เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    เพิ่งฟัง เสียงท่านอนาลัย ขนลุกค่ะ น้ำตาไหลเลย ฟังแล้วตัวพอง~ กำลังเมื่อยตาอยู่พอดี ฟังแล้วก็ผ่อนคลายดี แนะนำว่าควรจะสลับกันทั้งฟังและอ่าน จะอ่านได้นานกว่าปกตินะคะ ~

    อ่อ มะเป็นไรหรอกคะคุณ mead เพราะอ่านแล้วเดี๋ยวก็ต้องมาอ่านใหม่อีกอยู่ดี อ่านกี่ทีๆ ก็ไม่เบื่อ~

    ********เมื่อไหร่ คุณน้านักเขียนจะมาอีกนะ********
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2007
  2. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    ต้องขอบคุณ คุณMeadจริงๆครับที่มาแบบทันใจทั้งภาพและเสียงเลย

    เห็นด้วยกับคุณMeadครับว่าการที่เราได้รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางกายภาพมาอาจทำให้จินตนาการไปตามนั้น เช่นทำให้เห็นลักษณะ รูปร่าง หน้าตา และการแต่งกายของท่านพระยายมฯเหมือนกัน แสดงว่าขณะที่ฝันหรือจิตวิญญาณออกจากร่างนั้น สติสัมปชัญญะยังยึดติดกับความเชื่อทางกายภาพอยู่? ทีฝรั่งหรือคนต่างชาติอื่นๆทำไมไม่เห็นพระยายมฯเหมือนกันกับที่คนไทยเห็น ใช่ไหมครับ?
     
  3. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    ฟังมาได้ซักพัก ขอบอกว่าตอนแรกมีคำพูดมากมายในหัว แต่ตอนนี้เหลืออยู่ประโยคเดียว....i got u ,Analai. แค่นั้น นอกนั้นจุกพูดไม่ออก.........

    ขอบคุณน้านักเขียนมาก คุณมิด และก็ทุกคนที่ทำให้เกิดสื่อนี้ขึ้นมา เพราะถ้าไม่มีพวกคุณ..... พูดไม่ถูกเลยล่ะ ว่ามันมีประโยชน์มากแค่ไหน หวังเพียงแต่ว่ามันจะถูกใช้ให้ดี ใช้ให้เป็นก็แค่นั้น อย่างอื่นไม่ห่วงเลย บุญมหาศาล ขออนุโมทนาดังๆสามครั้งเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ~

    ขอบอกอีกทีว่าอึ้งกับท่านผู้นี้มากไม่ว่าคุณจะเป็นใครอะไรก็ตาม ขอนับถือให้เป็นยิ่งกว่าอาจารย์ของสามโลก~

    คือ อาจจะฟังดูต๊องๆ แต่จะให้บ๊องกว่านี้ ก็คงสรรหาภาษามนุษย์มาบรรยายไม่ได้แล้ว ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อ แค่จิตที่รักทุกๆคนเหมือนเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมา ต้องลองฟังดู อ่านดู .... จริงๆนะ .... -.- ~
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับ มนุษย์

    จากหนังสือ ชีวิตนอกเหนือชาติภพ

    บทที่ ๘
    การขยายตัวของสติสัมปชัญญะ

    ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์หรือพระเจ้าเกิดขึ้นพร้อมๆกันกับการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ ตัวตนภายนอกและสติสัมปชัญญะ-ซึ่งเป็นตัวตนที่เธอคิดว่า-เป็นของเธอ-คือเธอ-อุบัติขึ้นและต้องการที่จะรู้สึกถึงอิทธิพลและอำนาจในการควบคุม ตัวตนภายนอกของมนุษย์จึงจินตนาการพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แปลกแยกไปจากธรรมชาติ

    โดยปกติแล้วประเทศชาติหนึ่งกระทำการเสมือนกลุ่มของตัวตนภายนอกและสติสัมปชัญญะ-ซึ่งเป็นตัวตนที่เธอคิดว่า-เป็นของเธอ-คือเธอ แต่ละประเทศชาติมีภาพพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพลังอำนาจของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ชนเผ่าหรือประเทศหนึ่งๆตัดสินใจที่จะเข้าสู่สงคราม ชนเผ่าหรือประเทศนั้นๆจะใช้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปัจจัยนำ

    ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญของตัวตนภายนอกและสติสัมปชัญญะ-ซึ่งเป็นตัวตนที่มนุษย์คิดว่า-เป็นของเขา-คือเขา (หน้า 84)

    บางลัทธิความเชื่อสอนให้เธอไม่รักและไม่พอใจในร่างกายเนื้อหนังของเธอ บางลัทธิความเชื่อสอนให้เธอรักพระเจ้าหรือสิ่งที่อยู่เหนือมนุษย์ แต่ไม่มีลัทธิความเชื่อใดสอนให้เธอรักความศักดิ์สิทธิ์-พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และความสามารถเหนือมนุษย์ของจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนังของเธอ และอยู่ภายในตัวตนของเธอ

    อย่างไรก็ตาม-ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งศาสนาทั้งหลายคล้อยตามพัฒนาการของจิตวิญญาณเสมอ ศาสนาสนับสนุนเป้าหมายของศาสนาและเป็าหมายส่วนบุคคล และศาสนาก็สะท้อนให้เห็นถึงโลกแห่งความเป็นจริงของตัวตนอันยิ่งใหญ่กว่าเสมอแม้ว่าจะบิดเบือนไปบ้างก็ตาม

    ในนัยแห่งประวัติศาสตร์-ตามที่เธอเข้าใจ ความก้าวหน้าของศาสนาทำให้เธอเห็นภาพอันดีเลิศในพัฒนาการของจิตวิญญาณของมนุษย์-ความแตกต่างของมนุษย์-ประเทศชาติและความก้าวหน้าของความคิดส่วนบุคคล


    ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการเป็นบุคคล-ตัวตน-เรา-เขา ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ฉันไม่ได้กำลังพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอเชื่อว่า การเป็นบุคคล-ตัวตน-เรา-เขาเป็นสิ่งที่จะต้องสลายตัวไปหรือถูกแทนที่ และฉันก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรจะถูกนำไปฝัง เก็บกดหรือมลายหายไปในความเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และฉันก็ไม่ได้หมายความว่ามันควรจะถูกแทนที่ด้วยพลังอำนาจของจิตไร้สำนึก

    ฉันหมายความว่าการเป็นบุคคล-ตัวตน-เรา-เขา จะต้องเป็นไปด้วยสติสัมปชัญญะที่รู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงที่กว้างกว่าและยอมให้การตระหนักในความเป็นเอกลักษณ์ของตัวตนขยายครอบคลุมความรู้ในระดับจิตไร้สำนึก

    การที่เธอจะทำเช่นนั้นได้ เธอจะต้องเข้าใจว่ามนุษย์จำเป็นต้องก้าวไปไกลกว่าความคิดรวบยอดแคบๆเกี่ยวกับ-เทพ-เทวดา-พระเจ้า-ภาวะหรือพลังอำนาจเหนือมนุษย์และการเป็นบุคคล-ตัวตน-เรา-เขาเพียงแค่บุคคลเดียว-ร่างเดียว-โลกเดียว มนุษย์กำลังก้าวไปสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง (หน้า 88)

    บทที่ ๑๒
    เทพเทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับ
    การพัฒนาจิตวิญญาณ


    แม้เธอทั้งหลายมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในกาลเวลา แต่จินตภาพของเทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์หรือพระเจ้าก็สะท้อนให้เห็นภาวะที่มนุษย์ปรารถนาให้จิตวิญญาณเป็นไปในอนาคต ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์หรือพระเจ้าทำหน้าที่เป็นแบบพิมพ์เขียว อันเป็นจินตภาพเช่นเดียวกับแบบพิมพ์เขียวของสถาปนิก แตกต่างกันเพียงแค่ว่าเป็นแบบพิมพ์เขียวต่างระดับกัน (หน้า 147)


    บทที่ ๑๗
    เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับ มนุษย์


    ระบบโลกแห่งความเป็นไปได้มีแบบพิมพ์เขียวชุดจำเพาะของมันซึ่งระบุอิสรภาพและขอบเขต และโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณและคุณค่าชีวิต แบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นไม่ใช่ภาพภายในอันดีเลิศ และในบางระดับแบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงได้ เพราะการกระทำภายในระบบความเป็นไปได้จะเปลี่ยนแปลงและขยายภาพทั้งหมด

