อารมณ์เฉยๆแบบอุเบกขาที่เกิดขึ้นระหว่างวันเป็นฌาณได้ไหม ถ้าได้ เป็นฌาณระดับใด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Shinozuke, 30 กันยายน 2015.

  1. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    พอใจเกิดขึ้นก็เห็น
    ไม่พอใจเกิดขึ้นก็เห็น
    มันก็เกิดดับเกิดดับไปตามธรรมดาของมัน
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    จมโลกสิคร้าบ หาก หมายเอา อุเบกขา แล้วหยุด แล้ว สำคัญตัวว่า มีธรรม เนี่ยะ
    เกยตื้นแน่นอน จมโลกแน่นอน

    อุเบกขา เขาจัดเข้าเวทนา เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่า มันเป็น เวทนาขันธ์

    จัดเข้า เวทนาขันธ์ เพื่ออะไร เพื่อ ยกขึ้นทำการสิกขาว่า มันเป็น ของเกิด ดับ

    ซึ่ง พวกฤาษี ชีไพร ที่เก่งฌาณ ชนิด เหาะเหินเดินอากาศได้ เนี่ยะ เขาลืมอะไร
    ในการกำหนดเห็นอุเบกขา .....เขาหลงลืมสติ ลืมกำหนดรู้(ความเกิด ดับ)ของ
    เวทนา

    ดังนั้น

    ต้อง ยกเวทนา เห็นเป็นสิ่งเกิดดับ ...

    คนฉลาด ที่เป็น บัณฑิต เขาจะทำ ฌาณให้เกิดมากๆ เพื่อ เอา อุเบกขา มาดู
    การเกิดดับ ให้มากๆ ซึ่ง ใช้เวลากัน สองแสนอสงไขย เป็นอย่างต่ำ ในกรณีที่
    ภาวนาในฐานะ เป็น สาวก

    แต่ถ้า คนไหน ชำนาญในฌาณ เหาะเหิน เดินอากาศใน ฐานะ มนุษย์ มาได้หลาย
    ชาติ พวกนี้ พาไปเคี้ยวหมากสองสามคำ ก็อาจจะ แทงตลอดไปเห็น เออ จี จี
    แหะ มันเป็นของเกิดดับ ...สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา
    ไม่ได้ "มี" อะไรให้ถือเอาเป็นตัวตน เป็นของตน ได้เลย
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้ว จี จี เนี่ยะ อุเบกขา ยก เวทนาขันธ์ ขึ้นพิจารณาได้ เนี่ยะ

    ต่อให้ ยกเวทนาทุกกอง ยกเวทนา3 ขึ้นพิจารณาได้เนี่ยะ มันยังไม่พอ นะ

    มันพอในฐานะว่า เดินทางมาถูก หากเดินต่อ ก็จะไม่คลาดจากการ ยกธรรม การภาวนาที่ ยิ่งๆ ขึ้นไป

    มันยังอีก สองชั้น ได้ ที่ต้องยก ธรรมที่ ปราณีตกว่า เวทนา ก็คือ "จิต" กับ "ธรรม"

    หมายความว่า ไปยก จิต ขึ้นมาดูเกิด ดับได้ ก็ยังไม่ได้ ฮา อะไร ยังไม่ได้ธรรม

    หมายความว่า ไปยก ธรรม มาดูเกิดดับได้ ก็ยังไม่ได้ ฮา อะไร ยังไม่ได้ธรรม

    มันยังเป็นเพียง อุบายในการตามเห็น อริยสัจจญาณ ก็เป็น ของเกิด ดับ ไปอีก
    ซึ่งก็บอกไม่ได้ว่า แต่ละคนต้องเห็นกันยังไง เท่าไหร่ ถึงจะเกิด การตัดสินได้ว่า บรรลุธรรม ได้
    เกิดแล้ว การถอยหลังกลับไม่มีอีก ชาติจบแล้ว สิกขาที่ควรทำได้เพียรแล้ว


    *********


    ท่อนนี้ พูดทำไม

    พูดเพื่อบอกว่า การเสวนาธรรม ไม่ใช่ การสนทนาเพื่อมุ่งการถกเถียง .....หาก การเสวนา เป็นไป
    เพื่อให้ จิตมันเกิดการทำ เกิดการลงมือปฏิบัติ เข้าไปสัมผัส พิสูจน์ธรรม มันจะอีกเรื่องหนึ่ง

    การสนทนา เป็นเพียง " ขี้ๆ " ที่ภาวนา ตบซ้าย ตบขวา เพื่อให้ เกิดการเดิน เกิดกำลังใจในการ ค้นหานิพพาน

