สายใต้พระนางตรา ๑๐๐ ปี พระพุทธนิมิตร พ่อท่านพลับ ๒๕๐๔

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1711431995766.jpg
    วัดประดู่ทรงธรรม อยุธยา สำนักตักกศิลาภาคกลาง เมื่อตอนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่สอง ตำหรับตำราวิชาต่างๆ สาปสูญไปมากนับว่าเป็นโชคดี ของชาวไทย ที่มีเกจิอาจารย์ที่เล็งเห็นความสำคัญ ของตำราโบราณ ท่านนับว่าได้รวบรวมตำหรับตำรา มากที่สุดท่านหนึ่ง เกจิท่านนี้คือ หลวงพ่อรอด(เสือ) ผู้บูรณะวัดประดู่ทรงธรรม ขึ้นมาใหม่ในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    ชื่อ หลวงพ่อรอด ( เสือ มีที่มาหลากหลายสำหรับกระแสแรกนั้นเล่ากันทำนองว่า สาเหตุที่เรียก หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ก็เพราะท่าน
    มีชื่อเดิมว่า รอด แต่ดุอย่าง เสืออีกกระแสหนึ่งพอสรุปได้ว่า สาเหตุที่ได้ชื่ออย่างนั้นก็เพราะท่านรอดชีวิตจากเสือ แต่เดิมนั้นหลวงพ่อรอด(เสือ)พำนักอยู่วัดบาง หว้าใหญ่หรือวัดระฆังฝั่งธนบุรีในเวลาต่อมา ก่อนที่ท่านจะมาปฏิสังขรณ์ วัดประดู่(และ วัดโรงธรรม ) นั้น
    หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ได้จอดเรือเพื่อแวะพักค้างคืนที่ บ้านเสือข้าม ชาวบ้านในละแวกนั้นมาขอให้ย้ายไปจอดที่อื่น เพราะเกรงว่าหากถึงเวลาเสือข้ามฟากตอนดึกๆ อาจไม่ปลอดภัย แต่ หลวงพ่อรอด( เสือ )ไม่ยอมย้ายเมื่อท่านไม่ยอมทำตามคำขอร้องชาวบ้านที่ว่าจึงลากลับ โดยในระหว่างทางต่างพูดกันทำนองว่า หากย้อนมาในตอนเช้าหลวงพ่อรอด ( เสือ ) ยังอยู่ก็แสดงว่าเป็นพระดีมีวิชา แต่ถ้าถูกเสือกิน ก็ต้องเก็บซากศพเผาเอาบุญแล้วกัน ครั้นถึงตอนเช้าของวัน ต่อมากลับพบว่า ท่านนั่งหัวร่ออยู่ในเรืออย่างอารมณ์ดี เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้เรียกขานกันว่าหลวงพ่อรอด ( เสือ ) แต่นั้นมาบางท่านก็ว่าหลวงพ่อรอด ท่านสำเร็จวิชาเสือสมิงสันนิษฐานว่า หลังจาก กรุงศรีอยุธยา ถึง
    คราวต้องล่มสลาย วัดส่วนใหญ่ทั้งในและนอกเกาะเมืองล้วนไม่มีพระเณรพำนักพักพาเนื่องจากว่าต้องหลบหนีข้าศึกเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป ถึงจะไม่ถูกพม่าฆ่าฟันแต่ก็อาจ อดตายอยู่ดี เพราะหาคนที่จะใส่บาตรหรือถวายอาหารไม่ได้ ด้วยว่าส่วนใหญ่ต่างหนีภัยสงครามเอาตัวรอดกันทุกหมู่บ้านหลวงพ่อรอด ( เสือ) ก็เช่นกันกล่าวคือ ท่านได้หลบหนีจาก วัดประดู่ ไปอยู่วัดระฆัง หรือ วัดบาง(ห)ว้าใหญ่สมัยนั้นอยู่ระยะหนึ่งกระทั่งถึงสมัรัตนโกสินทร์จึงได้ย้อนกลับมปฏิสังขรณ์ วัดประดู่ และ วัดโรงธรรม (ซึ่งอยู่ใกล้กัน) ขึ้นใหม่ และได้ใช้ชื่อวัดประดู่โรงธรรม เรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น โดยมีท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกตั้งแต่ต้นรัชกาลที่๑ จากหลักฐานทั้หลายอันได้แก่ พระนิพนธ์เรื่องความทรงจำของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญลพ.รอด(เสือ )พิมพ์เล็ก สภาพตามที่เห็น เคยสวยงามมาก่อน ลป.บุญนาคหลังยันต์พระเจ้าสิบหกพระองค์ ลพ สละปลุกเสก ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240325_212106.jpg IMG_20240325_212152.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง
    1711442931378.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อพุธ-ฐิตาจาโร-พระอริยสงฆ์-แห่งวัดเขาใหญ่.343660/page-4


    somchock_201204291847223994091227651_.jpg

    พระผงโต๊ะหมู่หลวงพ่อพุธ ฐิตาจาโรเขาใหญ่สุพรรณบุรี ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    สมัยนั้นมีศิษย์นำมาออกให้ทำบุญองค์ละ 1,000 บาทในเวปพลังจิตนี้ครับลองเข้าไปอ่านประวัติหลวงพ่อท่านก่อนครับ

