อัปนาสมาธิไม่รุ้สึกตัว (จริงหรือ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย คณะโลกอุดร, 21 เมษายน 2011.

  1. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ........................................................................
    ........................................................................
    ขอขอบพระคุณคุณเอกวีร์เป็นอย่างสูงสำหรับทางที่ชี้ให้เห็นครับ...
    ดูเหมือนว่าผลของการทำสมาธิและพิจารณาธรรมจะทำให้เกิดการมองเห็นและตระหนักในทางที่ควรเดินต่อไปคือ วิเวก3 และ สัมมัปปธาน 4 ใช่มั๊ยครับ ดูเหมือนว่าจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปเองในบางข้อโดยที่ไม่ต้องบังคับตัวเอง(กำลังยังอ่อนมาก)..สาเหตุก็เพราะตระหนักว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่เยอะ เลยไม่อยากหาไฟมาเผาใจเพิ่ม ได้แต่หาวิธีดับไฟนั้นโดยวิธีไม่เติมเชื้อเพลิงเพิ่มทำให้ไฟอ่อนกำลังลงเรื่อยๆโดยการไม่เข้าไปยึดมั่นในอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบ รู้ ละ วาง เหมือนพอใจไปเองที่จะเดินไปตามเส้นทางนี้...............
    ......วิเวก3 และ สัมมัปปธาน 4 ดูเหมือนจะจำได้ว่าครูเคยสอนตอนปวช.ปีหนึ่งสมัยเรียนเทคนิคซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยสนใจมาก่อน..ที่ผ่านมาก็ไม่เคยตระหนักเลยแฮะดูเหมือนไม่เคยพิจารณาคุณหรือโทษ....ต้องพิจารณาโทษด้วยเหรอครับในเมื่อดูเหมือนว่ามีแต่คุณ..อาจมีโทษบ้าง สำหรับสังคม"คน" เพราะทำตัวและคิดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง..อย่างไม่เที่ยวแหล่งอบายมุขแต่ชอบที่สงบๆเที่ยวธรรมชาติ,ไม่มีความละอายที่จะใส่เสื้อริมแขนขาดกางเกงเข่าขาดเดินห้างเพื่อซื้อสิ่งของที่ต้องใช้,ไม่เห่อแต่งตัวตามแฟชั่น,ไม่ดูละครทีวีแต่เสพข่าว,สารคดี,รายการมีสาระ,ไม่เห่อดาราซึ่งจะทำให้คุยกับเพื่อนไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ออกรสชาติแต่ถ้าคุยเรื่องการเรื่องงานเรื่องสะระดีๆงี้ถนัด อะไรประมาณเนี๊ย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต้องพิจารณา คุณ และ โทษ เสมอในทุกๆสภาพธรรม เพราะทุกอย่างมันเป็นภพ

    เราพิจารณาแต่ คุณ แกล้งปิดตาไม่เห็น โทษ โทษมันเกิดเราวางมาดมั่นไม่ยอรับ

    เราพิจารณาแต่ โทษ แกล้งปิดตาไม่เห็น คุณ คุณมันเกิดเราก็ได้แต่ชะเง้อเก้อมอง

    หากเราพิจารณา คุณ และ โทษ จะเห็นทันทีว่า นี้คือเรื่องของ "ภพชาติ" เพราะ
    จะคุณหรือโทษ ก็ล้วนแต่เป็น อาหาร4 ที่ผอกพูลภพทั้งนั้น

    ในเมื่อคุณก็อาหารบำรุงภพ โทษก็อาหารบำรุงภพ แล้วอะไรหละคือ ทางออก

    มันจะมาใคร่ครวญ "โยนิโสมนสิการ" จะเกิด การเข้าหา "กัลยณมิตร" จะเกิด
    แล้วก็ตามด้วย "ความไม่ประมาท" จะเกิด

