการพยายามลดละกิเลส
ตัวที่เรายังมีอยู่ให้น้อยลง มาสร้างเสริมสร้างบุญบารมีมาหนุนให้มากๆ
เพื่อมาช่วยหนุนการลดละกิเลสไปด้วยในขณะฝึกกรรมฐานกองนั้นๆ..
และถ้าสงสัย ก็ไปฟัง ลพ.ท่านสอนเอาไว้ และให้จำ
หลักการณ์สำคัญๆให้ดีๆ ว่าท่านห้ามอะไร ให้เน้นอะไร
ในกรรมฐานกองนั้นๆ ก็ควรจะต้องทำตาม อย่าแตกแถว.
หรือถ้าท่านใดฝึกกรรมฐานพิเศษเฉพาะทางอะไร..
ก็ให้ถามประเด็นสำคัญในเรื่อง ผลสำเร็จเฉพาะทางนั้นๆ
การนำไปใช้งานเฉพาะทางนั้นๆ..ให้ตรงจุดตรงประเด็น...
ไม่ว่ากรรมฐานอะไร เราถึงจะมีโอกาสเข้าถึงผลสำเร็จระดับ
การนำไปใช้งานได้จริงๆ ทั้งการปรับเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างแยบยล และการนำไปงานเฉพาะทาง
สำหรับกรรมฐานพิเศษกองนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสายไหนๆก็ตามครับ...

มีนัยยะมาเล่าให้ฟังสุดแล้วแต่ท่านจะเข้าใจ
และไปพิจารณาเอาเองว่าท่านอยู่ขั้นที่เท่าไร..
๑.กายกับจิตประสานสัมพันธ์เชื่อมทุกสรรพสิ่ง(เป็นพื้นฐานที่ควรเข้าใจ)
๒.กายนิ่งจิตนิ่ง (จากผลของการฝึกกรรมฐานกองนั้นๆ)
๓.ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ(จากผลของกรรมฐานกองนั้นๆมาส่งเสริม)
๔.จิตสงบ หมดนิวรณ์พร้อมสติทางธรรมคอยกำกับ(กันหลงยึด หลงติด หลงตั้ง หลงแช่ แต่ต้อง
เจริญสติ พร้อมกับเดินปัญญาในชีวิตประจำวันเพื่อลดสิ่งที่ผุดขึ้นมากวนร่วมด้วย
บวกกับพฤติกรรมที่ส่งเสริมการลดละกิเลส ตลอดจากการสร้างบารมีมาหนุน).
๕.ยังเหตุภพภูมิแดนไตรภูมิเปิด(สุดแล้วแต่กรรมฐานกองนั้นๆ แต่ถ้ามาทางกรรมฐาน
แบบพิเศษจะไม่มีทางหลีกเหลี่ยงได้ ยกเว้นท่านที่เน้นทางด้านปัญญา จะผลิกมาส่งเสริม
ในทางด้านความเข้าใจต่างๆเกี่ยวกับปัญญา และท่านที่มาทางกรรมฐานพิเศษ
ให้สร้างบารมีเพิ่มให้กับส่วนภพภูมิ ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เป็นนิสัย)
๖.หากดับสัญญาความจำได้แล้วไซร์(อาศัยความเพียร กำลังสมาธิสะสมไม่ว่ากรรมฐานใดๆ
อาศัยกำลังสติที่เพียงพอเพื่อหนุนให้อยู่ในอารมย์ได้นาน ส่งเสริมกันเพื่อดับสัญญา)
๗.ปัญญาพึ่งบังเกิดขึ้นได้เอง...(ถึงขั้นนี้ถึงจะเป็นปัญญาที่ลดละกิเลสได้จริง ท่านที่มา
ทางกรรมฐานพิเศษ ก็จะเกิดเครื่องรู้ เกิดกำลังจิตใช้งานได้ปกติ ท่านที่มาทางสายปัญญา
ก็จะเกิดปัญญาทางธรรมขยายวงออกกว้าง จนตัวจิตท่านมีกำลังเพียงพอตัดตัวกิเลสต่างๆ
ตัดตัวมายึดเกาะจิตต่างๆท่านได้เอง ในระดับการใช้ชีวิตปกติประจำวันทั่วๆไปครับ)
ปล.ประมาณนี้ครับ นัยยะทั้ง ๗ ข้อสุดแล้วแต่ท่านใด
จะเข้าถึงระไหนก็สุดแล้วแต่ และก็สุดแล้วแต่ว่าจะเข้าใจครับ..