    IMG_20240326_183126.jpg IMG_20240326_183610.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2024
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    E%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%8D%E0%B9%82%E0%B8%AA-jpg.jpg
    หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส วัดดอนทอง จ.สระบุรี
    ประวัติ หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส วัดดอนทอง
    "หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส" หรือ พระครูอรรถธรรมาทร วัดดอนทอง อ.ดอนพุด จ.สระบุรี เป็นพระเถราจารย์มีเชื้อสายเขมร ที่มีวิทยาคมแก่กล้ารูปหนึ่ง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนและคณะศิษยานุศิษย์อย่างยิ่ง
    อัตโนประวัติ หลวงพ่อเฮ็น เกิดในสกุล ศิริวงษ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2454 ตรงกับปีกุน ที่หมู่บ้านจางคาง เมืองปาดวง กำปงธม ซึ่งเป็นเมืองชายแดนขึ้นอยู่กับไทย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเสียดินแดนแถบนั้นไป โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอยู่และนางเขียว ศิริวงษ์ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาอยู่หมู่บ้านจางคาง
    เมื่ออายุครบ 20 ปี ตรงกับ พ.ศ.2474 ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดพรรณราย เมืองกำพงธม มีหลวงพ่อแก้ว วัดพรรณราย เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์กุ่ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์หมั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สิริวังโส
    หลังอุปสมบท ได้ศึกษาพุทธาคมและพระธรรมวินัยและไสยาคมกับหลวงพ่อแก้ว เมื่อเรียนวิชาจนสำเร็จแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์มายังเมืองไทย
    ระหว่างการเดินธุดงค์ตามป่าเขา ได้พบพระธุดงค์ด้วยกันหลายรูป จึงแลกเปลี่ยนวิชากัน อาทิ หลวงปู่สอน วัดเสิงสาง จ.นครราชสีมา, พระอาจารย์ต่วน วัดกล้วย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
    หลวงพ่อเฮ็น เคยปรารภว่า ได้ออกท่องธุดงค์รอนแรมตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาที่สงบวิเวกบำเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติวิปัสสนาระหว่างทางในป่าเขาให้ถ้ำบ้าง ขุนเขาบ้างเป็นที่พำนัก รักษาศีล และเจริญวิปัสสนา ได้พบกับความยากลำบากต่างๆ นานา พบกับภัยธรรมชาติก็อาศัยสรรพวิชาที่ได้ร่ำเรียนมากับอาจารย์สามารถปัดเป่าไปได้ ระหว่างทางพบกับความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย
    "สมัยเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ระหว่างชายแดนด้านประเทศเขมร มีแต่ป่าดงดิบทั้งนั้น ใครไม่แน่จริง เดินเข้าไปก็ไม่สามารถออกมาได้ กลายเป็นผีเฝ้าป่าไปเท่านั้น"
    หลวงพ่อเฮ็น เล่าว่า ในป่าดงดิบแถบนั้น การเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติ เป็นเรื่องมิใช่ง่าย นอกจากต้องมีพลังจิตกล้าแข็งแล้ว การผจญกับสัตว์ป่านานาชนิด บางครั้งต้องใช้วิชาไสยศาสตร์แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปด้วย
    ท่านใช้เวลาธุดงค์ยาวนานหลายปีวนเวียนอยู่ในป่าเขา จนการปฏิบัติวิปัสสนาก้าวหน้ากล้าแข็งดีแล้ว จึงธุดงค์เข้ามาในเขตประเทศไทย ได้พบพระคณาจารย์ต่างๆ ของไทยหลายรูปที่ธุดงควัตรอยู่ในป่า ได้ศึกษาสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนกัน และธุดงค์เรื่อยเข้ามาผ่านเข้ามาทาง ทุ่งนาบ้าง บ้านคนบ้าง จนกระทั่งถึงเมืองสระบุรี ท่านเดินทางไปถึงบ้านดงตะงาว กิ่งอำเภอดอนพุด ได้พบวัดดอนทอง เห็นเป็นวัดที่มีความสงบวิเวกดี มีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ไม่มากนัก
    จากนั้นจึงได้อยู่จำพรรษาที่ "วัดดอนทอง" เมื่อปี พ.ศ.2479 ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่นั่นได้เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านดอนทองมาก ด้วยมีศีลาจารวัตรงดงาม ครั้นเมื่อ หลวงพ่อแพ เจ้าอาวาสวัดดอนทอง มรณภาพ ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงพ่อเฮ็น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา
    พ.ศ.2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูอรรถธรรมทร"
    ในชีวิตหลวงพ่อเฮ็น ได้สร้างมงคลวัตถุไว้หลายรุ่นหลายแบบ อาทิ ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม มีความเชื่อว่า เมื่อต้องการใช้ก่อนออกจากบ้าน ให้นำผ้ายันต์อุษาสวรรค์ เช็ดหน้าจากซ้ายไปขวาสามครั้ง ท่านจะมีเสน่ห์ไปตลอดทั้งวัน
    กล่าวกันว่า ผ้ายันต์อุษาสวรรค์ หลวงพ่อเฮ็นนั้น มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง โดยเฉพาะในทางเมตตามหานิยมเป็นเลิศ มีกิตติคุณกว้างไกล ท่านสร้างขึ้นตามตำรับโบราณ ด้วยพุทธาคมและพลังจิตอันกล้าแข็ง ด้วยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อแก้ว แห่งวัดพรรณราย
    หลวงพ่อเฮ็น เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านดอนทองอย่างยิ่ง แม้กระทั่งทหารนักรบที่อาสาไปรบในสงครามเวียดนาม ต่างมาขอวัตถุมงคลจากท่าน เพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตราย
    หลวงพ่อเฮ็นมรณภาพเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 สิริอายุได้ 89 ปี
    แม้วันนี้หลวงพ่อเฮ็นจะละสังขารไปนานแล้ว แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่สืบไป



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญอายุ๘๔ปีหลวงพ่อเห็นวัดดอนทองกะไกล่ทองลงยาสีแดง ปี๒๕๓๗ และ
    รูปหล่อรุ่นสร้างอาคารโรงเรียนวัดอนทอง ปี๒๕๔๐
    ให้บูชาคู่กัน 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20240226_211459-jpg.jpg img_20240226_211539-jpg.jpg

    IMG_20240326_225810.jpg IMG_20240326_225834.jpg

    IMG_20240326_225750.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    get_auc1_img (15).jpeg
    หลวงพ่อวิชัยท่านเป็นพระผู้ทรงสุปฏิปันโน ผู้ทรงละแล้วซึ่งทางโลก ในสายหลวงปู่มั่น ท่านสำเร็จวิชาเสกหยกกันมะเร็งจากครูบาอาจารย์ที่มาสอนท่านในสมาธิ ท่านยังกล่าวยืนยันและยอมรับว่า หยกของท่านที่ผ่านการปลุกเสกแล้วสามารถช่วยปรับธาตุในร่างกายให้แข็งแรง ดูดสารพิษ ดูดโรคภัยในร่างกายได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่ท่านได้กล่าวยืนยัน
    ท่านก็เล่าว่า...มีลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งเป็นฝรั่งอยู่ต่างประเทศ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย (จริงๆ ท่านบอกแต่จำไม่ได้ว่าเป็นมะเร็งที่ใด)
    หมอที่นั่นบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน มาเจอท่านในสภาพตัวเหลือง ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
    ท่านเห็นแล้วก็เวทนา ก็เลยนำกำไลหยกมาอธิษฐานตามวิชาให้เขาไปใส่ โดยกำชับว่าให้ใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา
    จากที่หมดหวังอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนแพทย์ที่ต่างประเทศยังแปลกใจ
    ทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมอ้วนท้วนผิวพรรณดีจนเหมือนคนไม่ได้เป็นมะเร็งมาก่อน
    ชาวต่างชาติคนนี้นับถือหลวงพ่อมากและมากราบท่านเป็นประจำ
    เรียกท่านเป็น...ปาป๋า....เพราะเหมือนเป็นผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับเขาเลยทีเดียว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงหยกรูปเหมือนรุ่นแรกหลวงพ่อวิชัยถ้ำผาจมปี 2537
    ให้บูชา
    520 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240326_232432.jpg IMG_20240326_232502.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2024
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1711518245046.jpg
    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อพิมพ์-ผลปุญโญ-ผู้สืบสานพุทธาคมครอบจักรวาลจากครูใหญ่หลวงปู่ศุข-เกสโรและหลวงปู่หน่าย-อินทสิโล.563381/

    เหรียญหลวงปู่ศุขปากคลองมะขามเฒ่าหลวงพ่อพิมพ์สร้างออกปี 2550
    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240327_124432.jpg IMG_20240327_124451.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    lp-mun-4pp-1-494x840.jpg Somdet_Phra_Yanawachirodom.jpg
    คำสอนแรกที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้รับจากหลวงปู่มั่น เมื่อเจอกันครั้งแรก คือ ทางสายกลาง
    แม้ว่าวันแรกที่ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์) ไปพบวันนั้น ต้องเดินไปเป็นหนทางถึง 20 กิโลเมตร พอสรงน้ำเสร็จเข้าไป กราบหลวงปู่มั่น ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร แสดงธรรมเลยทีเดียว
    หลวงปู่มั่นแสดงว่า
    มัชฌิมา ทางกลาง หมายถึงอะไร
    หมายถึงความพอดี ของพอดีนั้นมีความสำคัญ

    ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ขาดความพอดี ใช้ไม่ได้ ไม้ที่จะตัดเป็นบ้านขาดความพอดีก็เป็นบ้านไม่ได้ จีวร เสื้อผ้า ตัดยาวไป สั้นไปก็ใช้ไม่ได้ อาหารมากไปก็ไม่ได้ น้อยไปก็ไม่ได้ ความเพียรมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้
    มัชฌิมา ทางกลาง คือ ขจัดสิ่งที่ไม่พอดี ให้พอดีนั่นเอง
    กามสุขลฺลิกานุโยค คือ การปฏิบัติตกไปในทางรัก
    อตฺตกิลมถานุโยค คือ ตกไปในทางชัง นี่คือการไม่พอดี ...
    ทำสมาธิหลงไปในความสุขก็ตกไปในทางรัก
    ทำสมาธิไม่ดีในบางคราว เศร้าใจ ตกไปในทางชัง
    การขจัดเสียซึ่งส่วนทั้งสองนั้น คือการเดินเข้าสู่อริยมรรค
    การถึงอริยมรรค นั่นคือการถึงต้นบัญญัติ
    การถึงต้นบัญญัติคือการถึง “พุทธะ”
    พระสมเด็จเนื้อผสมไม้เท้าหลวงปู่มั่นปี ๒๕๔๑ วัดธรรมมงคล ๒ องค์


