อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    "ผู้ที่เป็นคนดีวันนี้ อาจจะเป็นคนเลววันหน้า ถ้าเขาไม่เฝ้าดูแลความสะอาดในความนึกคิด คำพูด และการกระทำของเขาเอง
    ผู้ที่เป็นคนเลววันนี้ อาจจะเป็นคนดีวันหน้า ถ้าเขาชำระความนึกคิด คำพูดและการกระทำ ของตนให้สะอาด"
    ...หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ก่อนจะสละบริจาคสิ่งใด เพื่อผู้ใด เมื่อใด เมื่อนั้นผู้มีปัญญาไม่ประมาท จะพิจารณาด้วยเหตุผลและด้วยเมตตา แม้เมื่อเริ่มปรารภการสละบริจาค ใจจะปฏิเสธด้วยความรู้สึกหวงแหนเสียดาย ความรู้สึกนั้นจะคลี่คลายเบาบางถึงหมดสิ้นได้ ถ้าใช้ปัญญาประกอบด้วยเมตตา ทบทวนใคร่ครวญให้ได้เห็นความกระจ่างแจ้งประจักษ์ใจในความสมควรสละบริจาค ให้เห็นคุณค่าที่จะได้รับอันยิ่งกว่าสิ่งที่จะสละไป นั้นคือความไกลจากกิเลสคือ ความโลภ เป็นความไกลความสกปรกเศร้าหมอง ที่ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง
    ปัญญา คือ เหตุผลที่พึงยกขึ้นส่งเสริมจิตใจ ให้สามารถสละบริจาคได้นั้นมีหลายระดับ เช่นนึกถึงความมีเพียงพอจะสละได้ของตน สิ่งที่จะสละได้ของตน สิ่งที่จะสละบริจาคนั้นไม่จำเป็นแก่ตน แต่จำเป็นแก่ผู้จะได้รับบริจาค


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    [​IMG]


    https://www.facebook.com/Motanaboon...519756016634/1134139503287983/?type=3&theater
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2016
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ..ทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูด...

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    จิตมันพล่าน ใจมันแตกซ่านมาทั้งวัน


    วนไปกับหู ตา จมูก ลิ้น กาย ความคิดนึก


    ไม่ค่อยให้จิต วนมาที่กรรมฐานประจำของตน ให้บ่อยและถี่


    พอมานั่งกรรมฐาน แล้วอยากให้สงบ ก็ใส่เจตนาบังคับมากไป

    ก็เลยมีความเครียด


     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    "..คนที่นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ไม่เคยยกมือไหว้
    ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยใส่บาตร ตายแล้วไปเกิด
    บนสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ"

    (ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ๑๙๖ หน้า ๖๙)




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. nuchi22

    nuchi22 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    ใดๆในโลกล้วนอานินัง ทุกข์ อนัตตา
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน



    มรณานุสสติ


    "มรณานุสสติกรรมฐาน" เป็นกรรมฐานสำหรับบุคลที่มีจริตเป็น "พุทธจริต" คือ "เป็นบุคคลฉลาด" บุคคลที่มีความฉลาดแล้วย่อมไม่กลัวตาย รู้จักสภาวะปกติของขันธ์ ๕ คือร่างกาย ว่ามันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลางและก็ตายไปในที่สุด "ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย" คนที่ตายไม่ใช่ว่าจะแก่หง่อมแล้วจึงตายเสมอไป บางคนเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดา ไม่ทันจะออกมาเห็นเดือนเห็จตะวันก็ตาย บางรายเกิดมาไม่กี่วันก็ตาม หนุ่มก็ตาย เด็กก็ตาย แก่ก็ตาย วัยกลางคนก็ตาย นี่ความตายหาความแน่นอนไม่ได้ นึกถึงความตายไว้เป็นปกติ
    "องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า" จึงทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จงคิดไว้เสมอว่า วันนี้เป็นเวลาค่ำเรายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเราอาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ความตายอาจจะมาถึง คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติ เป็นคนดีไม่มีความประมาท
    เป็นอันว่า ความตายมีอยู่ ตายแล้วก็ไม่สูญ ต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไรก็สุดแล้วแต่กรรมที่กระทำ ทำความดีไปเกิดใหม่ในส่วนผลดีก็มีความสุข ทำความชั่วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ พยายามแสวงหาความดีไว้เป็นปกติ จะเอาความดีทางไหนก็เลือกเอา ถ้าต้องการเกิดเป็นมนุษย์ก็พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามรักษากรรมบท ๑๐ ให้บริสุทธิ์ คุมอารมณ์ศีลให้เป็นปกติ ตายแล้วเป็นมนุษย์ได้สบาย ๆ ตามพระบาลีว่า "สีเลนะ สุคติง ยันติ" เวลาตายแล้วคนมีศีลจะไปสู่สุคติ มีความสมบูรณ์ "สีเลนะ โภคสัมปทา" จะมีโภคทรัพย์มากมาย "สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้โดยง่าย
    ถ้าเราเป็นคนมีศีล เรานึกถึงความตายไว้แล้ว ถ้าต้องการดีก็รักษาศีลให้เป็นปกติ ทีนี้ถ้าเราต้องการความสุขยิ่งไปกว่านั้น ต้องการไปสวรรค์หรือพรหมโลก เราก็เจริญสมถกรรมฐานเป็นปกติ หายใจเข้า "พุท" หายใจออก "โธ" ระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ถ้าทำอย่างนี้เป็นปกติเราก็ไปพรหมโลกได้ การเจริญมรณานุสสติ เราสามารถจะไปนิพพานได้ โดยยกสมถภาวนาขึ้นเป็น "วิปัสสนาญาณ" การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เป็น "สมถภาวนา" มีผลตั้งแต่กามาวจรสวรรค์ถึงพรหมโลก ทีนี้เราต้องการหาความสุขให้ยิ่งไปกว่านั้น เราก็ต้องถือความตายเป็นอารมณ์ว่า เราเกิดมานี้มันต้องตายแน่ เราไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่ได้ ความตายเป็นของปกติ เราจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง เมื่อไรเราไม่รู้ แต่ว่ามันต้องตายแน่ ฉะนั้นเราก็ต้อง "เตรียมความตายไว้ทุกลมหายใจเข้าออก"
    เรานึกถึงความตายแล้วปรารถนาดี มีการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ถ้าเป็นสมถภาวนาก็เป็นปัจจัยให้ไปเกิดเป็นพรหม หรือไปสวรรค์ได้ การให้ทานรักษาศีลก็ไปเกิดบนสวรรค์ได้ เกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่ยังไม่ถึงที่สุดของความทุกข์เพราะมันยังต้องมีการเกิดต่อไป เราก็มหาหาทางตัดการเกิดเสีย "ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว เราก็หาความตายไม่ได้" ทำอย่างไรจะเข้าถึงพระนิพพานได้
    "...ความจริงสมถะทุกกองแปลงเป็นวิปัสสนาญาณได้ทั้งหมด เราเจริญพระกรรมฐานกองไหนจนอารมณ์จิตเป็นฌานมีความมั่นคง เราใช้กรรมฐานกองนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ..."
    เมื่อนึกถึงความตายเป็นปกติ คิดว่าเราจะต้องตาย ก่อนที่เราจะตาย นับตั้งแต่ที่เราเกิดมาจนถึงวันนี้ เรามีความสุขหรือความทุกข์ใช้ปัญญษพิจารณาหาความจริง
    "ความทุกข์" แปลว่า "จำจะต้องทน" คือ ทนทำ ทนคิด ทนอยู่ ทนประกอบกิจการงานทุกอย่าง นี่เป็นอาการของความทุกข์ ทีนี้มาคิดดูว่าความทุกข์ที่มันปรากฏมีอะไรบ้าง ก็นั่งใคร่ครวญกันดู นับตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดานี่เรามีความสุขหรือความทุกข์ ขณะที่เราเข้าไปนั่งคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดา - ดูสภาพของคนนั่งกอดเข่า - จะเหยียดมือเหยียดเท้าก็ไม่ได้สิ้นเวลา ๑๐ เดือน นี่แสดงว่า"ความทุกข์"มันมีมาตั้งแต่เกิดอยู่ในครรภ์มารดา