มาจากดิน · 26 พฤษภาคม 2015

nopphakan said: ↑

ปฏิสัมภิทาญาน มีห่มเหลืองท่านเดียวหละครับที่

ทำเป็นบันทึกการสอนและสามารถสอนแนวทาง

แบบนี้ได้เป็นรูปธรรมครับ..พิมพ์ใน Google

ว่าปฏิสัมภิทาญาน ม้วนที่ ๕ ก็เห็นรูปแล้วครับ..

โห้ย เข้าเวปพลังจิต มาในห้องอภิญญา-สมาธิ

น่าจะพอทราบบ้างหละครับ...
ส่วนเรื่องการฝึกสมาธิไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานอะไร..
ถ้าอยากจะฝึกให้มันสำเร็จผลในชาตินี้นะครับ...
ควรรู้ว่าปลายทางที่จะฝึกนั้น ผลที่ได้เป็นอย่างไร..
ผลที่เกิดเป็นอย่างไร..นำไปใช้งานได้อย่างไร..
และฝึกไปเพื่ออะไร...ต้องค้นหาคำตอบให้ได้
ด้วยตัวเอง..และถ้าเป็นประเภทกรรมฐานพิเศษ
ต่างๆถ้าตั้งปลายทางไว้เพื่อตัวเอง..โอกาสที่
ชาตินี้จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยากครับ...
และเมื่อฝึกไปแล้ว..ก็ดูว่าฝึกแล้วเกิดผลไหม
ไม่ว่ากับการนำมาปรับใช้งานในชีวิตประจำวัน..
หรือถ้าฝึกทางกรรมฐานพิเศษก็ดูว่า มันใช้งาน
ได้จริงๆไหมในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ใช้ได้แต่ในนิมิตร
เพื่อเอามาเล่าให้คนอื่นๆฟัง..มันจะทำให้เรายึดติด
และหลงตัวเองแบบไม่รู้ตัวครับ ..
ถ้าผลยังไม่เกิดต่อตัวเอง และยังใช้งานไม่ได้..
พวกกิริยาต่างๆที่เกิดในขณะที่เราฝึก
ถ้าตัวจิตเราไม่สามารถทราบได้ว่ามันคืออะไร..
มันเป็นอะไร.ณ ตอนนั้น.ให้เลิกสนใจ และไม่ต้องไปคิด
ไปพยายามค้นคว้า..หาคำตอบอะไรให้มากมาย..
ว่ามันคืออะไร ทำไมมันถึงเป็น และมันเกิดจากอะไร ฯลฯ..
เพราะว่ามันจะทำให้เราเสียเวลาเปล่า ทำให้จิตฟุ้ง
และทำให้กลายเป็นนิวรณ์ได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว...
และพอเราเลิกสนใจแล้ว ให้เน้นมาสร้างสติเน้นเดินปัญญา
มายกระดับพัฒนาจิต ด้วยการพยายามลดละกิเลส
ตัวที่เรายังมีอยู่ให้น้อยลง มาสร้างเสริมสร้างบุญบารมีมาหนุนให้มากๆ
เพื่อมาช่วยหนุนการลดละกิเลสไปด้วยในขณะฝึกกรรมฐานกองนั้นๆ..
และถ้าสงสัย ก็ไปฟัง ลพ.ท่านสอนเอาไว้ และให้จำ
หลักการณ์สำคัญๆให้ดีๆ ว่าท่านห้ามอะไร ให้เน้นอะไร
ในกรรมฐานกองนั้นๆ ก็ควรจะต้องทำตาม อย่าแตกแถว.
หรือถ้าท่านใดฝึกกรรมฐานพิเศษเฉพาะทางอะไร..
ก็ให้ถามประเด็นสำคัญในเรื่อง ผลสำเร็จเฉพาะทางนั้นๆ
การนำไปใช้งานเฉพาะทางนั้นๆ..ให้ตรงจุดตรงประเด็น...
ไม่ว่ากรรมฐานอะไร เราถึงจะมีโอกาสเข้าถึงผลสำเร็จระดับ
การนำไปใช้งานได้จริงๆ ทั้งการปรับเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างแยบยล และการนำไปงานเฉพาะทาง
สำหรับกรรมฐานพิเศษกองนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสายไหนๆก็ตามครับ...