    ถ้า เสวนาธรรม แล้วเอา มุขนัยเด็ดๆ ในการ ทำโวหารไปวันๆ สังเกตเลย ต่อให้เป็น อุเบกขา มันเกิด
    แต่จริงๆ แล้ว " ความพอใจ " มันรอ ตบหัวทิ่ม ให้ติดตาย ล้าน%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2015
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การเสวนาธรรม หากเป็นไปเพื่อ การหาหนทางปฏิบัติ ในการยก กำหนดรู้

    ไม่มีหรอก ที่เสวนาไป แล้ว ต้องขอโทษขอโพย

    การเสวนาธรรม หากเป็นไปเพื่อ การหาหนทางปฏิบัติ ในการยก กำหนดรู้
    ต่อให้ ยกคำใดขึ้นมา ฟาดกัน มันจะมี ความ ร่าเริง ในการค้นหา ในความเพียร

    คนที่มีความเพียรอยู่ กำหนดรู้อยู่ ไม่เอา อัตตาเข้ามาแทรก ไม่เอา มานะ เข้ามาแทรก
    มันจะไม่ต้องขอโทษ ขอโพย


    นักเสวนาธรรม ที่งัดคำบรรดามี งัดออกมาแล้ว จิตก็แล่นไปปรารภ ขอโทษ ขอโพย

    ในทางปฏิบัติ เราจะทราบทันทีว่า คู่เสวนา ไม่เคยปฏิบัติธรรม
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ในเชิงของธรรม " ความขัดแย้ง " จะอาศัย ธรรมสองอย่าง เป็นตัว ปัจจัยในการเกิด
    คือ ทิฏฐิ กับ ผลประโยชน์(ตัณหา)

    เวลานักเสวนาธรรม กล่าวธรรมบรรดามี แล้ว ตล่อมไปขอโทษ ขอโพย เราจะอาศัย
    กำหนดรู้เห็น " ความขัดแย้ง " บางอย่าง กำลังกุมรุมจิตคู่สนทนา

    ซึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอะไร เราจะทราบ เหตุปัจจัยทันทีว่า ไม่ยึดถือทิฏฐิอยู่ ก็ต้อง ยึดถือผล
    ประโยชน์บางประการอยู่

    ดังนั้น

    ถ้ามั่นใจว่า เสวนาเพื่อหาหนทางปฏิบัติธรรม เพื่อลงมือกระทำ ....ความคับแค้น
    มันจะเกิดให้หยิบจับ บัญญัติคำพูดได้ ก็จะ อนุโลมถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป ไม่ว่ากัน
    ไม่ตำหนิคนกำลังทำความเพียรเด็ดขาด
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พอเข้าใจ วิถีแห่งการปรารภความเพียร เขาศึกษา ลงมือประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร

    ธรรมวาที ก็จะ รับฟังได้

    อธรรมวาที ก็จะ รับฟังได้

    เพราะ "ตถาคต" อยู่ในทุก สรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใด กีดกัน ขวางกั้นได้

    การจะใช้คำใด บัญญติใด หากคำเหล่านั้นเป็นไปเพื่อ ประโยชน์ในทางธรรม ก็จะอนุโลม
    ไปตาม อุบาย นั้นๆ

    ถ้าเข้าใจตรงนี้ " อาการยึดถือ ศัพท์ เท่านี้จริง อย่างอื่นเปล่า " จะไม่เกิด
    ทิฏฐิจะไม่มีวันได้ช่อง ตัณหาก็ไม่ต้องไปคำนึงถึง
     
  7. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    แต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน
    บางคนคุยตรงๆได้ เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไร
    บางคนคุยตรงๆไม่ได้ ว่าก้าวร้าว ไปมองในมุมที่ทำให้ใจเค้าเองหม่นหมอง
    แล้วประโยชน์อะไร ที่ผมจะต้องไปเสี่ยงให้เขาหม่นหมองเพราะเห็นเป็นความก้าวร้าวที่เกิดจากผม
    สู้ตัวผมพินอบพิเทาไว้ก่อน เจียมเนื้อเจียมตัวไว้ก่อน
    พยายามรักษาน้ำใจไว้ก่อน ขอโทษขอโพยไว้ก่อน มิดีกว่าหรือ
    อย่างน้อย เราก็ช่วยลดความหม่นหมอง "ที่อาจ" เกิดขึ้นแก่เค้า
    ที่ "เขาอาจ" มองว่าเราก้าวร้าว
    ได้ซักระดับหนึ่ง
     