    พอเคลื่อนจากครรภ์มารดา กระทบกระทั่งอาการของความหนาว ความร้อน เด็กจึงส่งเสียงร้องจ้า เพราะว่ามีความแสบกาย เมื่อเกิดเป็นคนแล้วความหิวมันก็เป็นทุกข์ เป็นอาการเสียดแทง มัน"ทุกข์ไม่ใช่สุข" ความกระหาย การปวดอุจจาระปัสสาวะ มันก็เป็นทุกข์ นอนไม่หลับก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นกับเราก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประกอบอาชีพต่าง ๆ ต้องใช้ความคิด ต้องใช้แรงงานต้องทำงาน อาการที่ต้องทำงานมันต้องทน จะหนาวก็ทน จะร้อนก็ทน จะปวดจะเมื่อยก็ทน ต้องทน ดีไม่ดีกระทบกระทั่งกับบุคลอื่น กับบุคลใต้บังคับบัญชา กับผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่า เขาสร้างความกระทบกระเทือนใจเราก็ต้องทน ในเมื่อเราพบกับอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ ก็พบอาการกลัดกลุ้ม มันเป็นอาการของความทุกข์ พอแก่ลงร่างกายไม่ดี สติปัญญาฟั่นเฟือน จะทำอะไรไม่คล่องแคล่ว นี้เป็นอาการของความทุกข์ ในที่สุดเมื่อความตายเข้ามาถึง เวลาตายจริง ๆ มันไม่ได้ตายแบบสบาย ๆ หรือนอนหลับ คนที่จะตายนั้นถูกทุกขเวทนาบีบคั้น อย่างหนักจนเหลือจะทนได้ มันจึงตาย
    กว่าเราจะตายเรามีความทุกข์ ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย "นี่เราไม่มีความสุข" ถ้าหากเราจะปรารถนาความเกิดต่อไปก็ชื่อว่าโง่เต็มที จะเกิดเป็นคนอีกกี่แสนชาติ ก็ต้องพบกับความทุกข์อย่างนี้ตลอดเวลา "พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้หนีความเกิด โดยยกมรณานุสสติกรรมฐานขึ้นเป็นอารมณ์" ว่าเราเกิดมาแล้วต้องตาย ก่อนตายจะทำยังไงจึงจะได้ไม่เกิดอีก
    ปัจจับที่ทำให้เราเกิดเพราะ "กิเลส" ความเศร้าหมองของจิต "ตัณหา" ความทะยานอยาก "อุปาทาน" ยึดมั่น ถือว่าเกิดเป็นของวิเศษ "อกุศลกรรม" การไม่ยอมทำใจให้บริสุทธิ์ มีอารมณ์เศร้าหมอง
    เราจะหนีความทุกข์ไปหาความสุข ที่เรียกกันว่า "แดนอมตะ" คือ "พระนิพพาน" เราจะหาได้ยังไง? ก็ต้องจับจุดว่าอะไรเป็นตัวดึงให้เราเกิด รากใหญ่มีอยู่ ๓ อย่าง คือ "โลภะ" ความโลภ "โทสะ" ความโกรธ "โมหะ" ความหลง ถ้าเราตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้แล้วเราก็ไปนิพพาน การตัดก็อาศัย "กายคตานุสสติ สักกายทิฏฐิ" คือการพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแค่ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มาผสมเป็นเรือนร่างชั่วคราว แล้วมันก็มีความเสื่อมความทุกข์อยู่ตลอดเวลา และในที่สุดมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราจริงหรือเป็นของเราจริง ๆ มันย่อมไม่เป็นไปตามนั้น
    "เรา" ก็คือจิต หรือ "อทิสสมานกาย" เข้ามาอาศัยในเรือนร่าง การต้องการอะไร เราคือจิตเป็นผู้สั่ง ร่างกายอุปมาเหมือนหุ่นเท่านั้น
    ในเมื่อร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแดนของความทุกข์ เราก็วางเสีย คิดไว้เสมอว่าร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์ มันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เต็มไปด้วยอาการของความทุกข์ เราไม่ต้องการร่างกายอีก ชาตินี้ถือว่าเป็นชาติสุดท้าย เพราะพบธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระประทีปแก้วเป็นสำคัญ สร้างความเบื่อหน่ายที่จะเกิดต่อไป เห็นความเบื่อหน่ายในการเกิด และ"ตั้งใจยอมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ไม่ใช่เชื่อเฉย ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เกิดมาแล้วมันเป็น"อนิจจัง" หาความเที่ยงไม่ได้ "ทุกขัง" เป็นทุกข์ "อนัตตา" มีการสลายตัว ลองคิดดูว่าจริงไหม
    พระองค์ตรัสว่า "ชาติปิ ทุกขา" การเกิดเป็นทุกข์ "ชราปิ ทุกขา" ความแก่เป็นทุกข์ "มรณัมปิ ทุกขัง" ความตายเป็นทุกข์ "โสกปริเทวทุกขโทมนัสสุปายาส" การเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ เป็นต้น มันเป็นทุกข์เพราะความปกติมันเป็นอนิจจังนั้นเป็นธรรมดาของการเกิด สภาวะมันเป็นอย่างนั้น แต่ "อุปาทาน" เข้ายึด "อวิชชา" มันบังหน้าบังคับใจไม่ให้เกิดปัญญา
    ต่อไปก็ยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่ให้สร้างความดีในเรื่องของทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีจิตตั้งตรงพระนิพพาน
    ไม่เห็นมีอะไรยาก ของง่าย ๆ น่าจะทำกันได้ทุกคน ถ้าเราถึงพระโสดาบันแล้ว เราจำกัดการเกิดได้ จำกัดเขตการเกิดได้ด้วย