    "โยนิโสมนสิการ" "กัลยณมิตร" "ความไม่ประมาท" คือแสงอรุณที่จะทำให้
    เรามองเห็นแสงธรรมตามความเป็นจริง อีกทอดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราเข้า
    ใจใน มุขอุบายเพื่อการพ้นจาก ทุกสิ่ง แม้แต่ อุบายที่ใช้ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    สละได้เมื่อถึงเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  3. gotak

    gotak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +176
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมเองครับ :d โชแปงที่คุณคณะโลกอุดรพูดถึงครับ

    เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดผมจึงขอมาเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนั้น เผอิญผมพอจะจำได้ดี จึงขอมาเล่าเพื่อไม่ให้ท่านรีบด่วนตัดสินใจครับ (ผิดถูกประการใด ขอทุกท่านโปรดเว้นโทษผมนะครับ)

    วันนั้นในห้องมีทุกข์มาคุยกัน มีสมาชิกหลายท่านเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ครับ ผมพูดออกไมค์เชิญชวนผู้สนใจในสมาธิมาพูดคุยปรึกษาเรื่องปฏิบัติกันครับ คุณคณะโลกอุดรก็มีความสงสัยในเรื่องเตโชกสิณ ผมก็ออกตัวว่าผมไม่ได้ฝึกมาทางนี้ แต่ก็พอมีความรู้บ้างเล็กน้อย เค้าก็ถามว่า ผมฝึกมาจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ทีนี้ไปวัด ก็โดดลงไปในถังน้ำแข็งของวัด คนอื่นๆๆในวัดก็ดูเค้าหมดเลย จะแก้ไขไงดี ตัวผมเองก็ยอมรับครับว่าเกิดข้อสงสัยหลายประการครับผม หนึ่งคือผมถามก่อนว่าฝึกที่ไหน คุณคณะโลกอุดรก็บอกว่าที่บ้าน ผมก็ถามว่าฝึกโดยเทียนหรือกองเพลิง เค้าก็ตอบว่ากองเพลิง (ตรงนี้ผมก็เริ่มเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้วครับ จากนั้น ก็คิดอีกว่าร้อนแล้วทำไมต้องไปถึงวัดเพื่อกระโดดลงในถังน้ำแข็งวัด จากนั้นผมก็เสนอว่าทำไมไม่ลองฝึกอานาฯดูครับ เพราะผมเห็นว่าดีออก เตโชพกไปฝึกที่อื่นๆๆยาก แต่อานาฯนั้นติดตัวตลอด น่าจะดี แล้วหลงยากหน่อย เค้าก็บอกว่าได้ฝึกมาแล้ว ผมก็ถามว่าถึงไหนแล้วครับ (ไม่ได้จะถามว่าถึงฌานไหน ได้อภิญญาอะไรไหม อยากทราบแค่อาการ) คุณคณะโลกอุดรก็บอกสั้นๆๆว่า ถึงอัปปนาฯ ถึงตรงนี้ผมขอแก้ต่างนิดนะครับผม เมื่อก่อนผมก็อ่านมามาก หลายตำรา แต่ละตำราที่เขียนก็อาจจะไม่ตรงกันบ้าง แต่ ณ เวลานี้ ผมได้เข้าไปเรียนสมาธิในภาคปฏิบัติและทฤษฏีจริงจากพระอริยสงฆ์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คือ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ซึ่ง หลวงตามหาบัวท่านได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าท่านนี้สำเร็จอรหันต์แล้ว ในวิชาสมาธิของหลวงพ่อวิริยังค์ท่านได้บอกไว้ว่า ขณิกสมาธิ มี ปฐมฯ ทุติยฯ ส่วนอุปจารฯมี ตติยฯ จตุถฯ ส่วนเกินนี้ไปเป็นอรูปฌาน เรียกว่าอัปปนาฯ ทีนี้ ผมก็เคยอ่านหนังสือเล่มต่างๆๆมาไม่ตรงกับที่ท่านบอก แต่เนื่องจากหนังสือนั้น ก็คือหนังสือ แต่นี้จากปากพระอริยสงฆ์ แถมเป็นครูที่ผมศรัทธา จะให้ผมพูดเป็นอื่น อันนั้นก็เป็นการอกตัญญูไปหน่อยนะครับผม แล้วผมก็เชื่อท่านหมดใจเพราะผู้สอนนั้นท่านทำได้ ส่วนหนังสือนั้น ผมไม่ทราบครับ จากนั้นคุณคณะโลกอุดรก็พูดว่า งั้นผมผิดสิ ผมก็บอกไปครับว่า ผมไม่ได้ว่างั้น เราคนละสาย ผมนับถือในสายอื่นๆๆอยู่แล้วครับ ตรงนี้คุณคณะโลกอุดรไม่ได้พูดเผื่อผมเลย แต่ก็อีกหลายต่อหลายส่วน ผมเมื่อจบวันนั้นผมก็จบเลยไม่ไปบอกต่อนะครับ หรือพยายามทำให้ท่านอื่นมามองคนอื่นไม่ดี ซึ่งถ้าเป็นนักปฏิบัติจริงๆๆ เรื่องนี้คงไม่มีนะครับผม อีกส่วนหนึ่งที่ผมก็ยังคงสงสัยมากๆๆครับ ที่คุณคณะโลกอุดรบอกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นอาจารย์มาสอน อันนี้ในความเห็นผมนะครับ ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ท่านมีวาระจิตรู้ได้ว่าควรสอนใคร แต่แปลกที่คุณคณะโลกอุดรยังคงมีวาจา "วะ"ลงท้ายประโยคคำตอบ ที่ท่านอื่นเพียงแค่ถามว่า"พอทราบไหมครับว่าประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นยังไงครับ" คุณคณะโลกอุดรก็ตอบอะไรที่ไม่ได้คำตอบแล้วลงท้ายด้วย "วะ" นี่แหละครับ ทำไมจึงได้สิทธิ์พิเศษนั้น ทีนี้เรื่องฌานผมว่าไม่น่ามานั่งเถียงกันนะครับ เราฝึกสมาธิเพื่ออะไรครับ ไม่ใช่เพื่อพ้นทุกข์หรือครับ ทำไมต้องมานั่งไม่พอใจว่าความเห็นนั้นผิดนี่ผิด แทนที่ควรเอาเวลาไปหาฝึกดีกว่าไหมครับ
    สุดท้ายครับที่ต้องมาอธิบายก็เพื่อว่าจะได้เห็นเจตนาผมจริงๆๆก่อนแล้ว ท่านอื่นๆๆค่อยตัดสินใจใหม่ จะได้ไม่ติดเศษกรรมนี้ครับ
    ผมโชแปง ทำอะไรพลาดไปก็ขออโหสิกรรม มา ณ ที่นี้ครับผม ผมคงไม่มาตอบแล้วนะครับ เพราะตั้งใจแค่ว่าให้ท่านเข้าใจเรื่องทั้งหมดจริงๆๆก่อนครับ
     