    ดังนั้นแบบพิมพ์เขียวจึงเป็นเสมือนการวางแผนงานภายในที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถานการณ์
    แต่ในบางระดับแบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นก็เป็นความคิด-อันเป็นอุดมการณ์

    บุคคล-ตัวตนเช่นเธอทั้งหลายต่างก็มีแบบพิมพ์เขียว ซึ่งบรรจุไปด้วยข้อมูลจำเป็นที่จะสร้างตัวตนที่เธอพึงพอใจในระบบความเป็นไปได้ที่เธอรู้จัก

    แบบพิมพ์เขียวเหล่านี้มีอยู่ในชีวภาพ และมีอยู่ในทุกระดับทางกายภาพ-จินตภาพและจิตวิญญาณ ข้อมูลเหล่านั้นสานอยู่ในยีนส์และโครโมโซม แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปต่างหากไปจากยีนส์และโครโมโซมด้วย โครงสร้างทางกายภาพเป็นเพียงภาพสะท้อนของข้อมูลเหล่านี้

    เผ่าพันธุ์ของมวลมนุษย์มีแบบพิมพ์เขียวอยู่ภายในภาวะจิต มันมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในโลกภายในซึ่งแยกไปจากโลกภายนอกทางกายภาพ เธอทั้งหลายต่างก็นำเอาข้อมูลจากแบบพิมพ์เขียวเหล่านี้มาสร้างทฤษฎี ความคิด อารยธรรมและเทคโนโลยี โดยแปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็นภาวะทางกายภาพ

    นักปรัชญาในสมัยโบราณมองเห็นโลกภายในเป็นโลกที่ดีเลิศ แต่การที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไปสู่ภาวะที่ดีเลิศหมายถึงว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    รู้เห็นแต่ไม่รับ-ทำได้เสมอ-ดัวยการมีสติ

    พี่นักเขียนได้คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ชิวิตนอกเหนือชาติภพ ซึ่งมีสาระเกิี่ยวกับ พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาให้ศึกษากัน ก่อนที่จะออกความเห็นเกี่ยวกับคำถามและประสบการณ์ทืี่คุณน้องขจรวรรณเล่าให้ฟ้งนะคะ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นความคิดรวบยอดอันเป็นอุดมการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือตั้งเป้าหมายไว้ว่า จิตวิญญาณของเขาจะพัฒนาไปสู่ แต่มนุษย์ก็นำเอาภาพลักษณ์ฺหรือความสามารถอันสูงส่งของจิตวิญญาณไปวางไว้นอกตัวตนของมนุษย์ กล่าวง่ายๆได้ว่า มนุษย์ยกให้คุณสมบัติเหนือชั้นทั้งหลายอันเป็นคุณสมบัติอันแท้จริงของจิตวิญญาณ เป็นของพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แทนที่จะตระหนักความเป็นจริงที่ว่า เราคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง ดังน้้นพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ในตัวเรา

    เมื่่อเราพูดกันถึงร่างทรง ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่า ผู้ที่เป็นร่างทรงทั้งหลายคือมนุษย์ที่มีร่างกายเนื้อหนังไม่ต่างไปจากเรา เขามีความเชื่อส่วนบุคคลไม่น้อยไปกว่าเราทั้งหลาย และมักจะมีความเชื่อส่วนบุคคลหรือความเชื่อตามลัทธิหรือศาสนาอีกต่างหาก

    เราจะพิจารณาได้ไม่ยากว่า สิ่งที่เขายึดถือนั้นเป็นความเชื่อหรือเป็นความรู้ ด้วยการพิจารณาจากการรู้เห็นของเขา หากเขารู้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจรู้เห็นได้ เช่นการรู้เห็นบุคลิกภาพจำเพาะตามศาสนาของเขา ซึ่งบุคคลต่างศาสนาไม่มีวันเห็น การประพฤติปฏิบัติที่เป็นไปตามลัทธิความเชื่อจำเพาะซึ่งไม่ปรากฏในศาสนาหรือวัฒนธรรมอื่นใดในโลก การรู้เห็นหรือพฤติกรรมนั้นๆก็เป็นไปตามความเชื่อ เพราะความรู้ย่อมเป็นของกลางของสากลโลก ไม่ว่าจะปรากฏในชาติใด ศาสนาใดในโลก ก็เสมอเหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงที่คำนิยามที่ใช้ และความแตกต่างที่เกิดขึ้นเพราะภาษาเท่านั้น

    จิตวิญญาณปราศจากขีดจำกัด และจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นระบบเครือข่าย หากจะกล่าวว่า จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อจากรูปกายหนึ่งไปสู่อีกรูปกายหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้แปลกประหลาด และเป็นไปอยู่ตลอดวันเวลาทั้งยามตื่นและยามฝัน เมื่อใดที่เราตกอยู่ในภาวะที่ว่า "ใจตรงกัน" เราไม่เคยคิดว่าจิตวิญญาณอันเป็นความรู้ที่เราคิดว่าอยู่ใต้ผิวหนังของเรา-เป็นของเรา ไม่เคยอยู่กับที่อย่างที่เราคิด มันผ่านเข้าออกร่างกายเนื้อหนังอื่นๆ สมองอื่นๆ ทำให้ความคิดของมนุษย์โลกประสานกันเป็นหนึ่งเดียว มิฉะนั้นโลกก็จะเป็นโลกอยู่ไม่ได้ เรามองเห็นศาสตร์ต่างๆทางโลก เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสาขาวิชาที่ผูกพันธ์กัน ประสานกัน ศิลปะเจริญได้ด้วยการอาศัยวิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์เจริญได้ก็อาศัยศิลปะศาสตร์ กล่าวได้ว่า ทุกศาสตร์ประสานกันเป็นระะบบเครือข่ายตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ อันเป็นองค์ความรู้

    เมื่อเราตีความหมายพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์ เราก็มองเห็นร่างทรงหรือคนทรงผู้ซึ่งเข้าใจว่าตนเองรับเอาจิตวิญญาณพิเศษเหล่านั้นเข้ามา เป็นบุคคลที่พิเศษหรือผิดแผกไปด้วย หากคนทรงจะพิเศษ ก็น่าจะกล่าวได้ว่า ความพิเศษนั้นเกิดจากการที่เขายอมให้ธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณทำงานได้ตามธรรมชาติ คนทรงบางคนจึงดูเสมือนจะรู้อดีตและอนาคต หรือรู้เห็นสิ่งต่างๆนอกเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า ตือรู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกหรือประสาทสัมผัสภายใน การได้ยืินเสียงเทพหรือพรหมก็เป็นการได้ยินดัวยประสาทสัมผัสภายในเช่นกัน

    เมื่อบุคคลเหล่านี้แนะนำผู้อื่นว่า ดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอำนาจหรือประกาศิตของพระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มาบอกกล่าว หากแต่ว่าความเชื่อของผู้ฟ้ง เป็นอำนาจประหลาดที่ทำให้ชีวิตของเขาเป็นไปตามนั้น

    มนุษย์เราสูญเสียอำนาจก็ต่อเมื่อเรายกอำนาจให้กับบุคคลอื่นหรือสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนของเรา ท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้ปฏิเสธว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง หากแต่ืท่านกล่าวว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งหมายถึงว่า มีอยู่ในจิตวิญญาณซึ่งเป็นแก่นแท้ของเราและสถิตย์อยู่กับเราตลอดวันเวลา

    การรับขันธ์ เป็นพิธีกรรมทางโลก จิตวิญญาณอยู่นอกเหนือพิธีกรรมหรือภาวะทางกายภาพ ไม่ว่าเราจะจุดธูปหรือไม่จุดธูป จิตวิญญาณก็เดินทางอยู่ตลอดวันเวลา การจุดธูป การรับขันธ์ หรือพิธีกรรมต่างๆ เป็นเพียงกระบวนการที่ช่วยให้สติสัมปชัญญะของผู้เข้าร่วมพิธีกรรมเกิดการจดจ่อ และทำให้รู้เห็นการเป็นไปของจิตวิญญาณได้ชัดเจนขึ้น

    สรุปได้ว่า พิธีกรรมของการรับขันธ์ ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลรับเอาจิตวิญญาณต่างๆเข้าสู่ร่างกายเนื้อหนัง หากเรารู้จักความหมายที่แท้จริง ตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณคือความรู้ ความรู้คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณ คือ ข้อมูล ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด

    เราจะพบว่า การเป็นร่างทรงก็ดี หรือการรู้จักใช้ประสาทสัมผัสที่หกที่จะรู้เห็นข้อมูลความรู้นอกเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ดี ล้วนเป็นภาวะที่จิตวิญญาณอันเป็นร่างกายเนื้อหนังหนึ่งๆ ได้รับความรู้
    พฤติกรรมที่แสดงออกทางกายภาพทั้งหลาย หากเป็นไปเพื่อแสดงออกซึ่งความรู้-ความสามารถและทักษะที่มีคุณค่า ก็เรียกได้ว่า เป็นการแปลงสภาวะอันเป็นความรู้ซึ่งเป็นจินตภาพ ให้กลายเป็นความรู้ที่เป็นกายภาพ เช่น ผู้ที่นำความรู้ในการรักษาโรค มาใช้กดจุด ฝังเข็ม จับเส้น ประกอบยาสมุนไพร ผู้ที่นำจินตภาพมาแสดงออกเป็นงานศิลปะที่ประทับใจผู้ชม ผู้ฟัง เป็นต้น แต่ไม่ว่าร่างกายของเราจะแสดงออกทางกายภาพอย่างไร สติสัมปชัญญะของเราก็เป็นผู้เลือกและกำหนดให้เป็นไปเสมอ

    พี่นักเขียนเองก็เคยไปรับขันธ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขณะที่เฝ้าดูคนอื่นๆลุกขึ้นร่ายรำในท่าต่างๆ เพื่อนที่ไปด้วยกันบอกกับพี่นักเขียน "พี่...หนูอายเขาตายถ้าต้องลุกขึ้นรำแบบนั้น หนูจะไม่ยอมรำเด็ดขาด ถ้าหนูหลุด พี่ต้องหยิกหนูแรงๆเลยนะ" พี่นักเขียนบอกเขาว่า "อยู่ที่เราเลือก ตั้งสติให้ดีๆแล้วกัน" ผลปรากฏว่า พี่นักเขียนกับเพื่อนไม่ได้ลุกขึ้นร่ายรำเหมือนใครๆเขา แต่การถูกกำหนดให้นั่งในท่าพนมมืออยู่นานกว่าชั่วโมง พร้อมด้วยคำพูดโน้มน้าวที่เปรียบได้กับการสะกดจิตของผู้ประกอบพิธี ทำให้มือที่พนมอยู่เลื่อนออกไปจากตำแหน่งเดิมและไปบรรจบในท่าที่เป็นไปตามการกล่าวโน้มน้าวของผู้ทำพิธี แทบจะกล่าวได้ว่า เมื่อเมื่อยสุดๆแล้ว จะให้ทำท่าอะไรก็ยอมทำแล้ว ดีกว่าค้างอยู่ท่าเดิม

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้บ่อยครั้งว่า "เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชิื่อของเธอ"
    ดังนั้นผู้ที่เชื่อว่าการรับขันธ์ ทำให้เขารับเอาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเข้าสู่ตัวตนของเขา ก็ต้องแก้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อ การเชื่อว่าเราทั้งหลายคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง พร้อมดัวยพลังอำนาจตามธรรมชาติที่สามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วย จินตนาการ ความเชื่อและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของตนเอง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราตระหนักได้ว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปรับเอาสิ่งอื่นใดจากภายนอกเข้ามาอีก แม้คิดหรือเชื่อว่าได้รับมาแล้ว และไม่พอใจ ทางเลือกก็ยังเป็นของเราอยู่เสมอ รู้เห็นแต่ไม่รับ-ทำได้เสมอ-ดัวยการมีสติ
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    รู้เห็นภาวะของความตาย-ได้จากความฝัน-ในปัจจุบัน

    จากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ (ภาคต้น)
    บทที่ 8 ประสบการณ์ในการตาย


    เกิดอะไรขึ้นเมื่อถึงจุดแห่งความตาย?
    คำถามนี้งายกว่าคำตอบมาก
    โดยพื้นฐานแล้วกล่าวได้ว่า จุดแห่งความตายที่จำเพาะเจาะจง-ไม่มีจริง แม้แต่ในกรณีที่เธอทั้งลายเรียกกันว่า เป็นการตายอย่างฉับพลันในอุบ้ติเหตุก็ตาม ฉันปรารถนาที่จะให้คำตอบที่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่เธอ คำถามที่มีประโยชน์ในทางปฺฏิบัติสำหรับพวกเธอทั้งหลายจึงน่าจะเป็นคำถามต่อไปนี้:

    - จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นร่างกายเนื้อหนัง?
    - เธอจะรู้สึกอย่างไไรเมื่อถึงแก่ความตาย ?
    - หลังความตาย เธอจะยังคงรู้สึกว่า เป็นตัวเธออยู่ต่อไปหรือไม่?
    - อารมณ์ของเธอที่เคยผลักดันให้เธอมีชีวิตอยู่จะดำเนินต่อไปหรือไม่?
    - สวรรค์-นรก มีจริงหรือไม่?
    - หล้งความตายเธอจะเผชิญกับอสุรกาย เทพ-เทวดา นางฟ้า พระเจ้า ครอบครัว ญาติมิตร พี่น้อง คนที่เธอรักหรือรักเธอ หรือศัตรู?
    - เมื่อตายไปเธอจะยังคงเป็นเธอเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ต่อไปหรือไม่ และเธอจะจดจำบุคคลที่เธอรักได้ต่อไปหรือไม่ ?

    ฉันจะตอบคำถามเหล่านี้ แต่ก่อนที่ฉันจะทำเช่นนั้นได้ มีหลายสาระที่เธอจำเป็นจะต้องรับมือเสียก่อนที่เธอจะสามารถพิจารณาถึงธรรมชาติของชีวิตและความตายได้

    ก่อนอื่นขอให้เธอพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ฉันกล่าวว่า
    จุดแห่งความตายที่จำเพาะเจาะจง-ไม่มีจริง

    ชีวิตและความตายปราศจากรอยต่อหรือการแบ่งแยกอันชัดเจน

    ชีวิตคือภาวะที่อยู่ในกระบวนการ-การเปลี่ยนแปลง และความตายก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ-การเปลี่ยนแปลง เธอทั้งหลายกำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ จิตวิญญาณของเธอรู้ดีถึงการมีชีวิตอยู่

    จิตวิญญาณของเธอมีสติสัมปชัญญะที่เรืองรองด้วยความรู้ความเข้าใจ อยู่ท่ามกลางซากศพของเซลล์และเซลล์ที่กำลังจะตาย ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณก็มีชีวิตชีวาอยู่ในอะตอมและโมเลกุลในร่างกายเนื้อหนังของเธอ อะตอมและโมเลกุลเหล่านั้นตายและเกิดใหม่อยู่ตลอดวันเวลา เธอทั้งหลายต่างก็มีชีวิตอยู่ท่ามกลางการตายย่อยๆ บางส่วนของร่างกายเนื้อหนังของเธอร่วงหล่นไปทุกขณะจิต และก็ถูกสร้างขึ้นทดแทนใหม่ แต่เธอก็แทบจะไม่เคยทดความคิดไว้ให้กับสาระเหล่านี้

    ในนัยทางกายภาพกล่าวได้ว่า เธอมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่่ามกลางความตายของตนเองในบางระดับ เธอมีชีวิตอยู่โดยไม่คำนึงถึงความตาย และการเกิดใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดวันเวลาในร่างกายเนื้อหนังของเธอ

    หากเซลล์ในร่างกายของเธอไม่ตายและไม่ได้รับการชุบชีวิตใหม่ ร่างกายเนื้อหนังของเธอจะมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไปไม่ได้ ในขณะปัจจุบันนี้ จิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปัชญญะของเธอกำลังกะพริบอยู่ พร้อมๆกันกับที่รูปกายของเธอเปลี่ยนไป เธออาจเปรียบสติสัมปชัญญะของเธอได้กับหิ่งห้อย เพราะแม้ว่าเธอจะรู้สึกเสมือนว่า สติสัมปชัญญะของเธอคงสภาวะอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ได้เป้นเช่นนั้น

    สติสัมปชัญญะของเธอกะพริบ เปิด-ปิด อยู่ตลอดเวลาดังเช่นที่ฉันได้กล่าวมาแล้ว แต่สติสัมปชัญญะของเธอก็ไม่เคยดับสนิทหรือมอดไป และการจดจ่อของสติสัมปชัญญะของเธอก็ไม่ได้คงที่อย่างที่เธอรู้สึกหรือคาดคะเน

    เธอทั้งหลายต่างก็มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความตายอันหลากหลาย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตระหนักเลยก็ตาม เธอตายบ่อยๆ ท่ามกลางการมีชีวิตอันเรืองรองสว่างไสวอย่างมีสติสัมปชัญญะ