    จาก หนังสือ พ่อสอนลูก ครบ ๖ รอบหน้า ๑๙๖-๒๐๑
    โดย หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ตุลาคม 2016
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน / นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง

    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน


    "นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้ว ท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์
    บารมี ๑๐ นั้น มีดังต่อไปนี้
    ๑.ทาน
    คือ การให้ ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ ให้เพื่อสงเคราะห์ ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และความสมบูรณ์ เต็มใจในการให้ทาน เป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน
    ๒.ศีล
    รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์ คือ ไม่ทำศีลให้ขาดหรือด่างพร้อยเอง ไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล
    ๓.เนกขัมมะ
    การถือบวช คือ ถือพรหมจรรย์ ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบทอย่างเคร่งครัด ถ้าเป็นฆราวาส ต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕ คือ ทรงฌานเป็นปกติ อย่างต่ำก็ปฐมฌาน
    ๔.ปัญญา
    มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฎธรรมดา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปกติ
    ๕.วิริยะ
    มีความเพียรเป็นปกติ ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล
    ๖.ขันติ
    อดทนต่อความยากลำบาก ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ อดกลั้น ไม่หวั่นไหว จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน
    ๗.สัจจะ
    มีความจริงใจ ไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล
    ๘.อธิษฐาน
    ความตั้งใจ ความตั้งใจใด ๆ ที่ตั้งใจไว้ เช่น สมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป หรือชีวิตจะตักษัยคือสิ้นลมปราณก็ตามที พระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลก แล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
    การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้ ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จทุกราย และไม่ยากเสียด้วย ใช้เวลาก็ไม่นาน
    ๙.เมตตา
    มีความเมตตาปรานีไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติตระกูล มีอารมณ์เป็นเมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ ไม่ใช่บางวันดีบางวันร้าย อย่างนี้ไม่มีหวัง
    ๑๐.อุเบกขา
    ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ และอารมณ์ที่ขัดใจ อารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่า ไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไป ไม่มีอะไรน่ายึดถือ พบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้ ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง"