    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240327_170634.jpg IMG_20240327_170657.jpg IMG_20240327_170314.jpg IMG_20240327_170341.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1711597266992.jpg
    เรื่อง....หลวงพ่อปราบผี
    เรื่ิองที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๖ ซึ่งในขณะนั้น อาตมาอายุ ๑๔ ปี ในปีนั้นมีพระจำพรรษา ๑๐ กว่ารูป สามเณรมี ๒ องค์ คืออาตมาและสามเณรหัส เดิมทีอาตมามีความศรัทธาหลวงพ่ออยู่แล้ว เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านมาจากบิดา ของอาตมาเอง ซึ่งแกจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อให้ฟังมาตั้งแต้ยังเด็ก คล้ายนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน เรื่องที่แกเล่าให้ฟังนั้นส่วนมากเป็นเรื่องในสมัยที่แกบวชอยู่จำพรรษา กับหลวงพ่อที่วัดบัลลังก์ โดยแกเล่าให้ฟังถึงปฏิปทา และอิทธิปาฏิหารของหลวงพ่อให้ฟังอยู่เป็นประจำ แต่อาตมาไม่เคยเห็นกับตาเลยสักครั้ง จนได้มาบวชอยู่กับท่าน จึงได้เห็นปฏิปทาของท่าน ว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตามที่โยมบิดาเล่าให้ฟังทุกประการ และในปีนั้นเอง อาตมาได้เห็นอิทธิฤทธิ์ ในพลังจิต และวิชาอาคมของท่านอย่างแท้จริง
    เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยนั้นจะมีญาติโยมเดินทางมาหาหลวงพ่อเป็นประจำ เรียกว่าไม่ขาดสาย เลยในแต่ละวัน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็จะนั่งพับเพียบต้อนรับสาธุชนที่เดินทางมากราบนมัสการ อยู่ที่กุฏิหลังเก่า ซึ่งกุฏิหลังนี้ ท่านอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ เป็นต้นมา
    การนั่งของท่านนั้นเป็นภาพที่คุ้นตากันดีในหมู่สานุศิษย์ ที่เดินทางไปกราบท่าน คือท่านนั่งพับเพียบตลอดทั้งวัน ไม่ขยับเลย ไม่ว่าใครจะไปจะมา ท่านก็นั่งอยู่อย่างนั้น แต่การต้อนรับญาติโยมนั้น โดยปกติก็ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. จนถึง ๑๑.๐๐ น.และช่วงเวลา ๑๓ .๐๐ น.จนถึง ๑๘.๐๐ น.เป็นประจำ ถ้าวันไหนมีญาติโยมมากันมาก ฉันเพลเสร็จท่านก็ออกมารับญาติโยมเลย บรรดาพระเณรที่เป็นอุปฐาก จะรู้หน้าที่ดี คือหลังจาก ๑๘.๐๐น.แล้ว ท่านจะสรงน้ำ พระเณรที่อุปฐากก็จะปิดประตูเหล็ก ที่ท่านนั่งรับแขกอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งในพรรษานั้น ก่อนที่ท่านจะเข้าสรงน้ำ ท่านได้สั่งอาตมาไว้ว่า วันนี้อย่างเพิ่งปิดประตู เดี๋ยวจะมีคนมาหา แล้วท่านก็เข้าห้องไป อาตมาจึงเข้าไปเตรียมน้ำสรง และบริขารถวาย น้ำที่สรงนั้นจะเป็นน้ำอุ่น ในขณะนั้นที่วัดไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องต้มน้ำใส่กา แล้วนำไปเทผสมน้ำเย็นให้ได้หนื่งถัง ส่วนผ้าบริขารของท่านที่ใช้ในการสรงน้ำก็มี สบง ๑ ผืน อังสะ ๑ ผืน ผ้าขนหนู ๓ ผืน คือ สำหรับเช็ดหน้าผืนหนึ่ง เช็ดตัวผืนหนึ่ง เช็ดเท้าผืนหนึ่ง การถวายน้ำสรงท่านนั้น พระเณรอุปฐากต้องทำด้วยความนอบน้อม คล่องแคล่ว และรวดเร็ว จึงจะถูกนิสัยกับองค์ท่าน
    . ดังนั้นพระเณรที่คอยอุปฐากหลวงพ่อจึงมีเพียงสองรูปเท่านั้น คือ พระอรุณ(พระใหญ่) และอาตมาซึ่งเป็นสามเณรอีกองค์หนึ่ง เท่านั้น ส่วนมากบรรดาพระเณรทั้งหลายไม่ค่อยเข้าไปอุปฐากองค์ท่าน เพราะถ้าเข้าไปสนิทกับองค์ท่านแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้สึก ซึ่งองค์ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติองค์ท่านก็นิ่งเฉยอยู่แล้ว หลังจากองค์ท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พักอิริยาบท อยู่ในห้องโดยมีอาตมาเป็นผู้ถวายการนวด จนถึงทุ่มครึ่ง องค์ท่านก็ลุกขึ้นครองจีวร แล้วออกมานั่งที่รับแขกของท่าน .ซึ่งขณะนั้นอาตมาคิดว่าท่านหรือโยมคงนัดกันไว้ อาตมาก็นั่งอยู่แถวนั้นเผื่อองค์ท่านจะเรียกใช้ อีกอย่างเป็นเวลาวิกาล หากผู้ที่มาเป็นผู้หญิงทั้งหมดก็ไม่ต้องด้วยพระวินัย อาตมาจึงคอยสังเกตุการณ์อยู่แถวนั้น
    จนกระทั้งเวลาล่วงไปถึง ๒๐.๐๐ น.กว่าๆ ได้มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาในวัด ในขณะที่รถคันนั้นแล่นเข้ามา บรรดาสุนัขทั้งหลายก็พากันส่งเสียงเห่าหอนจนดังไปทั้งวัด รถคันนั้นแล่นมาจอดใต้ต้นพิกุล หน้าหอสวดมนต์ ครู่หนึ่งก็มีผู้ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๒ คน ลงจากรถ แล้วช่วยกันฉุดกระชากลากจูงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ลงจากกระบะรถ ซึ่งมีหลังคาอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นปากก็พูดว่า กูไม่ไป อย่ามายุ่งกับกู พูดอยู่อย่างนี้ บรรดาสุนัขเจ้ากรรมทั้งหลายก็ส่งเสียงหอนกันไม่เลิก จนอาตมาขนลุกไปทั้งตัว ต้องเข้าไปอยู่ใกล้ๆหลวงพ่อ จึงพอหายกลัวไปได้บ้าง ส่วนคนพวกนั้นกว่าจะขึ้นมาได้ ก็ต้องช่วยกันจับแขน จับขาผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พอมาถึงหลวงพ่อ ผู้หญิงคนนั่นก็ด่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ซึ่งท่านก็เฉยไม่แสดงอาการอะไร จนผู้หญิงคนนั้นเลิกด่า ท่านจึงถามโยมที่มาว่า #มาแต่ไหนกันเล่า โยมตอบว่ามาจากหนองปลาไหลครับ ท่านก็ถามอีกว่า เป็นอะไรมาล่ะ โยมที่มาก็แย่งกันเล่าให้ท่านฟังว่า ไม่รู้มันเป็นอะไรหลวงพ่อ มันไปไร่กลับมาตอนค่ำ มันก็มีอาการแปลกๆ กลางวันมันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ปิดประตูหน้าต่างหมด ข้าวปลาไม่กินเลย มันจะกินแต่ของสดๆคาวๆเท่านั้นแหละ พาไปหาหมอ หมอตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร บางคนก็ว่าผีเข้า หมอผีที่เขาว่าเก่งๆก็ไปหามาทั่วก็ไม่หาย พระอะไรที่ว่าเก่งๆก็ตระเวนไปหามาหลายวัดแล้วหลวงพ่อ จนมีคนเขาบอกว่าให้พามาหาหลวงพ่อนี่แหละ จึงได้พากันมา กว่าจะมาถึงก็ต้องถามเขามาเรื่ิิอย นี่ก็เป็นมา ๗ วันแล้ว ถ้าหลวงพ่อรักษาไม่หาย ก็จะไม่รักษาแล้วล่ะ จะปล่อยให้มันตายไปนี่แหละ ไม่รู้ตะทำยังไงแล้วหลวงพ่อ
