สิ่งที่เราจะทำก็แค่ "หยุดส่งคลื่นพลังงานเก่าไปสู่โลกอนาคต" เท่านั้นเอง

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 21 มิถุนายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันและช่วยแลกเปลี่ยนกันครับ ในส่วนการชี้แจงของผมนั้นต่างจากนี้ แต่คงไม่วิจารณ์ว่าแบบไหนถูกหรือผิด ไปมากกว่านี้แล้ว (ส่วนของผมก็ได้อธิบายไว้มากแล้วครับ) ....ที่เหลือเป็น "วิจารณญาณของท่านผู้อ่านเองครับ"
     
  2. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    เห็นด้วยตามท่านว่า แนวทางของ พุทธ นั้น รู้อยู่ ปฏิบัติอยู่ สำเหร็จบ้างไม่สำเหร็จบาง ตามสถานการณ์ของความเป็น มนุษย์

    แต่แนวทางท่านผู้ <สดใสไสวสว่าง> นี่ เป็นของใหม่นะ สงสัยต้องศึกษากันนาน
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พลังงานไม่ใช่ไม่มีตัวตนครับ พลังงานเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีลักษณะอนัตตา ไม่ใช่อัตตา (ความไม่ใช่อัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่เลย) ส่วนการทำให้ความโกรธหมดลงโดยไม่เกิดกรรมนั้น ไม่ใช่การกำหนด "จิตขึ้นมาตัวหนึ่ง" แล้วให้จดจำสภาวะความโกรธไว้ แล้วกำหนด "ความโกรธขึ้นอีกตัวหนึ่ง" ให้สองตัวนี้ไล่จับกันหรือต่อสู้กัน หรืออะไรต่อมิอะไร ไม่ใช่วิธีที่ผมแนะนำ คนที่บรรลุธรรมจริงๆ เพียงโสดาบันก็เชื่อในกฏแห่งกรรมแล้ว ดังนั้น ถ้าบรรลุธรรมจริงๆ แม้เพียงโสดาบัน ก็รู้เท่าทันเรื่องกรรมแล้ว คนที่รู้แจ้งจริงแล้วนั้น ต่อให้ยังมี "กิเลส" อยู่ มันก็ไม่เตลิดเปิดเปิงไปก่อเรื่องก่อราว ก่อกรรมไปเรื่อยๆ หรอกครับ ยกเว้นว่า "ไม่ได้บรรลุธรรมจริงๆ" เลยต้องระวัง เลยต้องฝึก เลยต้องประคอง เลยต้องใช้จิตรู้ตามจับมันตลอด สิ่งสำคัญอยู่ที่ "ปัญญาแจ้งจริงหรือไม่" เท่านั้น ไม่ใช่ "วิธีการใด" เพราะวิธีการต่างๆ นั้น ล้วนเป็นเรื่องของพราหมณ์ฤษีครับ
     
  4. qwerty-ii66

    qwerty-ii66 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +9
    กายกรรมและวจีกรรมผมว่าหยุดมันได้ง่ายๆ แต่มโนกรรมนี่มันเข้ามาหาเรา และสื่อไปหาคนอื่นเรื่อยๆ คิดจะไปทำอะไร ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง กับคนอื่น แล้วเราจะหยุดมันได้ยังไงอ่าคับ
     
  5. qwerty-ii66

    qwerty-ii66 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +9
    ชนะโดยไม่ต้องรบ นิมันคล้ายกับหลักการอหิงสาของท่านมหานมะ คานธีนะคับ
     
  6. qwerty-ii66

    qwerty-ii66 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +9
    ตอนแรกผมเข้าใจว่า "จิตรู้" จิตนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อจิตดวงนั้นบรรลุธรรมนั้นก่อนใ่ช่ป่ะคับ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจว่า มันไม่จำเป็นต้องบรรลุธรรม (เพราะยังมีกรรมมาขวางอยู่) มันก็รู้ของมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องระวังต้องตามดูตลอดใช่ป่ะคับ
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อพอลโล่<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4795104", true); </SCRIPT> และ คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Numtrn<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4795117", true); </SCRIPT>

