เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เมื่อคืนก็จดประโยคนี้อ่านซ้าๆ ตามที่อาจารย์แนะนำพอตื่นขึ้นรู้สึกตัวจิตก็ยังท่องประโยคนี้อยู่เลย ก่อนนอนก็ขอในสิ่งที่อยากรู้ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่อยากรู้ แต่จดจ่ออยู๋กับความว่างด้วยความเคยชินกับการทำสมาธิแบบเก่า เวลาฝันบางวันก็ได้รู้เห็นตามที่กำหนด บางคืนก็ชโงกไปดูหลายมิติ แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนที่ไม่ได้ศึกษาคำสอนของอาจารย์อนาลัย เดี๋ยวนี้ก็พอมีสติรู้ว่าฝัน อย่างบางท่านรู้ว่าฝันก็กำหนดให้มองดูตัวตนที่ฝัน บางท่านก็ไปดูกระจก เพื่อดูตัวเอง อย่างผมเองพอคืนไหนฝันพอรู้ว่าฝันก็ชอบลอยตัวเล่นซะงั้นและก็กำหนดได้ด้วยว่าจะให้สูงแค่ไหนไม่มีเหนื่อย ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนเป็นหนุ่มๆเวลาฝันว่าลอยตัวเนี่ยจะเหนื่อยมากๆต้องออกแรงเยอะ ก็เป็นการฝึกแบบธรรมชาติที่สุดและง่ายที่สุดไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่ก็ยังไม่ค่อยกระจ่างเรื่องการแก้ไขอดีต การแก้ไขอนาคตว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะบางความฝันเราต้องมาถอดรหัสก่อน บางความฝันก็เป็นการไปเยี่ยมมิติอื่น (ไม่ทราบผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า)ตรงนี้ต้องรบกวนอาจารย์แล้วครับ
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    สมัยเป็นเด็ก เคยคิดอยู่เสมอว่า ความตายเป็นเรื่องน่ากลัว
    ตายแล้วไปไหน แล้วสิ่งที่ทำไว้จะเป็นอย่างไร
    นึกขึ้นมาครั้งใด ก็ให้เสียววูบ เข้าไปในหัวใจ..

    จึงค่อยๆศึกษา เรื่อยมา...และเพิ่งมาได้รับรู้คำตอบจากพี่นักเขียน วันนี้
    ทำให้ปรับความเชื่อที่เคยมีมา ผิดบ้างถูกบ้าง มาเป็นความรู้ ดั่งนี้เอง

    ขอบพระคุณพี่นักเขียน เป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้รู้ว่าความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • for27070550p1.jpg
      for27070550p1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      309
    • R5178929-2.gif
      R5178929-2.gif
      ขนาดไฟล์:
      15.5 KB
      เปิดดู:
      320
    • eye9lu.gif
      eye9lu.gif
      ขนาดไฟล์:
      20.8 KB
      เปิดดู:
      319
  3. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    [​IMG]
     
  4. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอคำแนะนำจากพี่นักเขียนด้วยครับ

    ถ้าเรามีเศษเหล็กอยู่สัก 1 ท่อน เล็กๆ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้
    แต่ถ้า เรานำเศษเหล็กท่อนนี้ มาผ่าน กระบวนการ ทำให้เป็นแม่เหล็ก ที่มีกำลังแรงๆ เศษเหล็กท่อนนี้ก็จะมีประโยชน์มากขึ้น

