อัศจรรย์!!! กระแสพลังธรรม.. พระขุนแผนพิชัยสมบัติเนื้อผงเหล็กน้ำพี้(ตำรับขุนแผนชมตลาด)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย smart7667, 29 กรกฎาคม 2013.

  1. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ขออนุโมทนาบุญครับ
     
  2. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ผงเหล็กน้ำพี้มีพลังแก่กล้าครับ!!! ครูบาอาจารย์ท่านนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องกันมากครับ!!!
     
  3. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พ่อท่านบ่าวตาท่านไม่สามารถเห็นได้ครับทางกองบุญได้เป็นอุปัฏฐากเท่าที่ช่วยได้ครับและก็มีคนไปกราบนมัสการพึ่งบุญบารมีท่านเรื่อยๆครับ สาธุครับ...ท่านรับมอบพระที่พ่อท่านบ่าวก็ได้นะครับด้วยความเคารพครับ!!!!
     
  4. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    เลยวัดนางโอไปมีสำนักปฏิบัติธรรมด้วยครับ สำนักสงฆ์แม่ลาน พ่อท่านเขียวท่านก็ช่วยเหลืออยู่ด้วยครับเน้นการปฏิบัติธรรมครับ...
     
  5. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ทางยะลา ปัตตานีเน้นการจัดอบรมปฏิบัติธรรมจะน้อยกว่าทางภาคกลาง และภาคอีสานครับ...การจัดอบรมปฏิบัติธรรมน้อยกว่าเกิดจากก่อการณ์ไม่สงบจากผู้ไม่หวังดีนี่เองครับ...ด้วยรักและเคารพครับ..
     
  6. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    จากเวปลานธรรมจักรครับ....
    เป็นประโยชน์มากครับ ขออนุญาตนะครับ...

    ประสบการณ์การเข้ากรรมฐานจาก คุณชิตรัตน์
    การปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ? คำตอบก็คือได้จริง ๆ
    เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานนั้นไม่ใช่ของที่จะทำกันเล่น
    ต้องทำกันจริง ๆ ถึงจะบรรลุผลอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมานี้
    เพราะว่าบางขั้นบางตอนยังมีเอาอย่างอื่นมาผสมด้วย
    เช่น น้ำมันมนต์ของหลวงพ่อที่ใช้ทา
    และใบพลูนั้นที่รู้มาก็รักษามะเร็งได้ผลเหมือนกัน
    และรับประทานยาของพระอาจารย์บุญชูอีก
    แต่ที่จริง ๆ แล้วเขาบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติจริง ๆ
    แล้วไม่ต้องใช้ยาเลย อันนี้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐ %
    แต่คนเราส่วนมากรวมทั้งดิฉันด้วย
    ก็เกิดอาการกลัวก็เอาโน้นบ้างนี้บ้างมาช่วยกัน
    แต่จริงแล้วสำหรับดิฉันได้ตั้งใจว่า
    ก่อนที่จะตายก็ขอเก็บเกี่ยวบุญเอาไว้เป็นเสบียงไว้บ้าง
    กรรมฐานดีที่สุด เพราะขณะที่เข้ากรรมฐานอยู่
    เรายังได้พบกับอะไรต่อมิอะไรมากมายนัก
    มีคนมาช่วยปัดเป่าให้ และยังมีผู้ที่ไม่เห็นตัวตนมาให้คาถาให้อีกต่างหาก
    แต่ถ้าไม่เข้ากรรมฐานใครที่ไหนจะมาให้เราได้

    เพราะฉะนั้นกรรมฐานนอกจากรักษาโรคได้แล้ว
    กรรมฐานยังช่วยแก้กรรมให้ได้อีกด้วย
    และกรรมฐานยังช่วยสงเคราะห์ญาติพี่น้อง
    ที่ตายไปให้ได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย
     
  7. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    กรรมฐานทำให้จิตมีพลังอย่างไร!!!
     