    ความตายในนัยของเธอหมายถึงการไม่ได้จดจ่อกับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพอีกต่อไป จิตวิญญาณของเธอไม่ได้มีชีวิตทางกายภาพและไม่ได้จดจ่อกับภาวะทางกายภาพอย่างสม่ำเสมอ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานทั้งชีวิตเสมือนที่เธอรู้สึกว่า เธอมีชีวิตอยู่ในร่างกายเนื้อหนังและจดจ่อกับภาวะทางกายภาพตลอดเวลา-ทั้งชีวิต

    แม้ว่าสาระนี้อาจจะฟังดูสับสน แต่ฉันก็ปรารถนาที่จะทำให้เธอเข้าใจได้กระจ่างขึ้นว่า จิตวิญญาณของเธอ จดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะอย่างเป็นจังหวะ กับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ และ ภาวะของร่างกายเนื้อหนังอันเป็นกายภาพ แต่เธอไม่อาจมีสติรู้เห็นจังหวะเหล่านี้ได้

    ในชั่วพริบตาหนึ่งจิตวิญญาณของเธอมีชีวิตอยู่ด้วยการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ และในชั่วพริบตาต่อไป จิตวิญญาณของเธอมีชีวิตอยู่ด้วยการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกับโลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่นทีแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

    ตามความคิดของเธอกล่าวได้ว่า ในช่ัวพริบตานี้-เธอตกอยู่ในภาวะของความตายหรือปราศจากชีวิตชีวา ในชั่วพริบตาต่อไป-จิตวิญญาณของเธอก็กลับมามีชีวิตชีวาอยู่ด้วยการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกับโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของเธออีก

    แต่เธอก้ไม่สามารถมีสติรู้เห็นถึงความตายหรือปราศจากชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นระหว่างจังหวะของการมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกมีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นจากการหนุุนเนื่องของจังหวะของการมีชีวิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ

    ในที่นี้เธอจะต้องเข้าใจถึงคำอธิบายถึงจังหวะของการมีชีวิตอยู่ว่าเป็นเพียงอุปมาอัปมัยตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เธอรู้จัก เพราะเมื่อฉันใช้คำว่า ชั่วพริบตา มันหมายถึงการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกันหมด แต่ในขณะเดียวกันเธอก็จะต้องไม่ตีความหมายคำว่าฉับพลันอย่างตรงไปตรงมาเกินไป เพราะจิตวิญญาณมีเบื้องหลัง

    ในนัยเดียวกันนี้กล่าวได้ว่า อะตอมและโมเลกุลมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป ด้วยการตายหรือไม่มีชีวิตชีวา แะมันก็กลับมาเป้นหรือมีชีวิตชีวาใหม่ในระบบโลกของเธออีก โดยที่เธอไม่สามารถรู้เห็นถึงชั่วพริบตาทีี่มันไม่ได้มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป.....
    .(156-159)

    ......กระบวนการของการตาย-การเกิดใหม่-เพื่อแทนที่ในร่างกายเนื้อหนังของเธอเป็นไปอย่างราบรื่นแยบยลจนเธอไม่อาจรู้เห็นได้ จังหวะของการตายและการเกิดใหม่ที่ฉันได้กล่าวถึงมาแล้ว มีจังหวะสั้นมาจนสติสัมปชัญญะของเธอกระโดดข้ามไปอย่างร่าเริง และแม้ว่าจังหวะจะยืดยาวออกไปแต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอก็ม้อาจรู้เห็นจังหวะเหล่านี้ได้อยู่ดี

    เธอทั้งหลายจะรู้เห็นจังหวะที่ยืดยาวออกไปได้ก้ต่อเมื่อถึงแก่ความตาย สิ่งที่เธอต้องการรู้คือ- อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อจิตวิญญาณของเธอเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปจากโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ และอะไรจะเกิดขึ้นในชั่วขณะที่ดูเสมือนว่า จิตวิญญาณของเธอปราศจากร่างกายเนื้อหนังที่จะสวมใส่ ในทางปฏิบัติแล้วกล่าวได้ว่า ฉันไม่มีคำตอบให้เธอแต่ะคนอย่างจำเพาะเจาะจง แต่ฉันมีคำตอบโดยทั่วไปให้ ซึ่งเป็นคำตอบที่จะครอบคลุมถึงสาระหลักของประสบการณ์ในการตาย

    เธอทั้งหลายจะต้องเข้าใจว่า ประสบการณ์ในการตายที่จิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะของเธอจะเผชิญ ขึ้นอยู่กับการตายแต่ละประเภื ปัจจัยหลักที่จะเหนี่ยวนำไปสู่ประสบการณ์ในการตายคือการพัฒนาของจิตวิญญาณ และคุณลักษณะของวิธีการที่จิตวิญญาณจะรับมือกับประสบการณ์

    ความคิดของเธอเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความเป็นจริง เป็นปัจจัยหลัก ที่จะย้อมสีหรือบิดเบือนประสบการณ์ในการตาย

    เธอจะตีความหมายประสบการณ์ในการตายไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความเชื่อของเธอ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ เธอก็ตีความหมายประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเธอไปตามความคิดและความเชื่อของเธอว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นไปได้ และอะไรคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เมื่อถึงแก่ความตาย-จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปจากร่างกายเนื้อหนังของเธออย่างรวดเร็วหรือเชื่องช้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายปัจจัยด้วยกัน หากเธอเสียชีวิตด้วยความชรา ส่วนใหญาของบุคลิกภาพของเธอได้จากร่างกายไปแล้วก่อนหน้านั้น และได้เผชิญกับภาวะใหม่ๆ

    ถ้าหากเธอกลัวความตาย ความกลัวจะทำให้เธอเผชิญกับความตายด้วยความตื่นตระหนก และปรารถนาที่จะปกป้องรักษาความเป็นบุคคลตัวตนของเธอไว้ ความกลัวและการปกป้องการเป็นบุคคลตัวตนจะทำให้สติสัมปชัญญะขาดความคมชัด มันจะทำให้เธอตกอยู่ในภาวะหมดสติ หรือที่เธอเรียกกันว่า-โคม่า ซึ่งเธออาจต้องใช้เวลาที่จะฟื้นคืนสติกลับมา

    ความเชื่อในนรกและไฟนรกจะสร้างภาพหลอนให้เธอเห็นขุมนรก ความเชื่อในสวรรค์จะสร้างภาพหลอนให้เธอเห็นภาวะของสวรรค์

    ไม่ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เป็นร่างกายเนื้อหนังใกล้ตายหรือตายแล้ว เธอก็ยังคงสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความคิด-ความเชื่อและความคาดหวังของเธอเสมอ เพราะมันคือธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณในโลกแห่งความเป็นจริงทุกโลกที่เธอดำเนินไป

    แต่ฉันขอรับรองกับเธอว่า ภาพหลอนเหล่านั้นจะเป็นไปเพียงชั่วคราว
    (หน้า 156-163)

    สภาพแวดล้อมหลังความตายไม่ได้เป็นภาวะที่มืดมนโศกเศร้าหรือน่ากลัว ในทางตรงกันข้าม-สภาพแวดล้อมหลังความตายเป็นสภาพแวดล้อมที่เข้มข้นกว่าและร่าเริงเบิกบานกว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอรู้จักเสียอีก

    แม้ในความฝันที่นักเขียนทำหน้าที่เป็นมัคคเทศก์ผู้ดูแลทารกจำนวนมากมาย ก็เต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบาน-เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะ การทำงานของเขาไม่ได้เป็นไปอย่างโดดเดี่ยว เขาเป็นหัวหน้าแต่เขาก็มีผู้ร่วมงานและมีอาจารย์ใหญ๋ผู้ให้คำแนะนะ ตลอดจนให้กำลังใจสนับสนุนเขา


    ฉันกล่าวถึงหน้าที่การงานในความฝันเหล่านี้ เพราะมันเป็นหน้าที่การงานที่เธอทั้งหลายจะเลือก-และทำ-หลังความตาย แต่เมื่อฉันกล่าวเช่นนี้ ฉันก็ต้องกล่าวย้ำถึงธรรมชาติแห่งความเป็นจริงที่เธอทั้งหลายยังไม่อาจคงความรู้ไว้ในสติสัมปชัญญะได้ตลอดเวลาว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เธอสามารถรู้เห็นภาวะของความตาย ภาวะหลังความตายและประสบการณ์หลังความตาย ตลอดจนภาวะก่อนมาถือกำเนิดในวงจรของชาติภพ ตลอดจนภาวะที่เป็นไปนอกเหนือวงจรของชาติภพได้จากความฝัน-ในปัจจุบัน (หน้า 166-167)
     