    อยากขอคำแนะนำว่า ถ้าเราจะทำให้ตัวเราเอง (หรือภาวะจิต)ให้มีกำลัง เหมือนเป็นแม่เหล็ก ที่สามารถดึงดูด สิ่งที่ต้องการให้เข้ามาหาเรา พอจะแนะนำวิธีการได้บ้างไหมครับ ว่ามีกระบวนการแบบใดที่ทำให้มีกำลังดึงดูดสิ่งที่ต้องการได้ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    หายไปทำธุระมาหนึ่งวัน กลับมาอ่านกระทู้แล้วอึ้ง..จริง ๆ กับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของทุกคน รู้สึกว่าไม่ผิดหวังเลยที่เข้ามาเป็นสมาชิกของห้องวิทย์ฯ ห้องนี้ คำว่าห้องวิทย์ฯ ในที่นี้น่าจะหมายถึงวิทยาศาสตร์ทางจิตเพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณของพวกเรา ขจรวรรณต้องใช้เวลาทั้งวันในการอ่านกระทู้ของแต่ละท่านเพื่อวิเคราะห์และเปลี่ยนเป็นความรู้ในที่สุด เมื่ออ่านเสร็จแล้วทำให้นึกถึงถึงคำสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งกล่าวว่า หากพวกเรามีคำถามถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เราจะรู้ได้ว่าคำตอบนั้นเป็นคำตอบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ให้สังเกตุดูว่า แม้เราจะตั้งคำถามเพียงหนึ่งคำถามแต่คำตอบที่ได้มาจะมากกว่านั้นชนิดที่เราไม่ทันตั้งตัว คำตอบดังกล่าวจะมาได้หลายหนทางอาจจะด้วยการอ่านหนังสือ หรือไม่มีบุคคลอื่นพูดคุยให้ฟัง หรือหนทางอื่นโดยบังเอิญ และอีกหนึ่งประโยคที่อาจารย์ท่านนั้นเคยพูดไว้ก็คือ อาจารย์ของพวกเราไม่ได้มีคนเดียว และสิ่งน่ากลัวที่สุดและเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาจิตวิญญาณก็คือความหลงตัวเอง
    หลังจากนั้นมาก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ตัวเองต้องอ่านหนังสือในแนวนิวเอจและอื่น ๆ อีกมากมายเหลือเกิน สำหรับหนังสือของท่านอาจารย์โนวา อนาลัยนั้นได้เจอหนังสือของท่านเมื่อครั้งที่พิมพ์กับสำนักพิมพ์ขวัญข้าวซึ่งรูปแบบของหนังสือจะเป็นเล่มเล็กซึ่งวางบนชั้นที่ถ้าไม่สังเกตุจะไม่มีใครเห็น ก็ไปคว้ามาเห็นปกหนังสือเขียนว่าธรรมชาติของชาติภพ ของนักเขียนโนวา อนาลัย และแทนตัวเองว่าฉันกับเธอก็ตัดสินใจซื้อมาอ่านทันทีและอ่านเสร็จภายใน 2 วัน ก็รอคอยมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะมีหนังสือเล่มใหม่ออกมาซักที เวลาผ่านไปนานจนคิดว่าคงไม่มีออกมาแล้วมั้ง วันหนึ่งก็ได้เดินทางไปทางเหนือและนัดเพื่อนไว้ที่ห้าง Bic C จ.ลำปาง แต่เพื่อนก็ยังมาไม่ถึงซักที จึงเดินไปร้านหนังสือด้วยความเคยชิน ก็ไปเจอหนังสือเล่มเขียว ๆ ดำ ๆ ก็ยังไม่สนใจเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ไม่รู้สายตาก็กวาดกลับมาอีกรอบเห็นชื่อหนังเขียนเป็น โนวา อนาลัย ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็คว้ามา 2 เล่ม และก็ติดตามมาเรื่อย ๆ บางครั้งก็ต้องพักเนื่องจากว่าสาระที่ท่านอาจารย์เขียนไว้ในหนังสือแต่ละตัวอักษรมีความหมายมาก ตอนนี้กำลังอ่านโลกแห่งความจริงหลากมิติอยู่ค่ะ มีคำตอบบางคำตอบที่เรายังติดค้างมาสิบกว่าปีก็เริ่มกระจ่างขึ้น
    สำหรับวันนี้ก็ขอขอบคุณพี่นักเขียนอย่างสูง ที่กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่าของพี่มาให้ความรู้และต่อยอดให้กับจิตวิญญาณของพวกเราให้บรรลุภาระหน้าที่ที่ต่างก็ขันอาสามาเกิดบนโลกเสรีใบนี้
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนขอให้พวกเราทำความเข้าใจในสาระที่ท่านอาจารย์อนาลัยให้ไว้เกี่ยวกับสติสัมปชัญญะและคุณสมบัติในการทำงาน 3ส่วนของมันตามธรรมชาติ เพราะเมื่อเรารู้และเข้าใจในคุณสมบัติของมันอย่างลึกซึ้งแล้ว เราจะสามารถใช้งานมันได้อย่างเป็นอัตโนมัติ ตามธรรมชาติ

    สิ่งที่พี่นักเขียนทำคือ เอาสติสัมปชัญญะทั้งหมดจดจ่อกับการสื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัย ซึ่งหมายถึงว่า เอาสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายในและภายนอกไปร่วมกันจดจ่อกับการติดต่อสื่อสารกับบุคลิกภาพที่เราเรียกท่านว่าครูบาอาจารย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า จดจ่อกับตัวตนภายในของเราเอง ท่านคือตัวตนภายในของเรา และปล่อยให้สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกายดูแลตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายมันดูแลรูปกายในระดับเซลล์ เมื่อเราไม่ได้เอาสติสัมชปัญญะที่เคยจดจ่อกับตัวตนภายนอกไปคิด ไปยุ่มย่ามหรือพยายามจะต่อต้านกับความเจ็บปวด หรือพยายามจะทำอะไรที่มันทำไม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ร่างกายของเราก็ปกป้องตนเองไปตามธรรมชาติ

    หากจะไม่รอดก็เพราะสติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกเข้าไปยุ่มย่ามและขัดขวางการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นไปเสมอๆและทำให้เราทั้งหลายเกิดโรค ป่วย หรือไม่หายป่วยเสียที

    ทั้งหมดนี้ พี่นักเขียนขอย้ำว่า เราทุกคนทำได้ด้วยการศึกษาข้อมูลจากท่านอาจารย์อนาลัยให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกษาถึงคุณสมบัติและหน้าที่การทำงานของสติสัมชปัญญะ เมื่อเรารู้จักมันแล้วอย่างดี มันก็จะทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติตามธรรมชาติ
     
  7. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    อ่านจากที่พี่นักเขียนเล่ามา นึกไปถึงเลยว่า เวลาเราเจ็บปวด เราจะนึกไปว่าเจ็บเหลือเกิน แล้วจะใส่ใจแต่อารมณ์เจ็บ เมื่อเรานึกแต่เรื่องเจ็บๆ อาการเจ็บก็เลยจะไม่หายซักที

    มันจะคล้ายๆ อย่างนี้หรือเปล่าหนอ?
     
  8. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    จิตวิญญาณเป็นอมตะและดำเนินต่อไปด้วยความปรารถนา ความปรารถเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอมตะ


    ชอบประโยคนี้มากค่ะ ความปรารถนาเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ให้เราเลือกที่จะทำเลือกที่จะเป็นในแบบที่เราต้องการ

    อ่านเรื่องของพี่นักเขียนแล้ว ทำให้คิดได้ว่าหากเราเผชิญกับความตายขึ้นมาจริง ๆ ทางเลือกของเราอาจไม่ได้มีแค่ทางเดียว บางครั้งเราอาจมีทางเลือกอื่นที่เราสามารถเลือกจะอยู่ต่อไปก็ได้

    เรื่องราวทุกเรื่อง คำแนะนำทุกคำของพี่นักเขียนช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ให้แง่คิด เปลี่ยนมุมมองให้กับใครหลาย ๆ คน