  8. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พ่อท่านผ่อง ที่พักสงฆ์นาเปล สายธรรมหลวงพ่อทวด ท่านแนะนำว่า....
    การเรียนรู้การฝึกฝนในวิชาใด ๆ ล้วนมีบทเริ่มต้น การฝึกจิตก็เช่นเดียวกัน บทเริ่มต้นคือ สมถะกรรมฐาน เป็นการฝึกจิตให้เกิดความสงบ เหตุผลหรือความจำเป็นที่เราต้องฝึกจิตให้เกิดความสงบเป็นสิ่งแรกก็คือ ความสงบนั้นเป็นเหตุให้จิตมีพลังเพิ่มขึ้น ยิ่งจิตมีความสงบมากเท่าใดพลังจิตก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พลังจิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เราทราบถึงระดับพลังงานของจิตว่ามีกี่ระดับ และเป็นเครื่องมือใช้ในการศึกษากระบวนการทำงานของจิต เพื่อให้เกิดความเข้าใจในระดับพลังงานและกระบวนการ แล้วนำความเข้าใจที่ได้ไปฝึกบริหารจิต เพื่อพัฒนาให้จิตมีปัญญา สามารถค้นหาและค้นพบว่า จิตจะต้องอยู่ที่ระดับพลังระดับไหนและโดยกระบวนการอย่างไรถึงจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง



    พลังจิตที่เพิ่มขึ้นจากความสงบนั้น เกิดจากการที่เราลดการใช้งานของจิตลง และรวมกำลังจิตให้รวมตัวอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะการใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมดาของคนเรานั้น พลังจิตจะถูกใช้ไปกับการนึกคิดร่วมไปกับความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระตุ้นจิต ให้จิตมีหน้าที่ เมื่อจิตมีหน้าที่จึงมีการใช้พลังจิตอยู่ตลอด พลังจิตจึงหมดไปเรื่อย ๆ เมื่อใกล้หมดก็จะรู้สึกอ่อนเพลียอยากพักผ่อน ง่วงนอนแล้วก็หลับไป การนอนหลับทำให้จิตเพิ่มกำลังขึ้น เพื่อทดแทนพลังทั้งหมดที่หมดไปในแต่ละวัน พลังที่เกิดขึ้นจากการนอนหลับพอเพียงสำหรับที่จะใช้เพื่อทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันทั่วไปเท่านั้นแต่ยังไม่พอที่จะนำไปศึกษาเรื่องจิตการศึกษาเรื่องของจิตเป็นการศึกษาเรื่องที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนมีสถานะของพลังอยู่หลายระดับจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้พลังจิตมากกว่ากิจกรรมตามปกติทั่วไป และการเพิ่มพลังจิตที่เราหมายถึงคือการเพิ่มพลังในขณะที่จิตยังตื่นอยู่ โดยให้จิตมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว นำจิตให้มารวมอยู่ที่จุดหนึ่งจุดเดียว ไม่แส่ส่าย คิดนึกไปหลายเรื่องตามสิ่งที่มากระตุ้น เมื่อลดหรือหยุดใช้พลัง พลังจิตก็ไม่เสียไป และพลังจิตก็เพิ่มพูนมากขึ้น
     
  9. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พ่ีอท่านผ่องนี้ท่านก่อนอุปสมบทนั้นท่านเป็นครูมาก่อนการอธิบายจึงเป็นหลักการที่มาจากจิตแท้ในธรรมครับ!!!!
     
  10. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ธาตุรู้คืออะไร....ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่าการเข้าสมาธิละกิเลสไม่ได้หมดแต่ทำให้กิเลสนั้นตกตะกอนครับ...แต่จะทำให้เกิดธาตุรู้...ขึ้นมาในจิตครับ...
     
  11. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ภายในร่างกายของคนเรานั้น มีสิ่งที่เรียกว่า ธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุ แทรกซึมอยู่ทั่วร่างกาย ธาตุรู้นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดมีสภาพรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นโดยร่างกายของเรามีจุดศูนย์รวมของธาตุรู้ อันเป็นจุดที่มีธาตุรู้รวมตัวกันอยู่มาก มีอยู่ 7 ที่ด้วยกัน คือ

    ที่ตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ,
    ที่หู เรียกว่า โสตวิญญาณ,
    ที่จมูก เรียกว่า ฆานวิญญาณ,
    ที่ลิ้น เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ,
    ที่ผิวกาย เรียกว่า กายวิญญาณ และที่สมอง