    . เมื่ิอถึงตอนนี้หลวงพ่อท่านได้ถามผู้หญิงที่ป่วยว่า เอ็งเป็นอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า เอ็งชื่ออะไร ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า บอกไม่ได้ ท่านก็ถามอีกว่า ใครใข้เอ็งมา ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ยอกไม่ได้ โยมที่มาด้วยกันก็ช่วยถามอีกว่า มึงก็บอกท่านไปสิ ผู้หญิงคนนั่นก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก โยมก็ถามอีกว่าใครไม่ให้บอก เขาก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก ตอบอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า เอ็งจะเอาอะไร รึจะกินอะไร ผู้หญิงคนนั่นตอบทันทีเลยว่า อยากจะกินใส้หมู ไส้ไก้ หลวงพ่อท่านก็ตอบไปว่า ที่วัดนี้ไม่มีให้หรอก ไส้หมู ไส้ไก่อะไรนั้นน่ะ มีแต่น้ำมนต์นี่แหละ เอาไปกินก่อน ว่าแล้วท่านก็ใช้แก้วตักน้ำมนต์ในบาตร ซึ่งอยู่ข้างๆท่านส่งให้ โยมที่เป็นผู้ชายค่อนข้างอายุมากหน่อยก็รับน้ำมนต์จากท่านไปให้หญิงคนนั้นกิน แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมกินปัดป้องเป็นพัลวัน พอน้ำมนต์หก รดถูกตัว ก็กรีดร้องอย่างโหยหวล จนพระเณรที่อยู่ตามกุฏิแตกตื่นมาดูกันทั้งวัด เมื่อหญิงคนนั้นไม่ยอมกินน้ำมนต์ ท่านจึงเอาน้ำมนต์พรมให้ หญิงคนนั้นก็ร้องดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนั้น ปากก็ร้องว่าร้อนๆไม่หยุด จากนั้นหลวงพ่อท่านก็นั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจึงหยิบด้ายมงคลที่ีอยู่ข้างๆมาจับเป็นมงคลคล้ายสร้อย แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า เอ้าเอาไปสวมคอดูซิ โยมผู้ชายคนเดิมก็รับด้ายมงคลไป หญิงคนนั้นพอเห็นด้ายมงคลเข้าไปใกล้ตัวเท่านั้นแหละ รีบถอยหลังหนี โยมที่มาด้วยกันต้องช่วยกันจับไว้ แต่หญิงคนนั้นก็ดิ้นจนสุดฤทธิ์ พอได้จังหวะ โยมผู้ชายก็เอาด้ายมงคลใส่คอทันที พอด้ายมงคลใส่เข้าไปเพียงศรีษะเท่านั้น หญิงคนนั้นก็กรีดร้องอย่างสุดเสียง แล้วมีอาการประหนึ่งว่าโดนถีบอย่างแรงหงายท้องทันที พอดีกับโยมที่นั่งอยู่ข้างๆรับศรีษะเอาไว้ทัน หญิงคนนั้นก็แน่นิ่งไป ตลอดเวลาที่หญิงคนนั้นร้องอยู่ สนัขทั้งหลายก็หอนโหยหวลอยู่อย่างนั้น พอหญิงคนนั้นนิ่งไป บรรดาสุนัขก็หอนรับกันไปเป็นทอดๆ ตั้งแต่กุฏิหลวงพ่อจนถึงท้ายวัดเลยทีเดียว
    . เมื่ิอสงบลงแล้ว หญิงคนนั้นก็รู้สึกตัวแต่ก็งงไปหมด ถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วฉันเป็นอะไร พวกที่พามาก็อนะนำให้กราบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง
    เขาตอบว่า ไม่รู้สึกตัวเลยหลวงพ่อ จำได้ว่าไปจุดมันจนเย็นค่ำจึงกลับบ้าน พอเดินมาผ่านจอมปลวกใหญ่ข้างทางก็ไม่รู้ตัวอีกเลย จนถึงตอนนี้แหละ
    หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่าหากพวกเรารู้จักไหว้พระ สวดมนต์ ก็จะไม่มีภูติผี ปีศาจ อะไรมากล้ำกราย แล้วท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนที่มา แต่โยมเขาขอด้ายมงคลเอาไปใส่คอด้วย ท่านก็ทำให้ทุกคน แต่ละคนก็ขอนำไปเผื่อลูกหลานอีก .ซึ่งท่านก็ทำให้ตามประสงค์ จากนั้นพวกโยมก็พากันกราบลากลับ เมื่อโยมลงจากกุฏิหลวงพ่อแล้ว อาตมายังสงสัยอยู่จึงเข้าไปถาม โยมที่มาว่า โยมนัดหลวงพ่อไว้หรอ เขาตอบว่าเปล่า ไม่ได้นัด ตั้งใจอธิฐานมาตั้งแต่บ้านว่าจะมาขอให้เจอหลวงพ่อ แล้วก็มากันเลย แล้วโยมก็พากันขึ้นรถกลับไป และเวลากลับนี้ สุนัขก็ไม่ได้หอนรับเหมือนตอนที่มา ตอนนั้นอาตมาสงสัยว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะไปจะมา อีกอย่างในขณะปี ๒๕๓๖ นั้นที่วัดบัลลังก์ก็ยังไม่มีโทรศัพย์ใช้เลย เพิ่งจะมีโทรศัพย์ใช้ครั้งแรกเมื่อปลายปี ๒๕๓๗ แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ใช้ รองเจ้าอาวาสเป็นผู้ใช้อีกต่างหาก จากเรื่องนี้ จึงทำให้เห็นได้ว่า #หลวงพ่อท่านมีอภิญญาสมาบัติและญาณอันแก่กล้า สมกับเป็นพระผู้เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สมเด็จฝังตะกรุดออกวัเดินสำโรงหลวงพ่อพยุง มีบิ่นมุมด้านล่าง องค์พระปลุกเสก
    ให้บูชา 130 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240328_103909.jpg IMG_20240328_103935.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    เหรียญกรมหลวงชุมพร หลังหลวงปู่ศุข รุ่นวิญญาณรักดอกประดู่ หลวงปู่เดินหน หลวงปู่โต๊ะ ปลุกเสก 2513 หายาก เนื้อทองแดง ขนาดสูง 4.5 เซ็น เหรียญวิญญาณรักดอกประดู่ ข้อมูลของวัตถุมงคลนี้เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์มานานแล้ว เดิมทีเหรียญรุ่นนี้จัดสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เพื่อหาแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมบริจาคช่วยครอบครัวทหารเรือที่ขาดแคลน เหรียญส่วนหนึ่งแจกแก่ทหารเรือเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ปลุกเสกอธิษฐานโดยพระคณาจารย์ในสมัยนั้น เช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง, หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ฯลฯ ต่อมาเมื่อมีการสร้างภาพยนต์เรื่อง วิญญาณรักดอกประดู่ ผู้สร้างจึงมีความคิดเห็นว่าควรนำเหรียญดังกล่าวมาแจกสมนาคุณแก่ผู้เข้าชมภาพยนต์ โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายตั๋วมอบให้กองทัพเรือ สมัยนั้นศิษย์ของหลวงปู่เดินหน เป็นผู้อยู่ในแวดวงภาพยนตร์มีอยู่หลายท่าน เช่น คุณดอกดิน กัญญามาลย์, คุณมิตร ชัยบัญชา, คุณ ภาวนา ชนะจิต, คุณประเทือง ตรีเมฆ ฯลฯ ซึ่งคณะผู้สร้างภาพยนต์เรื่องวิญญาณรักดอกประดู่ ได้นำเหรียญที่ตกค้างทั้งหมดนำมาขอให้หลวงปู่ปลุกเสก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240327_231635.jpg IMG_20240327_231659.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1710308912414.jpg

