เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://palungjit.org/threads/จิตเป็นต้นนั้น-ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น.497524/

    ***
    ^
    ^
    ก็บอกแล้วว่า จะสับสนได้ง่าย

    อะไรที่แยกไม่ได้ ก็อย่าไปแยก ยิ่งแยกยิ่งยุ่งเป็นลิงติดตัง

    เพราะไปแยกเอาเฉพาะตรงที่ว่า จิตไม่เกิด-ดับ

    แต่ไม่มองให้ละเอียดลงไปที่ได้กล่าวไว้ว่า "จิตแปรเปลี่ยนได้"

    พระนิพพาน เป็นสภาวะธรรมที่คงที่ ไม่แปรเปลี่ยน

    ส่วนจิตนั้น มีสภาวะรรมที่ไม่คงที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด

    และมีอาการของจิตที่แสดงออกมาเกิด-ดับไปพร้อมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้น

    ที่ไม่ค่อยอธิบายให้ละเอียดนัก เพราะเมื่อเกิดมีการพักลักจำเกิดขึ้นมา

    โดยไม่ลงมือพิสูจน์ความจริง(ไม่เพียร)ความรู้นั้น ก็เสียเปล่า

    ถึงเคยกล่าวไว้ว่า จิตไม่เกิด-ดับ แต่ก็บอกเสมอว่าจิตนั้นแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์

    ต้องลงมือปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนา เพื่อให้จิตเที่ยงตรงคงที่(เป็นอกุปปธรรม)ต่อพระนิพพาน

    แถมยังเน้นย้ำเสมอๆเช่นกันว่า ที่เกิด-ดับ คือสิ่งที่ถูกจิตรู้และจิตยึดไว้(อาการของจิต...

    ถ้าใครอ่านด้วยความรอบคอบ ไม่พลาดไปได้ ส่วนใหญ่มักอ่านข้ามๆ เอาทิฐิของตนเป็นที่ตั้ง

    คนพวกนี้มักยัดเยียดว่า มี"จิตเที่ยง" และ "จิตอมตะ"

    เพราะมองแค่ตรง "จิตไม่เกิด-ดับ" แต่ไม่เคยดูในส่วนที่กล่าวไว้ว่า "จิตแปรเปลี่ยนได้"

    แค่นี้ความเที่ยงแท้ถาวร ความอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ก็หายไปแล้ว55+

    ถ้าคนรู้จักเก็บเอาสัจธรรมความจริง ก็ได้สัจธรรมความจริงไป

    ส่วนที่ชอบเอาแต่ความแน่แพ้ชนะ ก็ได้แต่ทิฐิความคิดของตนเองไป55+

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้
    ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้
    และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะของพระอริยะเช่นนี้แล้ว

    จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา
    ถ้ำบนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง

    ข้าพเจ้ากลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว
    นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า ละอภิชฌาในโลกได้แล้ว

    มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา
    ละความชั่วคือพยาบาทแล้ว เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท

    อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่
    ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาท

    ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ
    มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะอยู่ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ

    ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านมีจิตสงบภายในอยู่
    ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ

    ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้ ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
    ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา ฯ

    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ที่ยกมานี้ เป็นภาษาที่ตรงตัวไม่ต้องตีความใดๆเลย

    เป็นการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเพื่อละนิวรณ์๕ เมื่อละได้แล้ว

    มีสติสัมปชัญญะอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณืทั้ง๕

    โปรดสังเกตุดูว่า ที่เกิดๆ-ดับๆไปนั้น จากพระพุทธวจนะ

    ล้วนเป็นนิวรณ์เกิดขึ้นทีจิตของตน และดับไปจากจิตของตน

    และตน(จิตของผู้ปฏิบัติ)ได้บรรลุประโยชน์ เมื่อนิวรณ์๕หมดไปไม่กลับมากำเริบอีก

    ได้ชื่อว่า" ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์๕"(พระพุทธพจน์)

    ถ้าจิตเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เกิดๆดับๆ หาความแน่นอนไม้ได้

    ยังจะสามารถชำระให้บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยหรือ?