  8. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60

    แล้วการที่ยกเวทนา เห็นเป็นสิ่งเกิดดับได้ซะขนาดนี้ แสดงว่ามันมีไหม
    มันเกิดได้ มันดับได้อย่างนี้ แสดงว่ามันมีไหม
    ้ถ้าไม่มี แล้วท่านจะเอาอะไร มาเกิด มาดับ มาแบ่งประเภท
    มายกเป็นเวทนา เห็นเป็นสิ่งเกิดดับ
    มันมีสิ ไม่มีแล้วท่านจะยกมาพิจารณาเห็นเป็นสิ่งเกิดดับได้อย่างไร
    แล้วคำว่ามีน่ะ จำเป็นเสมอไปไหม ว่ามันจะต้องมีค้างไว้อยู่อย่างนั้น
    เป็นไปได้ไหม ที่คำว่า มี นี้
    มันจะมีโดยนัยว่ามีให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป น่ะ
    แล้วการที่เราจะเห็นว่ามันมี หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าที่เห็นว่ามันมี
    แล้วท่านจัดแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆน่ะ
    ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องดึงตั้งรั้ง ต้องค้างไว้สำคัญไว้โดยที่มันไม่ได้มีการดับไปนี่นา
    แล้วอย่างนี้ ถ้าจะบอกว่า ผู้เห็นเวทนา
    ถ้าจะเห็นภาพชัดๆก็ขอยกพระพุทธเจ้านี่แหละ
    ท่านเห็นแล้วก็แยกออกมาให้เราดูออกเป็นประเภทต่างๆกันอย่างนี้
    เราบอกว่า ยังเห็นในเวทนาอย่างนี้ เป็นผู้ที่จมโลก
    ซึ่งก็รวมถึงพระพุทธเจ้าด้วยเนี่ย เราจะไปกล่าวอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่น่าถูก ไม่น่าสมควร
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็อย่างที่ พยายามกราบเท้า เอาลิ้นเลียใต้ฝ่าละออกทุลีบาท ของคุณ ชิโนะซุเกะ ....

    ของแบบนี้ ให้เอา นัยยะการปฏิบัติมาเสวนา

    นัยของการปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติ เขาจะรับทราบ สมาทาน การเกิดดับ

    ร่างกายนี้เกิดดับ จิตเกิดดับ เวทนาเกิดดับ อีกทั้ง ธรรม ก็เกิดดับ

    เขาจะสมาทานโดยไม่ไป ควักกระปิ สร้างคำถามขึ้นมาว่า ร่างกายดับสันตี!!!
    สิ ก็เห็นอยู่ว่า ยังเินอยู่ ยังนั่งอยู่ ยังกินอยู่ ฯลฯ

    คนที่เห็น ร่างกาย รูปธรรม รูปขันธ์เกิดดับ เอานัยปฏิบัติมา เสวนา เขาจะเห็น
    กายมันดับพรึบ !!! บางคนเห็นหายละลายไปหมด ไม่เกิดกายขึ้นอีกเลย แต่
    เห็นขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่ได้ ภูมิธรรมฮาอะไรเกี่ยวกับโสดาบัน เพราะ พระพุทธองค์
    ตรัสว่า คนไม่มีศาสนาก็สามารถเห็น กายดับพรึบได้

    แต่ถ้าเอาการ ถกเถียง ทำหน้า สันตี เป็นใหญ่ มันจะด่าคนปฏิบัติ สอนให้เห็น กายดับสันตี สิ

    กายมันต้องมี อย่างโง้นอย่างงี้ ถกเถียงกันไปโดยไม่ได้ ฮาอะไร ไม่ได้โชวการปฏิบัติ
    อะไรให้ คู่เสวนาได้รับทราบเลย

    แต่ทำลีลา สันตี !! กราบขออภัย .......สัน ตี !!!!




    ปล ลิง ตลิงปลิง : สัน ตี !!! เป็นการตระโกนดังๆ ในคำว่า " สนฺติ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2015
  10. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    ขนม ลูกอม มะยม ไม้กวาด
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,611
    ค่าพลัง:
    +3,015



    มีหลักสังเกตอยู่บ้างเหมือนกันครับว่า

    พระอรหันต์ จะหลับตา หรือ ลืมตา ก็เป็นการเข้าญานทั้งหมด
    เพราะจะกระมิดกระเมื้ยนทำนั่น ทำนี่ จะระวังตัวแจ
    ระวังทุกอย่าง แม้ในขณะที่คุยกับคน ก็เข้าญานคุย
    แต่เป็นขั้นต่ำๆ ไม่สูงมาก พอที่จะใช้อภิญญาได้


