เจตสิกธรรมไม่มี หรือ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐาณัฏฐ์, 26 ธันวาคม 2011.

  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ไม่ได้ให้เอาเราไปรู้อะไรโดยที่รู้นั้นก็เป็นเราที่รู้อยู่

    สติเกิดก็เป็นเรื่องของปัจจัยที่ไประลึกรู้ นั้นเป็นลักษณะใส่ใจในอารมณ์

    แตกต่างจากการเอาเราไปพยายามรู้ ตามระลึกรู้ มันเฉือนกันนิดเดียว


    ส่วนเรื่องการละกิเลส โดยไม่ไปเอากับมันนั้น ยังไม่ใช่ฐานะ

    เพราะว่า ถ้าไม่รู้จักทุกข์ ย่อมไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ย่อมคลายไม่ได้


    คำว่า มั่นหมาย เอาแบบไหนล่ะ มั่นหมายเป็นคนสัตว์ อย่างนี้ข้ามไปเลย รู้กันแล้ว

    แต่แพททริกคงหมายถึง ขณะพิจารณา แล้วไปสำคัญยึดว่านี้คืออะไร ชื่ออะไร ถูกไหมครับ

    ถ้ารู้ลักษณะ ลักษณะไม่มีชื่อ ไม่มีภาพ อะไรทั้งสิ้น

    ลักษณะในธรรม มี ๒ อย่างที่พึงรู้ได้

    ลักษณะไตรลักษณะ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    ลักษณะเฉพาะตัวของธรรมนั้นๆที่พึงรู้ได้


    การที่สติระลึกได้ในธรรมปัจจุบันที่ปรากฏ แล้วดับด้วยปัญญาที่รู้นั้น

    ไม่ใช่เรื่องยึดสัญญา ยึดเรื่องราว หรือนึกคิด ยึดมั่นว่าอะไรก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา


    ส่วนประโยคที่แพททริกยกมา เรื่องละตัณหา ละกิเลส

    เข้าใจว่า เกิดจากปัญญาอริยะทรัพย์ที่ประจักษ์ ไม่ใช่ฐานะปุถุชนพึงเข้าใจได้

    ถึงอนุโมทนาในภูมิธรรม :cool:


    เข้าใจตรงกันป่าวหว่า
     
  2. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ขอประทานโทษทุกท่านด้วยนะครับ..ผมเห็นต่างว่า วิญญาณขันธ์ ในขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต.... แต่หากว่า จิตกับวิญญาณหรือวิญญาณธาตุ หมายอย่างเดียวกันได้
    จิตนั้นมีชื่อเรียกได้หลายอย่าง
    ธรรมชาติใดย่อมคิดธรรมชาตินั้นเรียกว่า จิต
    ธรรมชาติใดน้อมไปหาอารมณ์ธรรมชาตินั้นเรียกว่า มโน
    จิตนั่นแหละได้รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน ดังนั้นจึงชื่อว่า หทัย
    จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใสจึงได้ชื่อว่า ปัณฑระ
    จิตมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มนัส
    มน เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ ชื่อว่า มนายตนะ
    มน เป็นอินทรีย์ คือครองความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า มนินทรีย์
    ธรรมชาติใดรู้แจ้งอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิญญาณ
    วิญญาณนั่นแหละเป็นขันธ์(เป็นกอง)จึงชื่อว่า วิญญาณขันธ์
    มน เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่รู้แจ้งอารมณ์ จึงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ
    จิตนั้นไม่มีตัวตนจริงแต่จิตนั้นเป็นอมตะ ผมคิดอย่างนี่ว่า พระอรหันต์จบกิจลงไม่มีขันธ์ 5 แล้ว ถ้าหมายวิญญาณขันธ์คือจิตจิตก็ต้องไม่มีด้วย ตัวพุทธะแท้ก็ต้องไม่มีด้วยใช่ไหม
    จิตนั้นไม่มีตัวตนจริง ไม่เป็นอมตะ เพราะเกิดดับตลอดเวลา พระอรหันต์เมื่อจบกิจและยังไม่ปรินิพพาน มีขันธ์ 5 ยังอยู่ครบบริบูรณ์ พระอรหันต์เมื่อจบกิจนั้นเรียกว่า กิเลสนิพพาน หมายถึงว่าไม่มีกิเลส เรียกว่าจิตผ่องใสไม่กิเลสรบกวน
    วิญญาณขันธ์ นั้นรับรู้เช่นกันแต่ตัวรู้ในขันธ์คืออะไร และจิตที่เป็นตัวรู้เช่นกันคือรู้อะไร
    ที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์ หมายเรียกว่า เป็นขันธ์ๆหนึ่ง หรือกองๆหนึ่ง ให้เป็นสัดส่วนไม่ปะปนกัน
    เป็นอันว่า ขันธ์ ๕ ในมหาสติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสก็คือขันธ์ ๕ ปกติที่เราเคยศึกษากันมานั่นเอง ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    รูป คือสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา
    ไม่แน่เสมอไป เช่น เสียง ก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป รส ก็เป็นรูป สัมผัสก็เป็นรูป ธัมมารมณ์ก็เป็นรูป เป็นต้น ทำไมตาเห็นไม่ได้ล่ะ
    เวทนา ก็คือความเสวยอารมณ์ ได้แก่ ความรู้สึก สัญญา ความจำ
    เวทนาแปลว่าเสวยอารมณ์ นั้น คือ เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เฉยๆบ้าง
    สังขาร ได้แก่ อารมณ์ที่ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว นี่เราเรียกกันว่าบุญหรือบาป ถ้าบุญก็หมายความถึงความดี บาปก็หมายความถึงความชั่ว สำหรับคำว่า
    คือเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้จิตรู้อารมณ์นั้นๆ
    วิญญาณ แปลว่าความรู้สึก ได้แก่ความรู้สึก หนาว ร้อน หิว กระหาย เผ็ด เปรี้ยว เค็ม ของอ่อน อย่างนี้เป็นต้น
    ถูกต้องครับ
    วิญญาณกับจิตนี่ มันคนละตัว จำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามเรื่องวิญญาณก็บอกเขาด้วยว่า วิญญาณไม่ใช่จิต
    วิญญาณกับจิตตัวเดียวกัน แล้วแต่จะเรียกในสถานะใด
    เราก็มารู้กันว่ารูปเราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เราหมายถึงมหาภูตรูปนะ
    มหาภูตรูป 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    ดิน= มีสภาพ แข็งและอ่อน สำผัสได้ด้วยกายอย่างเดียว
    น้ำ = มีสภาพ ไหลและเกาะกุม สัมผัสได้ด้วยใจอย่างเดียว
    ไฟ = มีสภาพ ร้อนและเย็น สัมผัสได้ทางกายอย่างเดียว
    ลม = มีสภาพ ไหวและเคร่งตึง สัมผัสได้ทางกายอย่างเดียว
    รวมความว่า มหาภูตรูป 4 ตาเห็นไม่ได้ ตาเห็นได้แค่สีอย่างเดียว
    อีกพวกหนึ่งอุปาทานรูปนี่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
    อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกับ โลภะเจตสิก
    มีความรู้สึกกระทบ อย่างเสียงและกลิ่นเป็นต้น ท่านถือว่า เป็นกลิ่นเหมือนกัน
    ไม่ใช่ครับ เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป
    แต่ว่าสำหรับรูปในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้ ท่านต้องการรูปที่ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ นี่จัดว่าเป็นรูป เพราะสามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
    มหาภูตรูป 4 จัดว่าเป็นรูป แต่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเนื้อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  3. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    นิพพาน เป็นนาม หรือไม่ ?