    ช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของท่าน ดำเนินไปเฉกเช่นวิถีชาวบ้านในต่างจังหวัดทั่วไป หลังจากจบ ป.๔ บิดาท่านได้ถึงแก่กรรม ท่านก็ต้องออกมาทำงานช่วยครอบครัว เพื่อเลี้ยงแม่และน้องๆ ซึ่งท่านก็สู้อดทน รับจ้างทำงานทุกอย่าง จนกระทั่งอายุได้ ๒๐ ปี จึงบรรพชาอุปสมบท ตามประเพณีนิยม ณ.วัดนางโอ ปัจจุบัน คือวัดบุพนิมิตร อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ.พัทธสีมา วัดนางโอ โดยมี พระครูมนูญสมณการวัดพลานุภาพเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต วัดนาประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการทอง จนฺทโชโต วัดภมรคติวันเป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอธิการดำ ติสสโร เจ้าอาวาสวัดนางโอ ในขณะนั้น เป็นประธานสงฆ์ พระสงฆ์หัตถบาส เป็นพระอาจารย์ ที่ประสิทธิ์ ประศาสน์ วิชาความรู้ และ พระเวทย์ต่างๆ ให้พ่อท่านเขียวมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆาราวาส เมื่ออุปสมบทครองผ้าเหลือง
    พ่อท่านเขียว ได้จำพรรษาอยู่วัดนางโอ โดยท่าน ได้ใช้เวลาที่ว่างจากกิจของสงฆ์เล่าเรียนการสวดมนต์ในบทสำคัญต่างๆ รวมถึงการสวดภาณยักษ์ในแบบฉบับของภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้พบกันมากๆเหมือนก่อนแล้วกระทั่งพรรษา ๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสุนทรบัญชาราม อ.รามัญ จ.ยะลา
    พรรษาที่ ๓ พ่อท่านเขียว ได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดนางโออีกครั้ง ได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ กับ “ตาเลี่ยม” ฆาราวาสที่เชี่ยวชาญ ด้านวิปัสสนา อีกทั้งสรรพวิชาจากผู้เรืองพระเวทย์วิทยาคมในเขตนั้นอีกจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่ง ในทางธรรม ท่านปฏิบัติเคร่งครัด ศึกษาด้านปริยัติธรรมบาลีไวยากรณ์และนักธรรม รวมถึงการสวดมนต์ สาธยายธรรม ด้วยเหตุนี้เอง พ่อท่านเขียวท่านจึงสามารถ สวดปาฏิ-โมกข์ได้ตั้งแต่ในพรรษาที่ 5 พ่อท่านเขียว สอบได้นักธรรมโทและต่อมา ท่านได้รับตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาส วัดนางโอ
    จนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมา ในระหว่างนี้ท่านเองเป็นสหธรรมมิกกับ “พระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้” ด้วยความสนิทสนม ชอบพออัธยาศัยไปมาหาสู่กันเสมอ ระยะทางระหว่างวัดทั้ง ๒ ไม่ไกล กันโดยร่วมสังฆกรรม สนทนาธรรม ร่วมพิธีกรรมต่างๆกันเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคราวที่ท่านอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ สร้างหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี ๒๔๙๗ เพื่อแจกแก่ผู้ที่ร่วมสร้างพระอุโบสถ วัดช้างไห้นั้นพ่อท่านเขียว เป็นผู้หนึ่งที่คลุกเนื้อผสมว่าน และ ร่วมอยู่ในพิธีกรรมเจริญพุทธมนต์ ในระหว่างที่ท่าน-อาจารย์ทิม อัญเชิญดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด เพื่อปลุกเสกพระเครื่องเนื้อว่านในคราวปี ๒๔๙๗ และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ
    เมื่ออาจารย์ทิมท่านมรณภาพแล้ว ยังมีพิธี กรรมที่สำคัญอีก ๑ วาระ คือปลุกเสกหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี ๒๕๒๔ ปัจจุบันเป็นที่เสาะหากันมากเพราะมีประสบการณ์คุ้มภยันตราย แคล้วคลาดปลอดภัยแก่ผู้ที่นับถือนอกจากนี้ ยังได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ ในหลายพิธีตลอดมาทั้งไกลและใกล้จนถึงปัจจุบัน นับว่าพ่อท่านเขียวเป็นพระเกจิสำคัญถือเป็นเพชรอีกรูปหนึ่ง แห่งเมืองใต้ เลยทีเดียวส่วนหลักฐานสำคัญ อีกรูปที่รับรองพ่อท่านเขียว ว่าปลุกเสกหลวงปู่ทวดเดี่ยวเพียงลำพังรูปเดียวได้ดีคือท่านอาจารย์นอง วัดทรายขาว ท่านกล่าวไว้กับศิษย์ใกล้ชิดที่ร่วมรับรู้หลายท่าน ถือเป็นหลักฐานรับรองที่สำคัญ อีกประการหนึ่ง
    ในราวปี ๒๕๐๐ พ่อท่านเขียวได้ตรวจสอบธรณีสงฆ์รอบวัดนางโอ พบการรุกล้ำที่วัดของชาวบ้านละแวกวัด ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นไม่พอใจกระทบกระทั่งกันหลายวาระ ในที่สุดพ่อท่านเขียวจึงตัดสิน ใจออกจากวัดไปจำพรรษาที่วัดภมรคติวัน และที่วัดนี้ก็มีปัญหาเดียวกันกับวัดนางโอ ท่านจึงย้ายวัดไปจำพรรษาที่วัดนาประดู่อีกครั้ง และใน ระหว่างนี้ท่านอาจารย์ธีร์เจ้าอาวาสวัดห้วยเงาะในเวลานั้น จึงได้มานิมนต์ท่านไปอยู่ด้วยกันเสียที่วัดห้วยเงาะเนื่องด้วย พรรษาท่านมากจะได้ดูแลไม่ต้องพบกับภาระเหนื่อยหนักอีก พ่อท่านเขียวท่านเป็น พระสงฆ์ที่มัธยัสถ์อดออมและรักสันโดษ ท่านชอบการอ่านหมั่นศึกษาหาความรู้ในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านกฏหมายบ้านเมือง การเกษตรกรรม โหราศาสตร์ สมุนไพร-กลางบ้าน รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในอันที่จะนำไปสงเคราะห์ผู้อื่นได้
    พ่อท่านมีเมตตาสูงกับเหล่าศิษย์ และผู้ที่ไปขอให้ท่านเสกเป่าบรรเทาทุกข์ แก้ไขสิ่งที่ขัดข้องในชีวิต ท่านเมตตาเสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่ายากดีมีจนมาจากไหนไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ โดยไม่แบ่ง-แยกไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด และท่านไม่จับ หรือรับเงินที่มาถวายเลย พ่อท่านไม่เคยสนใจลาภสักการะ ต่างๆ ใครไปให้ท่านช่วย พอจะลากลับหากถวายเงินท่าน พ่อท่านจะนิ่งเฉย และถามกลับว่า “เอามาให้เราทำไร ท่านเป็นพระไม่ต้องใช้ หากจะทำบุญก็นำไปใส่ตู้บริจาคภายในวัดตรงไหนก็ได้” นี่คือสิ่งที่หลายท่านได้พบและหากได้รับวัตถุมงคล จากมือพ่อท่าน คือการแจกทั้งสิ้นไม่มีการเช่าหาแต่อย่างใดๆ นั่นคือสิ่งที่ทุกท่านได้รับเหมือนๆ กันเมื่อได้ไปกราบนมัสการท่านถึงวัด