    ดิฉันกำลังจะบอกว่า สิ่งที่คุณอพอลโล่ พูดถึงเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ สภาวะต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้ คุณจะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อ ได้ปฏิบัติ ทั้งทางด้านศีล สมาธิ และปัญญาโดยยึดหลักของพระพุทธเจ้านั่นแหละ แต่เอามาใช้ปฏิบัติในวิถีชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องมุ่งเน้นที่จะต้องปฏิบัติมากมายเหมือนครู-บาอาจารย์ ที่จะต้องเน้นสมาธิเป็นหลัก

    แต่มาเน้นฝึกที่สติแทน แต่ใช้หลักการเดียวกัน ธรรมะเดียวกัน คือของพระพุทธเจ้าน่ะแหละ เพื่อปฏิบัติไปสู่ความไม่ปรุงแต่งแห่งจิต เพื่อให้เกิดความว่าง ไร้ซึ่งคติและอคติในจิต ทำทุกอย่างตามหน้าที่ ที่ควรทำ เพื่อลดกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่ไม่ดี ลดการเบียดเบียน เพื่อสร้างกรรมใหม่ที่ดี สรรค์สร้างแต่สิ่งที่ดีงาม

    ซึ่งต้องอาศัย การละกิเลส แต่กิเลสจะละได้ต้องใช้สติ-ปัญญา ส่วนสติ-ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีความสงบ(เกิดจากการนั่งสมาธิอย่างมีสติ) เมื่อมีความสงบก็สามารถเห็นสภาวะจิตได้ ว่าจิตเป็นกุศล หรืออกุศล แล้วถึงยอมรับตามความเป็นจริง ว่าสิ่งนี้มีที่เรา เกิดที่เรา (อย่าหนี ต้องยอมรับ) เพราะถ้าไม่ยอมรับ ก็มองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นก็ละไม่ได้

    ธรรมชาติของผู้มีกิเลส มีตัวตน จะไม่ยอมรับสิ่งที่ไม่ดี ยอมรับแต่สิ่งที่ดีๆ เท่านั้น ว่ามีที่เรา เกิดที่เรา ทำให้มองไม่เห็นกิเลส ทำให้ละกิเลสไม่ได้ซะที ปฏิบัติเป็น 10 ปี 20 ปี ก็เท่านั้น เพราะปฏิบัติอย่างขาดสติ ปัญญาเกิดไม่ได้ เลยละกิเลสไม่ได้

    ปัญหาของคนดูจิตและฝึกสติ-ดูจิตในชีวิตประจำวัน เมื่อดูจิตจนเก่งแล้ว อะไรเกิดขึ้นก็รู้ อารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็เห็น เมื่อ อารมณ์ต่างๆ เข้ามา ก็เห็นตาม เมื่อเห็นทัน จิตก็หยุดปรุงแต่ง วางเป็นอุเบกขาได้ นิ่งสนิท และส่วนใหญ่จะขาดการนั่งสมาธิ อาจเนื่องมาจาก ก่อนหน้านี้นั่งสมาธิมาเยอะแล้ว ความสงบเกิดแล้ว แต่พออยู่ในชีวิตประจำวันแล้วยังทุกข์อยู่เลย เมื่อมาดูจิตแล้วเห็นว่าการดูจิต ทำให้หายทุกข์ได้ เลยเลิกนั่งสมาธิมาดูจิตอย่างเดียว เพื่อเจริญสติในชีวิตประจำวัน เพราะคิดว่าสิ่งนี้ดีแล้ว เหมาะแล้ว แต่หารู้ไม่ การทำแบบนี้ ก็ไม่สามารถละกิเลสได้ เนื่องจากอารมณ์ใดๆ มาก็เห็นทุกครั้ง รู้ทันมัน ตามทันมัน จิตก็เลยวางไป ไม่คิดต่อ เพราะเราฝึกจิตแบบนี้ เค้าก็จำแบบนี้