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อะไรคือสิ่งที่บอกว่า คือ แน่ แพ้ชนะ

    ถ้ามีแพ้ชนะในการสนทนาจริง
    ในทางธรรม ผมว่าดีมาก

    หากคู่สนทนา ยอมรับ ก็ต้องแก้ไข มีน้ำใจนักกีฬา
    ประเด็นนี้ไม่อยากพูดเท่าไรว่าแพ้ชนะ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรเป็นสิ่งชี้วัด

    แต่เห็นนำมาเป็นครั้งที่สอง เลยพิมพ์หน่อย


    ทีนี้มาเข้าประเด็นเดิม

    สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ สำหรับพี่ภูติ มี สองอย่าง

    มีนิพพาน กับ จิต
    ผมเข้าใจพี่ภูติถูกมั๊ย

    และหากนำมาเสนอต่ออีกว่า อย่าเพิ่งไปแยก

    นั่นก็ยังยิ่งแสดงว่า

    อย่าเพิ่งไปบอกใครเลย ว่าจิต ไม่เกิดไม่ดับ
    เพราะธรรมที่จะทำให้แจ้งในสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับนั้นมันลึกซึ้ง

    ถูกมั๊ยครับ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    แถมยังเน้นย้ำเสมอๆเช่นกันว่า ที่เกิด-ดับ
    คือสิ่งที่ถูกจิตรู้และจิตยึดไว้(อาการของจิต...


    ในการดูจิตแบบธรรมภูตินั้น

    จิตใช่ดูอาการจิตไหมครับ

    ทีนี้หากไม่ใช่
    ดูจิตแบบธรรมภูตินั้น คือ จิตดูจิต
    มันจะไปดูได้ยังไง ในเมื่อจิตไม่เกิดไม่ดับ
    เพราะ ไม่ได้สนใจอาการจิต ที่เกิดดับ
    จะดูแต่จิตที่ไม่เกิดไม่ดับ ผมเลยงงว่า
    ดูจิตแบบธรรมภูตินั้น มันดูได้ยังไงครับ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อีกอย่างนึง

    คำว่า จิตแปรเปลี่ยนได้ ไม่เหมือนกับ เกิด-ดับ เหรอครับ


    ปอลิง

    ไม้ผลัดสองคูณ สี่ร้อยเมตรครับ^^
    แล้วจะตื่นมาอ่านเช้าตรูละกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มิถุนายน 2013
  6. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    สวัสดีครับ
    คุณธรรมภูติศรัทธาหลวงตามหาบัวไหมครับ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ที่ไม่น่าจะพูดผิด
    ผมมีกัณเทศน์หนึ่ง ชัดเจนอย่างแรง เรื่องจิตเที่ยง
    ถึงนิพพานจิตก็ไม่สูญ แต่จะมีความสุขอยู่บนนิพพานตลอดไป

    สนใจไหมครับ

    (จิตเที่ยง มีดวงเดียว ไม่เกิดไม่ดับ แม้ถึงพระนิพพานจิตก็ไม่ดับ ไม่ได้มีแค่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเดียว ที่ยืนยันเช่นนั้น)
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อวิชชาอยู่ที่จิต
    ถ้าจะยัดเยียดว่า จิตเกิดดับ ให้ได้นี่