  7. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    มนุษย์ถือกำเนิดมาพร้อมด้วยความมหัศจรรย์-เหินฟ้า
    และความเรียบง่าย-เดินดิน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์-พระเจ้าหรือเทพ-เทวดา
    มีอยู่ในตัวมนุษย์

    มนุษย์เราสูญเสียอำนาจก็ต่อเมื่อเรายกอำนาจให้กับบุคคลอื่นหรือสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนของเรา ท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้ปฏิเสธว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง หากแต่ืท่านกล่าวว่า พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งหมายถึงว่า มีอยู่ในจิตวิญญาณซึ่งเป็นแก่นแท้ของเราและสถิตย์อยู่กับเราตลอดวันเวลา
    หากทุกคนตระหนักเข้าใจ เชื่อมั่นคำสอนดังกล่าว ความทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยนานาประการ อันเกิดจากความดิ้นรนเฝ้าแสวงหาที่พึ่งอื่นนอกเหนือตนอย่างไม่สิ้นสุด ก็จะดับลงได้ เพราะว่าแท้จริงแล้วอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่แสวงหามีอยู่พร้อมสถิตย์ในตัวตนของเรานี่เอง โดยไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนอีกแล้ว
    สาธุต่อความอันประเสริฐที่ท่านอาจารย์มอบไว้
     
  8. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    เมื่อคืนลองดูมาแล้ว ปรากฎคุยกับตัวเองในฝันได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อแต่เป็นไปแล้ว OwO ครายลองทำแล้วมั่งมาเล่าให้ฟังในนี้หน่อยอย่างรู้ๆๆๆ~

    กำลังพยายามหลุดจากความเชื่อเดิมๆ แต่ตอนนี้ถามว่าจะล้างออกง่ายเหมือนขี้โคลนที่เปื้อนตัวเราเลยได้ไหมมันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความเชื่อนี้มันหยั่งรากลึกมายาวนานนักจะให้เปลี่ยนภายในวันสองวันคงเป็นไปมิได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะยากเกินกว่าที่มนุษย์พึงจะทำได้ เพราะเราเป็นมาหมดแล้ว 5 5 5 5 5~

    ความคิดที่ยิ่งใหญ่ ความคิดที่ไม่จำกัดอยู่แค่กรอบ น่าสนใจๆ ~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  9. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    บทที่แปด ตอบปัญหาที่เราเคยสงสัยมาตลอดว่า เห็นคนที่เค้าเล่าว่าไปสวรรค์นรกมาก็หลายชาติหลายภาษาแต่ไม่ยักเห็นว่ามันจะเหมือนกันเลยซักอย่าง -"- ตอนนั้นก็หาคำตอบไม่ได้ก็งงๆ และก็นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เรื่องอื่นใดเหนือจากเรื่องที่จำต้องรู้และต้องใช้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะรู้ไปก็เปล่าประโปยชน์ช่วยอะไรเราไม่ได้ อืมๆนะ ส่วนใหญ่ก็จะตอบตัวเองในใจแบบนี้ตลอด ทั้งเรื่องมิติ กาลเวลา กำเนิดจักรวาลและสรรพสิ่ง ก็นะไม่อยากเอาข้อมูลความเชื่อนี้ไปปนกับศาสนาไหนๆหรอก เพราะอาจจะซวยมาถึงตรูได้ถ้าวิจารณ์ แต่ก็ยังไม่สามารถค้านคำพูดของท่านโนวาได้ซักอย่าง ซ้ำจะพยักหน้าหงึกๆตามอย่างไม่รู้เนื่อรู้ตัวด้วย ก็แปลกดีๆๆๆ~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  10. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    อยากเห็นคุณนักเขียนจังค่ะ จินตนาการไว้เล่นๆไม่รู้จะเหมือนตัวจริงรึป่าว

    น่าจะเอารูปมาลงหน่อยนะคะ จะได้รู้สึกว่าสื่อกันได้ง่ายขึ้น อ้อ แล้วคุณนักเขียนสายตาสั้นหรือยาวรึป่าวค่ะ ^^~

    คุณ mead อยากเล่นเกมทายตัวเลขอีกเอามาเล่นใหม่ได้ไม๊ค่ะ >< ~ ก็เพิ่งเข้ามาในนี้เลยพลาดอะไรสนุกๆไปตั้งหลายอย่าง .......... รู้สึกว่ามีคนมาอ่านเรื่อยๆเหมือนกันนะแต่ไม่มีใครมาโพสเลยอ่ะ -.-~ บรรยากาศมันจะได้ครึกครื้นหน่อยอ่ะ!!!

    เฮ้อ~ รู้สึเหมือนพวกความรู้สึกร่วมช้าเลยอ่ะ เค้าไปกันถึงไหนแล้วตัวเองยังอยู่แค่ เกมทายตัวเลขอยู่เลย เง้อ ~ อยู่ผิดที่ผิดเวลาเจงๆเร้ยย [bw-cry]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ดีใจกับคุณ mindanaric ด้วยครับ ที่อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นยินดีขนาดนี้ ^-^
    จิตของน้องกำลังเปิดรับความรู้ใหม่ๆและพร้อมจะเรียนรู้สูงมาก ดูท่าจะเข้าใจอะไรได้เร็วมากด้วยครับ เข้ามาตอนนี้ไม่มีผิดที่ผิดเวลานะ เดี๋ยวจะมีชั่วโมงวาดรูป เล่นดนตรี เล่นเกมส์ ฝึกสมาธิกันอีกหลายอย่าง จะเป็นมหาวิทยาลัย online อยู่แล้วครับ
    "รุ่นพี่" มาช่วยกันรับน้องใหม่หน่อยครับ!

    (evil2)(evil2)(evil2)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    อันนี้รูปครูใหญ่ในจินตภาพครับ
    ลองจินตภาพออกมาดูนะครับ หรือวาดออกมาแล้วส่งมาดูกันก็ได้ครับ
    ส่วนอธิการบดีคือท่านอาจารย์โนวา อนาลัย (ท่านนี้ไร้รูป)
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ผมอยู่ ม.ศิลปากร ข้างธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์กับช่างศิลปไปบ่อยๆครับ
    แผ่เมตตาดีที่สุดครับ ฝันไปอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้น่ากลัวจริงๆ คงมีจิตวิญญาณที่ไม่รู้เรื่องกะเค้าและมีรหัสที่โกรธแค้นตกค้างอยู่มากมายทีเดียวครับ..ช่วยกันขอแสงทิพย์แห่งพระนิพพาน หย่อนสายทองลงไปบริเวญนั้น ให้เค้าเห็นสักหน่อยน่าจะช่วยได้ครับ พอเค้าได้สัมผัสเส้นเส้นนั้นแล้วจิตเค้าจะสว่างขึ้น สามารถนำพาเค้าไปทิศทางในภพภูมิที่เหมาะสมกว่าเดิมครับ..ช่วยกันนะครับคุณกังขาฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    เรื่องร่างทรงอ่านแล้วกระจ่างดีครับ
    คือทุกๆคนล้วนมีความศักดิ์สิทธ์ในตัวเอง..เทพ เทวดา พรหม ก็ล้วนมีอยู่จริง..โดยคุณสมบัติของจิตวิญญาณ(เดิมแท้) ถือว่าเท่าเทียมกัน แต่ความเขื่อสามารถโน้มนำเอาปรากฎการณ์ต่างๆเข้ามาสู่ตัวเอง การรู้เห็นได้ยินเสียงเทพ -พรหม ก็เกิดจากการฝึกรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน..หลายคนยอมตามยกอำนาจให้กับบุคคลอื่นไป เพราะความเชื่อว่าสิ่งนั้นมีความสูงส่งกว่านั่นเอง ถูกมั๊ยครับ?

    เคยไปสัมผัสรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มาบ้างครับ..ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับเจตนาของเบื้องบนก็มีครับ ที่ต้องการฉุดช่วยมนุษย์ให้เข้าสู่การรู้แจ้ง หรือช่วยแจ้งเตือนสติกับเหตุบางอย่างที่มนุษย์ไม่อาจรับรู้ได้เอง (เพราะเราปิดมิติไว้ด้วยตนเอง..) จึงอาศัยการสื่อสารผ่านร่างประทับญาณ..และร่างนั้นก็ยินดีและเต็มใจ เราเองได้ฟังก็อดทึ่งในสติปัญญาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพุทธะไม่ได้ แต่โชคดีที่ท่านสอนไม่ให้เราเชื่อหรืองมงายใดๆในสิ่งที่เห็น (คนที่เชื่อถือวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องจิตวิญญาณก็มองว่า"งมงาย") ทุกวันนี้จึงมีความเชื่ออันหลากหลายมาก แต่ถ้าหากเป็นมิติหรือโองการของฟ้าจริงๆ ถ้าเราเข้าใจที่มา-ที่ไป ไม่ชวนให้หลงงมงายถือเป็นความรู้ดีที่สุดครับ เช่นอาจารย์อนาลัยไงครับ ท่านก็มาสร้างสติทางวิญญาณให้พวกเราด้วยวิธีการใหม่ๆแบบนี้ ดูเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะครับ

    "จงมองหาพระเจ้าที่อยู่ในตนเอง"หรือ "จิตพุทธะนั้นอยู่ใกล้แค่นันย์ตา"คำจำกัดความเหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่สุดแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  15. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    :cool:
    :cool::cool::cool:
     
  16. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    สวัสดีครับพี่นักเขียน

    พี่นักเขียนครับ ทำไมเวลาใดที่ผมเจ็บป่วยผมมักจะฝันง่ายกว่าตอนที่ร่างกายแข็งแรงและปกติดีล่ะครับ หรือว่าอาการป่วยทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้า(ภายนอก)อ่อนแอลงเลยทำให้ประสาทสัมผัสภายในทำงานง่ายขึ้น อย่างเช่นขณะที่ผมเป็นไข้อยู่นี้ แถมมีอาการไอบ่อยด้วย เมื่อคืนผมฝันถึง3เรื่องติดต่อกันเลย และมีอยู่เรื่องหนึ่งที่รู้สึกประทับใจมาก

    ไหนๆก็พูดถึงเรื่องความฝันที่ประทับใจแล้วก็ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังเลยนะครับ คือผมฝันว่าได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง บนยอดเขานั้นมีต้นไม้ใหญ่คล้ายๆกับต้นสนในเมืองหนาวเรียงกันอยู่หลายต้นอย่างเป็นระเบียบ ในฝันนั้นมีใครไม่ทราบที่ไปด้วยกันพูดขึ้นมาว่า ทุก1ปีจะมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ด้วยความอยากรู้ผมจึงนึกในใจว่า"ทำอย่างไรหนอถึงจะมีโอกาสได้เห็น" ทันใดนั้นผมสังเกตุเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี และแสงจากท้องฟ้าก็ค่อยๆสาดลงมายังต้นไม้ใหญ่ที่เรียงกันอยู่ ตอนแรกมองไปที่ต้นไม้เหมือนกับเกล็ดน้ำแข็ง แต่พอมองให้ดีๆกลับกลายเป็นแสงสีทองอร่ามค่อยๆฉาบจากยอดไม้ลงมายังโคนต้น ในความฝันผมรู้สึกปิติและประทับใจมากจริงๆครับ หลังจากนั้นผมก็ฝันเรื่องอื่นต่ออีกแล้วจึงตื่นขึ้นมาเพราะนาฬิกาเจ้ากรรมดันปลุกเสียก่อน (05:00น.) ไม่เช่นนั้นคงได้อีกหลายเรื่องแน่นอนเลยครับ
     
  17. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    วันนี้ว่าจะไม่เข้าเนทอีกแล้วนะเนี่ย แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ลองล็อกอินเข้า เพราะวันนี้บ้าเข้ามาตั้งแต่ตีสี่....(ทำได้ไง) เนื่องจากตื่นแล้วและมีเรื่องที่ตื่นเต้นเลยทำให้ต้องมาเข้าเนทตอนตีสี่ ขอบอกว่านอนประมาณเที่ยงคืนด้วย ปกติเป็นคนขี้เซาต้องนอนอย่างน้อยๆแปดชั่วโมง....โอยๆ ตื่นเต้นๆ ต้องมาเล่าให้ใครซักคนฟัง อืม...ก็เรื่องฝันนั่นแหละค่ะที่บอกว่าจะมาเล่าในนี้ แต่ก็นะคะคุณน้า(ขออนุญาติเรียกคุณนักเขียนว่าแบบนี้นะคะ เพราะเราก็เท่ารุ่นลูกท่าน แล้วอีกอย่างเรียกคุณนักเขียนเฉยๆมันก็ดูห่างๆ อิอิ แถมยาวด้วย - -") เหมือนรู้ใจเราเลยว่าเราเขินไม่กล้ามาเล่าออกในนี้ ก็นั่นแหละค่ะเลยส่งพีเอ็มไปหาท่าน แล้วก็ได้รับการตอบกลับมา ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะได้ หรือได้ก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้ เนื่องจากนึกว่าท่านล็อกเอาท์ออกไปแล้วตอนตีสามเห็นจะได้ ตอนโน่นที่อเมริกาคงจะดึกมั้งรึป่าวไม่แน่ใจ ตื่นเต้นๆๆ แล้วพออ่านก็ซึ้งมากเลยอ่ะคะ เพราะว่าก็อย่างที่คุณน้าเคยบอกว่า การฝึกในที่นี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากำลังใจ กำลังใจจริงๆค่ะ และก็ต้องไม่คิดว่ามันฟลุ๊ค (ตอนนี้ในหัวก็ยังพยายามทะเลาะกันอยู่เลย) เพราะท่านให้กำลังใจเรา และก็ต้องขอบอกว่าต้องเห็นคุณค่าของตัวเราเองและผู้อื่นในสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด ^^ เอาล่ะอารัมภบทมามากแระ ขอก็อบข้อความที่ตัวเองในรับตอบกลับจากคุณน้านักเขียนเลยนะคะ



    ********อันนี้คุณน้านักเขียนเขียนตอบกลับมา********

    "ต้องขออนุญาตคุณหลาน mindanaric เอาประสบการณ์ความฝันนี้ไป post ให้พี่ๆได้อ่านกันบ้างนะคะ ให้ไหมเอ่ย? เพราะความฝันของคุณหลาน น้านักเขียนอ่านแล้วขนหัวลุก เนื่องจากว่า เวลาที่ตนเองฝันถึงท่านอาจารย์อนาลัย และไปจดงานจากท่าน จะเผชิญกับประสบการณ์เช่นที่คุณหลานเล่ามาจริงๆ คือจะได้ยินท่านพูดตลอด แต่ไม่ใช่ภาษาใดๆในโลก เหมือนเป็นภาษาใจที่ต้องใช้ภาษาหลายภาษารวมกันจึงจะมีคำศัพท์มากพอที่จะแปลงเป็นคำพูดได้ ที่ว่าขนลุกคือเมื่อคุณหลานอธิบายว่าท่่านพูด ให้ข้อมูลความรู้มากมายอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นคือประสบการณ์จริงส่วนหนึ่งที่น้านักเขียนเผชิญ และอีกส่วนหนึ่งคือ หากเป็นท่านปรากฏมีร่างกายตัวตน ท่านจะแปลงร่างเป็นบุคลิกภาพหลายบุคคล แรกๆจับไม่ได้ บ่อยเข้าจะจับได้ว่าการแปลงรูปกายของท่านจะเป็นไปคล้องจองกับสาระที่ท่านกำลังถ่ายทอด และช่วยทำให้การสื่อสารเป็นไปได้ง่ายขึ้น บ่อยๆเข้า ท่านก็เลิกปรากฏด้วยการมีรปูกาย เพราะจิตของเราชินและเข้าใจในข้อมูลความรู้ที่ท่านถ่ายทอดให้ กล่าวได้ว่า แม้ไม่เห็นรูปกาย ก็รับถ่ายทอดได้ และสัมผัสกับอารมณ์ของท่่านได้ โดยไม่ต้องเห็นรูปกายของท่าน

    ที่น้านักเขียนสนับสนุนให้คุณหลานนำประสบการณ์ไป ?post เพราะว่า ห้องวิทย์ฯ แห่งนี้ เป็นห้องเปิดใจ เรารักที่จะถ่ายทอดและรับความรู้จากกันและกัน อย่าอายหรือคิดว่า ประสบการณ์ของเราไม่จริงหรือไม่สำคัญพอ เพราะยิ่งเราให้ เราก็จะยิ่งได้รับความรู้กลับมาร้อยเท่าพันทวี

    หนู mindanaric เป็นผู้มีความเพียรและมุ่งมั่นสูง เมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์ใดๆ เราก็ต้องศรัทธาในตนเอง หรือศรัทธาในจิตวิญญาณของเรา มิฉะนั้นจิตวิญญาณจะเรียนรู้เพียงใด เราก็ไม่ให้เครดิต และรู้ก็กลายเป็นเสมือนไม่รู้ ทำได้ก็กลายเป็นเสมือนทำไม่ได้