    ปฏิบัติไปเรื่อยๆ นานแค่ไหน ความโกรธ โมโห ดีใจ เสียใจ ยังมาให้เห็นอยู่ดี แต่มาทุกครั้งก็เห็น และก็ปล่อยมันไป ท่านทั้งหลายลองคิดดูนะคะ ว่าหากเรายังโกรธได้อยู่ โมโหได้อยู่ เสียใจได้อยู่ ไม่พอใจได้อยู่ นั่นหมายถึงอะไร หมายถึงกิเลสทั้งหลายยังไม่ได้ละออกไปใช่หรือไม่ แสดงว่าปฏิบัติแล้วสติ-ปัญญาไม่เกิด ก็เลยไม่รู้จะละกิเลสได้อย่างไร ตัวตนก็ยังอยู่ครบ

    หากจะเปรียบกับอารมณ์ของสมาธิ น่าจะคล้ายๆ นั่งสมาธิ แล้วเกิดฌาน มีความสงบอยู่ อะไรเกิดขึ้น กระทบก็ไม่กระเทือน ดิ่งอยู่กับอารมณ์นั้น อารมณ์เดียว เป็นอุเบกขา แต่ กิเลสก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อมีความเผลอ มีสิ่งที่เข้ามากระทบ ไม่ทันระวัง ก็หลุดจากฌานได้เพราะยังไม่ได้ละกิเลส

    ซึ่งจะต่างกับการฝึกสติ ทั้งขณะนั่งสมาธิ และอยู่ในชีวิตประจำวัน สามารถนำมาใช้ในการละกิเลสได้เลย คล้ายๆ การดูจิต แต่ใช้สมาธิเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องอิงซึ่งกันและกัน ทั้ง สมาธิ จิต สติ ต้องใช้ควบคู่กันในการดูและละกิเลส ต้องปฏิบัติอย่างมีวินัย โดยไม่ต้องข่มบังคับ แต่ดูให้เป็น เห็นให้เป็น แล้วจะเกิดความว่างจากการละกิเลสได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มิถุนายน 2011
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เมื่อจิตมีความว่างเป็นอารมณ์ ไม่ปรุงแต่ง จะรับพลังจักรวาลที่คุณบอกได้มากขึ้น ดีขึ้น
    การปฏิบัติ อย่างมีสติ จะทำให้เราได้รับสิ่งดีๆ ที่คุณพูดได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง เพราะมีสติแล้วจิตไม่ปรุงแต่ง มีความสงบอยู่ ซึ่งต้องอาศัย สมาธิ และ สติ โดยฝึกอย่างมีวินัย ไม่ต้องมาก ทำแค่พอดีๆ เพื่อละกิเลสไง เป็นการลดและเคลียร์วิบากกรรม เพิ่มอากาศดีๆ ที่เกิดขึ้นและเริ่มจากที่ตัวเรา หากปฏิบัติถูกทางแล้ว จะมีสิ่งหนึ่งคอยช่วยให้เรารู้และเข้าใจธรรมได้ง่าย เพื่อเปลี่ยนเราได้สำเร็จตามสิ่งที่คุณพูดไว้ในกระทู้ทั้งหมดน่ะค่ะ แต่ก่อนจะให้สิ่งต่างๆ พลังงานต่างๆ ช่วยเราได้ เราต้องตั้งตัวเองให้ถูกก่อน ให้ตรงก่อน นั่นคือมีสติค่ะ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ขอชี้แจงเล็กน้อยครับคือ ผมไม่ได้บอกให้ "มีสติ หรือ ไม่มีสติ" นะครับ เพราะการบอกอย่างนั้น เป็น "กิจของพรหมณ์ฤษี" ซึ่งเป็น "พลังงานเก่าของโลก" ที่จะคอยทำให้คนมีสติพละพร้อมรับสัจธรรมครับ ซึ่งไม่ใช่กิจของผม กิจของผมคือ สื่อสาร "สัจธรรมจากจักรวาล" ซึ่งก็ เป็นสัจธรรมเดียวกันทั้งหมดทั้งจักรวาลครับ เมื่อผู้ ฟังได้ฟังแล้ว เขาแจ้งในสัจธรรม ก็จะ "ตื่น โพล่ง โล่ง หลุด" และ "สว่างรอบ" ออกมาเอง สติก็เกิด ขึ้นเองได้ยามนั้น โดยที่ผมไม่ได้บอกให้ มีสติเลย ยกตัวอย่างเช่น ตะปูตำเท้าคุณ ตะปูมันบอกให้คุณเจ็บไหม? แต่การที่ตะปูมันทำหน้าที่ของมัน คุณก็ เกิดความรู้สึกเจ็บได้โดยที่ตะปูไม่ต้องบอกให้เจ็บ ผมไม่ได้บอกให้คุณมีสติ ผมแค่บอก "สัจธรรม" ก็เท่านั้น
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    คือหากเรามีสติ ทำให้เรามีความว่าง เนื่องจากจิตไม่ปรุงแต่ง ทำให้รับพลังที่คุณพูด หรือธรรมะจะซึมซับได้ง่าย ค่ะ