    ต้องตอบให้ได้่ก่อนว่า อวิชชา นี่ เกิดดับมั้ย
     
  8. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ผมว่าคุยเรื่องจิตกันแล้วก็น่าคิดเหมือนกันน่ะครับ ไปถามพระที่ถึงอรหันต์แล้ว ท่านไม่มาตอบเรื่องแบบนี้หรอกครับ เพราะท่านจะสอนให้ดับอย่างเดียว ท่านไม่มาเสียเวลามาอธิบายเหตุผลหรอกครับ เพราะมันเสียเวลา ไม่ต่อยาวสาวสั้นหรอกครับ เราก็เลยไม่เข้าใจกระบวนการของจิตอย่างแท้จริง เพราะท่านจะสอนให้ตามรู้ดับอย่างเดียว ตามรู้จนเกิดปัญญาไปวิมุติเลย ผมยกตัวอย่างที่ได้ยินองค์หลวงตาบัวท่านสอนมาน่ะครับ แสดงว่าการตามรู้จิตนั้น ใช้สติไตร่ตรองอยู่เนืองๆ จะมีปัญญาพาไปวิมุติเลย โดยไม่ต้องผ่านระดับขั้นของ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามีเลย ไปอรหันต์ได้เลย แสดงว่าการใช้สติตามรู้จิตก็พาไปนิพพานได้เลย ตามรู้จนชินเป็นความคล่องของจิตเลยพาให้จิตหลุดไปวิมุติเลย ความคิดผมที่สงสัยก็มีครับว่า จิตเดิม นี่เป็นพุทธวจนะหรือเปล่า แสดงว่าจิตเดิมนั้นถ้ามีจริงก็คงรู้กันว่าอยู่ในขอบเขตแห่งนิพพาน มีนิพพานเป็นที่ตั้ง งั้นปฐมแรกเริ่มของวัฏจักรการเวียนว่ายก็มาจากแดนนิพพานหรอครับ เริ่มต้นมาจากคำว่า อวิชชา หรอครับ และได้กลายมาเป็นการที่จิตเข้าไปยึดมั่น ก็เลยเป็นการเริ่มต้นของภพชาติ งั้นความเห็นของผมมองว่าเมื่อมี อวิชชาเกิดขึ้น ก็คงเป็นการเริ่มมีการยึดถือปรุงแต่งของจิตเกิดขึ้น เมื่อมีการปรุงแต่ง ก็เริ่มมีการเกิดดับของจิต การเกิดดับของจิตเป็นอาการที่มาจากเราไปรับรู้ตามอารมย์ที่ปรุงแต่งใช่มั้ยครับ และก็เวียนว่ายเพราะเราไปยึดในเรื่องของขันธ์ ถ้าทั้งหมดเป็นจริง แสดงว่าสภาวะของจิตยังมีอยู่แต่เป็นเพียงแค่นามสมมุติว่ามีอยู่ คือเป็นจิตวิมุติ ที่ไม่มีคำว่า อวิชชาหลงเหลืออยู่ เป็นสภาวะจิตเดิมที่ไปจากคำว่าวัฏจักรเวียนว่าย คือไม่มีความเสื่อมถอย เป็นสภาวะคงอยู่ มั่นคงถาวร นิจนิรันดร์
    งั้นการเจริญสติ ที่จะเข้าไปสู่ การกำหนดรู้ได้อย่างชัดเจน เป็นหนึ่งและเป็นเอกคตาจิตที่แท้จริงนั้นในส่วนของสติมาจากไหนหรอครับ มันเกิดมาพร้อมกัน ก่อนหลังอย่างไรครับ พูดถึงเรื่องจิตผมเลยมีข้อสงสัยมากเหมือนกัน แต่ให้กระทำฝึกฝนในส่วนของคำสอนไม่สงสัยใดๆเลยนี่ผมว่ายังง่ายกว่ามานั่งคิดหาเหตุผลในส่วนนี้เลยครับ เป็นข้อสงสัยของกระผมน่ะครับ ผิดถูกอย่างไรแนะนำด้วยน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  9. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ผมว่ามันเกิดดับมาจากการปรุงแต่ง เมื่อมีการปรุงแต่งยอมมีการเกิดดับ เพราะการปรุงแต่งยึดมั่นมันก็มาจากตัวอวิชชา อวิชชาก็หมายถึงความไม่รู้ในอริยสัจ ผมว่า คำว่า การเกิดดับของจิตเป็นคำพุทธวจนะแน่ครับ เพราะถ้าเป็นบุคคลที่ไม่เข้าถึงหรือถึงพร้อมได้ คงคิดหรืออธิบายคำนี้ไม่ถูกแน่ ผิดถูกขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ เป็นเพียงแค่ข้อเสนอครับ น้อมยอมรับผิดครับ
     