    ขอตอบคำถามนี้ตามความรู้พื้นฐานของข้าพเจ้าดังนี้

    นามรูป เป็น สังขตธรรม มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ยังอยู่ในกระแสของปฏิจจสมุปบาท

    รูป อย่างเดียวก็เป็น สังขตธรรม มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย

    ถึงจะเป็น นาม อย่างเดียว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะเป็นสังขตธรรม เช่นกัน


    ส่วน นิพพาน เป็น อสังขตธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย อยู่นอกเหนืออำนาจของกระแสปฏิจจสมุปบาท
    นิพพานจึงไม่ใช่ทั้งรูปและนาม แต่เป็นที่สุดลงของรูปและนาม คือเป็นที่ดับลงของนามรูปนั่นเอง


    ความรู้ของข้าพเจ้าน้อยนิด ถ้าวิเคราะห์ผิดต้องขออภัย


    ขอพระธรรมจงคุ้มครองเหล่าสหธรรมมิก ให้ถึงธรรมะอนัตตา
    แลเห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นอนัตตา ให้ซึ้งถึงอนัตตา ทุกๆท่านเทอญ...สาธุ...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2017
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขอบคุณนะครับ

    สุญญตาวิหาร :cool:
     
  5. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมะของท่าน มังคละมุนี..ครับ
     
  6. huayhik

    huayhik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    181
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,131

    ...นอบน้อมรับธรรมพุทธองค์..สาธุ...
    ขอบคุณแปะแปะ มากครับที่ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้อันประเสริฐขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า...

    ท่านเป็นผู้มีปัญญาที่ท่านกล่าวมาถูกตามตำราผมไม่ค้านธรรมที่กล่าวมาแต่อย่างใดครับ...เห็นด้วยกับท่านทุกประการ

    ...หลวงพ่อฤาษีท่านเป็นพ่อผู้ประเสริฐมาก ..หลวงพ่อมักให้สิ่งที่ดีสำหรับลูกๆเสมอมา...โดยเฉพาะธรรมของพระพุทธเจ้า...ที่ไม่แปรเป็นอื่น...ธรรมที่หลวงพ่อแสดงออกมาก็ลึกซึ้งเช่นกัน...ซึ่งผมก็มีปัญญาน้อยอยู่..ผมไม่อาจกล่าวว่าธรรมที่หลวงพ่อกล่าวถูก...หรือไม่ใช่...เพราะคำสอนท่านสอนมุ่งปฏิบัติเพื่อให้เห็นจริง

    จึงอยากให้ท่านพิจารณา..แล้วขอขมาท่าน....

    ข้าพุทธเจ้ากราบขอขมาหลวงพ่อ...และทุกท่าน..กรรมใดที่ได้มีส่วนในครั้งนี้ลูกขอขมาขออดโทษแก่ข้าพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ด้วยเทอญ...
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ใครขอขมาใคร..... งง
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ดีครับ ที่บอกให้รู้ว่าต้องเจอทุกคน

    เมื่อพูดเอง"ฉนั้นแล้ว ตอบเน้นๆไปเลย"

    ก็ช่วยตอบเน้นๆว่า"ตัดดับ"อย่างไร?

    วางจิตอย่างไรจึงตัดดับได้?

    ต้องพิจารณาอะไร ในเมื่อคำถามที่ถามต่อๆมานั้นไม่ใช่เกี่ยวกับการตัดดับเลย

    ถ้าเคยผ่านมาน่าจะตอบได้อยู่แล้ว55+

    หรือคิดว่าจะเบี่ยงประเด็น เจอมาจนชาชินเสียแล้ว


    ก็ในเมื่อหลุดแล้ว เหลือแต่รู้ผ่องใสอย่างนั้น

    ก็อะไรเล่าที่รู้ว่ามันผ่องใส

    อะไรเล่าที่ปรุงให้สงบ เบาอยู่ขณะนั้น

    อะไรเล่าที่รู้สึกอยู่ รู้อยู่ แล้วเอามาเป็นทิฏฐิ

    พวกนี้น่ะ แน่ใจแล้วหรือ ว่าอิสระ หลุดจากขันธ์๕ หรือ คิดเอาเอง ว่าขันธ์๕ ไม่ใช่ขันธ์๕

    *ถ้าขันธ์๕ไม่ใช่ขันธ์๕ จะต้องคิดเองทำไมใช่หรือไม่?