    ที่บอกในลักษณะนี้เนื่องจาก สิ่งที่คุณพูดมาในโพสต่างๆ ค่อนข้างตรงกับดิฉันเท่านั้นเอง

    ไม่ใช่ตรงทั้งหมด แต่ค่อนข้างตรง ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง แต่เราต้องมีสติ และธรรมะจะเกิดได้ ซึมซับได้ดี เราจะเข้าใจธรรมะได้ดี แต่มันมีวิธีการค่ะ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ผมไม่ได้เสนอวิธีการเพราะนั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์ฤษี (พลังงานเก่า) ผม เสนอเพียง "สัจธรรม" ถ้าคุณเกิดปัญญา สติ มันเกิดเอง ไม่ขึ้นกับ "วิธีการ" (ไม่เกี่ยว ไม่เนื่อง ไม่ผูก ไม่โยง ไม่ใช่เหตุหรือผล ใดๆ กับ "วิธีการ" ครับ)แต่ถ้าคุณจะนำเสนอในเรื่อง "วิธีการ" ก็ไม่เป็นไรนะครับ นั่นเป็นกิจของคุณแต่ผมต้องชี้แจงผู้อ่านก่อนว่า "อะไรที่ผมทำและอะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเสนอ"เพื่อไม่ให้ถูกพลังงานเก่าสวมทับเข้าไปอีก
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สัจธรรมเรื่อง "สติ" (สำหรับผู้ยังไม่แจ้งเรื่องสติ)...สติเป็นธรรมะ ธรรมชาติหนึ่ง มีลักษณะไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของตน (อัตตา) ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ เกิดและดับ ตาม "เหตุปัจจัย" ปรุงประกอบไปตามวาระ.....................................................................................สติพละ เป็นสติที่มนุษย์มีอยู่แล้วแต่ดั้งเดิมมา แต่คนที่ไม่ได้ฝึกสติ จะมีพละ สติ อ่อนกำลังมาก จนไม่อาจบรรลุธรรมได้ ดังนั้น จึงมีผู้ฝึกสติพละ สอนสติ พละ เพื่ออบรมสติพละ ให้กล้าแกร่ง "พร้อมควรแก่งาน" คือ พร้อมบรรลุธรรม....................................................................................."สัมมาสติ" คือ "สติที่ตื่นโพล่ง โล่ง หลุด แจ้งรอบ และมีภาวะเป็นกลาง" และตรงต่อนิพพานอย่างเดียว ไม่มีอื่น อันเกิดมีได้ในขณะกำลังบรรลุธรรม ไม่เอนไปธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งซ้ายขวา เมื่อเกิดแล้วจะรู้สึกเหมือนไม่รู้ อะไรเลย ก็ไม่ใช่ รู้อะไร ก็ไม่เชิง เพราะไม่เอนไปทั้งฝ่ายรู้และไม่รู้ นั่นเอง อนึ่ง สติที่เอนอยู่กับธรรมฝ่าย "ผู้รู้" นั้น ไม่ใช่ "สัมมาสติ แต่เป็น สติพละ"</p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2011
  13. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    ไปไม่พ้น "พุทธ"