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่ทวด พ่อท่านเขียววัดห้วยเงาะปลุกเสกและ นางกวัก ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    img_20240313_114912-jpg.jpg img_20240313_115000-jpg.jpg img_20240313_114843-jpg.jpg

    IMG_20240328_210316.jpg IMG_20240328_210338.jpg IMG_20240328_210252.jpg IMG_20240328_210403.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024
  11. ทองทวี

    ทองทวี “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +1,774
    จองครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343

    รายการนี้ ปัจจัย จะนำไปร่วมทำบุญทอดผ้าป่า วันมรณภาพ หลวงพ่อกวย ที่ผม ทำต่อเนื่องมานับสิบปี เป็นกรรมการ สายผ้าป่า ของ อ.เฒ่าสุพรรณ
    เหรียญเม็ดแตงหลวงพ่อกวยปิดทองฝังลูกนิมิตวัดหนองแขม สร้อยเดิมจากวัด ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    img_20240325_193104-jpg.jpg img_20240325_193222-jpg.jpg
    IMG_20240325_193245.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2024
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1586901584714e3ec179ce4a1f54e7b21be015a1.jpg
    พระอาจารย์ปกรณ์ กนฺตวีโร ได้อุปสมบทเมื่ออายุ 32 ปี วันที่ 20 กรกฎาคม 2545 ณ วัดเขาพรหมสวรรค์ ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยมีพระอาจารย์พระครูปัญญาวรรักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูใบฎีกาทองคำ สุวณโณ เป็นพระธรรมวาจาจารย์ และพระสมชาย อานนโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า " กนฺตวีโร " พรรษาที่ 1 ได้เริ่มออกเดินธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ หลังจากนั้นได้เก็บตัวเข้ากรรมฐาน อย่างไม่หลับไม่นอนมาดดยตลอด 1 ปี
    ตั้งแต่เริ่มออกเดินธุดงค์ครั้งแรก โดยเริ่มในวันที่ 16 มกราคม 2546 เริ่มออกเดินจากวัดดอยภุเงิน อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เดินทางไปตามเส้นทาง อำเภอชาตตระกาล จังหวัดพิษณุโลก ผ่านจังหวัดเลย ตามริมแม่น้ำเฮือง อำเภอนาแห้ว อำเภอท่าลี่ อำเภอเชียงคาน อำเภอปากชม อำเอภสังคม จังหวัดหนองคาย ไปสิ้นสุดการเดินธุดงค์ที่วัดป่าสันติธรรม อำเภอพรเจริญ จังหวัดหนองคาย รวมระยะเดินทาง 12 วัน พร้อมคณะสงฆ์ธรรมจาริกธุดงค์ 21 รูป และหมาไอ้ด่าง 1 ตัว นำโดยพระอาจารย์เงิน อจิญจโณ การออกธุดงคฺครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรก โดยได้จดบันทึกธรรมเอาไว้
    พระอาจารย์ปกรณ์ กันตฺวีโร เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาแด่น จังหวัดสกลนคร เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2513 ที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งที่วัดถ้ำผาแด่นแห่งนี้ เป็นวัดเก่าแก่มีความเป็นมานับร้อยปี ภายในบริเวณวัดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และโขดหินขนาดใหญ่ เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา โดยในอดีตมีพระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐานหลายองค์มาจำพรรษา และปฏิบัติธรรม เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ ต่อมาปี พ.ศ. 2550 พระอาจารย์ปกรณ์ กนฺตวีโร เจ้าอาวาสวัด ก็ได้พัฒนาวัดให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะเพื่อให้ประชาชนได้มาท่องเที่ยววิถีธรรม ซึ่งที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นวัดพุทธบนยอดเนินที่มีทิวทัศน์สวยงาม มีเจดีย์ทองคำ และประติมากรรมแบบนูนบนหินขนาดใหญ่
    ทำไมต้องพระสิวลีมหาลาภพระอปคุตมหาลาภ ในชุดจุลกฐิน วัดถ้ำผาแด่น
    ประวัติ
    เนื่องจากพระสีวลีเถระเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางผู้มีลาภมาก คนไทยเชื่อว่าผู้ใดได้บูชาพระสีวลีเถระแล้ว จะได้รับโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ซึ่งคนไทยก็เชื่ออีกว่าเคยมีผู้หนึ่งเคยได้รับมาแล้วในสมัยพุทธกาลก็คือ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเกิดในตระกูลพ่อค้ามีนามว่า สุภาวดี นางได้เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนา และนับถือพระสีวลีเถระเป็นอย่างยิ่ง
    เมื่อแม่นางได้ฟังธรรมจนลึกซึ้ง พระสีวลีก็ให้ศีลและให้พรว่า"จงเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สิน เงินทองจากการค้าขาย เงินทองไหลมาเทมาสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยเถิด"
    หลังจากที่นางสุภาวดีได้รับพรจากพระสีวลีเถระแล้ว ไม่ว่านางและผู้เป็นบิดามารดาจะไปค้าขายที่ใด ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีแต่กำไรหลั่งไหลเข้ามาทุกครั้งไป ซึ่งนางสุภาวดีนั้นได้เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือนางกวักนั่นเอง
    มาฟังนิด ทำมัยต้องพระอุปคุต
    ประวัติ
    พระอุปคุต พระอุปคุปต์ หรือ พระบัวเข็ม เป็นพระภิกษุองค์สำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช[1] และเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายสรวาสติวาทชื่อ "อุปคุต" แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา
    เชื่อกันมาว่า พระอุปคุตมีอิทธิฤทธิ์ปราบท้าววสวัตตี มีเรื่องเล่ามาว่าประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้ของประเทศอินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดที่พระองค์สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่ถูกพญามารมาผจญ ท่านจึงนิมนต์พระอุปคุตไปปราบพญามารจนยอมแพ้[1] จากนั้นพระอุปคุตก็มีชื่อเสียงในทางปราบมาร ท่านมีอีกชื่อว่า "พระบัวเข็ม"
    ปัจจุบันยังมีความเชื่อในหมู่ชาวไทยวนว่า พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ ชาวไทยวนจะเรียกว่าเป็น "วันเป็งปุ๊ด" พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างเณรน้อย และจะออกมาเวลาเที่ยงคืน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น
    โดยเชื่อในพุทธคุณว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ ก่อให้เกิดลาภผล ความมั่งมี ขจัดภยันตราย และมีอิทธิฤทธิ์ในทางขอฝนอีกด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระชุดมหาโชคจุลกฐินให้บูชาชุดละ
    250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240329_135033.jpg IMG_20240329_135049.jpg IMG_20240329_135113.jpg IMG_20240329_135130.jpg IMG_20240329_135150.jpg IMG_20240329_135214.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    5dfec2e8d165f90d14938eb3_800x0xcover_e-y6wQoD (1).jpg
    ศึกษาด้านพระปริยัติธรรมขั้นสูง จนได้เปรียญ 4 ประโยค ได้เป็น “พระมหาแพ” หลังจากนั้นมานัยน์ตาเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมจึงต้องยุติลง แต่ด้วยความเป็นผู้ใฝ่ศึกษา ท่านจึงหันมาศึกษาด้านสมถกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักพระครูภาวนา วัดเชตุพนฯ และยังได้เป็นศิษย์รูปหนึ่งของ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ ด้วย ต่อมาทราบว่าที่อำเภอบางระจัน มีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมและวาจาศักดิ์สิทธิ์นัก ชื่อ หลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ ท่านจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์และยังเป็นที่โปรดปรานของพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ปี พ.ศ.2473 อาจารย์หยด เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ลาสิกขาบท ชาวบ้านจึงร่วมกันนิมนต์หลวงพ่อแพให้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทนในปี พ.ศ.2474 ท่านจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อปกครองวัดพิกุลทอง โดยขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น และวัดพิกุลทองก็ชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปปรึกษา หลวงพ่อศรี พระอาจารย์ และด้วยบารมีของพระเกจิทั้งสองรูป จึงสามารถบูรณปฏิสังขรณ์จึงสามารถบูรณปฏิสังขรณ์ รวมทั้งสร้างถาวรวัตถุภายในวัดพิกุลทองได้ในเวลาอันรวดเร็ว อันได้แก่ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม และ ฌาปนสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ ท่านยังสร้างความเจริญให้ท้องถิ่นอีกมากมายเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ ทั้ง โรงพยาบาล, ที่ว่าการอำเภอ, สถานีตำรวจ, สถานีอนามัย, โรงเรียนประชาบาล, สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดจนอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลสิงห์บุรีที่เป็นอนุสรณ์สืบมาจนปัจจุบัน คือ อาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี, อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี (อาคารเอ็กซเรย์), อาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี และ อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร ที่โดดเด่นเป็นสง่าภายในโรงพยาบาลสิงห์บุรี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240329_141312.jpg IMG_20240329_141339.jpg IMG_20240329_141252.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    a87d97a2f8fd9d70274f9a753db7ffbc.jpg