มีนัยยะมาเล่าให้ฟังสุดแล้วแต่ท่านจะเข้าใจ
และไปพิจารณาเอาเองว่าท่านอยู่ขั้นที่เท่าไร..
๑.กายกับจิตประสานสัมพันธ์เชื่อมทุกสรรพสิ่ง(เป็นพื้นฐานที่ควรเข้าใจ)
๒.กายนิ่งจิตนิ่ง (จากผลของการฝึกกรรมฐานกองนั้นๆ)
๓.ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ(จากผลของกรรมฐานกองนั้นๆมาส่งเสริม)
๔.จิตสงบ หมดนิวรณ์พร้อมสติทางธรรมคอยกำกับ(กันหลงยึด หลงติด หลงตั้ง หลงแช่ แต่ต้อง
เจริญสติ พร้อมกับเดินปัญญาในชีวิตประจำวันเพื่อลดสิ่งที่ผุดขึ้นมากวนร่วมด้วย
บวกกับพฤติกรรมที่ส่งเสริมการลดละกิเลส ตลอดจากการสร้างบารมีมาหนุน).
๕.ยังเหตุภพภูมิแดนไตรภูมิเปิด(สุดแล้วแต่กรรมฐานกองนั้นๆ แต่ถ้ามาทางกรรมฐาน
แบบพิเศษจะไม่มีทางหลีกเหลี่ยงได้ ยกเว้นท่านที่เน้นทางด้านปัญญา จะผลิกมาส่งเสริม
ในทางด้านความเข้าใจต่างๆเกี่ยวกับปัญญา และท่านที่มาทางกรรมฐานพิเศษ
ให้สร้างบารมีเพิ่มให้กับส่วนภพภูมิ ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เป็นนิสัย)
๖.หากดับสัญญาความจำได้แล้วไซร์(อาศัยความเพียร กำลังสมาธิสะสมไม่ว่ากรรมฐานใดๆ
อาศัยกำลังสติที่เพียงพอเพื่อหนุนให้อยู่ในอารมย์ได้นาน ส่งเสริมกันเพื่อดับสัญญา)
๗.ปัญญาพึ่งบังเกิดขึ้นได้เอง...(ถึงขั้นนี้ถึงจะเป็นปัญญาที่ลดละกิเลสได้จริง ท่านที่มา
ทางกรรมฐานพิเศษ ก็จะเกิดเครื่องรู้ เกิดกำลังจิตใช้งานได้ปกติ ท่านที่มาทางสายปัญญา
ก็จะเกิดปัญญาทางธรรมขยายวงออกกว้าง จนตัวจิตท่านมีกำลังเพียงพอตัดตัวกิเลสต่างๆ
ตัดตัวมายึดเกาะจิตต่างๆท่านได้เอง ในระดับการใช้ชีวิตปกติประจำวันทั่วๆไปครับ)
ปล.ประมาณนี้ครับ นัยยะทั้ง ๗ ข้อสุดแล้วแต่ท่านใด
จะเข้าถึงระไหนก็สุดแล้วแต่ และก็สุดแล้วแต่ว่าจะเข้าใจครับ..
Click to expand...

เอาตรงไปตรงมาเลยครับ ชัดๆ ลพ. ที่อ้างถึง ชื่ออะไร
แนวทางการปฏิบัติที่คุณทำและเข้าใจ คือ อย่างไร

บุรุษไร้เงา · 26 พฤษภาคม 2015

เขียนขนาดนี้ขนาดบอกว่า ลพ.
ท่านที่มีบันทึกการสอนเรื่องปฏิสัมภิทาญานขนาดนี้...
บอกแม้กระทั่งคำค้นให้พิมพ์ Google ขนาดนี้
เขียนนัยยะให้ดูถึง ๗ ข้อขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ..
ถามหน่อยว่านักปฏิบัติในประเทศไทยสมัยนี้
มีใครที่เล่นอินเตอร์เนทเป็น แล้วไม่รู้จัก Google บ้างครับ..
ผมว่าถ้าจะฉลาดขนาดนั้น ก็เอาคีย์บอร์ดเคาะกะบาลซักที
เพื่อว่าจะได้พอมีความฉลาดขึ้นมาบ้าง....