    ยังไงยังไงท่านก็ไปไม่พ้น "พุทธ" อยู่ดี


    ถ้าท่านจะบอกว่า ก็ พุทธ อยู่ในจักรวาล เป็นธรรม ของจักราวาลตามธรรมชาติ

    งั้นแล้ว ธรรมของจักรวาล ก็คือพุทธ

    เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว พุทธ ไม่ง่ายกว่าหรือ ครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อีกครั้งที่คุณก็ยัง "เข้าใจผิด" อนึ่ง ที่ผมเขียนเป็นภาษาพุทธ เพราะเห็นว่าคุณไม่เข้าใจและ "ยึดมั่นถือมั่นพุทธ" ดังนั้น คุณจึงคิดว่าผมเอามาจากพุทธศาสนาในโลกใบนี้ จริงๆ แล้วผมเพียง "หยิบยืมคำศัพท์" ของพระพุทธศาสนาบางตัว มาอธิบายเท่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่ผมทำคือ "รับสารที่ส่งมาจากจักรวาล" สารนั้นมาจากท่านที่บรรลุธรรมแล้วทั่วจักรวาล อย่าคิดแต่ว่าจักรวาลนี้มีโลกของคุณเท่านั้น โลกของคุณเท่านั้นที่มีผู้บรรลุธรรม หรือพระพุทธเจ้าของโลกนี้เท่านั้นที่มีธรรมอยู่ เพราะจักรวาลนี้กว้างมาก และทั่วจักรวาลนี้ "มีผู้บรรลุธรรมมากมาย" เขาได้ส่งสารมายังผม เพราะอะไร? เพราะศาสนาพุทธในโลกของคุณ หักกลาง และพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหมดไปแล้ว ผู้ที่ลงมาเกิดไม่ใช่บริวารของพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น เหล่ามาร ก็คือ บริวารของพญามาราธิราชโพธิสัตว์ ที่จงรักภักดีต่อพญามารเท่านั้น เป็นต้น สี่เหล่าใหญ่นี้ มาดูแลศาสนาก็จริง แต่จิตพวกเขาตรงต่อเจ้านายเก่าของเขาเท่านั้น จิตเขาไม่ได้ตรงต่อพระพุทธเจ้าแท้จริง (ไม่เช่นนั้นคงเป็นพุทธบริษัทไปแล้ว) ดังนั้น คนอีกกลุ่มจึงถุกส่งมาจากดาวต่างๆ โลกธาตุต่างๆ ทั่วจักรวาล เพื่อช่วยโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ที่สนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาว เพราะอะไร? เพราะเขาถูกส่งมาจากโลกธาตุอื่นๆ นั่นเอง และเราจำเป็นต้อง "ต่อสายตรงสู่ต้นธาตุ ต้นธรรม องค์ต้นบารมี" ของเขาเหล่านี้ เพื่อให้เขา "ต่อสายธรรม" บรรลุธรรมได้ตามแบบต่างๆ ดาวต่างๆ โลกธาตุต่างๆ ของเขา อันต่างกันไป แต่มีแก่นแท้แห่งสัจธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณคิดว่าที่ผมเขียนนี่ เอามาจากไตรปิฎกหรือไง? คุณอ่านจริงๆ หรือเปล่า?
     
  15. Jinloang

    Jinloang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +32
    สุดยอดครับ ... คุณ อพอลโล่ ...
     
  16. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    ถูกต้องตามนั้นครับ คุณ อพอลโล่
     
  17. สุดขอบฟ้า

    สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +127
    ต่างคนต่างความคิด ถ้าคิดว่าทำแล้วดี ทำต่อไปดีกว่านะคะ
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แก่นแท้แห่งสัจธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    ...........................................
     
  19. i นี่หนิ

    i นี่หนิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +0
    มานั่งฟังด้วยคนนะคะ ตามมาดูเพราะหัวข้อกระทู้อะค่ะ

    สิ่งที่เราจะทำก็แค่ " หยุดส่งคลื่นพลังงานเก่าไปสู่โลกอนาคต" เท่านั้นเอง

    แอบมีช่วงแลกเปลี่ยนพลังงานกันด้วย :cool:
     
  20. วิญญ์ ชวาทิต

    วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +490
    ....................
     

แชร์หน้านี้

Loading...