    พระสมเด็จปรกโพธิ์สดุ้งกลับ รุ่นวันเพ็ญเดือน 12 ปี 2536 พระผงรุ่นนี้ได้เข้าพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกโดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ณสุสานไตรลักษณ์ จ. ลำปาง ในวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดท่านที่ 28 พฤศจิกายน 2536 เวลา 17.30 น. และเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2536 หลวงพ่อเกษมท่านมีอายุครบ 82 ปี ซึ่งปีนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 พอดี ทางโบราณถือว่า วันเพ็ญเดือน 12 เป็นวันมหามงคล ทำพิธีการทางด้านไสยเวทย์แล้วขลังที่สุด ปลุกเสกมงคลแล้วเข้มขลัง ทรงพุทธานุภาพ อุดมด้วยโชคลาภ เมตตามหานิยม กลับร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาด สารพัดนึกทุกอย่าง ด้านหลังองค์พระมีคำอวยพรลายมือหลวงพ่อเกษม เขียนไว้ว่า " ขอให้ท่านโชคดีเฮงตลอดกาล "
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์สะดุ้งกลับ
    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240329_174400.jpg IMG_20240329_174419.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024
  16. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,961
    ค่าพลัง:
    +6,871
    ขอจองครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1319710-3379f-jpg.jpg fb_img_1709484274348-jpg-jpg.jpg
    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    หลวงปู่กอง จันทวังโส มีนามเดิมว่า กอง ถนอมทรัพย์ เป็นบุตรคนที่ ๒ ใน ๓ คน ของคุณพ่อฝอย และคุณแม่ทัด ถนอมทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๔๒ ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ บ้านเดิมอยู่ที่ ต.บ้านพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ซึ่งท่านก็ได้เรียนหนังสือและจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดบ้านพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง นั่นเอง
    มูลเหตุบรรพชา
    ครั้นเมื่อมารดาของหลวงปู่เสียชีวิตลง ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร และไม่ได้ลาสิกขาจนกระทั่งอายุครบบวช เนื่องจากหาจะสึกเมื่อไร ก็มักจะเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เสมอ ในขณะที่หลวงปู่ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ได้ติดตามพี่ชายไป จ.สุพรรณบุรี และอยู่วัดพระลอยกับหลวงพ่อแต้ม เมื่ออายุครบบวช จึงได้กลับไปอุปสมบท ณ วัดบ้านแก อ.แสวงหา จ.อ่างทอง หลังจากนั้นจึงได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดข่อย หรือ วัดข่อยวังปลาในปัจจุบัน
    ที่วัดข่อยนี้เอง หลวงปู่ได้ศึกษาวิทยาการต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม กับหลวงพ่อเข็ม ท่านได้ศึกษาอยู่จนได้เป็น พระปลัดกอง มีหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเณรที่วัด ซึ่งท่านเป็นพระที่มีวินัยเข้มงวดกวดขันมาก หลังจากนั้นจึงได้ลาสิกขาบทกลับมาใช้ชีวิตฆราวาส
    ลาสิกขา
    ในช่วงชีวิตฆราวาส หลวงปู่ได้มีครอบครัวเฉกเช่นคนทั่วไป แต่เมื่อภรรยาของท่านออกลูกสาวคนแรกก็เสียชีวิตลง ท่านจึงได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง โดยมีบุตร-ธิดาที่เกิดจากภรรยาคนที่สองอีก ๓ คน ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.อ่างทองระยะหนึ่ง จึงย้ายมาอยู่ที่ จ.พิจิตร ซึ่งที่นี่เอง ภรรยาคนที่สองของท่านก็ได้เสียชีวิตลงอีก ท่าานจึงเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก อีกทั้งบุตรและธิดาท่านโตพอจะช่วยเหลือตนเองได้แล้ว จึงนำไปฝากไว้กับตาและยายเพื่อให้ไปศึกษาต่อในชั้นมัธยม ส่วนท่านจึงได้กลับเข้าอุปสมบทอีกครั้ง
    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
    การอุปสมบทครั้งนี้ ท่านได้สละเพศฆราวาสของท่าน ณ วัดเทวประสาท ต.ห้วยเกต อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ในขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๕๕ ปีแล้ว โดยมีท่านพระครูพิบูลย์ศีลสุนทรเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการทองอยู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๙๕ โดยได้รับฉายาว่า จันทวังโส เมื่อบวชแล้วท่านได้ศึกษาวิทยาการต่างๆจากหลวงปู่มหาทิม ซึ่งพระอาจารย์มหาทิม เป็นพระผู้มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมถึงคาถาอาคมต่างๆ ต่อมาหลวงปู่กองจึงได้ติดตามอาจารย์มหาทิมลงมากรุงเทพ ฯ ด้วย โดยไปจำพรรษาที่วัดพระสิงห์ กรุงเทพฯ จากนั้นท่านจึงได้ไปศึกษาอบรมอยู่กับหลวงพ่อมิ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มหาทิม (หลวงพ่อมิ เป็นศิษย์ของหลวงปู่คง วัดซำป่างาม จ.ชลบุรี) เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่ง ท่านจึงได้แยกย้ายกับพระอาจารย์มหาทิม เพื่อไปธุดงค์แสวงหาโมกขธรรมตามป่าเขา
    ในการธุดงค์ของหลวงปู่กอง ได้ปลีกวิเวกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ตามที่สงบสงัด บางครั้งก็ได้ไปพบกับครูบาอาจารย์และสหายธรรมมากมาย ครั้นเมื่อกลับจากธุดงค์แล้ว ท่านจึงได้ไปจำพรรษาวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง ตามที่สหายธรรมของท่านได้ชักชวนไป จนกระทั่งในที่สุด หลวงปู่ได้มาจำพรรษาที่วัดสระมณฑลซึ่งเป็นพระอารามเก่าแก่ในสมัยอยุธยา ซึ่งเหลือเพียงโบสถ์และพระพุทธรูปโบราณ วัดมีอาณาเขตเพียงแค่รอบโบสถ์ ล้อมรอบด้วยบ้านเรือนประชาชน
    ในสมัยที่หลวงปู่ออกธุดงค์อยู่นั้น หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปถึงที่ถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ณ สถานที่นั้นเองที่ท่านได้เจอกับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่าน ที่ท่านให้ความเคารพเทิดทูนมาก นั่นคือ หลวงปู่เทพโลกอุดร ด้วยความเคารพรัก และบูชาในคุณธรรมของท่าน หลวงปู่จึงได้สร้างรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดรขนาดใหญ่ ไว้ให้ศิษยานุศิษย์บูชาไว้ภายในโบสถ์ด้วย
    หลวงปู่กอง ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสระมณฑล จนกระทั่งละสังขาร ในวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖ สิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๙ วัน ๕๑ พรรษา ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    วัตถุมงคลของหลวงปู่กองนั้น พุทธคุณครบเครื่อง และที่สำคัญ หายาก มีน้อย ออกมาไม่กี่รุ่น
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญมั่งมีเป็นศรีสุขหลวงปู่กองให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    img_20240312_150944-jpg.jpg img_20240312_151008-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2024
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1265350279.jpg