ยังจะมาถามแนวทางการปฏิบัติกันอีก..
การปฏิบัติมันไม่ใช่อาศัยการอ่านตำราเพียงอย่างเดียว
แล้วไปใช้ความคิด ความเห็น และใช้ความเห็นในการตีความ
แล้วมันจะเข้าใจได้ เวลาปฏิบัติเค้าต้องวางความรู้ทางสมมุติไว้ก่อน
วางทิฐิมานะส่วนตนไว้ก่อน ตลอดจนความเห็นต่างๆ แล้วก็ไปปฏิบัติ
เพื่อให้รู้ เพื่อให้เข้าใจ และสุดท้ายเมื่อรู้และเข้าใจแล้วก็ต้องวาง..
ส่วนผลการปฏิบัติไม่ว่าเราจะฝึกอะไรมา มันก็ต้องมาปรับใช้กับการ
ดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างแยบยล และถ้ามาทางกรรมฐานพิเศษ
ก็ต้องสามารถนำไปใช้ได้จริง และใช้เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์
ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบส่งเสริมให้มีแต่กิเลส..
ต้องส่งเสริมเพื่อการไม่มีกิเลสทั้งหลายร่วมด้วย...
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คุณ จะมาต้องถามโน้นถามนี่...
การปฏิบัติเข้าถึงทางจิตขั้นพื้นฐานที่ผ่านมา
ตัวคุณเองอ่านแล้วยังงงๆและไม่เข้าใจ..
เพราะฉนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเขียนให้อ่าน
เพราะพวกนี้ถ้าไม่ปฏิบัติจนผ่านสภาวะมาบ้าง
ให้อ่านยังไงมันก็ไม่มีทางเข้าใจได้ครับ..
เพราะฉนั้นก็ไม่ต้องไปพูด ไปคิดเลยว่าจะไปเอา
ส่วนไหนของตำรามาเทียบเคียง เพราะตัวเรายัง
เข้าไม่ถึงหรือยังไม่ผ่านสภาวะนั้นๆมาก่อนครับ..
เพราะยังไงมันก็ไม่ถูกไม่เป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติ
จริงๆ
และก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้วหละครับ...ก็เลิกทำอะไรที่มันใช้ความคิด
เลิกทำอะไรที่ใช้ความเห็นในการตีความ ใช้ความพยายาม
ในการทำความเข้าใจเถอะครับ..มันก็มีเป้าหมายเหมือนๆกันทุกๆคน
นั้นหละครับ ว่าปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ปฏิบัติแล้วเพื่อที่จะไม่ต้อง
กลับมาเกิด นิพพง นิพพาน ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นว่ามันเขียนอย่างไร..
ปัญหาคือ เราจะเอาอะไรไปเข้าถึง ไปรู้ ตรงนี้สำคัญกว่า ตำราเพื่อ
เป็นแนวทางอย่างเดียวหรือ ปฏิบัติอย่างเดียวหรือ ต้องตอบ
และเข้าใจนัยยะนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง มันถึงจะมีโอกาสพ้นครับ..
ทางที่ดีควรไปปฏิบัติให้มันเข้าถึงให้ได้จริงๆจะดีกว่าครับ..
ไม่งั้นก็จะสงสัยก็จะมาเที่ยวถามไปเรื่อย.
หรือไม่ก็จะยกเอา เรื่องการปฏิบัติที่มันไร้สาระ
ที่มันขวางการปฏิบัติต่างๆให้เข้าถึงผลสำเร็จ
เอามาแนะนำสมาชิกท่านอื่นๆอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้
แม้ว่าจะปนไปด้วยเจตนาตั้งต้นที่ดี แต่ด้วยความที่
เรายังเข้าไม่ถึงสภาวะการปฏิบัตินั้นๆ เราจึงยังไม่เข้า
ใจในเนื้อหาหลักๆนั้นๆ...
ปล.สุดแล้วแต่จะพิจารณาและเข้าถึงได้ครับ..

มาจากดิน · 26 พฤษภาคม 2015

nopphakan said: ↑

เขียนขนาดนี้ขนาดบอกว่า ลพ.
ท่านที่มีบันทึกการสอนเรื่องปฏิสัมภิทาญานขนาดนี้...
บอกแม้กระทั่งคำค้นให้พิมพ์ Google ขนาดนี้
เขียนนัยยะให้ดูถึง ๗ ข้อขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ..
ถามหน่อยว่านักปฏิบัติในประเทศไทยสมัยนี้
มีใครที่เล่นอินเตอร์เนทเป็น แล้วไม่รู้จัก Google บ้างครับ..
ผมว่าถ้าจะฉลาดขนาดนั้น ก็เอาคีย์บอร์ดเคาะกะบาลซักที
เพื่อว่าจะได้พอมีความฉลาดขึ้นมาบ้าง....