    แต่จะถามว่าแล้วจะให้ขันธ์๕ไปเป็นอะไรถ้าไม่ใช่ขันธ์๕55+


     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ^^

    คำตอบทั้งหมดนี้คิดถูกไหม

    ชินอีกซักทีเป็นไรไป

    ที่ตอบเชิงกึ่งถามกลับนั้นน่ะ แปลว่า ยังไม่รู้ถูกไหม

    งั้นทิฏฐิธรรมภูติก็อยู่ที่ แยกรูปออกจากนาม ด้วยอำนาจสมาธิ จนเหลือแต่รู้ แล้วสำคัญว่าจิต ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถูกไหม ^^

    งั้นถามสิ่งที่ ธรรมภูติเข้าใจได้ดีกว่า จิตนั้นใช่เราไหม ^^
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    โอย ไม่ใช่ ปัญญา อะไรหรอกพี่หลง...ผมหมายถึงว่า การภาวนา ทุกอย่างมุ่งตรง สู่การละกิเลส เป็นสำคัญ(ไม่ว่าจะมีมรรควิธีแบบใหนแล้วแต่บุคคล)...พอดี เห็นพี่หลง เหนียวแน่นกับการภาวนาแบบพี่มากมาก(อาจจะถูกแล้วก็ได้)...ก็เลยขอกระซิบว่า ที่ เรา ภาวนาอยู่นั้น เพื่อละตัณหาเป็นสำคัญ ส่วนการ ถ่ายถอนตัวตนนั้น น่า จะเป็นผลตามมา...คืออยากเสริมน้ำหนักไปที่การละ ราคะ โทสะ โมหะจากการเห็นสภาพธรรมหนึ่งสู่สภาพธรรมหนึ่ง สิ่งที่เราได้รู้ขึ้นมาคือความไม่เที่ยง-------------(ตรงนี้ ผมว่าเราจะไม่ได้เอาผลของการรู้ปรมัตถ์ธรรม เพราะในความเห็นผม การรู้ลักษณะปรมัตถ์ไม่ใช่ปัญญา(น่าจะเป็น เจริญสติและอินทรีย์สังวรณ์มากกว่า) แต่การเห้็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมสู่สภาพธรรมหนึ่ง อันนี้ ผมว่าเป็นปัญญา ในทางศาสนา)---------- มากกว่า(การภาวนาแบบใหนไม่ขอแสดงความเห็นครับ แล้วแต่คน)...ถ้าพี่หลงภาวนาแบบพี่หลงแล้วเห็นความไม่เที่ยง อนิจจังเป็นสำคัญ และ ตัณหาลดน้อยลง ผมว่า แจ๋วครับ(จุดนี้):cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........เหมือนกับผมจะบอกว่า ตัณหา นั้นแหละ ที่ทำให้มั่นหมายในขันธ์5ขึ้นมา ถ้าไม่มีตัณหา เราก็พ้นไปได้...(หมายถึงอะไรจะเป็นอะไรนั้น อยู่ที่ ตัณหา ตัวเดียว):cool:
     
  12. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +695
    ท่านแปะแปะสุดยอดมากๆข้าน้อยนับถือ
     
  13. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ก็ขอร่วมสนทนา ผมไม่บังอาจจาบจ้วงลบลู่ธรรมของผู้เป็นพระอริยะเจ้าทั้งหลายที่เป็นจริง
    เมื่อถามมาก็ตอบ ผมก็ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายในที่นี้ที่ชอบยกธรรมมาขู่ว่า ธรรมของหลวงพ่อองค์นั้น หลวงตาองค์นี้
    เพียงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นธรรมที่ถูกต้อง เพื่อสะดวกกับการถูกผู้ใดคัดค้าน หรือต้องการเพื่อให้เชื่ออย่างที่ตนยกมากล่าว
    หรือเพื่อจะให้ได้เพียงเพื่อให้ อนุโมทนากัน เมื่อเป็นเช่นนั้นธรรมนั้นอาจเลอะเลือนไปถึงในอนาคตอันใกล้
    ธรรมที่แท้จริงถูกต้องจริง ย่อมสูญหายเพราะการกล่าวธรรมผิดๆไว้ตั้งแต่ต้น ควรไหมที่พวกชาวเราพุทธบริษัท
    หรือศิษย์ของตถาคตควรสอดส่องดูแลแก้ไขเสียตั้งแต่ต้น มิให้ธรรมที่แท้จริงต้องอันตรธานไปก่อนกาล
    ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ ทั้งนี้และก็ทั้งนั้นธรรมที่ยกมาแสดงนั้นจะใช่ธรรมที่หลวงพ่อหลวงตาเป็นผู้แสดงธรรม
    อย่างนั้นจริงหรือเปล่า แม้ผู้ที่ชอบยกพระไตรปิฎกมานั้นมาอ้างอิง ก็ยังมีผู้คัดค้าน เป็นธรรมดาอยู่เองของปุถุชนผู้มีปัญญาน้อย
    ย่อมมีความเห็นย่อมมีทิฏฐิในทิฏฐิของตน เมื่อมีผู้กล้าคัดค้านก็ต้องกล้ารับผิดชอบในธรรมที่กล้าคัดค้าน
    กรรมใดที่กระทำย่อมยุติธรรมเสมอ ไม่มีเอนเอียง ไม่มีอคติกับผู้ใด กรรมเมื่อกระทำไปแล้วย่อมสำเร็จเป็นผลไปแล้ว
    จะมีการเซ่นไหว้บวงสรวง กราบไหว้ ร้องขอผัดผ่อนเช่นใดก็ย่อมไม่สำเร็จตามความประสงค์
    กรรมใดที่จะเป็นอโหสิกรรมนั้น คือ กรรมที่ให้ผลไปแล้ว กรรมที่เกินกำหนดขอบเขตเวลาการให้ผล
    หรือกรรมนั้นไม่มีที่ๆจะให้ผล(ผู้ที่เข้าถึงปรินิพพาน)
    ดังมีในที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก และอรรถกถาจารย์ผู้มีปัญญาอันเลิศ
    ดังที่เราท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้งว่า
    ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ จักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จักเป็นผู้รับผลของกรรมอันนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  14. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    คนตาบอดไม่กลัวผี
    การแสดงและการศึกษาพระอภิธรรม ย่อมมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพุทธประวัติและพุทธานุพุทธประวัติ คือพระสารีบุตรและสานุศิษย์ 500 รูปพระนาคเสน เป็นต้น จนถึงการยกสังคายนาครั้งที่ 6 ทั้งได้จารึกลงในใบลานบ้างเป็นหนังสือบ้างที่มีอยู่ทั่วไป ถึงกระนั้นบางท่านก็ยังกล่าวว่าพระอภิธรรมนี้มิใช่พุทธภาษิต บางท่านก็กล่าวว่ามิใช่ข้อธรรมที่พวกมนุษย์จะพึงศึกษา ผู้ที่กล่าวดังนี้ก็เพราะว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้จักประมาณตนของตน ว่าตนได้ศึกษาในข้อธรรมนั้นๆทั่วถึงดีแล้วหรือยัง และเคยเห็นหนังสือพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกาโดยชัดเจนบ้างหรือเปล่า เมื่อได้เห็นเคยได้อ่านเข้าใจข้อธรรมนั้นหรือไม่ ควรจะพิจารณาใคร่ครวญตรวจดูตนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ฉะนั้นบุคคลที่กล่าวดังนี้จึงเป็นบุคคลดังที่กล่าวว่าตาบอดไม่กลัวผี

    บางท่านได้รับการศึกษาวิชาธรรมจากสำนักอาจารย์มาแต่พอประมาณไม่เกิน 25 ส่วนในจำนวนร้อย บางท่านก็ไม่ได้รับการศึกษามาจากอาจารย์แต่ประการใดเลย เพียงแต่ได้อ่านตำราเท่านั้นก็ยังกล้าเขียนกล้าที่จะสอน เมื่อได้รับคำชมเชยสนับสนุนจากพุทธศาสนิกชนที่มีความรู้ในข้อธรรมเพียงเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจว่าตนเป็นปราชญ์ จะอย่างไรก็ดีตามถ้อยคำที่กล่าวนั้นก็ยังเป็นที่น่าเคารพน่าเชื่อถืออยู่ได้เพราะการกล่าวก็ดี การเขียนก็ดีเหล่านี้ถึงแม้จะมีเนื้อความไม่ถูกทั้งการลำดับข้อความก็ยังสับสนอยู่ก็จริง แต่ก็ต้องจัดเข้าในการที่ไม่หวังดีนั้นเอง