    โสดาบัน ถึง อรหัตตมรรค ไม่เน้นเข้าญานครับ
    เน้น วิปัสสนาญาน แทน
    โดยการเจริญ วิปัสสนาญานเก้า
    เพื่อให้บรรลพระอรหันต์ โดยไว
    หากยังมัวเข้าญานเล่นอยู่
    จะเป็นการเนิ่นช้า ในการบรรลุมรรคผลได้


    ส่วน อุเบกขา นั้น เป็นของพรหม
    เป็นของผู้ที่อยากเป็น พระโพธิสัตว์
    ที่สงเคราะห์ชาวโลก หรือ สรรพสัตว์ทั้งหลาย

    ส่วน อุเบกขาญาน นั่น เป็นของ
    ผู้ที่ฝึกทำสมาธิ จนชำนาญ
    เมื่อชำนาญ ก็จะรู้สึกถึง อุเบกขาญาน ได้
    และผู้ที่อยากบรรลุธรรม ต้องรู้สึกถึงให้ได้
    ต้องฝึกให้ถึงขั้น ไม่ว่าจะลืมตา หรือ หลับตา
    ก็ใช้ได้ทั้งนั้นนี่เรียกว่า ทรงอุเบกขา ได้


    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้
    แสดงว่า เค้าฝึกการเข้าออกญานจนช่ำชองแล้ว
    สามารถ ทรงอุเบกขา ได้บ้างแล้ว
    เค้าจึงฝึกวิปัสสนาต่อ หากเค้าเหล่านี้ บรรลุธรรม
    ก็จะแยกเป็น 2 ประเภท คือ
    1 พวกที่เข้าออกญานได้อย่างคล่องแคล่ว
    แต่ ไม่เคยฝึกการใช้อภิญญาเลย
    จะบรรลุเป็น สุกกวิปัสสโก คือ ไม่ชอบเล่นฤทธ์
    แต่มีฤทธิ์ จะไม่ใช้ฤทธิ์พร่ำเพรื่อเด็ดขาด
    2 พวกที่เข้าออกญานได้อย่างคล่อยแคล่ว
    เละก็เคยฝึกการใช้ อภิญญา หรือ ฤทธิ์ ด้วย
    พอบรรลุธรรม จะเป็นพวกที่มีอภิญญา
    และถ้าผู้เป็นหน่อเนื้อที่ลาจาก พุทธภูมิ ด้วยแล้ว
    เค้าผู้นั้น จะเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วย อภิญญาหก
    ที่เกิดจากบารมีชั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า
    ที่สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ นั่นเอง
     
  12. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    บรรลุธรรม หมายถึง อะไรครับ

    หมายถึง เรียนรู้ตามตำราแล้ว ?

    หมายถึง ปฎิบัติตามตำราได้แล้ว เข้าใจแล้ว ?
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การบรรลุธรรม อันหมายถึงสามารถดับความคิดปรุงแต่งลงได้โดยสิ้นเชิง อันใครๆไม่อาจสำคัญตัวเอาเองได้ว่าบรรลุธรรมด้วยความยังสงสัยอยู่ต่อธรรม ถึงจะอาศัยตำราแต่ก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเองทั้งนั้น เมื่อตำราให้ได้แต่ประวัติของผู้บรรลุธรรมในอดีต
    ไว้เป็นแนวเท่านั้น ผู้ประฏิบัติจึงต้องพรากเพียร
    ปฏิบัติให้เกิดเป็นประสบการณ์ความสำเร็จเป็น
    ของตนเอง จึงจะสอดคล้องกับความสำเร็จของ
    ผู้ที่บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลในอดีต
    ถ้าไม่ตรัสรู้ด้วยตนเอง ก็ไม่มีวันจะเข้าใจ
    เรื่องของพระพุทธเจ้า
     
  14. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    อารมณ์ วางเฉย ไม่สุข ไม่ทุกข์ นิ่งสงบเฉยๆ หรือเรียกว่า อุเบกขา ในความว่าง นั่น คือ ฌาน 4 วิธีตรวจสอบ คือ ลมหายใจละเอียดจนดับไป เพราะ จิตแยกออกจากกายเหลือแต่จิตที่สงบครับ
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    กล้วยไข่ รู้ตัวแล้วว่าคงไม่อาจบรรลุอะไรได้
    แค่ขับรถข้ามอำเภอ เจอด่านตำรวจดักเรียก
    ถามโน่นถามนี่...ก็เกิดอารมย์ฉุนทุกด่าน เพราะเรา
    ไม่ใข่อาชญากร จะดักทำไมนักหนา....

    ส่วนท่านที่เจอด่านตำรวจหลายด่านแล้ววางอุเบกขา
    ได้ตลอดชีวิต
    น่าจะรุ่งทางธรรมและไปได้สวยนะฮะ จิตใจหนักแน่นมากๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...