ยังจะมาถามแนวทางการปฏิบัติกันอีก..
การปฏิบัติมันไม่ใช่อาศัยการอ่านตำราเพียงอย่างเดียว
แล้วไปใช้ความคิด ความเห็น และใช้ความเห็นในการตีความ
แล้วมันจะเข้าใจได้ เวลาปฏิบัติเค้าต้องวางความรู้ทางสมมุติไว้ก่อน
วางทิฐิมานะส่วนตนไว้ก่อน ตลอดจนความเห็นต่างๆ แล้วก็ไปปฏิบัติ
เพื่อให้รู้ เพื่อให้เข้าใจ และสุดท้ายเมื่อรู้และเข้าใจแล้วก็ต้องวาง..
ส่วนผลการปฏิบัติไม่ว่าเราจะฝึกอะไรมา มันก็ต้องมาปรับใช้กับการ
ดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างแยบยล และถ้ามาทางกรรมฐานพิเศษ
ก็ต้องสามารถนำไปใช้ได้จริง และใช้เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์
ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบส่งเสริมให้มีแต่กิเลส..
ต้องส่งเสริมเพื่อการไม่มีกิเลสทั้งหลายร่วมด้วย...
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คุณ จะมาต้องถามโน้นถามนี่...
การปฏิบัติเข้าถึงทางจิตขั้นพื้นฐานที่ผ่านมา
ตัวคุณเองอ่านแล้วยังงงๆและไม่เข้าใจ..
เพราะฉนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเขียนให้อ่าน
เพราะพวกนี้ถ้าไม่ปฏิบัติจนผ่านสภาวะมาบ้าง
ให้อ่านยังไงมันก็ไม่มีทางเข้าใจได้ครับ..
เพราะฉนั้นก็ไม่ต้องไปพูด ไปคิดเลยว่าจะไปเอา
ส่วนไหนของตำรามาเทียบเคียง เพราะตัวเรายัง
เข้าไม่ถึงหรือยังไม่ผ่านสภาวะนั้นๆมาก่อนครับ..
เพราะยังไงมันก็ไม่ถูกไม่เป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติ
จริงๆ
และก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้วหละครับ...ก็เลิกทำอะไรที่มันใช้ความคิด
เลิกทำอะไรที่ใช้ความเห็นในการตีความ ใช้ความพยายาม
ในการทำความเข้าใจเถอะครับ..มันก็มีเป้าหมายเหมือนๆกันทุกๆคน
นั้นหละครับ ว่าปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ปฏิบัติแล้วเพื่อที่จะไม่ต้อง
กลับมาเกิด นิพพง นิพพาน ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นว่ามันเขียนอย่างไร..
ปัญหาคือ เราจะเอาอะไรไปเข้าถึง ไปรู้ ตรงนี้สำคัญกว่า ตำราเพื่อ
เป็นแนวทางอย่างเดียวหรือ ปฏิบัติอย่างเดียวหรือ ต้องตอบ
และเข้าใจนัยยะนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง มันถึงจะมีโอกาสพ้นครับ..
ทางที่ดีควรไปปฏิบัติให้มันเข้าถึงให้ได้จริงๆจะดีกว่าครับ..
ไม่งั้นก็จะสงสัยก็จะมาเที่ยวถามไปเรื่อย.
หรือไม่ก็จะยกเอา เรื่องการปฏิบัติที่มันไร้สาระ
ที่มันขวางการปฏิบัติต่างๆให้เข้าถึงผลสำเร็จ
เอามาแนะนำสมาชิกท่านอื่นๆอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้
แม้ว่าจะปนไปด้วยเจตนาตั้งต้นที่ดี แต่ด้วยความที่
เรายังเข้าไม่ถึงสภาวะการปฏิบัตินั้นๆ เราจึงยังไม่เข้า
ใจในเนื้อหาหลักๆนั้นๆ...
ปล.สุดแล้วแต่จะพิจารณาและเข้าถึงได้ครับ..
Click to expand...