  4. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    .......................................
    ...จริงแท้แน่แล้ว..ขอบพระคุณมากครับ...พิจารณาคุณและโทษ..ดูเหมือนจะง่ายแต่รู้สึกว่า ลึกซึ้งและยากมากครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ยากหรอก ที่มันยาก เพราะว่า เราเป็นฆารวาส มันก็ย่อมมีอาการ "หิวอารมณ์"
    เสียดายโลก เป็นธรรมดา

    สังเกตไหมว่า ผมไม่ได้พูดให้คุณต้องทำอะไรเพิ่ม นั่นแปลว่า สิ่งที่คุณปฏิบัติ
    อยู่หนะมันลงตัวดีอยู่แล้ว พอสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ผมก็แค่ผลิกเอาปริยัติ
    หัวข้อนั้น หัวข้อนี้มาสวมกับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว ทำให้เกิดบันเทิงธรรมภายในตน
    ขึ้นมา

    ธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประทานไว้เพื่อความสุขในการสดับ สดับ
    ไปแล้วมันก็คือสดับสิ่งที่คุณทำมาอยู่ข้างในนั้นแหละ

    ทีนี้อย่าไปสำคัญว่า สิ่งที่เราสมมติออกมาเพื่อความสุขเฉพาะตนไม่ได้ ตรง
    นี้เป็นของยาก มันไม่เกี่ยวกัน สิ่งที่คุณทำอยู่แล้วมันก็ทำไปแล้ว เพียงแต่
    เราจะสมมติอย่างไรให้ทราบซึ้งทั่วถึงสิ่งที่ตนทำมา ก็แค่นั้นเอง

    เพียงแต่ว่า การเห็นอริยสัจจ ตรงนี้จะยาก ถ้ามันเห็นง่ายก็สำเร็จกันหมดแล้ว
    สิเนาะ ดังนั้น อย่าปรารภว่ายาก

    "ไม่เพียร ไม่พัก" นั่นแหละ แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  6. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมเองครับ :d โชแปงที่คุณคณะโลกอุดรพูดถึงครับ
    บทพูดสนทนาหรือแม้แต่ภาษาเขียนและภาษาท่าทาง อาจตีความได้หลากหลายแบบ อย่าเก็บมาคิดมากกันเลยครับ ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมไม่คิดโทษใคร เข้ากระทู้นี้มาเพราะมุ่งคลายข้อสงสัยในใจจากการหัดทำสมาธิและปฏิบัติธรรม บางครั้งเราไม่แน่ใจหรือไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำไปแล้วไปถึงขั้นไหนเพราะเป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน ยิ่งความหมายของหลักธรรมยิ่งตีความหมายยาก การรบกวนสอบถามผู้ที่ผ่านและรู้จักสิ่งนั้นหรืออาการนั้นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างเพื่อจะได้เข้าใจและรู้ว่าเราควรจะเดินต่อไปยังไงก็เป็นเรื่องที่ดี...เดินคนละเส้นทางย่อมพบเจอขั้นตอนและสิ่งที่แตกต่างกันแต่แน่นอนว่าหวังที่หมายที่เดียวกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2011
  7. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ...............................................................................
    :cool:
    ขอบพระคุณมากครับ...จริงครับผมรู้ปริยัติน้อยมากๆอย่างเมื่อกี๊ก็เพิ่งเข้าใจคำว่า "โยนิโสมนสิการ" ,"อาหารสี่"หรือคำว่า"อุบาย"ในการใช้โยนิโสมนสิการ ว่าคืออะไร... ทางออกก็คือ ..รู้ ละ วาง..ใช้โยนิโสมนสิการบวกอุบายที่เหมาะสมกับอาหารสี่อันเป็นตัวสร้างขันธ์ห้าและภพ,ภูมิ,ชาติ เพื่อหาจุดนิ่งที่สุดของจิตคือทางสายกลาง...ก็ต้องฝึกหัดและพยายามกันไป.......ตามแต่สติจะอำนวย..
    บันเทิงธรรมหรือ..ใช่จริงแระ..แต่เกือบเผลอใจไปกับความยินดีแน่ะ..ถ้างั้นการถกธรรมะกับเพื่อนหรือกับพระก็คือ"บรรเทิงธรรม" ซินะ..รสชาติเหมือนกันเลย..คือมันจะเกิดปิติสุขขึ้นมาจากการได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้...หรือสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นๆแต่ไม่แน่ใจได้รับการไขคำตอบ...ขอบพระคุณอีกครั้งครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2011
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ผมแ่ค่อยากลองเทียบดู ได้ไม่ได้ไม่เสียใจอะไร

    เอ อาการที่ทุกท่านว่ามา อัปนาสมาธิ ผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับ ฌานสี่นะครับ
    เพราะอัปนาคือ การหายไปหมดเหลือแต่จิต ก็เหมือนกับ ฌานสี่ คือ เอกคตาอย่างเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...