    ทั้งหมดนี้จัดเป็นธาตุรู้ภายนอก ส่วนที่หัวใจ หรือใจ เรียก มโนวิญญาณ จัดเป็นธาตุรู้ภายใน โดยใจจะเป็นศูนย์กลางของธาตุรู้ทั้งหมดอีกที เพราะธาตุรู้รวมตัวกันอยู่ที่ใจนี้มากที่สุด และธาตุรู้ภายนอกกับภายในนี้จะเกิดการเชื่อมโยงสภาพรู้กันอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อจุดประสาทถูกกระทบ ตาเห็นรูป ธาตุรู้ที่ตาถูกกระตุ้นด้วยแสง ธาตุรู้ที่ตาก็ทำงาน เกิดสภาพรู้ที่ตาขึ้น สภาพรู้ดังกล่าวจะเคลื่อนตัวไปเกิดสภาพรู้ที่ใจอีกทีจึงจะเกิดเป็นความรู้ตัวว่าเกิดการเห็นขึ้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อรู้ผ่านใจแล้ว สภาพรู้จะวนกลับมาที่ตา รับรู้การกระทบ และวนไปรู้ที่ใจอีก หมุนวนเช่นนี้ เรื่อยไป แต่กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเร็วมากเราจะไม่เห็นกระบวนการนี้จนกว่าจะได้ฝึกจิตในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน

    ธาตุรู้นี้หากจะกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ เซลล์ประสาท แต่หากจะกล่าวให้เข้าใจอย่างละเอียดแล้วมันไม่ใช่เซลล์ประสาท คือธาตุรู้นี้จะอาศัยเซลล์ประสาทเป็นที่อยู่เป็นที่อาศัย จะอยู่ในส่วนที่เล็กที่สุดของเซลล์ (Cell) เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายๆ ส่วนจิตนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่มาอาศัยยึดเกาะและปรุงแต่งธาตุรู้อยู่ จิตที่เราหมายถึงในตอนนี้ก็คือ จิตที่เนื่องด้วยขันธ์ คือ ความรู้สึก ความนึก และความคิด
     
  12. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ดังนั้น เมื่อเรามาฝึกจิตให้เกิดความสงบไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม กล่าวโดยสรุปก็คือ

    เป็นการพยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ ที่อยู่ในร่างกายของเรา ณ จุดประสาทต่าง ๆ


    เป็นการบังคับจิตให้อยู่กับธาตุรู้ให้รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเดียว ไม่แส่ส่ายรู้ออกไปหลายเรื่อง เมื่อกำหนดสภาพรู้ ให้รู้เรื่องเดียวไปเรื่อย ๆ เช่นนี้แล้ว จะเป็นการหยุดการปรุงแต่งธาตุรู้ของจิต สภาพเดิมของธาตุรู้ที่ไม่ถูกปรุงแต่งก็จะปรากฏออกมา


    เป็นกระบวนการกลับเข้ามาหาผู้รู้ ที่ไปรู้สิ่งถูกรู้ การรู้สิ่งถูกรู้จะทำให้จิตเสียพลัง คือ เสียสภาพรู้ไปเรื่อย ๆ การทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ จิตจะไม่เสียพลังของสภาพรู้และทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้น


    เป็นการปล่อยวาง คลายแรงยึดเกาะของจิตที่ไปยึดเกาะสิ่งถูกรู้ ซึ่งเป็นระดับพลังที่หยาบและต่ำกว่า เข้ามายึดระดับพลังที่ละเอียดและสูงกว่า ระดับพลังของธาตุรู้มีอยู่หลายระดับชั้น ในพุทธศาสนาเรียกระดับชั้นของพลังนี้สืบต่อกันมาว่า ฌาน
     
  13. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    สายวิชาบางอย่างของวิทยาคม อาศัยธาตุรู้ในกายเป็นเครื่องบอกครับ!!!!!
     
  14. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    บางท่านจึงไม่ต้องไปค้นคว้าที่แห่งใดนิกจากการนั่งสมาธิติดต่อครูภายในจิตตนเองก็คือธาตุรู้ที่สะสมองค์ความรู้มาเนิ่นนานครับ...
     
  15. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    หลวงพ่อทวด หลวงปู่สมเด็จโต ท่านจะสื่อจิตกับนักปฏิบัติธรรมท่านใดก็ต้องอาศัยธาตุรู้ในจิตของเขาผู้นั้นด้วยเป็นฐานแห่งการรับรู้ครับ...
     
  16. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    การได้ฌาณในจิตคือการที่เราได้บำเพ็ญจนถึงขั้นประตูของธาตุรู้นั้นมาได้..!!!!
     