    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    การเจริญพระกรรมฐานควรจะถือคุณภาพเป็นสำคัญ
    การใช้ปริมาณของเวลานั่งครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง
    สองชั่วโมง สามชั่วโมง ถ้าหากจิตซ่านลอกแลกๆ หา
    การทรงตัวไม่ได้ มันก็จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับการ
    เอาตะกร้าไปตักน้ำ ตักทั้งวันทั้งคืนไม่มีน้ำติดมา
    อย่างดีที่สุดก็เป็นตะกร้าเปียกๆ เท่านั้น สู้เราเอาจอก
    เล็กๆ เข้าไปตักจ้วงทีเดียวน้ำติดขึ้นมาหน่อยนึงไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลามาก
    ข้อนี้อุปมาฉันใด ท่านนักปฏิบัติพระกรรมฐานหวังเอา
    ความดีกันจริงๆ ตามที่เขาปฏิบัติกันมามีผล คือใช้
    เวลาช่วงสั้นๆ สัก ๑๐ คู่ของลมหายใจเข้าออก
    ในช่วง ๑๐ คู่นี่เราจะไม่ยอมให้จิตคิดอย่างอื่นเลย
    ถ้าจะภาวนาด้วยจิตจะอยู่เฉพาะภาวนาที่เราต้องการ
    ถ้าบังเอิญในช่วง ๑๐ คู่นี่ในระหว่างที่มันไม่ทันถึง ๑๐
    จิตมันแวบไปสู่อารมณ์อื่น พอรู้สึกตัวเริ่มต้นใหม่
    ทรมานมันเสีย อย่าตามใจมัน

    จาก..หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๗




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    อุบายกำจัดอกุศลวิตก
    ********************
    อธิจิต หมายถึงจิตมีสมาบัติ ๘ อันเป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนา เป็นจิตที่ยิ่งกว่าจิตที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ม.มู.อ.(บาลี) ๑/๒๑๖/๔๑๕ มหาจุฬาฯ
    ******************************
    มนสิการถึงนิมิต หมายถึงอารมณ์กัมมัฏฐาน ๓๘ ประการ ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๒๑๖/๔๑๕ มหาจุฬาฯ
    *********************************
    นิมิต ๕ ประการ คือ
    ๑. เมื่อมนสิการนิมิตใดอยู่ วิตกฝ่ายอกุศล (ฉันทะ โทสะ โมหะ)เกิดขึ้น ให้เปลี่ยนไปมนสิการนิมิตฝ่ายกุศล ก็จะละวิตกฝ่ายอกุศลได้
    ๒. ถ้าวิตกฝ่ายอกุศลยังเกิดขึ้นได้อีก ให้พิจารณาถึงโทษของวิตกเหล่านั้น ก็จะละวิตกเหล่านั้นได้
    ๓. ถ้าวิตกฝ่ายอกุศลยังเกิดขึ้นได้อีก ให้เลิกใส่ใจ เลิกมนสิการถึงวิตกเหล่านั้น ก็จะละวิตกเหล่านั้นได้
    ๔. ถ้าวิตกฝ่ายอกุศลยังเกิดขึ้นได้อีก ให้มนสิการถึงฐานหรือที่ตั้งอันมั่นคงแห่งเหตุเกิดของวิตกเหล่านั้น (วิตักกสังขารสัณฐาน) ก็จะละวิตกเหล่านั้นได้
    ๕. ถ้าวิตกฝ่ายอกุศลยังเกิดขึ้นได้อีก ให้ใช้ฟันกดฟัน ใช้ลิ้นกดเพดานให้แน่น ใช้จิตข่มขี่บีบคั้นจิต ทำให้จิตเร่าร้อน ก็จะละวิตกเหล่านั้นได้