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เมื่อบอกว่าอวิชชาปรุงแต่งให้เกิดดับ
    แสดงว่าอวิชชาไม่เกิดดับใช่มั้ย

    แล้วขอดูหน่อย พุทธวจนะ ที่ว่าจิตเกิดดับ
    ช่วยอ้างอิงให้ดูหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  11. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    หลวงตาท่านไม่เคยสอนนะ
    ว่าถ้าตามรู้จิตไปอย่างเดียว
    แล้วจะข้ามไปบรรลุ อรหันต์ เลย

    ไหนหลักฐานที่หลวงตาว่าไว้นี่ขอดูหน่อย
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ขอพูดถึงการใช้ภาษา เพื่อสื่อให้เข้าใจกันก่อน

    ปรมัตถธรรม คือธรรมที่จริงแท้แน่นอน วิราคธรรม หรือ พระนิพพาน

    มีหนึ่งเดียวแน่นอน คือคุณลักษณะที่สิ้นไปแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ สิ้นไปจาก...

    อะไรที่เป็นคุณลักษณะ ต้องมีสิ่งรองรับคุณลักษณะพิเศษนั้น

    พระนิพพานไม่ใช่"จิต" แต่ก็เนื่องด้วย"จิต"น่าจะทบทวนดูนะว่า ทำไมจึงได้เนื่อกัน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เรื่อง"จิตเกิดดับ"นั้น เป็นสภาวธรรมที่หบายที่สุดแล้ว

    ส่วนที่ละเอียดนั้น เป็นความสามารถของจิตในสภาวะต่างๆ ต่างหากที่ละเอียดยิบ

    ที่ว่าหยาบเพราะพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า ก้เห็นจริงได้

    ลองเอาแก้วน้ำใบหนึ่งมาตั้งไว้ตรงหน้า รู้มั้ยว่าแก้วน้ำอยู่ตรงหน้า(รู้)

    สักครู๋หยิบเอาแก้วน้ำใบนั้น ที่วางอยู่ตรงหน้าออกไปไว้ที่อื่น รู้มั้ยว่าแก้วน้ำหายไป (รู้)

    จะทำซ้ำอย่างนี้อีกกี่ครั้ง เรา(จิต)ก็รู้ทุกครั้งเช่นกัน

    เอ๊ะ!!! ตกลงที่เกิดดับหายไปไม่รู้กี่รอบนั้น เป็นแก้วน้ำ หรือ "จิตผู้รู้ของเรา"

    ส่วนจะรู้ในส่วนที่ละเอียดของจิตนั้น ต้องลงมืออย่างที่ว่าอย่างเดียว(คิดเอาไม่ได้)