  17. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    เมื่อจิตเรามาเข้าถึงแสงสว่างของธาตุรู้ภายในตัวเรา จิตเราจะมีกำลังมาก ธาตุรู้เราก็มีกำลังมาก เราสามารถเชื่อมโยงแสงสว่างจากธาตุรู้ที่อยู่ภายนอกตัวเราได้ เพราะเป็นระดับพลังเดียวกัน และธาตุรู้นี้เป็นสิ่งสากล เราสามารถใช้กำลังจิต กำลังของธาตุรู้ที่มีความเข้มข้นนี้ให้ทำงานให้เต็มที่โดยการส่งออกไปหาสิ่งต่างๆ ที่เราอยากรู้อยากเห็น สามารถขยายขอบเขตความสามารถในการรู้ของจิตเราได้ คือ หากอยากรู้อยากเห็นสิ่งใด กำหนดนึกไป ภาพสิ่งที่เราอยากเห็นจะมาปรากฏ เราจะเหมือนมีจอโทรทัศน์ในตัวเราเลยทีเดียว , สามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลตัวเราได้ , สามารถรู้ความรู้สึกนึกคิด ของคนอื่น สัตว์อื่นได้ , มองทะลุวัตถุได้ , เห็นอดีต อนาคต , เห็นภพภูมิอื่น เป็นต้น

    ภาพนิมิตทั้งหลายนี้ บางทีก็เป็นจริง บางทีก็ไม่เป็นจริง ตามความปรุงแต่งและ บงการของอนุสัยกิเลสภายในใจของเรา หากเรายังอยู่กับภาพนิมิตอยู่ จิตก็ยังไม่เข้าถึงความสงบอย่างที่สุด และตัวนิมิตนี้เองที่อาจจะมาทำให้จิตถอนตัวจากความสงบได้ด้วย การฝึกจิตจะไม่ก้าวหน้า ดังนั้นหากเราต้องการความสงบกว่าเดิมเราต้องละจากภาพนิมิต จากแสงสว่าง เพื่อเข้าสู่ความสงบที่ลึกกว่าต่อไป ไม่ต้องสนใจภาพที่มันเกิดขึ้น มันจะเกิดภาพหรือเสียงนิมิตอะไรจิตเราไม่ต้องเคลื่อนไปตามสิ่งที่เราเห็นเรารู้ ไม่ส่งจิตออกตามไปรู้เห็นสิ่งถูกรู้ ให้กลับเข้ามาดูที่ผู้เห็นผู้รู้แทน ภาพนิมิตก็จะหายไป เหลือแต่ความสว่างเช่นเดิม

    ระดับความสงบที่ลึกกว่าความสุขของตติยฌาน ที่จิตเราละแสงสว่างได้แล้ว ภาวะที่เราจะพบก็คือ เป็นสภาพเดิมที่อยู่ลึกที่สุดของธาตุรู้ คือ ความว่าง อาการก่อนที่เราจะเข้ามาสู่ความว่างนี้ ที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ เกิดอาการวูบเหมือนเราตกลงไปยังที่ใดที่หนึ่งความรู้ตัวขณะตกลงมาจะมีไม่มาก แต่จะค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นเมื่อตกลงมาถึง ณ. ที่นี้แล้ว หรือ ความรู้สึกของเราเหมือนเคลื่อนผ่านกลุ่มแสงสีขาวเข้าไป แสงจะลดลงไปเรื่อยๆ จนมาถึง ณ. ที่หนึ่ง ณ. ที่นี้ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีสี ไม่มีภาพนิมิต เป็นที่เงียบสงบมาก ว่างเปล่า รู้สึกเหมือนมีเพียงตัวเราอยู่คนเดียวในโลก ทุกสิ่งไร้การเคลื่อนไหว เป็นภาวะที่สงบนิ่งที่ลึกและกว้างไกลมาก รู้สึกจิตมีกำลังรวมเป็นหนึ่งแน่นหนา ไม่เป็นภาวะสุข หรือ ทุกข์ เป็นแต่กลางๆ เฉยอยู่ ภาวะที่จิตรวมเป็นหนึ่งกับธาตุรู้เช่นนี้ เรียกว่า เอกัคตารมณ์ ภาวะเป็นกลาง เรียกว่า อุเบกขา เมื่อเรามาถึงตรงนี้ เป็นภาวะที่จิตสงบเข้ามาถึง จตุตถฌาน และจิตได้เข้ามาถึงจุดศูนย์กลางของ อะตอม คือ นิวเคลียสแล้ว
     
  18. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    มาที่เรื่องหลวงพ่อทวดครับ...
     