ค้นดู

https://www.google.co.th/?gws_rd=ssl#q=หลวงพ่อสอนปฏิสัมภิทาญาน

ลพ.ฤาษีลิงดำหรือครับ:d

บุรุษไร้เงา · 26 พฤษภาคม 2015

ใช่ครับ คุณ มาจากดิน.
ถ้าทำตามที่ท่านสอนได้ในเบื้องต้น..ก็จะเป็นการเตรียมพื้นฐาน
เพื่อไปต่อยอดต่อกับครูบาร์อาจารย์ข้างบนท่านอื่นๆได้
โดยนัยยะครูบาร์อาจารย์ท่านอื่นๆก็เป็นเสมือนสหพันธมิตรธรรม
กับท่านอยู่แล้ว..สำคัญพื้นฐานที่เราจะต้องพอมีเท่านั้นเองครับ..
พูดถึงกรณีถ้าตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า สมาบัติ ๘ และไปปฏิสัมภิทาญาน
หรือลึกๆคิดว่าเราสามารถพัฒนาตัวจิตเราขึ้นไปได้นะครับ...

มาจากดิน · 26 พฤษภาคม 2015

nopphakan said: ↑

ใช่ครับ คุณ มาจากดิน.
ถ้าทำตามที่ท่านสอนได้ในเบื้องต้น..ก็จะเป็นการเตรียมพื้นฐาน
เพื่อไปต่อยอดต่อกับครูบาร์อาจารย์ข้างบนท่านอื่นๆได้
โดยนัยยะครูบาร์อาจารย์ท่านอื่นๆก็เป็นเสมือนสหพันธมิตรธรรม
กับท่านอยู่แล้ว..สำคัญพื้นฐานที่เราจะต้องพอมีเท่านั้นเองครับ..
พูดถึงกรณีถ้าตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า สมาบัติ ๘ และไปปฏิสัมภิทาญาน
หรือลึกๆคิดว่าเราสามารถพัฒนาตัวจิตเราขึ้นไปได้นะครับ...
Click to expand...

คุณ nopphakan ไปสนทนากันที่นี่ครับ กระทู้ตรงกับเรื่องเลย (deejai)

http://palungjit.org/posts/9642542

Thanks-Epi · 27 พฤษภาคม 2015

แนะนำฟังหลวงพ่อปราโมทย์ค่ะ เจริญสติปฎิฐาน 4
แรกๆที่ปฎิบัติ เริ่มเองที่บ้าน (คือมีเหตุบังเอิญค่ะที่ต้องปฎิบัติทั้งๆที่ไม่รู้เรื่อง เพราะพ่อป่วยหนัก)
งานก็ทิ้งไม่ได้ /ลูกก็ต้องเลี้ยง สรุปคือ เริ่มเองที่บ้าน+ ญาติธรรมคนแรกแนะนำคร่าวๆ
แนะว่า
-ห้ามอ่านบอร์ดอภิญญา
-ห้ามอ่านกระทู้เกี่ยวกะการปฎิบัติ
-ห้ามเสริชหาในเนต
ฟังหลวงพ่อปราโมทย์อย่างเดียว ส่วนสมถะก็พุทโธไปเท่าที่ทำได้เท่าที่เข้าใจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้เล่าให้เขาฟัง หรือไปวัดที่มีพระปฎิบัติ (คือเล่าแล้ว เขาบอกไปวัดเลย เขาแนะต่อไม่ได้แล้ว)
ห้ามอ่านกระทู้หรือตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกะนั่งสมาธิเด็ดขาด..ด้วยความเชื่อเพื่อนคนนี้เพราะไว้ใจค่ะ แล้วเราก็จะพบญาติธรรมต่อไปเรื่อยๆเองค่ะ ธรรมะจัดสรรค์ ญาติธรรมสอนมาเรื่อยๆ
พระท่านบอก "อ้อ..เดวนี้เขาไม่ต้องไปวัดปฎิบัติกันแล้วหรือ ปฎิบัติกันเอง(สื่อสาร) ทางอินเตอร์เนตแล้วหรือนี่ (หัวเราะ)" แม้ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเวลาไปเข้าคอร์สเหมือนคนอื่นเขา

อาการที่ออกมา แนะนำเจริญสติค่ะ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

สอบถามเกี่ยวกับเรื่ององค์ในขณะนั่งสมาธิ

Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

สอบถามเกี่ยวกับเรื่ององค์ในขณะนั่งสมาธิ

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา