อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    เหรียญ รุ่น 2 หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรปี 2515
    จำนวนการจัดสร้าง : 1000 เหรียญ เนื้อทองแดง ออกที่วัด :สันติสังฆาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ผู้จัดสร้าง : ศิษย์ทหารอากาศ

    หลวงปู่สิม เป็นศิษย์ของพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต จริยาของท่านสงบเยือกเย็นแผ่กระแสความเมตตาอย่างเป็นธรรมดา อย่างของจริง อย่างไม่มีประมาณ แต่ในจริยามารยาทที่สงบเงียบนั้น ใครจะทราบบ้างว่า ท่านทรงคุณอภิญญาสมาบัติและก็แสดงออกมาชนิดไม่ยอมอ้อมแอ้มค้อมแค้ม จะเล่าให้ฟังเอาไหม ?

    ก็ต้องนำภาพการจัดงานวัดของเราเมื่อปี 2518 โน้น มาให้เห็นกันอีกจุดหนึ่งเสียก่อนคือ เมื่อจัดสรรที่พักให้หลวงปู่ทั้งหลายลงตัวแล้ว พ่อก็จัดลูกศิษย์ (คือพี่อ๋อยจัดแจงแทนพ่อทั้งหมด) ให้รับใช้ประจำองค์หลวงปู่ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้วในตอนต้น หลวงปู่สิมพักอยู่กุฏิเบอร์ 3 มีคุณธำรง (ศุภสิทธิ์) อารีกุล เป็นศิษย์ประจำองค์ ผู้เขียนทำหน้าที่อะไรล่ะ.... จะว่าเป็นหัวหน้าก็ไม่อยากจะว่า คือต้องรับบุญรับกรรมช่วยช่วยควบคุมดูแลแก้ปัญหาทั่วไปทุกกุฏิด้วย ที่ว่ารับบุญก็คือรับบุญมหาศาลที่ถวายความสะดวกกายสบายใจแก่พระสุปฏิบันโน ที่ว่ารับกรรมคือมันอย่างนี้.....

    พ่อสั่งกำชับเป็นคำขาดว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนหลวงปู่ในกุฏิที่พัก ถ้าท่านจะสงเคราะห์ท่านก็ออกมานั่งอาสนะที่จัดถวายไว้ในศาลารับแขก คือที่พักชาย 17 ห้อง หลังพระอุโบสถ หน้ากุฏิ 10 หลัง นั่นแหละ ในตอนปี 2519 ยังเป็นศาลาโล่งเต็มแนวยาวเลย สร้างขึ้นเพื่อให้หลวงปู่ทั้ง 10 องค์ รับแขกโดยเฉพาะ ตรงกับกุฏิแต่ละหลังก็มีตั่งอาสนะประจำกุฏิ มีประตูทางเดินทะลุจากกุฏิเข้ามาได้เลย ใครๆ จะมาบำเพ็ญกุศลกราบนมัสการก็ให้นั่งคอยที่นี่จนกว่าท่านจะมาสงเคราะห์เอง ผู้ใดฝ่าฝืน พ่อสั่งเป็นคำขาดกับเจ้าหน้าที่รับใช้พระว่า

    “จับมันมัดไว้กลางลานวัดหน้าโบสถ์เลย ข้าจะดูซิว่าใครจะกล้าฝ่าฝืนหานรกใส่หัวบ้าง พวกแกไม่ต้องกลัวใคร หัวหงอกหัวดำมัดประจานไว้เลย ข้าจะชำระมันเอง....” (จากการที่ผมอ่านดูเข้าใจว่า หลวงพ่อในที่นี้หมายถึงหลวงพ่อฤาษีครับ-กันตปัญโญ)