    บอร์ดนี้ เหมือนกับการเรียนแบบonline พี่นักเขียนเป็นครู พวกเราเป็นนักเรียน ไม่เข้าใจตรงไหนครูก็อธิบาย ถ้าพี่นักเขียนไม่มีเมตตาเข้ามาชี้แนะ คำถามบางคำถามก็ยังคงมืดมนในคำตอบ แต่ตอนนี้หลาย ๆ คำถามที่แคลงใจก็เริ่มมีคำตอบให้เราได้เดินถูกทาง ต้องบอกว่ามีความสุขจริง ๆ ที่ได้อ่านหนังสือของอาจารย์โนวา ได้คุยกับพี่นักเขียน :) ขอบคุณมากมากค่า
     
  9. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,914
    วันนี้พึ่งไปซื้อ ขยายความธรรมชาติของชาติภพมาครับ
    ตอนแรกว่าจะไปดูเฉยๆ แต่ยืนอ่านอยู่พักนึงแล้ว มันอดใจไม่ไหว เลยหยิบแล้วจ่ายเงิน หุหุ

    เดี๋ยวจะลองอ่านดูครับ

    ผมมีปัญหาครับ ผมจะจำความฝันตัวเองไม่ได้ค่อยได้เลยครับ อย่างเช่น ตื่นมาปุ๊บ จะนึกไม่ออกว่าตัวเองฝันหรือไม่ฝัน แต่พอได้ทำกิจกรรมหนึ่ง มันจะแวบเข้ามา เราจะรู้เลยว่า "เฮ้ย ฝันนี่หว่า" แต่ก็จะนึกไม่ออกครับ ว่าฝันเกี่ยวกับอะไร ยังไง อย่างเซ็งเลยครับ ทุกวันนี้ผมพยายามที่จะฝัน และผมก็มั่นใจด้วยว่า หลายๆวัน ผมฝันมาลอด แต่จำไม่ได้เลย เฮ้อ!
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามจาก San Antonio

    การจะเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดสิ่งที่ต้องการให้เข้ามาหาเรา เป็นสิ่งที่เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้วสำหรับเราทุกคน พี่นักเขียนเชื่อว่า เราตั้งคำถามนี้กันไม่มากก็น้อยเพียงเพราะสิ่งที่เราปรารถนาดูเสมือนว่าจะมาถึงเราได้ช้าหรือน้อยไปกว่าที่เราต้องการ

    เมื่อเราปรารถนาสัมพันธภาพที่ดี หากเราให้สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นก่อน เราก็จะได้มันกลับมาอย่างแน่นอน หากเรารักใคร เราก็ได้ความรักกลับมาอย่างแน่นอนเช่นกัน ถ้าเราจะเห็นว่าใครรักเราไม่มากพอเหมือนกับที่เรารักเขา ก็เพียงเพราะว่าเรามีความเชื่อที่ปิดกั้นทำให้เราไม่ได้รักเขาอย่างหมดใจ เรารักเขาอย่างมีเงื่อนไข เมื่อเงื่อนไขนั้นๆไม่บรรลุเป้าหมาย เราก็รักไม่ได้หมดใจไปด้วย

    เราสามารถดึงดูดสิ่งที่ปรารถนาเข้ามาหาเราได้ ด้วยการให้ในสิ่งที่พึงปรารถนากับผู้อื่นอย่างหมดใจก่อน แล้วเราจะได้รับตอบแทนมาร้อยเท่า พี่นักเขียนเคยอ่านหนังสือพบนักจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กๆว่า หากเราให้ความรักกับเด็กน้อยสักคนหนึ่ง สิ่งที่เราได้กลับมาคือ ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราให้หลายพันเท่า

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ความเป็นจริงนี้ เป็นจริงไม่ใช่แต่เพียงกับเด็กๆเท่านั้น แต่เป็นจริงกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และเป็นจริงต่อสาระอื่นๆเช่นกัน คือให้ก่อน แล้วจึงจะได้รับ ในที่นี้หมายถึงให้อย่างหมดใจโดยไม่คาดหวังที่จะได้ร้บการตอบแทนก่อน ให้อย่างเป็นสุขที่เห็นเขาเป็นสุขก่อน

    การเอาจิตไปจดจ่อกับภาวะใด ก็ดึงดูดสรรพสิ่งทั้งหลายที่คล้องจองกับสิ่งนั้นๆมาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเรา ตามกฎแห่งการดึงดูดของจักรวาล จุดอ่อนของเราที่ทำให้การดึงดูดนี้ไม่ได้ผล มักเกิดจากการจดจ่อที่พลาดเป้าหมาย เช่น อยากได้ความรัก แต่มัวไปจดจ่อกับความว้าเหว่ ความน้อยใจ การขาดความรัก แทนที่จะจดจ่อกับความรักที่เรามีให้ใครๆ อยากได้ความร่ำรวยก็ต้องจดจ่อกับอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ดีว่า หากฉันรวยแล้วฉันจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์สุขกับตนเองและผู้อื่นได้บ้าง และอยู่กับความรู้สึกที่ดีเสมอ หากมัวจดจ่อกับความขาดแคลน และมันมองเห็นคนอื่นที่ร่ารวยแล้วอิจฉาเขา ก็ไม่อาจดึงดูดสิ่งที่ปรารถนาเข้ามาหาเราได้ เราจึงต้องมีสติแยกแยะให้ดีว่า เรากำลังจดจ่อกับอะไร หากจดจ่อถูกจุด จดจ่อในสิ่งที่ปรารถนาได้จริง เราจะพบว่า แม้ว่ามันยังไม่มาสู่ความเป็นจริง แต่หากว่าจดจ่อได้สำเร็จ ถูกจุด และทำได้บ่อยๆ ความรู้สึกของเราจะอิ่มเอิบเป็นสุข และในที่สุดความใฝ่ฝันและความปรารถนานั้นๆจะมาสู่ความเป็นจริงได้อย่างแน่นอนที่สุด
     