    น้านักเขียนไม่ได้ลงรูปไว้ที่ไหน และไม่ได้ออกตัวว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร เพราะปรารถนาให้ผู้อ่านรู้จักท่านอาจารย์อนาลัย ความสำคัญอยู่ที่ท่าน น้านักเขียนเป็นเพียงล่ามและเลขา และเวลานี้ก็มาทำหนัาที่ผู้ช่วยห้องวิทย์ฯ เท่านั้นเอง

    หากเสนอตัวว่าเป็นใคร หน้าตาอย่างไร เกรงว่า วิตกวิจารณ์จะทำให้ผู้อ่านตัดสินต่างๆนานาโดยไม่จำเป็น เมื่อผู้อ่านสัมผัสกับท่านอาจารย์อนานลัยได้ หมายถึงสัมผัสกับข้อมูลความรู้ที่ท่านถ่ายทอดให้ได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของน้านักเขียนผู้ทำหน้าที่ล่ามและเลขาค่ะ

    ปล. ขอให้ post หน่อยค่ะ พี่ๆจะได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อหนูอีกมาก"




    ********อันนี้คือพีเอ็มที่ส่งไปหาเมื่อเช้านี้*********


    ถึงคุณน้านักเขียนค่ะ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    หลังจากเมื่อวานที่ได้อ่านกระทู้ที่คุณน้าตอบ(แค่ครึ่งของกระทู้) บวกกับฟังออดิโอ้ซีดี ที่ท่านอนาลัยพูด จนเกือบครบทุกไฟล์ที่มี(ขาดไปไฟล์เดียว)จนดึก แล้วก็เริ่มทดลองอย่างมุ่งมั่นเลยค่ะ โดยเริ่มทำตามที่พี่บอกเมื่อคืนนี้เลย เล่นเอาตอนแรกๆเซงเลยเพราะเกือบจะหลับแต่มันก็ไม่หลับซักที เพราะคุณน้าบอกว่าควรนอนหงายหนูก็เลยนอนหงายค่ะ แต่ปกติหนจะนอนตะแครง ก็พยายามอยู่สองสามครั้งก็ไม่หลับ เลยตัดสินใจนอนตะแครงที่ตัวเอง ถนัดแป็บเดียวหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ระหว่างนั้นก็ทำอย่างที่คุณน้าบอกว่าให้นึกเรื่องที่อยากฝัน ให้มีความรู้สึกตรงกลางระหว่างคิ้วก็ทำมันตลอดที่รู้ตัวเลยค่ะ จนหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ ตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องฝันที่คุณน้าบอกเรื่องเอาหนังสือวางตรงหัวเตียงน่ะคะ แต่มันก็เหมือนรู้สึกว่ามีอะไรมาบอกให้เอาไว้ก่อน เพราะว่าอยากลองเห็นท่านเจ้าของหนังสือดูซักครั้ง เหมือนอยากจะทำให้ตัวเองแน่ใจด้วยกับเรื่องที่ท่านบอก คือบอกตามตรงว่าไอ้สิ่งที่ปลูกฝั่งมากับตัวก็เหมือนที่ท่านบอกจริงๆมันคอยแว๊บขึ้นมาเป็นระยะๆบอกกว่า "อย่าไปเชื่อ เรื่องไร้สาระ" คือปกติหนูจะไม่ค่อยฝันน่ะค่ะ โดยเฉพาะช่วงไหนที่ปฏิบัติสมาธิเคร่งๆหน่อย แต่พักหลังมานี่เสื่อมถอยค่ะ -"- รู้สึกว่าฝันบ่อย แต่ทุกครั้งที่ฝันพอตื่นก็จะจำฝันได้ติดตาเลย ปกติเวลาหนูฝันหนูจะจำได้ติดเลยรู้สึกอินออกมาเลยทำให้จำได้แม่นมาก แล้วพอตื่นก็จะบอกตัวเองว่า เรื่องไร้สาระอย่าเอามาคิดรกสมองแล้วก็จะพยายามลืมๆมันไปไม่สนใจเพราะถูกสอนมาทางนี้ว่านอกจากประคองสติอยู่กับตัวแล้วเรื่องอื่นไม่ต้องไปคิดให้มันรกหัวแค่ระลึกมีสติอยู่กับตัวก็พอจิตจะรู้จิตเอง (ตามที่พระพุทธเจ้าสอนมา)จนถึงตอนนี้ก็ยอมรับว่าทฤษฎี(เปลี่ยนเป็นคำว่าข้อมูลแทนนะ)ของท่านโนวาจะคล้ายคลึงกับของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็จริงแต่ในใจมันก็เหมือนจะรู้สึกขัดๆอยู่ตลอด เหมือนมันมีอีกใจที่เชื่อ อยากลองทำตามแต่ก็มีอีกใจคอยค้านว่าอย่าทำเลยๆไร้สาระเสียเวลาหลงผิดเปล่าๆอยู่ ตอนนี้ขอบอกว่าก็ยังรู้สึกงงๆกับตัวเอง แต่ก็ยังอยากจะลองจะพิสูจน์ให้จิตเห็นจิตดู ตอนนี้ยังไม่เชื่อเต็มร้อย แต่เมื่อคืนเป็นวันแรกที่เริ่มทำเลยอยากมาเล่าให้คุณน้าฟังแล้วช่วยวิเคราะห์วิจารณ์หน่อยน่ะคะ(ถ้าไม่รบกวนเกินไป)แหะๆ เพราะว่าความจริงก็เกรงใจสุดๆอยู่ คิดว่าคุณน้าต้องไม่ค่อยว่าง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ ว่าจะเล่าให้คุณน้าฟังน่ะคะ เรื่องมันเพิ่งเกิดสดๆร้อนๆเมื่อคืนจะว่าไปก็เมื่อกี้เอง เพราะตอนนี้ที่พิมพ์อยู่ตี4กว่าไม่อยากจะ<o:p></o:p>
    เชื่อเลยว่าคนอย่างหนูจะตื่นมาตอนตีสี่ OwO โอวแม่เจ้า~ ตอนแรกที่อ่านสนใจมากกกกไอที่บอกว่าให้ตัวเราในความฝันไปอ่านหนังสือ มันจะเป็นไปได้ไงเหลือเชื่ออยากลองอย่างมากกก หลังจากที่ตั้งใจว่าพอฟังจบก็จะลงมือฝันเลย ตื่นเต้นๆ แต่แปลกค่ะ ว่าทำไมเหมือนมันเพิ่งมาฝันเอาตอนใกล้ๆจะตื่น รู้สึกเหมือนตัวเองหลับยาวมาแต่ต้น (ตอนนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยค่ะว่าหลับ) แต่อยู่ดีๆก็ฝันเลยมีภาพแล้วเสียงออกมาเลย และขอบอกว่าไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน!! ถ้าตามปกติ หรือตอนนี้ก็ยังมีคิดๆอยู่ว่า ที่มันเป็นแบบนี้เพราะแกเพิ่งอ่านเรื่องนี้มาสดๆร้อนๆ มันก็ต้องติดแล้วเก็บไปฝันเป็นธรรมดา(หรือเปล่าค่ะ?) ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องที่คุณน้าเขียนก็คงจะไม่เก็บเอามาใส่ใจอย่างแน่นอน ต่อๆค่ะ ถึงไหนแล้ว อ่อ หนูยังไม่ได้บอกเลยใช่ไม๊ค่ะว่าขอฝันถึงอะไร คือตอนแรกอยากลองเรื่องหนังสือ เลยสนใจมากกก แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจว่าอยากเห็นท่านอนาลัย -"- ไม่รู้ว่าหวังสูงเกินไปไม๊ แต่ที่ท่านบอกก็คือให้มีความเชื่อแล้วทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นเองffice<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o:preferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"> <v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></v:path><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</o:lock></v:shapetype><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\~MINDA~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\03\clip_image001.gif" o:href="http://www.palungjit.org/board/images/smilies/omg-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>ffice" /><O<v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\~MINDA~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\03\clip_image002.gif" o:href="http://www.palungjit.org/board/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>></O<v:shape id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\~MINDA~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\03\clip_image002.gif" o:href="http://www.palungjit.org/board/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ก็พยายามตัดๆๆอคติทุกอย่างออกไปด้วยความมุ่งอย่างที่บอกตอนแรก ท่างชื่อท่านไปตลอดจรหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ < <o:p></o:p>
    ในฝันทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเหมือนตัวเองอ่านมาก็อยากทำให้ครบกับที่คุณน้าบอกทุกอย่างมันรั่วบ่อยเข้าออกน่ะคะ -"- แต่จะคัดเอาความรู้สึกที่ตื่นครั้งแรก แล้วรีบจดบันทึกลงในสมุดเลยนะคะเพราะถ้าเล่าาในขณะนี้กลัวตัวเองไปปรุงแต่งเพิ่ม จะงงๆหน่อยเพราะรู้สึกอะไรก็เขียนไว้เลยแต่จะเรียบเรียงให้อ่านรู้เรื่องนะคะ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    "มีโต๊ะทำงาน มีคนนั่งที่โต๊ะทั้งสองด้านตรงกันข้ามกัน มีตัวหนูกับอีกคนตรงกันข้ามในนั้นรู้สึกได้ว่าเป็นผู้หญิงแต่ไม่มีบทบาทอะไรจะมีบทบาทก็อีกคนที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา เหมือนถามเองได้คำตอบเอง ในนั้นตัวเราจะเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเรื่อยๆทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เสียงยังจะเป็นเสียงผู้ชายอยู่ตลอด ซึ่งต่างก็ทยอยมาตอบคำถามต่างๆอย่างไม่หยุด และก็รู้สึกว่าตัวเองในนั้นเป็นคนถามไปด้วยในตัว และรู้สึกเป็นระยะๆว่า มีตัวเองอีกคนเป็นคนคอยฟัง คือเห็นตัวเองในฝันอีกทีน่ะคะ เหมือนในฝันจะคอยบอกตัวเองอีกทีที่รู้สึกตัวว่า "พบท่านโนาวๆๆ" (ก่อนนอนจะท่องอยู่อย่างนั้นตลอดจนหลับไปเมื่อไหลก็ไม่ทราบ) เป็นระยะๆ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนใกล้ตื่นมาก คือเหมือนไม่ใช่ความฝัน มันมีความรู้เหมือนที่ท่านบอกไว้จริงๆว่า แค่นึกก็ถึงแล้ว ระหว่างตัวเองที่ซะลึมซะลือนอนตะแครงอยู่กับอีกคนในฝัน มันเร็วมากทุกอย่างเป็นไปเร็วและต่อเนื่องตลอด ตัวหนูที่นั่งพูดๆๆ(แต่เสียงเป็นผู้ชาย)พูดเร็วมาก พูดหลายเรื่องพูดไม่หยุด เหมือนไฟล์ที่ใช้เน็ทความเร็วสูงในการดาวน์โหลดมันเร็วมากแต่ในฝันก็พอจับใจความได้คือหลุดไม่ได้ฟังเป็นบางช่วง ตัวเราอีกคนที่เป็นคนเห็นความฝันในนั้น (สรุปในนั้นมีสามคนค่ะ) คนนี้จะเป็นเหมือนคนที่เราติดต่อหรือรับรู้ผ่านความฝันก็จะคอยเหมือนเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรที่มาฝันเพราะต้องการอะไรจะบอกตัวเองอยู่ตลอด และเราก็ยืนตั้งใจฟังคนนั่งพูดๆๆอยู่ข้างๆ แต่ในฝันมันเร็วมาก มีเรื่องเยอะแยะไหลออกมาเหมือนน้ำ ทำให้สรุปยังไงก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย รู้สึกว่าเสียงที่พูดท่านจะพูดเรื่องเราได้ฟังๆมาแล้วนั้นแหละเรื่องความเชื่อ จิตวิญญาณ แต่เร็วมากๆ เราพยายามจำนะแต่จำไม่หมด จำไม่ทันมันเร็วจนไม่รู้จะจับประเด็นไหน ในความฝันรู้สึกจะจำได้บ้างเหมือนกัน แต่พอตื่นกลับนึกไปออกซักประโยค ซักคำก็นึกไม่ออกเลย เพียงแต่รู้สึกเฉยๆว่าท่านพูดๆๆๆ (เร็วๆเรื่อยๆแต่เป็นภาษาไทยมั้ง)แต่นึกความหมายมันไม่ออก มันเร็วและต่อเนื่อง (ระหว่างนั้นจะรู้สึกตัวระหว่างตัวเองที่นอนอยู่กับตัวเองที่ยืนฟังในฝันเป็นระยะๆตลอด) เหมือนตัวเราที่หลับเป็นคนคอยกระตุ้นตัวเองในฝันให้ว่าเธอมาทำอะไรอย่าลืมๆๆ และตัวเราเองที่เป็นคนนั่งและพูดๆ รู้สึกเหมือนมีเสียงแต่ไม่ได้ขยับปากเลยนั่งนิ่งๆตรงตะทำงานในที่มืดๆ รอบตัวมืดหมดไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ตัวที่พูดก็เปลี่ยนแบบรูปร่างลักษณะเพศไปเรื่อยๆ แต่เราไม่ได้สังเกตว่าเปลี่ยนเป็นใครอะไรบ้างเพราะมัวแต่จะจำที่ท่านพูดๆ คงเพราะสติอยู่ไม่ตลอดเลยจำอะไรไม่ชัดซักกะอย่าง<o:p></o:p>
    อ่อ แล้วก้นึกถึงที่คุณนักเขียนบอก ถ้าในฝันมีกระจกหรืออะไรที่เราสามารถส่องดูตัวเองได้ก็ขอให้ไปมองดูจะได้เห็นหน้าตัวเองในฝัน แต่ในนั้นมันไม่อะไรซักอย่างนอกจากโต๊ะและเก้าอี้ และตัวเองที่นั่งพุดๆๆๆ อย่างไม่ยอมหยุด มันเลยทำให้เราเหมือนได้ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง เพราะมัวแต่นึกโน่นนึกนี่ (สรุปก็เลยไม่รู้ว่าได้พบท่านหรือเปล่า = =” ) แต่ที่แน่ๆเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝัน แถมติดต่อกับตัวเองที่หลับอยู่ได้ด้วย เย้ๆๆๆ คือเหมือนกับมีตัวเราเองในอีกหลายๆมิติ(อันขนลุกเลย) ที่ทับซ้อนกันอยู่ คือตัวเองติดต่อกับตัวเองดูตัวเองอยู่ เออ...อธิบายเองงเอง - -“......."<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ก็นี่แหละค่ะครั้งแรกที่ลอง สรุปก็ไม่รู้ว่าได้เจอท่านโนวารึป่าว แต่ที่แน่ๆ เชื่อทฤษฎี(ข้อมูลนะ)มิติกาลเวลาของท่านชัวร์ แล้วขอบอกว่าเริ่มสนุกแล้วค่ะ ความฝันมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างที่เราเคยคิดอีกต่อไป *o*~<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>