  19. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    หลวงพ่อทวด ที่ปรากฏองค์ของท่านขึ้นมาในยุคนี้ได้ เพราะความฝัน กล่าวคือ คืนวันหนึ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ เวลาใกล้รุ่ง คุณอนันต์ คณานุรักษ์ฝันว่าได้พบกับหลวงพ่อทวด ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดช้างให้มากนัก ท่านได้มอบยาชนิดหนึ่งให้กิน แล้วสวมมงคลรัดศีรษะให้อีก แสดงว่าท่านได้รับไว้เป็นศิษย์ เพื่อจะให้ได้รับใช้งานของท่านต่อไป เสร็จแล้วท่านก็เดินจากไปทางทิศที่ตั้งของวัดช้างให้



    ต่อมา เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๓ คุณอนันต์ได้มีโอกาสไปวัดช้างไห้ โดยไปกับสมัครพรรคพวก ได้แก่ นายชาติ สิมศิริ กำนัน นายกวี จิตตกูล นายวิศิษฐ์ คณานุรักษ์ เมื่อไปถึงได้ทำความเคารพท่านอาจารย์ทิม ธมฺมธโร เจ้าอาวาสวัดช้างให้แล้ว ก็ได้สนทนาปราศรัยต่อกัน ในการสนทนากันตอนหนึ่งคุณอนันต์ได้เรียนถาม อ.ทิม ว่าโบสถ์ที่สร้างค้างอยู่นั้น ท่านไม่คิดจะสร้างพระเครื่องไว้แจกจ่ายแก่ผู้สละทรัพย์โมทนาสร้างโบสถ์บ้างหรือ อ.ทิมตอบว่า เคยคิดมา ๒ ปีแล้วแต่ไม่สำเร็จ คุณอนันต์จึงรับว่าถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอรับจัดสร้างขึ้นถวาย ท่านก็ยินดีที่ให้จัดสร้าง



    ในตอนที่เลือกแบบพระ คุณอนันต์ได้เห็นพระเครื่องลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เป็นรูปพระภิกษุชรานั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวมีสีพระองค์ดำ ปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ครั้งนี้โดยหลวงพ่อทวดฯ บันดาลให้เห็นเป็นมโนภาพอย่างชัดเจน จึงได้เรียนให้ อ.ทิม ทราบ และขอให้ท่านอาจารย์เป็นสื่อการติดต่อกับวิญญาณ ล.ป.ทวด ในพิธีการที่จะสร้างพระเครื่องทุกๆ ระยะโดยใกล้ชิดด้วย



    เมื่อให้ช่างแกะสลักขี้ผึ้งเหลืองทำแบบพระเครื่องเสร็จแล้วเก็บไว้ ๓ คืน รุ่งเช้าแบบขี้ผึ้งแปรสภาพ คือในองค์พระซึ่งมีสบงจีวรคลุมอยู่ยังคงเป็นสีเหลืองตามเดิม แต่ผิวเนื้อที่อยู่นอกสบงจีวร เช่น ศอ ถึง พักตร ลำแขนถึงนิ้วมือ หน้าแข้งถึงปลายเท้า เกิดเป็นสีดำอย่างเอาหมึกทา ปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ ท่านพระครูฯ นั่งสมาธิถามท่านว่า ใครทำให้แบบแปรสภาพเช่นนี้ ท่านตอบว่าสมเด็จเจ้าพะโคะเอง



    และเมื่อคิดกันว่าพระเครื่องนี้จะให้ชื่อว่า พ่อท่านทวดตามความนิยมเรียกของคนถิ่นนั้น ท่าน อ.ทิมได้นั่งสมาธิถามล.ป.ทวด ท่านว่าไม่เอา เมื่อถามต่อไปว่าจะให้ชื่อว่าสมเด็จเจ้าพะโคะหรือ ท่านว่าชื่อนี้ให้เขาเรียกกันทางโน้น (หมายถึงภูมิลำเนาเดิม หรือวัดพะโคะ) ถ้ากระนั้นจะชื่ออย่างไร? วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านบอกว่า ให้ชื่อ "หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด" จึงให้ชื่อพระเครื่องตั้งแต่วันนั้นมา



    เมื่อมีข่าวว่าวัดช้างให้จะสร้างพระเครื่องขึ้น พี่น้องชาวพุทธในแถบนั้นต่างคนต่างสนใจเป็นจำนวนมาก ได้บุกป่าขึ้นเขาชักชวนกันไปหาว่านนานาชนิด มาถวายแก่ท่านอาจารย์เป็นจำนวนมากมาย ทางวัดก็ได้เตรียมการรอวันจะทำพิธีอยู่อย่างพร้อมเพรียงและได้ปฏิบัติตามหลวงพ่อทวดฯ แนะนำผ่านท่านอาจารย์ทุกประการ