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    หากรู้ตัวว่าฝัน สิ่งแรกที่จะทำให้จำความฝันได้คือ ให้ระลึกถึงอารมณ์ที่ติดมากับความฝัน แม้จะจำไม่ได้ว่าฝันเรื่องอะไร ก็ให้จับอารมณ์ก่อนเป็นอย่างแรก ครุ่นคิดถึงอารมณ์สักครู่จะพบว่า ความจำเกี่ยวกับอารมณ์ที่ดิดมากับความฝันจะผุดขึ้นมาเป็นอย่างแรก เช่น มีอารมณ์ขำๆติดมา เศร้าๆติดมา หรือตื่นเต้นติดมา ฯลฯ พอจับอารมณ์ได้สักพัก เรื่องราวต่างๆจะผูดขึ้นมาและจำได้ภายหลังไม่มากก็น้อย หากจับอารมณ์ได้บ่อยๆ เป็นสิ่งแรกก่อนขยับตัวลุกขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้าทุกวัน จะจำฝันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หากจด ก็จะช่วยให้จำได้มากขึ้นไปอีกค่ะ
     
  12. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,914
    ขอบคุณมากเลยครับ
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คุยข้ามฟากฟ้าจาก Alamo, Texas

    (rose)
    มี่ผู้อ่านหลายท่านเขียนมาบอกพี่นักเขียนว่า เขาเป็นนักอ่าน และมักอ่านหนังสือจบเร็วมากไม่ว่าจะเล่มหนาแค่ไหนก็อ่านจบได้ในเวลาอันสั้นไม่กี่วัน แต่อ่านหนังสือชุดของท่านอาจารย์โนวา อนาลัยแล้ว รู้สึกว่า อ่านเท่าไรก็ไม่มีวันจบ และได้อ่านแล้ว บางเล่มถึงห้ารอบ บางเล่มก็สามรอบ ไม่ใช่ว่าอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้เรื่องและเข้าใจได้มากขึ้นๆจนไม่อยากให้จบ

    บางคนก็ถามพี่นักเขียนว่าเมื่อไรจะเขียนหนังสืออีก นอกจากชุดนี้แล้วจะมีออกมาอีกไหม

    คำตอบคือ ได้จดบันทึกความฝันไว้มากกมายและเพิ่งจะถอดความบางส่วนเท่านั้นออกมาเป็นหนังสือสิบเล่ม แต่ก็ไม่เคยหยุดฝัน แต่พี่นักเขียนก็ยังไม่ทราบว่า เมื่อไรจึงจะถึงเวลาเขียนชุดต่อไป หากชุดนี้เป็นหนังสือเรียนชุดเริ่มต้น ก็เข้าใจว่า ชุดต่อไปน่าจะต้องออกมาเมื่อผู้อ่าน อ่านชุดแรกนี้เข้าใจจนหมดแล้ว มิฉะนั้นชุดต่อไปก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะคนที่อ่านชุดแรกนี้ยังไม่เข้าใจจะก้าวกระโดดไปอ่านชุดต่อไปก็จะเข้าใจไม่ได้

    ความฝันใดเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต แทบจะไม่มีความหมายเลย เพราะในมิติของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ สติสัมปชัญญะ สามารถล่วงรู้อนาคตหรือมองเห็นอดีตได้ไม่ต่างไปจากปัจจุบัน คือทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต มีอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    สติสัมปชัญญะยามตื่นของเราเท่านั้นที่แยกแยะอดีต ปัจจุบันและอนาคตออกจากกัน

    ไม่ว่าท่านอาจารย์อนาลัยจะบอกพวกเราเช่นนี้อีกกี่ร้อยหน สติสัมปชัญญะยามตื่นของเรา พร้อมด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ก็ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะเรายึดติดกับการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าที่รู้เห็นตามเส้นทางแห่งกาลเวลาได้เท่านั้น

    การที่พี่นักเขียนพยายามแนะนำให้พวกเรามีสติติดตามความฝัน จดจำความฝัน และจดบันทึกความฝัน ก็เพราะความฝันเป็นช่วงเวลาที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราหยุดทำงาน และประสาทสัมผัสที่หกหรือประสาทสัมผัสภายใน หรือการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการขัดขวาง

    ตราบใดที่เรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับความฝัน และไม่เชื่อถือสติสัมปชัญญะของตัวตนภายในที่ทำหน้าที่รู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในความฝันได้อย่างคมชัด เราก็ยังไม่อาจตระหนักได้ว่า ที่ว่าอดีต ปัจจุบันและอนาคต มีอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปพร้อมกันหมดนั้น มันเป็นจริงได้อย่างไร ต่อเมื่อเรามีสติอย่างคมชัดในความฝัน เราจะรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติในฉับพลัน

    ความปรารถนาที่จะเรียนรู้ และความคิดของคุณน้องที่บอกว่าจะสู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่วิเศษที่สุดแล้วค่ะ เพราะเมื่อใดที่เรามีความเชื่อ เจตนาและความปรารถนาที่จะเรียนรู้ จิตวิญญาณของเราจะใฝ่หาความรู้นั้นๆจนพบอย่างแน่นอนที่สุดค่ะ
     
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตามมาคุยต่อ จาก Alamo, Texas


    ในภาวะที่เรียกได้ว่า เผชิญกับความตาย พี่นักเขียนแทบจะไม่มีคำพูดที่จะอธิบายได้อย่างหมดเปลือก แต่ก็จะพยายามทำอย่างดีที่สุด ขอให้พวกเราช่วยกันป้อนคำถามแล้วกันนะคะ เพราะบ่อยครั้งคำตอบที่ไม่เคยเรียบเรียงเป็นคำพูดได้จะหลั่งไหลออกมาง่ายๆเมื่อเจ้าของคำถามมาถามเอา