    ฮาไม่ออก เดี๋ยวกลายเป็นคนบ้าไป เพราัะมีคนกล่าวหาเอาไว้

    เจริญในสัจธรรมความจริงทุกๆท่าน

     
  14. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขออภัยด้วยน่ะครับ ผมคงตีความิดพลาดไปอ่ะครับ เพราะเคยได้ยินมาประมาณว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสภาวะธรรมทั้งหมด เรื่องของธรรมก็เป็นเรื่องการปรุงแต่งของจิตมีอยู่ด้วยเพราะสิ่งที่เราไปยึดนั้นมันเป็นเรื่องอารมณ์ของจิต ใช้สติตามรู้เพ่งปล่อยวางแล้วมันจะมีตัวปัญญาเกิดรู้ของมันเอง ผมไม่ได้ลงลายละเอียดแบบนี้เพราะว่าเขาตั้งกระทู้มาว่าด้วยเรื่องจิตผมก็เลยพูดแบบสั้น องค์หลวงตาบอกว่าให้ตามรู้สภาวะธรรมนั้นคือใช้สติตามรู้เข้าไปเพ่งตั้งมั่นปล่อยวางให้ตามละลึกรู้แบบนี้ ผมก็เลยแบบประมาณว่าเมื่อคำว่าจิตหรือกระแสของจิตเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งผมก็เลยเหมาเอาว่าองค์หลวงตาให้มีสติอยู่กับจิต เมื่อหมั่นสะสมกำลังแบบนี้ไปเรื่อย มันจะมีตัวปัญญาเข้าไปรู้เอง ผมก็เลยมองอีกว่า ตัวปัญญาที่หลวงตาสอนนี่แหละที่จะทำให้ไปหรือได้ นิพพาน โทษทีครับองค์หลวงตาไม่ได้สอน มันเกิดขึ้นมาจากการไปขยายความของผมเอง ผมยอมรับผิดครับ
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ต้องขอบใจคุณลีลาจริงๆที่เป็นห่วง
    (ต้องขออภัยที่ตอบนอกประเด็นกระทู้ เพื่อความเข้าใจที่ดีในอนาคต)

    คุณไม่รู้หรอกว่า อาชีพก่อนหน้่านั้นผมมีอาชีพอะไร?

    ความลื่นคิดว่ายิ่งกว่าอาชีพคุณเสียอีก ขออภัยที่ต้องพาดพิง คิดว่าคงไม่ว่ากัน

    อาชีพดีเทลยาที่ต้องรับผิดชอบทั่วประเทศ ตะลอนไปทั่วทุกจังหวัด

    ยกเว้นอยู่สองจังหวัด แม่ฮองสอน และสตูล และเคยถูกดึงตัวมาอยู่ในอาชีพขายประกัน

    วิธีประณีประนอม แบบสุดๆนั้นเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ถามว่าดีมั้ยดี? ดีแน่นอน

    แต่จากประสพการณ์ความจริงในเว็บศาสนาต่างๆแล้วไม่ใช่

    ยิ่งถ้อยที่ถ้อยอาศัย กลับถูกถ้อยที่ถ้อยหลอกด่าไปแบบเนียนเป็นประจำ

    แล้วรู้มั้ยว่า"การประณีประนอมถ้อยทีถ้อยอาศัย"นั้น

    ในสายตาของคนอีกจำพวกหนึ่งนั้น "เป็นการหลอกลวงกันแบบแนบเนียน"นั่นเอง

    คุณลีลาเองก็คงเคยประสพพบเจอมาบ้างแล้วมั๊ง

    เรื่องความผิดพลาด ด้วยกาย วาจา ใจนั้น เป็นเรื่องอภัยกันได้ เพราะอารมณ์พาไป

    ถ้าแกล้งผิดพลาดด้วยความตั้งใจ คือไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองนั้น จะว่าไงดี?

    จากใจเลย ไม่เคยติดอกติดใจใครทั้งนั้นที่พูดคุยในเว็บบอร์ดต่างๆ

    เพราะเป็นเรื่องที่พออภัยกันได้ เกือบทั้งนั้น

    แต่เรื่องความถูกผิด ที่ทำให้เกิดความเสียได้นั้น มักจะยอมให้ไม่ได้ เพราะอะไร?

    เพราะอดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่ดีนั่นเอง

    ความที่นิสัยคนไทยชอบ "ประณีประนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยไปทุกเรื่องราว"

    ทำให้สัจธรรมความจริงทั้งหลายที่ควรคงอยู่เลือนหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน

    ดูประเทศที่เจริญแล้วในทุกๆด้านสิ

    ช่วยกันพยายามรักษาสัจธรรมความจริงไว้ไม่ให้เลือนหายไป (ไม่ประณีประนอม)

    ส่วนตัวแล้ว คนในเว็บบอร์ดนี้ แม้ทะเลาะถกเถียงกันแทบตาย เจอหน้าเลี้ยงข้าวกันได้แน่นอน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น เข้าถึงได้ยาก เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง

    ที่ไม่ควรแยกนั้น คือสภาวธรรมของ"จิต" ที่มักกลับกลอก ดิ้นรน ห้ามยากฯลฯ

    พระพุทธพจน์ก็ชัดเจนว่ากลับกลอก ดิ้นรน ห้ามยาก รักษายาก ไม่เห็นตรัสว่าเกิด-ดับตรงไหน?

    พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น เชื่อมโยงกันหมด ไม่ควรแยก

    แต่เมื่อนำเอามาพูดคุยสื่อสารกัน ควรนำพูดคุยเป็นเรื่องๆ(ส่วนๆ)ไป

    ส่วนการปฏิบัตธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนานั้น

    เป็นเรื่องที่ควรต้องแยกแยะกันให้ชัดเจนในการปฏิบัติ

    เมื่อปรากฎผลออกมา จะรู้ได้ตามความเป็นจริงไม่สับสน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ผมเชื่อในท่านพระอาจารย์หลวงตา ไม่มีสงสัย

    ส่วนเรื่อง"จิตเที่ยง"นั้น จากบริบทรอบข้างน่าจะมาจาก

    "จิตเที่ยงตรงคงที่" มากว่า "จิตเที่ยงแท้ถาวร"นะ

    สองประโยคนี้ต่างกันเป็นคนละเรื่องเลย

    ถ้ามีบทความเป็นการยืนยันให้ท่านอื่นได้อ่าน

    เพื่อเป็นการเปิดธรรมทัศน์ก็จะดีไม่น้อย

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    จากความจำ ท่านพระอาจารย์หลวงตา เน้นย้ำเสมอๆว่าต้องสร้างสติ
    และท่านเองบอกถึงวิธีการสร้างสติให้เกิดขึ้นที่"จิืตของตน"
    โดยเอาตัวท่านเองเป็นตัวอย่าง

    เห็นส่วนใหญ่มักมองข้ามวิธีการสร้างสติ ที่ท่านได้สอนไว้
    แต่มักเอาสติมาใช้เลย ก็ยัง"งง"ว่าเอามาจากไหน?

    เจริญในสัจธรรมความจริงทุกๆท่าน
     
  19. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    อืมม...เป็นการมองต่างมุม แล้วแต่ปุ๊ จัดปาย :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2013
  20. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ก็ประมาณนี้อ่ะครับ ถ้าถามว่าสติมาจากไหน ผมมองว่า ยกตัวอย่างสมมุติว่าเริ่มแรกของจิต เกิดการปฏิสนธิ[จิต]ขึ้นมานั้นการเกิดของจิตเริ่มมาจากตรงนั้น จิตเริ่มแรกเกิดนั้น ในสภาวะนั้น คงไม่มีตัวที่เรียกว่า สติเกิดอยู่หรอกครับ คงจะเกิดหลังจากที่จิตเกิด การที่มีการเข้าไปยึดรูปนามหรือการจำมั่นหมายไปหลงว่ามีอยู่ คือเกิดจากอายตนะทั้ง6 เมื่อเข้าไปหลงยึดแล้วก็มีความหมายมั่นว่ามีตัวตน เกิดไปลองเรียนรู้อยากเห็นเมื่อมีการรู้เห็นจากสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมีบทเรียนของโทษที่เกิดขึ้นจึงมีความคิดแบบที่ว่าอันนี้มีโทษ เราจึงระวังไม่ไปกระทำสิ่งนั้นอีกว่า มันมีโทษแบบนี้ จึงมีนิยามสมมุติขึ้นมาว่า นี่แหละเราอย่าลืมไปกระทำมัน ให้พึงระวังจดจ่ออยู่ในโทษของมัน การระลึกหรือคิดนึกในผลของการกระทำนี้เองจึงเรียกว่า สติ แบบนี้ใช่มั้ยครับ เอ หรือว่ามันมีมาคู่กันนานแล้วเพียงแต่ว่าต้องมีสิ่งที่มากระทำก่อนถึงจะเกิดหรือแสดงออกมา ผิดถูกประการใดน้อมรับครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...