    ประวัติหลวงปู่ผล พอสังเขปครับ
    พระครูอาทรพิทยคุณ ชื่อเดิมของท่านคือ ผล นามสกุล แสงโสภา บิดาเป็นคน อยุธยา มารดาเป็นคนจังหวัดนครปฐม อาชีพทำนา มีพี่น้อง 8 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง
    ท่านเกิดปีขาล วันเสาร์ ขึ้น 24 ค่ำ เดือน12 พ.ศ. 2433
    ท่านอุปสมบท พันธเสมา วัดเทียนดัด
    โดยมีพระอาจารย์แสง วัดนางสาว เป็นพระอุปปัชฌาย์
    พระอธิการคง วัดนางสาว เป็นพระกรรมวาจารย์
    พระปลัดใจ วัดเชิงเลน เป็นพระอนุสาวจารย์
    ต่อมาได้ไปศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดมหาธาตุ โดยอาศัยพำนักอยู่ที่วัดระฆังโฆษิตาราม ธนบุรี เมื่อสอบได้
    นักธรรมชั้นตรีแล้วก็ได้มาเป็นครูสอนปริยัตธรรมที่วัดเทียนดัด และ วัดต่างๆหลายวัด เพราะสมัยนั้นหาครูผู้รู้ยากมาก ท่านได้ไปๆมาๆที่วัดระฆังเสมอ เพราะท่านต้องการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนวิปัสสนากรรมฐานท่านก็สนใจเป็นอย่างดี นอกจากนั้นท่านเป็นพระที่ชอบไขว่เรียนรู้วิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็น คาถาอาคม และวิชาไสย์เวทต่างๆ
    และที่สำคัญท่านเป็นพระสหายธรรมกับ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม อีกด้วยครับ
    สมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ ท่านไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมเพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนวิชาต่างๆ โดย หลวงพ่อเงิน บางทีท่านได้ไป เรียนชาเพิ่มเติมจากอาจารย์ใด ก็มักชวนหลวงพ่อผล วัดเทียนดัดไปด้วยเสมอ โดยท่านทั้ง 2 รูปนี้สนิทกันมากครับ
    หลวงพ่อผล ก่อนที่ท่านจะบวชก็ได้ศึกษาวิชาขอม และ วิชาต่างๆ จากโยมพ่อ และอาจารย์ ทำให้ท่านเป็นพระที่มี อาคม ก่อนที่ท่านจะบวชเสียอีก เมื่อสมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ ได้มีลูกศิษย์ มาขอขึ้นครูให้ท่านสัก
    ซึ่ง ก็มีประสบการณ์ทางด้าน ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก มานักต่อนัก ทำให้หน่วยราชการ มาขอให้ท่านหยุดสัก เพราะสมัยนั้น พวกโจรเสือ เยอะมาก ท่านก็เลยหยุดสัก นับแต่นั้นมา (หลวงปู่ท่านได้นำเข็มสักโยนลงไปในบ่อเลี้ยงเต่าใกล้ริมน้ำหน้าวัด แต่หลังท่านมรณะแล้ว ได้มีชาวบ้านไปงมหากันหลายครั้งแต่ก็ไม่พบเข็มสักของหลวงปู่เลย เป็นที่น่าแปลก)
    ปาฏิหาริย์บารมีหลวงปู่
    บอกเสือโจรให้กลับใจ
    ในสมัยนั้นพวกเสือโจรเยอะมาก ได้มีกลุ่มเสือโจรระแวกบางกระทึก และวัดเทียนดัด ได้รวมกลุ่มกันเพื่อที่จะเข้าปล้น บ้านคหบดี แถววัดเทียนดัด แต่ยังไม่ทันปล้น ก็เกิดฝนตกหนัก พวกโจรกลุ่มนั้นได้เข้ามาหลบฝนในวัดเทียนดัด ขณะนั้นเอง พวกโจรกำลังประชุมเรื่องแผนปล้น หลวงพ่อผลก็เดินมาได้ยินพอดี จึงได้ขอร้องบอกให้พวกโจรกลุ่มนั้นให้เลิกปล้นกลับตัวเป็นคนดีซะเถอะ เพราะจะทำให้เขาเดือดร้อนมันเป็นบาปกรรม และให้ล้มเลิกความตั้งใจเสีย และหลวงพ่อก็ได้สอนธรรมให้กับพวกโจรกลุ่มนั้น จนพวกโจรกลุ่มนั้นได้กลับใจ ส่วนใครที่ไม่ฟังที่หลวงปู่สอน ส่วนมากติดคุกหมด
    ปราบจรเข้ หน้าวัด
    สมัยก่อนนั้นที่หลวงปู่ผลมาจำพรรษาที่วัดใหม่ๆ หน้าน้ำวัดเทียนได้เป็นท่าน้ำลึก จึงมักมีจรเข้ มาอาศัยอยู่เป็นประจำ จนทำให้ชาวบ้านกลัวและเดือดร้อน พวกชาวบ้านจึงไปขอให้หลวงพ่อผลช่วย หลวงปู่ผลจึงถามชาวบ้านว่า เคยเห็นตัวจรเข้ไหม ชาวบ้านบอกเคยเห็นครับ มันมีขนาดตัวใหญ่มาก พวกผมกลัวมันจะขวางเรือทำให้เรือคว่ำ ไม่ช้า มันก็กัดกินชาวบ้านแน่ๆ หลวงพ่อผลจึงบอกว่า มันก็อยู่ของมันที่ท่าน้ำนี้ แต่ก็ไมได้ทำอะไรใครไม่ใช่เหรอ ชาวบ้านก็บอกว่า ถึงยังงั้นยังไงพวกผมก็กลัว ขอให้หลวงพ่อผล ช่วยด้วยเถอะครับ หลวงพ่อผลจึงรับปาก
    หลังจากชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว หลวงพ่อก็ได้เดินไปที่ท่าน้ำ ของวัดและก็ได้ร่ายคาถาอาคมที่ได้เรียนมา ประมาณ5นาที จรเข้ก็ตวักน้ำโผล่หัวขึ้นมา น้ำกระจาย หลวงพ่อผลเลยได้แผ่เมตตาจิตให้มัน และบอกกับมันว่า(นับแต่นี้ต่อไป ขออย่าได้ไปปรากฏตัวให้ใครเห็นเพราะเขากลัวกัน ถ้าจะอาศัยอยู่หน้าวัด อยู่ได้ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีก เพราะเขากลัว ทำให้เดือดร้อนจะเป็นบาป หากหิวก็ ให้โผล่หัวมา และจะให้พระเณรที่พบเห็น หาอาหารมาให้กิน ) ซึ่งก็น่าแปลกใจ เวลาจรเข้หิวก็มักจะโผล่หัวมา ให้พระเณรเห็นและ พระเณรก็จะหาอาหาร เท่าที่หาได้มาให้มันกินอยู่เสมอ
    ประสบการณ์ ทางด้านวัตถุมงคล ก็มีให้เห็นจนเป็นที่ศรัทธาของชาวเทียนดัดและคนในระแวกนั้น มีทั้งคนที่ถือคลิสและพุทธต่างกับนับถือหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเสมอ เพราะคนแถวนั้น เป็นคริสก็เยอะ แต่ก็ศรัทธาหลวงพ่อไม่ต่างจากชาวพุทธเลย เพราะท่านเป็นผู้เปี่ยมเมตตา และเมื่อใดมีคนมาขอบูชาวัตถุมงคลท่าน ท่านก็จะสอนธรรมมะเสริมให้อีก
    ท่านบอกว่า วัตถุมงคลของท่านสร้างเพื่อ
    1.ทำให้คนเข้าวัด พระจะได้มีโอกาศสั่งสอน
    2.แขวนพระแล้วจะได้มีจิตละลึกไม่ได้ทำความชั่ว
    3.เพื่อคุ้มภัย (ถ้าเชื่อว่าคุ้มได้เพราะมั่นใจ)
    4.จะได้นำปัจจัยมาพัฒนาวัดให้เจริญๆ
    หลวงปู่ผลท่านมรณะภาพโดยอาการอันสงบ เมื่อเวลา4.00 (ตี4) วันพฤหัสบดี ที่ 14 มกราคม 2532 อายุ94 ปี ณ โรงพยาบาลบางไผ่
    ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ อนุสรณ์ 101 ปี หลวงพ่อผล วัดเทียนดัด
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่ผลวัดเทียนดัด 300 ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231204_211603.jpg IMG_20231204_211626.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง

    1711776716089.jpg
    ขอยคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...