    ........ผู้เขียนและคณะ “ลิงรับใช้พระ” นั้นปลื้มมากลำบากใจแค่ไหน โธ่....หลวงปู่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ตั้ง 10 องค์ มาสถิตส่องแสงเจิดจ้าอยู่หลังพระอุโบสถ ใครจะไม่อยากเข้าไปกราบเพิ่มบุญตัวเอง ยิ่งได้กราบเป็นส่วนตัวในกุฏิเป็นพิเศษ มันเป็นยอดของความปลื้มใจอยู่แล้ว จึงมีผู้ใหญ่มากท่าน มายืนขู่เด็กลิงรับใช้พระจะเข้าไปทำบุญกับหลวงปู่ในที่..... ขอโทษ ! ... ในที่นอนนั่งสบายอิริยาบถของท่าน แล้วก็ยังมีที่ไม่กล้าใหญ่นัก.... ยืนชะเง้อมองมาที่กุฏิตลอดเวลา ตอนนั้นผู้เขียนยังสงสารไม่เป็น ยังคิดเห็นใจใครไม่ออก คิดออกอยู่อย่างเดียวว่า คำสั่งพ่อคือสิ่งที่ต้องรักษาและทำตามด้วยชีวิต แล้วยังนึกถึงหัวตะพดเลี่ยมเงินในมือพ่อ คิดถึงรสชาติความเจ็บมึนมากๆ เวลาถูกตีกบาล ตัวอาจจะโดนอย่างอื่นของพ่อประทับเข้าให้อีกต่างหาก จึงได้กีดกันขันแข็งจนเถียงกับผู้ใหญ่ทุกวัน กรรมของลิง เลิกงานวัดแล้วไปยกมือไหว้ท่าน... ยังไม่รู้ว่าจะรับไหว้กันหรือเปล่าหนอ.... (คำรำพึงเมื่อ 30 ปี ก่อนโน้น...)

    ....ก็มาถึงเรื่องของหลวงปู่สิม ความเมตตาจริยาปกติของท่าน ยิ่งเป็นทุกขลาภของผู้เขียนหนักเข้าไปอีก คือหลวงปู่สิมน่ะเวลาท่านฉันอาหาร เอ.... จำไม่ได้ว่าฉันมื้อเดียวหรือเปล่า เวลาจะฉันอาหารท่านจะเรียกญาติโยมที่ถวายอาหารเข้าไปรับพร ยถา....สัพพีก่อนแล้วจึงฉัน เพราะท่านฉันช้าฉันนาน ฉันไปพิจารณาธรรมไป ตามสบายของท่าน ตามแบบของพระฉันมื้อเดียว (เกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ...) ทีนี้ท่านเรียกแม่ครัวทุกคนเข้าไปรับพรน่ะซิ (ตายละจะเอายังไงดี) ก็ต้องรีบกราบเรียนท่าน

    “หลวงปู่ครับ หลวงพ่อห้ามคนเข้ามารบกวนที่กุฏิครับ...”

    ท่านยิ้ม “เขามารบกวนที่ไหน เขามาทำบุญให้หลวงปู่อิ่มหนำสำราญ แล้วเขาก็ไม่ได้เข้ามาเอง......หลวงปู่เรียกเข้ามา....”

    “ก็....หลวงพ่อสั่ง....”

    ท่านยิ้มอีก... ยิ้มแบบฉันตอบเธอได้

    “หลวงพ่อท่านห้ามเฉพาะคนรบกวนหรอกน๊า.... เธอไม่เห็นเหรอนั่นน่ะ หลวงพ่อยิ้มอยู่ในกุฏิพยักหน้าให้หลวงปู่เรียกเข้ามาได้....”

    โดนเข้าไม้นี้ แหมมันคนละไม้กับไม้ตะพด มันมึนด้วยหูผึ่งด้วย ก็เลยนึกออกถึงคำสั่งพ่อที่เพิ่มเติมมาภายหลังว่า

    “นอกจากคนที่ถือจดหมายมีลายมือข้าอนุญาต หรือคนที่หลวงปู่เรียกเข้าพบจึงจะให้เข้าไปได้...”

    ก็เลยเต็มใจอนุญาต แต่ก็ยังคันหัวใจว่า.... พ่ออยู่กุฏิริมน้ำคนละฝั่งถนน นี่พวกเราอยู่กันในกุฏิหลังพระอุโบสถ หลวงปู่ท่าน “เห็นพ่อพยักหน้าอนุญาต” เอ.... นี่หลวงปู่ก็ยิ้มอีก ทีนี้ยิ้มแบบรู้ใจ

    “จะสงสัยอะไรกันอี๊ก...ก ไม่มีอะไรที่ไหนที่หลวงพ่อท่านไม่รู้...”

    ที่หลวงปู่รู้ว่าพ่อรู้อะไรทุกอย่างนั่นหรอกที่คันหัวใจผู้เขียน แล้วก็เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ลูกพ่อที่เป็นแม่ครัวและผู้รับใช้พระได้เข้ากราบรับพรกันหมด ท่านก็นั่งยะถา เราก็นั่งนอบรับฟัง รับพร ท่านฉันไปก็ให้เรานั่งดูท่าน ฉันวันนั้นฉันเร็ว คงปรารถนาจะทำเรื่องสนุกใจลิงต่อไป ฉันเสร็จล้างมือ ถอดฟันปลอมออกมาล้างน้ำในถ้วย ถอดออกมาทั้ง 2 แถว ปากโบ๋บุบแก่ทันทีเลย ท่านยิ้ม ไม่ยอมใส่ฟันปลอมซ้ำยังถามว่า

    “ตอนนี้หลวงปู่สวยไหม...”

    ถึงตอนนี้บางคนไหว้นบมือแนบหน้าผาก เข้าใจอะไรแล้วก็ไม่รู้ เห็นหน้าสงบน้ำตาไหลแล้ว แล้วหลวงปู่ก็ใส่ฟัน.... ทำช้าๆ.... ทุกอย่างนี่ทำช้าเหมือนทำอยู่ตัวคนเดียว ตอนใส่ฟันนี่ก็ยิ้มสวยไปอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้สนุกละ....ท่านพูดให้พรเสริมมาประโยคเดียว พูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่ม

    “เอ๊อ.... ขอให้อายุยืน 100 ปี เน้อ....”

    มีเสียงตอบพรนี้ขึ้นทันควัน เสียงดังด้วย เสียงผู้หญิงน่ะ!

    “หนูไม่เอ๊าหลวงปู๊....”

    เสียงพรวด ! หลวงปู่สำลักน้ำ รีบบ้วนใส่กระโถน

    “อ๊าว ! ทำไมล่ะ”

    “แค่นี้ก็แย่อยู่แล้วหลวงปู่ (เธออายุสัก 30 ปี เห็นจะได้) ถ้าอายุ 100 ปี หนูก็ทุกข์ตายเลย”

    “เออ....หนอ... ลูกหลวงพ่ออย่างนี้แหละหนอ...”

    ท่านยิ้มแจ่มใสนุ่มนวลเลย พยักหน้าหลายทีแบบพอใจมากเลย แต่ยังไอหน่อยๆ เพราะพิษสำลักน้ำ....ท่านคงจะเพิ่งเคยพบคนแบบนี้ พวกเราหัวเราะตามท่านไปด้วย ....ถึงตอนนี้ใจผู้เขียนพองจนบวม ....พอบวมปากก็คันตามเคย

    “หลวงปู่ว่า หลวงพ่อทราบที่เราเข้ามากันแล้ว คงไม่โดนดุนะครับ...”

    ถึงจะฟูยังไงก็ยังระแวงภัยตะพด

    “เอ๊ย... บอกแล้วยังจะถาม เอ๊อ...จะมีอะไรที่หลวงพ่อท่านไม่รู้.....” หลวงปู่สิมเรียกพ่อว่า “หลวงพ่อ” ทุกคำเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่อายุไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใคร

    “มีอะไรที่หลวงพ่อท่านทำไม่ได้ เรื่องอภิญญาทำฤทธิ์นี่ หลวงพ่อท่านทำได้มากกว่าคนอื่น เอ๊อ ! รู้ไหมว่าหลวงพ่อท่านทำฤทธิ์ได้ล่วงหน้า สั่งฤทธิ์ให้ออกผลนานๆ ได้....”

    ตอนนี้หูผึ่งกางใบรับกระแสเสียงหลวงปู่กันเต็มที่เลย ตายังงี้.... จ้องหลวงปู่สิม ตายังงี้พูดได้กันทุกคนเลย (หลวงปู่พูดมาเลย พูดเร็วๆ .. พูดเร็วๆ....)
    หลวงปู่สิมก็ฟังภาษาลิงตาของลิงออกแฮะ ท่านพูดต่อ ท่านถามน่ะ

    “เธอสังเกตไหมว่าตอนเตรียมงานนี่แดดร้อนจ้าตลอดวัน...”

    “ครับ”

    “นั่นแหละ ! หลวงพ่อท่านอธิษฐานฤทธิ์ไว้อย่างนั้น ท่านทำให้แดดร้อนจัดก่อนวันงาน 7 วัน พวกเธอจะได้วิ่งทำงานกันไม่งั้นจะเสร็จไม่ทันวันงาน เธอไปคอยดูนะ.... ก่อนในหลวงมา 1 วัน ฝนจะตกให้ดินชุ่มไม่มีฝุ่น วันในหลวงมา ฝนจะพรำพรมดินก่อนเสด็จ 1 ชั่วโมง พอในหลวงมาถึงจะมีเมฆใหญ่เหมือนร่มกางคลุมวัดกว้างครึ่งกิโล (กิโลเมตร) พอในหลวงกลับแล้วก็เย็นสบาย เสร็จงานวันรุ่งขึ้นฝนเทท่วมถึงข้อเท้าเลย.... นั่นแหละฤทธิ์ของหลวงพ่อ ท่านทำสั่งได้อย่างนั้น คอยดูซิ....”

    นี่ผู้เขียนจำได้ 99 เปอร์เซ็นต์ตามคำหลวงปู่สิมเลย เชื่อทันทีเลยด้วยเพราะ 7 วัน ที่ผ่านมาเตรียมจัดกุฏิ จัดอาสนะรับแขกให้หลวงปู่นั้นแดดมันร้อนตั้งแต่เช้าจรดเย็นจริงๆ ร้อนจนต้องวิ่งทำงาน โธ่.... วัดท่าซุงตอนปี 2518 ฝั่งโบสถ์นี่ต้นไม้สักต้นก็ไม่มี มันร้อนทั้งหัวตลอดถึงเท้า ถ้าไม่วิ่งก็ไม่ไหว พัดลมทหารอเมริกันจากตาคลีนี่ตัวมันสูงใหญ่แล้วก็หนัก ถ้าหาม 2 คนนี่ ต้องวางพักเป็นระยะ แต่ถ้ามัวหามเดินตีนพองแน่ (ทำงานสมัยโน้นคนน้อย ใส่รองเท้าไม่ทันหร๊อก) จำเป็นต้องแบบวิ่งคนเดียว (แบก 2 คนวิ่งเคยยื้อกันลงนอนทั้งคู่ ของก็เสียหาย หัวก็โดนตะพด) ทุกอย่างทำลักษณะอย่างนี้ ทำขนาดนั้นกว่าจะเสร็จก็ดึกดื่นก่อนงานคืนเดียว.... มันจริงอย่างท่านว่าทั้งนั้น

    แล้วยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านั้นท่านผู้อ่านเอ๋ย.... เหตุการณ์ในหลวงก่อนจะเสด็จ... กำลังประทับอยู่ที่วัด หลังจากในหลวงกลับไปแล้ว ตลอดจนวันรุ่งขึ้นเลิกงานแล้ว มันเป็นไปตามที่หลวงปู่สิมบอกว่า “พ่อของเราอธิษฐานไว้ทุกประการ”ไอ้ความระยำ คือที่ผู้เขียนยังไม่เต็มอารมณ์ในตัวพ่อนั้น มันละลายไปกับสายฝนวันปิดงาน มันเย็นชุ่มฉ่ำใจยิ่งกว่าน้ำฝนที่ท่วมชุ่มพื้นวัดวันนั้น

    ข้อมูลจาก luangpoosim.blogspot.com/2012/04/blog-post.htmlที่ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร"
    ข้อมูลเหรียญจาก web-pra.com/Amulet/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87/Item/Show/2302
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2014
  2. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    นะโมวิมุติตานัง นะโมวิมุตติยา
    ขอน้อมกราบเบื้องพระบาทพ่อหลวงของแผ่นดิน
    ขอน้อมกราบลป.สิม
    รู้สึกดีขึ้นแล้วครับคุณกันต์
    ขอบคุณข้อมูลที่นำมาให้ได้อ่าน
    ภาพถ่าย คุณกันต์ทำได้ดีมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2014
  3. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    ครับพี่ ผมมีหลวงปู่อยู่แค่สี่องค์เองครับ จะขยันเก็บของท่านก็หาไม่ค่อยจะเจอเจอ สุดท้ายเลยมีอยู่แค่นี้ครับ
     
  4. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร (พระญาณสิทธาจารย์) เหรียญ รุ่น 40 ปี 2519

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    เมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัวนั้นเอง ตรงกับวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๙ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง โดยมี พระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากหนองคาย เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชนโดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม จึงได้มีโอกาสเดิมทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
    และท่านอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกตข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น
    และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกายแต่โดยที่ขณะนั้นยังไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ ๒ ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

    เมื่อสามเณรสิมอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ตรงกับวันอังคารขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร"

    จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จัวหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า(บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น
    ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐานแก่ญาตโยมชาวขอนแก่น

    หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัดอาทิ เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัดชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้หลวงปู่ได้พบหลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น จนการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ก้าวหน้าขี้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี วัดนี้เคยเป็นสถานที่ที่ครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โยมมารดาของหลวงปู่ถึงแก่กรรม หลวงปู่จึงได้เดินทางจากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง ครั้นเสร็จงานฌาปณกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ไปจังหวัดนครพนมทันทีเพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา ช่วงปี
    พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๓ หลวงปู่ได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จัวหวัดเชียงใหม่ แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้นยังปรารภ ความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่าง ๆ อยู่จนต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปพบถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
    หลวงปู่จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำได้เป็นคนนำทางพาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขา ขึ้นไปตามซอกเล็ก ๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูงตามคำปรารภของหลวงปู่ที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวิตของท่าน หลวงปู่ได้พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพัก ที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ

    ข้อมูลจาก larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000216.htm
    รูปภาพจาก oknation.net/blog/Aug-saraporn/2012/12/08/entry-2
     
  5. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ

    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรมรังสี) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เช่นกันได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ หลวงปู่ได้รับการขอร้องจากท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังสีให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส

    หลวงปู่สิม จึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาสให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ ๑ พรรษา โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๙ หลวงปู่ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาโดยตลอด
    จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้ตัดสินใจวางภารกิจต่าง ๆ โดยลาออกจากตำแหน่ง เจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้นท่านก็มาจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา

    ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงปู่ได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ นอกจากนี้แล้วหลวงปู่ยังได้มีโอกาสเดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย

    หลวงปู่สิม ท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น พระอาจารย์สีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย) ได้เล่าว่าครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิมก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้วก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า "จะขุดไปถึงไหน" สามเณรสิมตอบว่า "ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ"

    ปฏิปทาของหลวงปู่ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์ ได้แสดงให้เห็นอยู่ เนือง ๆ หลวงปู่ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่นใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูก ๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์ (คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธหลวงปู่จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่งผู้ป่วย อาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉันอาหารไม่ได้เลย "แม่ไล"ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา มำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เถอะเน้อไปบิณฑบาตได้กล้วย ก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน"

    งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของหลวงปู่สิมซึ่ง
    แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกันทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็น เอนกอนันต์แก่ชาวบ้านเกษตรกรก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้นลำน้ำอูน ที่ท่าวังหินซึ่งก็คือบริเวณ สำนักสงฆ์เวฬุวัน
    สันติวรญาณ ในปัจจุบันโดยในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ภายหลังจำพรรษาที่วัดสันติธรรมสังฆาราม หลวงปู่ก็ได้รับอาราธนา จากชาวบ้านทั้ง ๔ ตำบล ใน ๒ เขตอำเภอให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้น
    ชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันในวันใหม่ หลวงปู่ก็ว่าให้เริ่มงานกันในวันนี้เลย หลวงปู่เป็นผู้มี
    ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานกันตั้งแต่ ตี ๔ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ ๑๐ โมงเช้าจึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนถึงมืดค่ำ พอถึงเวลา ๑ ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้วก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ ๔ ทุ่ม หรือบางวันงานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

    หลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ ณ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจาก สมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น "พระญาณสิทธาจารย์" ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ และในคืนวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกาได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสมณศักดิ์ถวายหลวงปู่ ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาตโยมนั่งภาวนาต่อจนถึงเวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. แล้วท่านก็นั่งพักดูบริเวณภายในถ้ำอีกประมาณ ๒๐ นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณตีสาม สิริรวมอายุของหลวงปู่ ๘๒ ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน อายุพรรษา ๖๓ พรรษา

    ข้อมูลจาก larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000216.htm
    รูปภาพจาก oknation.net/blog/Aug-saraporn/2012/12/08/entry-2
     
  6. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    ยินดีด้วยครับ มีมากมีน้อยก็ถือได้ว่า เป็นสิ่งที่ท่านเมตตาจึงได้ไว้เป็นที่ระลึกอย่างมีคุณค่าครับ
     
  7. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระผงอังคารธาตุ หลวงปู่สิม หลวงปู่เหรียญอธิษฐานจิต