    น้องนกพูดถูกที่ว่า ในภาวะใกล้ตายหรือเผชิญกับความตายนั้น เรามีทางเลือกหลายทาง และทั้งหมดก็เป็นทางเลือกที่เกิดจากการตัดสินใจของเราแต่ผู้เดียว

    พี่นักเขียนจะขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ และขอให้พวกเรานำไปคิดกันดูก่อน ยังไม่เข้าใจหรือรับไม่ได้ไม่ว่ากัน ต่อไปวันหน้าความเข้าใจของพวกเราจะเคลื่อนเข้าหากันจนเป็นหนึ่งเดียว ณ วันนี้พี่นักเขียนขอกล่าวทิ้งไว้ให้คิดกันว่า เมื่อเราเผชิญกับความตาย เราจะเป็นผู้ที่ไม่เห็นความตายของตนเอง จากแง่มุมหรือมุมมองที่ผู้อื่นรู้เห็นความตายของเรา หากแต่ว่า เราจะมองเห็นเพียงทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตต่อไป แม้ว่าชีวิตที่ว่านี้ จะเป็นชีวิตที่แตกต่างไปจากชีวิตที่เราเพิ่งจากมา

    หากจะกล่าวให้ง่ายลงอีกนิด ก็พูดได้ว่า เมื่อพี่นักเขียนเลือกที่จะไม่ตาย และต้องการทำงานคือเขียนหนังสือชุดนี้ให้จบ พี่นักเขียนไม่ได้กลับไปยังรูปกายตัวตนเดิม ที่ควรจะถูกทำลายลงด้วยพิษร้ายของแมลงมุม พี่นักเขียนไม่อาจต่อต้าน หรือสร้างปาฏิหารย์ที่ทำให้ร่างกายที่ถูกทำลายกลับคืนสภาพได้

    แต่โดยสภาวะจิตแล้ว จิตวิญญาณเลือกที่จะดำเนินชีวิตต่อไปเพื่อทำหน้าที่ที่ยังค้างคาอยู่ ให้เสร็จ พวกเราที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่มีหลากหลายเป็นอนันต์ จะต้องนำความรู้นี้มาใช้และทำความเข้าใจกับสถานการณ์นี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของพี่นักเขียนคือ จิตวิญญาณได้ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ ดำเนินชีวิตเป็นบุคคลตัวตนที่คล้ายบุคคลตัวตนเดิม ด้วยร่างกายที่เหลือเพียงรอยกัด แต่ปราศจากพิษทำลายระบบต่างๆ จิตวิญญาณก้าวล่วงไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ที่มีเพียงบางสิ่งบางอย่างคล้องจองหรือทับเส้นกับการเป็นบุคคลตัวตนในร่างเดิม มีสัมพันธภาพกับบุคคลบางคนต่อจากเดิม

    แต่ตามความเป็นจริงแล้ว หลังจากประสบการณ์นั้น ชีวิตของพี่นักเขียนผกผันไปจากเดิมจนแทบจะเรียกได้ว่า ได้ไปเกิดใหม่ ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกใหม่ เพราะสัมพันธภาพที่พี่นักเขียนเคยมีกับคนรู้จัก ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดก็ว่าได้ คนที่เคยรักชอบพอกัน ก็ล้มหายตายจากไป บางคนก็ย้ายถิ่นฐาน บางคู่ที่เรารู้จักและเคยรักกันดี กลับกลายเป็นหย่าร้าง และแยกย้ายจนหายไปจากชีวิตของพี่นักเขียน ร้านค้าที่เคยตั้งอยู่บนถนนสายหนึ่งๆมานานกว่า 20 ปีก็ปิดลงโดยไม่รู้ว่า ปิดไปเมื่อไร ตึกใหม่ๆก็เกิดขึ้นบนถนนสายที่เราไม่ได้ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน

    หากเรารู้จักติดตามด้วยสติสัมปชัญญะ ที่จะมองเห็นความแปลกเปลี่ยนเหล่านี้ ที่อาจเกิดขึ้นข้ามคืน หรือภายในเวลาไม่กี่วัน และเราก็ประหลาดใจกับมันเสมือนว่า เราก้าวล่วงไปสู่ชีวิตใหม่ เราก็ไม่เคยตระหนักว่า ความรู้สึกที่ว่า ฉันกำลังเผชิญกับชีวิตใหม่ ฉันรู้สึกเสมือนว่าเป็นคนใหม่ ฉันรู้สึกแปลกกับสภาพแวดล้อมใหม่นี้ เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกลมๆแล้งๆ หากแต่ว่ามันคือความเป็นจริง

    จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ๆเสมอ ไปสู่ชีวิตใหม่ ตัวตนใหม่ รูปกายใหม่ เสมอ

    มองหาเงื่อนงำของสิ่งที่พี่นักเขียนกล่าวถึงนี้ได้จากชีวิตประจำวัน แล้วพวกเราจะเข้าใจได้ไม่มากก็น้อยว่า มันเป็นเพียงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันเวลา หากแต่ว่า เราไม่เคยยอมรับที่จะรู้จักมันมาก่อน

    ทางเลือกของเราจึงไม่ได้เกิดขึ้น ณ จุดที่เราเผชิญกับความตายเท่านั้น หากแต่ว่าเราเผชิญกับทางเลือกอยู่ทุกขณะที่เราเผชิญกับจุดผกผันแห่งความนึกคิด เมื่อใดที่เราเผชิญกับจุดผกผันแห่งความนึกคิดว่า เราจะเลือกอะไร จะตัดสินใจไปในทิศทางใด เราก็สร้างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้นมาอย่างน้อยสองทางขึ้นไป จากหลายๆทางที่เราคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ และเส้นทางหนึ่งๆที่เราเลือก ก็กลายเป็นเส้นทางแห่งความเป็นจริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า เส้นทางอื่นๆนั้นมลายหายไป หากแต่ว่ามันดำเนินต่อไปเป็นโลกแห่งความเป็นจริงในมิติอื่นที่เราไม่ได้ติดตามไปจดจ่อเท่านั้น แต่รูปกายของเราก็ดำเนินชีวิตไปในเส้นทางเหล่านั้น พรัอมด้วยสติสัมปชัญญะของมัน

    เรารู้เห็นเส้นทางอื่นๆ และตัวตนอื่นๆเหล่านั้นที่เราไม่ได้เลือกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเราได้ในความฝัน และไม่ว่าเราจะเรียกตัวตนเหล่านั้นพร้อมด้วยประสบการณ์ชีวิตของมันว่า ตัวตนในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มันก็พร้อมเสมอที่จะให้เราเลือกมาสู่ปัจจุบัน และเราก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่เสมอทุกคืนยามอย่างเป็นธรรมชาติ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  15. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่องนิทานเมล็ดข้าว พี่นักเขียนจะเอามาเขียนเป็นนิทานภาพหรือเปล่าน้อ เห็นใช้เป็นตัวแดงเข้าใจว่าคงเป็นข้อความที่รับมาจาก อ.โนวา อนาลัย ไม่รู้ว่าเขียนลงเล่มไหน เพราะยังอ่านไม่จบซักเล่มในชุดที่วางขายใหม่

    ตอนอ่านเรื่องนั้นก็จินตนาการภาพตามไปด้วย เป็นแบบสีน้ำ(ล่ะมั๊ง เป็นเป็นสีอ่อนๆ บาง) เขียนเป็นการ์ตูน ดูน่ารักๆ ดี
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    อ่านแล้วเหมือนกับว่า ตอนนั้นพี่นักเขียนได้โดดข้ามไปยังเส้นทางอีกเส้นทางนึง ที่ไม่โดนแมงมุมกัด ในเส้นทางนั้น ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นก็ไม่เหมือนกับเส้นทางเก่าที่เป็นอยู่ ชีวิต, ความเป็นไปของสิ่งรอบข้างก็ไม่เหมือนเส้นทางเก่าด้วย

    เมื่อพี่นักเขียนได้โดดข้ามมายังเส้นทางนั้น สิ่งรอบข้างก็เปลี่ยนไปตามเส้นทางนั้นไปด้วย

    เอ........ แล้วอย่างนี้ที่พวกเราได้มาคุยกับพี่นักเขียนเนี่ย ก็ได้รับผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนั้นของพี่นักเขียนด้วยหรือเปล่าหว่า...
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามจาก Alamo, Texas

    ท่านอาจารย์อนาลัยพยายามจะสอนให้เราเข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏในโลกทางกายภาพล้วนมีต้นกำเนิดของมันมาจากโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจินตภาพ การที่เราทั้งหลายรู้เห็นสิ่งต่างๆได้ในโลกทางกายภาพของเรานั้น เรารู้เห็นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งเป็นอวัยวะทางกายภาพที่แปลงข้อมูลอันเป็นจินตภาพมาเป็น รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสส่วนหนึ่ง แต่ยังมีข้อมูลทางจินตภาพอีกส่วนหนึ่งที่แปลงสภาพเป็นอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสำหรับคนทั่วไปแล้ว ข้อมูลที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น ที่เรามักเข้าใจว่า เป็นของจริง แต่ข้อมูลอื่นๆที่เป็นเพียงอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดนั้น มันจับต้องไม่ได้ เห็นหรือรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ได้ เราก็มักตัดสินง่ายๆว่า มันไม่ใช่ของจริง

    ตุ๊กตาที่เคยอยู่บนหิ้ง และถูกโยนทิ้งไปแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ได้มีอยู่ในภาวะที่เป็นกายภาพที่จะจับต้องและรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราก็มักจะปฏิเสธว่า มันไม่มีจริงอีกต่อไปแล้ว

    หากเราไม่กล่าวถึงตุ๊กตา แต่ลองหันมาพิจารณาถึงบุคคลที่เรารักที่สุดในชีวิต และเขาได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เรารู้สึกได้หรือไม่ว่า เขาไม่ได้หายสาบสูญไปอย่างไม่เหลือร่องรอยเลย แม้ว่าเราจะปราศจากความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของจิตวิญญาณ แต่เราก็คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า เขาผู้นั้นยังคงมีความเป็นจริงอยู่ในความทรงจำของเรา และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความทรงจำ มันก็มีความหมายกับเรามาก และไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย หากเรามีความผูกพันธ์กับผู้ตายอย่างลึกซึ้ง หลายคนๆจะพบว่า ยามหลับ ยามฝัน ที่ฝันถึงบุคคลที่เรารัก หากเขาเป็นพ่อแม่หรือลูกของเรา เราจะตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกถึงสัมผัส ถึงความอบอุ่นและความรักความผูกพันธ์ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่จืดจาง มันเป็นอารมณ์และความรู้สึกที่ลุ่มลึก แตกต่างไปจากอารมณ์อื่นๆที่เราอาจปลิดมันทิ้งได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องแยแสหรือหวลคิดถึงมันเลย ผู้ที่เผชิญกับความฝันในลักษณะดังกล่าวนี้ มักตื่นขึ้นมาพร้อมกับเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า เมื่อคืนนี้คุณพ่อมาหาในความฝัน จะมีกี่คนที่บอกว่า "พ่อฉันตายไปนานแล้ว เมื่อคืนนี้ฝันไร้สาระเห็นพ่อมากอดและให้ความรักที่ไม่มีจริงอีกต่อไปแล้ว พ่อก็ปราศจากตัวตนและความเป็นจริงไปนานแล้ว"