    ดูรายละเอียดใน วิตักกสัณฐานสูตร
    ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๑๖-๒๒๑/๒๒๖-๒๓๒ มหาจุฬา ฯ




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    เสขปฏิปทา: ข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน

    เสขปฏิปทา: ข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน
    *****************************



    ท่านพระอานนท์แสดงเสขปฏิปทา คือ
    ๑. เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
    ๒. เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
    ๓. เป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค
    ๔. เป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอย่างต่อเนื่อง
    ๕. เป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการ
    ๖. เป็นผู้ได้ฌาน ๔
    ดังข้อความบางตอนในเสขปฏิปทาสูตร ว่า
    [๒๓] ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เชิญเจ้าศากยมหานามะมาแล้วกล่าวว่า “เจ้ามหานามะ พระอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภค ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการ เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเป็นธรรมอาศัยจิตอันยิ่ง เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก..."
    เสขปฏิปทาสูตร ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๓/๒๖ มหาจุฬาฯ
    ********************
    เสขปฏิปทาครอบคลุมไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เสขปฏิปทา หรือ จรณะ ได้แก่ธรรม ๔ หมวด รวม ๑๕ ประการ คือ
    ๑. สีลสัมปทา
    ๒. อปัณณกปฏิปทา ๓ ได้แก่
    (๑) อินทรียสังวร (๒) โภชเนมัตตัญญุตา (๓) ชาคริยานุโยค
    ๓. สัทธรรม ๗ ได้แก่
    (๑) ศรัทธา (๒) หิริ (๓) โอตตัปปะ (๔) พหูสูต
    (๕) การปรารภความเพียร (๖) สติมั่นคง (๗) ปัญญา
    ๔. ฌาน ๔ ได้แก่
    (๑) ปฐมฌาน (๒) ทุติยฌาน
    (๓) ตติยฌาน (๔) จตุตถฌาน
    ผู้ปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ผู้มีเสขปฏิปทา เป็นผู้ควรแก่การตรัสรู้และควรแก่การบรรลุธรรม หรือ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยจรณะ
    เมื่อปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้แล้ว จะได้วิชชา ๓ หรือ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชา คือ
    (๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    (๒) จุตูปปาตญาณ
    (๓) อาสวักขยญาณ
    เมื่อผู้ปฏิบัติตามปฏิปทาเหล่านี้แล้วได้วิชชา ๓ จึงได้ชื่อว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ




    ดูรายละเอียดใน เสขปฏิปทาสูตร
    ม.ม.(ไทย) ๑๓/๒๒-๓๐/๒๔-๓๔ มหาจุฬาฯ และ
    อรรถกถาเสขปฏิปทาสูตร ม.ม.อ.(ไทย) ๒๐/๕๓-๗๒ มหามกุฏฯ




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    ถ้าคนเรารู้ว่าอะไรเลว อะไรคือเลว อะไรคือดี ก็สามารถที่จะแยกแยะ และพยายามที่จะขัดเกลาตัวเองหรือปฏิบัติตนในงานการให้ดีขึ้น


    คำว่าดีคำว่าชั่วนี้ยากที่จะวิเคราะห์ศัพท์ว่าแปลว่าอะไร
    เพราะว่าความดีความชั่วนั้นรู้ยาก
    แต่เมื่อทราบจากความคิดทั่วๆ ไปว่า อันนี้ดีก็น่าจะทำดี
    ทราบว่าอะไรอันนี้ไม่ดี ก็น่าจะพยายามปฏิบัติเว้น


    (พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2529)


    ที่มา : คำพ่อสอน สำนักราชเลขาธิการ ร่วมกับ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +70,113
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...