    ธรรมโอวาท

    ๑. คำว่าจิตได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัว ในใจ นั้นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๒. ตาเห็นรูปก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมา ไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใด ๆ เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๓. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๔. การภาวนาไม่ใช่เป็นของหนักเหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย สั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้เมื่อจิตใจสบายกายก็พลอยสบายไปด้วย อะไร ๆ ทุกอย่างมันก็สบายไปมันแล้วแต่จิตใจ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๕. ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ อุบายมันอยู่ที่ไหน อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคงอย่าไปถอย (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๖. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่ มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้ เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ ผู้มีความเพียรผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๗. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไป ให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๘. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๙. พุทโธในใจ หลงไหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๑๐. ไม่ต้องไปรอท่าว่าเมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๑๑. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่าทุกลมหายใจเข้าไป ก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้วเกิดอะไรติดขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้าไม่ได้คนเราก็ตายได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๑๒. เราทุกคนทุกดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
    ๑๓. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคน เท่านั้นก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะ อันมันนอนเนื่องอยู่ให้หมดเสียวันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจนวันตายโน้น (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)
    ๑๔. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริง ๆ นั้นต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไปด้วยควมเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง ๙ เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)
    ๑๕. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลสล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น
    ๑๖. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้นภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง
    ๑๗. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึดให้มีทุกข์ไม่ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย
    ๑๘. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็นอย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจ ปฏิบัติบูชาภาวนาอย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น
    ๑๙. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง อย่าเข้าไปยึดถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวของข้า ตัวของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งโลก
    ๒๐. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้งให้ทำบุญภายในใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละบุญภายใน
    ๒๑. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล
    เข้าใจผิดว่าโลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วตกอยู่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัยอันตรายรอบด้าน
    ๒๒. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคนนั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้งหรือเอาไปเผาไฟเพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงเกิดอสุภเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็ก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น
    ๒๓. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบก็ไม่ได้ ต้องให้สงบ ใจสงบคือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละจะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหนมันก็ทุกข์เท่า ๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง
    ๒๔. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้
    ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วยอวิชชาความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ
    ๒๕. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ๓ อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้น ไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาตโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตามมันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอ ว่าคนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไปในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนาฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน
    ๒๖. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำลำคลองหรือที่มหาสมุทร ก็คือจิตมันอยู่เหนือน้ำ
    ๒๗. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน
    ๒๘. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า "ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั้น"
    ๒๙. มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมาไม่ได้มองเห็นภัย อันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย ๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา.......
    ๓๐. ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย กูก็จะตาย สูก็จะตาย จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม....

    ข้อมูลจาก larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000216.htm
    รูปภาพจาก baanjomyut.com
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094

    ตื่นมาเปิดดูผลแป๊บเดียวครับพี่กัน :cool::cool:
     
  9. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094

    สวัสดียามเช้าครับ พี่ๆ ทั้งสองท่าน
     
  10. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    ครับผม คือว่านับขาดไปหนึ่งองค์ครับมี 5 ครับ สงสัยอายุเริ่มจะมากแล้วหลงลืมประจำเลยนะเนี่ย [​IMG][​IMG]
     
  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG] [​IMG]
     
  12. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    ยังดีครับ ช่วงนี้ผมไม่ได้ดูเลย ตรงกับเวลาทำงานตลอด[​IMG][​IMG] ได้แต่ดูผลอย่างเดียวเลยครับ
     
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  14. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094

    วันสองวันนี่บอลส่วนมากจะส่งตัวสำรองลงแล้วครับ เพราะเข้ารอบ ตกรอบกันไป รอรอบใหม่ ค่อยเชียร์แบบมันส์ๆ ครับพี่ :cool::cool:
     
  15. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG] [​IMG]
     
  16. วุฒิ สิงห์

    วุฒิ สิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +13,055
    รับพรพี่ตี๋ครับ...สวัสดีพี่ๆเพื่อนๆทุกๆท่านครับ
    สวัสดีครับคุณกันตฯ
    สวัสดีครับท่านเอ็ม
     
  17. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094

    กราบหลวงปู่สิม

    ขอบคุณพี่กันมาก ที่นำเรื่องราวน่าอ่านๆ มาให้ครับ

    มีเหรียญท่านอยู่เหรียญนึง ไม่แน่ใจว่าอยู่กับพ่อที่บ้านหรือป่าว เด่วสิ้นเดือนนี้ต้องลองไปหาอีกที
     
  18. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG] [​IMG]
     
  19. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,116
    ค่าพลัง:
    +53,094
    [​IMG] [​IMG]
     
  20. วุฒิ สิงห์

    วุฒิ สิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +13,055
    องค์นี้งามมากๆครับท่านเอ็ม..เงินทั้งชุดเลยใช่ไหมเนี่ย..พระเงิน..เลี่ยมเงิน..ขอสปริงเงิน..แหนบเงิน..เงิน..เงิน..เงิน..มีเงินสุขเกษม...:cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...