    พวกเรามักตีความหมายสิ่งต่างๆแตกต่างกันไป บางสิ่งบางอย่างที่เราเห็นในคุณค่าของมัน มันก็มีความเป็นจริงได้มากกว่าสิ่งที่ปราศจากคุณค่า

    ทีนี้ลองกลับไปพิจารณาตุ๊กตาที่เคยอยู่บนหิ้งอีกครั้ง การแยกแยะสิ่งต่างๆด้วยความเชื่อและความเข้าใจตื้นๆในโลกแห่งความเป็นจริงที่เรารู้จักตามเส้นทางแห่งกาลเวลาเพียงโลกเดียว ทำให้เราไม่อาจจะเข้าใจหรือตระหนักได้ว่า การสถิตย์อยู่และดำเนินต่อไปของสิ่งที่เคยเป็นอดีต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเช่นตุ๊กตา หรือสิ่งมีชีวิต เช่นบุคคลที่เรารัก ก็ยังคงมีอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินต่อไปในมิติอื่นที่เรารู้เห็นไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่รู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน ในความฝัน มีกี่คนที่เคยฝันถึงสิ่งของที่เป็นของรักของหวงที่หายไปนานแล้ว ฝันถึงบ้านเก่าที่เคยอยู่ แต่บ้านได้ถูกรื้อทิ้งไปหลายปีแล้ว แต่ทำไมจึงฝันว่า เราดำเนินชีวิตต่อไปในบ้านหลังนั้น

    หากเราใช้เพียงประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นมาตรฐานที่จะวัดความเป็นจริงทั้งหมดที่เรารู้เห็น เรามักจะพบว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกทั้งยามตื่น ยามหลับ และยามฝันที่เราไม่อาจเข้าใจได้ และอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมักทำให้เรารู้สึกโมโห ฉุนเฉียวกับสิ่งที่รับรู้หรือเข้าใจไม่ได้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ถ้าเราเปิดใจให้กว้างอีกนิด และหัดรับรู้สิ่งต่างด้วยอารมณ์อันลุ่มลึกอย่างเป็นธรรมชาติ อันได้แก่อารมณ์อยากรู้ ใฝ่รู้ ใฝ่หาความรู้ อันเป็นภาวะตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ นอกจากเราจะพบว่า นอกเหนือไปจากการรู้เห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เราเรียกมันว่าของจริงแล้ว เราสามารถรู้เห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆผ่านประสาทสัมผัสที่หก หรืออารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอันลุ่มลึกของเราได้อีกด้วย แม้ว่ามันจะจับต้องไม่ได้ แต่เราก็จะตระหนักได้ว่า มันคือของจริง