    ต่อมาการกล่าวการเขียนของผู้ที่ถือตนว่าเป็นนักปราชญ์นั้น ก็จะค่อยๆคลาดเคลื่อน ห่างออกจากพุทธภาษิตและอรรถกาฎีกา คือพระพุทธภาษิตและอรรถกถาฎีกามีความหมายไปอย่างหนึ่ง แม้ข้อความนั้นนำเอามาบรรยายขยายไปนั้นก็ยังเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่การงานของท่านเหล่านี้ก็คงยังดำเนินไปด้วยดี พร้อมทั้งผู้ฟังและผู้รับฟังก็ยังสนับสนุนอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าประชาชนบางเหล่าก็มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาดี แต่ไม่รู้ว่าผิดถูกแค่ไหน ทั้งมีความพยายามที่จะฟังให้ถูกอีกด้วย บางเหล่าก็ไม่มีความเลื่อมใสที่แท้จริงทั้งไม่รู้ผิดถูกประการใดอีกด้วย เพียงแต่มีความประสงค์เพื่อจะฟังเล่นเพื่อสนุกเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่ถือตนว่าเป็นนักปราชญ์พร้อมกับสานุศิษย์ที่ยอมตนเป็นผู้รับฟังเหล่านี้ จึงเป็นบุคคลที่ตาบอดไม่กลัวผี
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตาบอดไม่กลัวผี :cool:

    กล่าวได้ดี
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    มายกมือหนับหนุนพี่ทริก ปฏิบัติภวนาละลดกิเลสตัญหา
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............ช่วงนี้ คุณ "อึ้ก"....."เอ๊อะ"...."อ๊ะ"....เหรอ...... ส่วนผม รู้สึกจะพูดมากไปแล้ว ต้องเพลาเพลาหน่อย แหะ แหะ.............:cool:
     