    ปล. เข้าใจค่ะว่าคุณน้านักเขียนหมายถึงอะไร เพราะยังไงหนูก็นั่งนึกภาพคุณน้าไว้ในใจอยู่แล้ว (ตรงไม่ตรงอันนี้ไม่รู้) อ้อขอโทษด้วยที่ตัวหนังสือที่ส่งไปมันเล็กกระจิ๋วนะคะ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเล็กแบบนี้ อ่านลำบากเลย *o*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  18. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    อยากให้เปิดเร็วๆนะคะ online U. เนี่ยคงจะดีไม่น้อยเลย จะตั้งตาคอย ขอบคุณคุณmeadมากค่ะที่ให้กำลังใจ(ขอบอกว่าสำคัญมากเลยคะ) จะเรียนและฝึกฝนไปเรื่อยๆ

    อ้อๆลืมบอกว่าตอนเล่นเกมทายตัวเลขของคุณMead ทายผิดไปตัวเดียวเอง
    ทายว่า 208 อิอิอิ

    ส่วนเรื่องรูปคุณน้านักเขียน ก็จินตนาการอยู่ค่ะไม่รู้ว่าท่านใส่แว่นรึป่าว -"- เพราะก็ยังต้องฝึก เซนส์ยังไม่ค่อยดีค่ะ เพราะเชื่อประสาทสัมผัสทั้ง5 มานาน ทำให้ฝุ่นเครอะเลย ต้องปัดๆหน่อย ^^~
     
  19. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964


    น่าสนใจค่ะอยากฝึกแปลความฝันจากรหัสเหมือนกันรอให้ ผู้รู้มาแปลเร็วอยากรู้ๆ เหมือนกัน
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    แหม เซนต์ต้องปัดฝุ่นด้วยเหรอครับ..อิอิ
    นี่ขนาดยังไม่ปัดฝุ่น ยังถูกเกือบหมดเลยนะครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...