    วิทยาศาสตร์สอนให้เราเชื่อแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น และเรียกมันว่า ความเป็นจริง ดังนั้นสิ่งต่างๆที่นอกเหนือไปจากนั้น กลายเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และไร้ความเป็นจริง จะมีนักวิทยาศาสตร์กี่ท่าน ที่เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่คนรักคนใกล้ตัวที่ตายจากไป มาเข้าฝัน แล้วตื่นขึ้นมาโดยปราศจากอารมณ์อันลุ่มลึกแล้วกล่าวว่า มันช่างไร้สาระเสียจริง
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    วันนี้อยากจะขอความรู้จากพี่นักเขียนในเรื่องการถอดจิตเพราะเห็นพี่นักเขียนเขียนไว้ในหนังสือโลกแห่งความจริงหลากมิติ ก่อนอื่นก็อยากจะขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้พี่นักเขียนช่วยวิเคราะห์ก่อนนะคะ
    เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมาขจรวรรณได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน 4 คือ กำหนดทุกอิริยาบททั้ง กาย เดิน ยืน นั่ง นอน แต่เมื่อนั่งสมาธิก็สัมผัสรับรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ซ้อนอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งมีอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด แต่จะไม่ยอมอยู่ในสมาธิทำให้ต้องใช้พลังของตัวเองมากพอสมควรในการกำหนด อาจารย์ที่คอยสอบอารมณ์ก็จะให้กำหนดรู้ มาตลอดและบอกว่าสมาธิของเราสูงกว่าสติจึงต้องฝึกเพื่อให้สมาธิกับสติดำเนินไปพร้อม ๆ กัน แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่ตัวเองกลัวที่สุดก็คือตอนเข้านอนก่อนที่จะหลับมักจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากออกไปอย่างแรง ในตอนนั้นจะเป็นลักษณะเหมือนถูกเหวี่ยงให้ไปชนตามผนังห้องหรือเพดานห้อง และมีความรู้สึกเจ็บด้วยในขณะที่เกิดขึ้นก็กำหนดตลอดเวลาว่ารู้หนอ แต่เมื่อความกลัวเกิดขึ้นมากก็จะนึกถึงอาจารย์ให้มาช่วยด้วย ก็ยังไม่หายจากอาการนี้ จนเมื่ออาจารย์ที่สอบอารมณ์ท่านนั้นได้เสียชีวิตไปก็ไม่กล้าปฏิบัติธรรมด้านนี้อีก
    ต่อมาประมาณ ปี 2546 ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ตัวเองได้เข้าไปเรียนวิชาพลังจักรวาล ในตอนนั้นคิดว่าต้องการเรียนเพื่อฝึกจิตแต่พอเข้าเรียนอาจารย์ก็สอนแต่เรื่องการรักษาโรค และต้องเรียนไปตามระดับชั้น แต่พอเรียนระดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อาจารย์กลับบอกว่าเป้าหมายของการเรียนวิชานี้จริง ๆ แล้วเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้รู้แจ้ง จึงถึงบางอ้อขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามปัญหาเดิม ๆ ก็ยังอยู่ ก็คือก่อนนอนหลับจะมีความรู้สึกเหมือนถูกกระชากออกไปอย่างแรง แต่ครั้งนี้การพุ่งออกไปของจิตวิญญาณกับไปไกลและเร็วมาก เช่น ถูกเหวี่ยงออกไปนอกโลกและหมุนเคว้งไปรอบ ๆ โลก ซึ่งยิ่งทำให้กลัวมาขึ้นไปอีก เมื่อเกิดอาการดังกล่าวมีวิธีเดียวเท่านั้นที่นึกได้คือร้องเรียกให้อาจารย์ใหญ่ให้ช่วย ซึ่งบางครั้งท่านก็ช่วย แต่บางครั้งก็ไม่ช่วย และอาจารย์ก็ได้เคยกล่าวไว้ในระดับที่ตนเองเรียนอยู่ว่า ในระดับนี้ยังไม่อนุญาตให้นักเรียนถอดจิตเนื่องจากว่าเรายังมีพลังไม่พอ และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก็พึ่งจะทราบข่าวว่าอาจารย์ใหญ่ได้ละสังขารไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเหมือนตัวเองคุยกับตัวเองว่าไม่ต้องกลัวยังไงอาจารย์ก็ยังอยู่กับเราเสมอ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เรียนต่อในระดับต่อไปหรือไม่
    แต่ก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดอีกเหมือนกันที่ทำให้ขจรวรรณติดตามพี่นักเขียนเข้ามาในห้องวิทย์นี้ และกำลังศึกษาหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยอยู่ก็หวังว่าพี่นักเขียนจะแนะนำอะไรให้บ้าง เพราะขจรวรรณไม่ได้ยึดติดกับอาจารย์แต่มั่นใจว่ามวลความรู้ทั้งหลายต่างก็เป็นสัจธรรม อีกอย่างเคยถามในเวปของnovaanalia ครั้งนึงแล้วพี่นักเขียนแนะนำว่าให้กำหนดจิตก่อนนอนว่าเราต้องการรู้เห็นอะไรและต้องการไปไกลแค่ไหนนั้น ได้ลองไปฝึกแล้วตัวเองก็มักจะมีปัญหาเวลาที่ออกจากสมาธิใหม่ ๆ มักจะคิดอะไรไม่ออกเหมือนลืมสิ่งที่ตัวเองต้องการในขณะที่อยู่กับสภาวะทางกายภาพ ขนาดเพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ยังเรียงผิดเรียงถูกเลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ยังไม่ปรากฏอาการดังกล่าวอีกเลยค่ะ
    (bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    วิทยาศาสตร์สอนให้เราเชื่อแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น และเรียกมันว่า ความเป็นจริง ดังนั้นสิ่งต่างๆที่นอกเหนือไปจากนั้น กลายเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และไร้ความเป็นจริง
    .................................................................................

    เมื่อวานเพิ่งคุยกับลูกสาวของเพื่อนที่เป็นผู้จัดการธนาคาร
    ถึงเรื่องความเชื่อของเขาที่ยึดติดกับ วิทยาศาสตร์ คือต้องพิสูจน์ได้
    ได้อธิบายให้เขาเข้าใจ เกี่ยวกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้งห้า และ หก..พอเป็นพื้นฐาน แล้วให้เขามาศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม
    ในกระทู้นี้....เห็นเขาสนใจมาก
    และอาจจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วก็เป็นได้
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ค่อยๆฝึกพัฒนา สัมผัสที่หก ให้มีกำลังกันนะครับ
    ด้วยวิธีการของอาจารย์อนาลัย นำมาเผยแพร่โดยพี่นักเขียน
    เพียงแค่เริ่มต้นนิดเดียว สัมผัสที่หก ก็เริ่มจะใช้งานได้
    และได้อย่างมั่นใจด้วย มิใช่เหตุบังเอิญ เด็ดขาด
    ผมขอยืนยัน เพราะเพิ่งเกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับสัมผัสที่หก
    ที่เกิดกับตัวผมเอง เมื่อสายของวันนี้

    เล่าให้ฟังเพื่อเสริมความมั่นใจให้กันและกันนะครับ
    คือ มีน้องคนหนึ่งโทรมาถามว่า เขาทุกข์ทรมาณทางกาย
    (ไม่สบาย)มากว่า 4 ปีแล้ว ไปหาหมอ หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ
    ไปหาพระ พระท่านก็ทักว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาทวงสัจจะที่รับปากเขาไว้
    เลยต้องทุกข์กายถึงบัดนี้ ไปหาผู้มีญาณสัมผัส 2-3 แห่งเขาก็ว่า มีฤๅษี จะมาอยู่ร่วมบำเพ็ญบารมี ทำนองนี้

    ตอนน้องเขาโทรมา ไม่ได้บอกรายละเอียดแต่อย่างใด
    เพียงถามว่า มีครูบาอาจารย์ท่านใด มาสอนวิชา
    และให้ความคุ้มครอง...ชั่วแวบเดียว
    ประสาทสัมผัสที่หก เห็นในจินตภาพเป็นฤๅษีนุ่งผ้าลายเสือสีเข้มจัด
    จึงบอกเขาไปตามความรู้สึกที่แวบขึ้นมา

    น้องเขาบอกว่าถูกตรงเผงเลย
    ทำให้เขามั่นใจยิ่งขึ้น..และจะหาวิธีที่ถูกต้องต่อไป.
     

แชร์หน้านี้

Loading...