    นายฮวด ผู้ใหญ่บ้านเหมืองใน ตำบลลำพยา ได้รับอาสานำดินว่านสีดำซึ่งมีอยู่ ณ เชิงเขาแห่งหนึ่งไปส่งให้ถึงวัด โดยไม่คิดค่ารถค่าแรงแต่ประการใด

    ดินว่านนี้เป็นดินสีดำตามธรรมชาติ อยู่เป็นทางซึ่งจะเข้าใต้ภูเขา ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า กากยายักษ์ หมายถึงกากยายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ ชาวบ้านเอาดินดำนี้มาตากแห้ง หรือย่างไฟกินแก้โรคผอมเหลืองหรือโรคโลหิตจาง เขาว่าดีนักจึงเป็นที่หวงแหนของชาวบ้านแถวนั้น



    เมื่อได้เตรียมการตามคำแนะนำของหลวงพ่อทวด เรียบร้อยแล้ว ถึงวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงตรง เป็นมงคลฤกษ์ในพิธี จึงปลุกเสกเบ้าพิมพ์ซึ่งมีอยู่ ๑๖ เบ้า เสร็จแล้วได้พิมพ์พระเครื่องเป็นต้นมา จนถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๙๗ ได้พระเครื่องจำนวน ๖๔,๐๐๐ องค์ (จะพิมพ์ให้ได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ แต่เวลาจำกัดในพิธีปลุกเสก) ก็ต้องหยุดลง เพื่อเอาเวลาเตรียมงานพิธีปลุกเสกพระเครื่อง ตามที่หลวงพ่อทวดฯ กำหนดให้ท่านพระครูปฏิบัติ



    ถึงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงตรง ได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกพระเครื่อง ณ เดินดินบริเวณโบสถ์เก่า โดยมีท่านพระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม ธมฺมธโร) เจ้าอาวาสเป็นองค์ประธานในพิธีและนั่งปรก ได้อาราธนาอัญเชิญพระวิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พร้อมด้วยวิญญาณหลวงพ่อสี หลวงพ่อทอง และหลวงพ่อจันทร์ ซึ่งหลวงพ่อทั้งสาม องค์นี้สิงสถิตย์อยู่ร่วมกับหลวงพ่อทวดฯ ในสถูปหน้าวัด ขอให้ท่านประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ขลังแก่พระเครื่องฯ นอกจากนั้นก็มีหลวงพ่อสง โฆสโก เจ้าอาวาสวัดพะโคะเวลานั้น พระอุปัชฌาย์ดำ เจ้าอาวาสวัดศิลา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์อาวุโส ณ วัดช้างให้ ร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องเสร็จลงในเวลา ๑๖.๐๐ น. ของวันนั้น ท่านพระครูฯ พร้อมด้วยพระภิกษุอาวุโสและคณะกรรมการ มีนายอนันต์ คณานุรักษ์ , นายชาติ สิมสิริ , นายกวี จิตกูล , นายวิศิษฐ์ คณานุรักษ์ , นายวิทยา คณานุรักษ์ , นายสุนนท์ คณานุรักษ์ และนายจำรูญ คณานุรักษ์ ได้ร่วมกันทำการแจกจ่ายพระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ให้แก่ประชาชนผู้เลื่อมใส ซึ่งมาคอยรอรับอยู่อย่างคับคั่งจนถึงเวลาเที่ยงคืน ปรากฏว่าในวันนั้นกรรมการได้รับเงินจากผู้ใจบุญ โมทนาสมทบทุนสร้างโบสถ์เป็นจำนวน ๑๔,๐๐๐ บาท



    หลังจากนั้นมา ด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหารหลวงพ่อทวดฯ ดลบันดาลให้พี่น้องหลายชาติหลายภาษา
    ร่วมสามัคคีสละทรัพย์โมทนาสมทบทุนสร้างโบสถ์เรื่อยๆ มา งานก่อสร้างโบสถ์จึงมีกำลังดำเนินการต่อไปโดยมิได้หยุดยั้ง จนถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๙๙ ได้จัดทำพิธียกช่อฟ้า และวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๐๑ พิธีผูกพัทธสีมา โบสถ์หลังนี้จึงสำเร็จสมบูรณ์ และพระภิกษุสงฆ์ได้อาศัยทำสังฆกรรมถึงเวลานี้ รวมค่าก่อสร้างประมาณ ๘ แสนบาท
     
  20. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    คนใต้แท้จะเรียกว่าหลวงพ่อทวดครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...