  18. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    เรื่องการแสดงพระอภิธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สำหรับในมนุษย์โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่เคยทรงแสดงต่อสาวกทั่วไปเลย แต่ทรงแสดง ต่อพระอัครสาวกองค์เดียวเท่านั้น ฉะนั้น พระอภิธรรมปีฎกที่มีปรากฎอยู่ในมนุษย์โลกนี้เป็นการแสดงของพระอัครสาวกที่มีนามว่าพระสารีบุตร กล่าวได้ว่าพระอภิธรรมปิฎกนี้เป็นพุทธพจน์ พระสารีบุตรภาษิต แต่อย่าเข้าใจผิดว่าพระสารีบุตรแสดงพระอภิธรรมตามความคิดเห็นของท่านเอง
    การที่ไม่มีคำว่า ภิกฺขเว ในพระอภิธรรมปิฎก ก็เพราะปิฎกนี้มิใช่อาณาเทศนาและโวหารเทศนา แต่เป็นปรมัตถเทศนาล้วนๆ และที่พระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงพระอภิธรรมโดยตรง ตลอดต่อพระสาวกทั่วไปนั้น ก็เพราะไม่มีอนุสนธิ และไม่ใช่พุทธนิยาม ส่วนเนื้อความพระอภิธรรมหลายประการ ก็ได้แสดงไว้ในพระสูตรเป็นอันมาก เช่นใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้น ซึ่งปรากฎอยู่ใน ทีฑนิกาย มัชฌิมนิกาย และสังยุตนิกาย
    มีข้อคัดค้านกันว่า ในพระไตรปิฎก มีพุทธประวัติเป็นต้น มิได้ปรากฎว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมแก่พระอานนท์ โดยปกติแล้ว ธรรมะและวินัยที่แสดงที่อื่นๆนั้น พระองค์แสดงซ้ำแก่พระอานนท์อีกครั้งหนึ่งนั้นเสมอไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่ได้ทรงให้ไว้แก่พระอานนท์นั่นเอง ดังนั้นจึงมักสันนิษฐานกันว่า พระอภิธรรมปิฎกมิใช่พุทธพจน์ ข้อนี้แก้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงแสดงพระอภิธรรมให้พระอานนท์ซ้ำอีก เพราะพระอานนท์ได้ศึกษาพระอภิธรรมมาจากพระสารีบุตร โดยตรงแล้ว เรื่องนี้ปรากฎอยู่ในเถรอปาทานพระบาลี
    อนึ่ง พระอานนท์ได้เริ่มทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากเป็นประจำตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑ เป็นต้นไป แต่พระพุทธองค์ทรงเทศนาพระอภิธรรมในพรรษาที่ ๗ จะเห็นได้ว่าพระอานนท์ได้ศึกษาพระอภิธรรมก่อนที่จะได้มาเป็นพุทธอุปัฎฐาก ฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์นั้น จึงไม่มีพระอภิธรรมอยู่ด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้การแสดงพระอภิธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่พระอานนท์จึงไม่ปรากฎในพระไตรปิฎกเลย
    อนึ่งการมีเสรีภาพในทางโลกและทางธรรมนี้ มีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์ สำหรับผู้มีวิทยฐานะดี ทั้งมีตัณหามานะทิฏฐิและอิสสามัจฉริยะน้อย เสรีภาพของผู้นั้นก็มีประโยชน์มากแก่ตนเองและผู้อื่นยิ่งนัก ส่วนผู้มีตัณหาอยู่มากเป็นต้น แม้ว่าจะมีวิทยาฐานะดีก็ตาม เสรีภาพของผู้นั้นก็มีแต่ให้เกิดความเสียหายแก่ตนเองและผู้อื่น เหตุนี้จึงไม่ควรเปิดโอกาสให้บุคคลประเภทนี้ มีเสรีภาพมากเกินไป
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...สำหรับผู้ที่มี วิจารณะญาน ก็จะเข้าใจสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ ว่า มีประโยชน์ต่อตนในแง่ใหน นะครับ...การปฎิเสธ หรือ ยอมรับ นั้น ควรเข้าใจสิ่งนั้น หรือการได้เข้าไปศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจเนื้อความเนื้อหาจุดประสงค์ ก่อน....จะปฎิเสธ หรือ ยอมรับ ว่าเหมาะกับเราหรือไม่เหมาะ กับตนแค่ใหน....สำหรับทุกอย่างที่มีให้ศึกษาเรียนรู้...:cool:...............สิ่งที่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครทำอะไรได้หรอกครับ:cool:
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เอ๊ะ!!! ของแบบนี้คิดเองเออเองว่าถูกได้ที่ไหนล่ะ

    ต้องเคยสมาทานมาก่อน นำผลที่ได้มาสอบเทียบ เทียบเคียงว่าลงได้

    กับพระสูตรหรือพระวินัยที่พระพุทืธองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วหรือไม่ ค่อยว่าถูกก็ยังไม่สายเกินไปหรอก

    แปลกนะ ถ้าไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแล้ว จะตอบเชิงคำถามกลับไปได้หรือ?

    จะแยกรูปออกจากนามไปทำไม? ว่างงานหรือไง? วอนหาเรื่องตายเสียแล้ว55+

    ไปดูที่ห้องดับจิต(ไม่ใช่จิตดับ) ล้วนแยกรูปขันธ์ออกจากนามขันธ์ทั้งสิ้นใช่หรือไม่?

    ก็บอกไปจนปากเปรียกปากแฉะแล้วว่า จะสำคัญมั่นหมายเอาเองตามชอบใจไม่ได้หรอก

    ต้องสอบเทียบ เทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัยว่าลงกันได้หรือไม่

    พระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ชัดๆโดยไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้นเลย ยังจะไม่เชื่ออีกเหรอจ๊ะ

    มีในหลายพระสูตรด้วยกันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า

    "จิตไม่ใช่ขันธ์๕ และ ขันธ์๕ก็ไม่ใช่จิต"

    ถ้าชอบรู้จากการอ่านก็ควรศึกษาให้กระจ่างระหว่าง"นามขันธ์" กับ "นามธรรม"นั้นต่างกันอย่างไร?

    ที่ถามไปก็หัดทดลองแบบจรงใจกับตนเอง ก็จะได้คำตอบที่แท้จริงว่า "หังใจพระพุทธศาสนาคืออะไร"

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...