เพื่อการกุศล :::(เปิดจอง)ล็อกเกตพระแก้วมรกต"ภูริทัตตเถรานุสรณ์-สมเด็จองค์ปฐมอมฤตศุภมงคลญาณสังวร":::

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 พฤศจิกายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    ยังขอยืนยันการจองตามกระทู้ที่ #10 หน้าที่ 1 ครับ
     
  2. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    แนะนำครูบาอาจารย์

    ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์และข้อวัตรเป็นเลิศ ท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ กันตสีโล
    วัดป่าสมบูรณ์ธรรม บ้านห้วยหิน ต.ป่าแดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    “สมัยนี้จะหาพระที่เก่งด้วยดีด้วยยากจริง ๆ ไม่เหมือนสมัยก่อนมีให้กราบเยอะไปหมด”
    นั่นเป็นคำรำพันแบบไม่หวังคำตอบของเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดจะตอบอะไร นอกจากจะบอกไปสั้น ๆ

    “ยังไม่ได้หาละสิ”

    ผมเชื่อมั่นว่าแท้จริงยังต้องมีพระดี คนเก่งอยู่อีกมาก เพียงแต่ท่านเหล่านั้นไม่ประสงค์จะเปิดตัว ด้วยยังไม่ถึงเวลาหรือมิฉะนั้นก็เพราะ “โอกาส” ยังไม่ได้ไปเยือน

    ส่วนใหญ่ผู้ดีจริง เก่งจริง ก็ไม่ปรารถนาจะแสดงตนให้คนรู้จักเพราะจะไปขัดกับการประพฤติปฏิบัติเรื่อง ”สงบ” ซึ่งท่านเคยบำเพ็ญมาช้านาน ก้อกว่าจะเอาดีได้ ท่านต้องใช้ความสงบกาย สงบวาจา และสงบใจอยู่ตั้งครึ่งค่อนชีวิต ยิ่งถ้าองค์ไหนมีเป้าหมายที่ “สงบกิเลส” ท่านยิ่งเก็บตัวเข้าไปใหญ่

    ดังท่านเจ้าคุณนรฯ

    เปิดตัวอีกทีก็เป็นร่มโพธิ์ที่กว้างขวางร่มเย็นให้หมู่สัตว์มาอาศัยได้อย่างมั่นคง ไม่ใช่ประเภทเพิ่งฟักตัวแบบถั่วงอก กิ่งก้านใบยังไม่ทันแตกสาขาก็ลนลานประกาศธรรม ไม่ช้าไม่นานก็เป็นข่าวสนุกเขียน

    แต่สะเทือนอ่าน

    ดังนั้น การหาพระดีสักองค์หนึ่งจึงต้องเข้าข่าย “แสวงหา” จะรอให้ท่านมา “แสวงเรา” ผมไม่เอาด้วยหรอก กลัวจะเก่งจริง

    รัตนชาติอันสูงค่าย่อมเร้นลึกอยู่ในแผ่นดินฉันใด พระผู้ทรงคุณธรรมก็ย่อมเร้นกายอยู่ในป่าเขาฉันนั้น

    ท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ กันตสีโล เป็นพระเถระอีกรูปหนึ่งซึ่งผมถือว่าเป็นเพชรน้ำเอกในใจของผมตลอดการเดินทางอันยาวนานเพื่อแสวงหาพระดี พระเก่ง ผมต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากมายที่จะพิสูจน์ว่า ใครดีแต่ไม่เก่ง, ใครเก่งแต่ไม่ดี, ใครทั้งดี ทั้งเก่ง และ ใครทั้งไม่เก่ง ไม่ดี

    แนวทางการตัดสินใจของผมถือเอาพระวินัยเป็นหลักประกันความผิดพลาด รวมถึงคำสอนปลีกย่อยของครูบาอาจารย์หรือคำรับรองของท่าน และเครื่องมือส่วนตัว

    ลางสังหรณ์

    จะเป็นลางสังหอน หรือลางสังเห่า ผมก็ไม่อาจบอกชัด แต่มันช่วยผมให้ได้กราบพระดีและหนีพระปลอมมานักต่อนัก

    เพื่อน (เจ้าเก่า) ถามผมว่า “พระดี พระไม่เก่งนั่นหมายถึงอะไร”

    ผมแจงว่า พระดีแต่ไม่เก่ง หมายถึงพระที่ปฏิบัติถูกต้องตามพระวินัย ประพฤติชอบมาตลอดเป็นนาบุญที่สมควรทำ แต่ท่านไม่มีฤทธิ์อภิญญา หรือถ้ามีก็ไม่เชี่ยวชาญ เพราะท่านไม่ได้สร้างนิสัยมาทางนั้น ส่วนพระเก่งแต่ไม่ดี ก็คือพระที่ชำนาญฤทธิ์เดชเวทมนต์แสดงปาฎิหาริย์ได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ หากท่านไม่ระวังในข้อวัตรปฏิบัติ จนเกือบจะไม่เป็นพระ

    มาถึงพระทั้งดีและเก่ง กับพระไม่เก่งและไม่ดี คงไม่ต้องอธิบายล่ะนะ เพื่อนช่างสงสัยก็พยักหน้าเนือย ๆ อย่างพยายามจะเข้าใจ

    ถ้าบังเอิญจะเหมือนอวดรู้ ต้องขออภัยผู้รู้กว่าไว้ ณ ที่นี้

    บทพิสูจน์ของผม สรุปลงได้ที่ครูบาอาจารย์ดี ๆ หลายต่อหลายองค์ แต่หนึ่งในนั้นที่ทั้งดี ทั้งเก่ง คือท่านพระอาจารย์สมบูรณ์อย่างสิ้นสงสัย

    ท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ เป็นคนขอนแก่น เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2483 เมื่ออายุพอสมควรได้ไปอยู่เป็นผ้าขาวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ระยะหนึ่ง จากนั้นก็อุปสมบทและอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่ฝั้นมาตลอดจวบจนหลวงปู่ฝั้นมรณภาพ

    การบำเพ็ญเพียรของท่านอาจารย์นั้น ไม่ใช่ประเภทกินสนุก นอนสบาย ท่านตั้งอกตั้งใจถวายชีวิตบูชาธรรมโดยแท้ นิสัยอันตั้งตรงต่อธรรมนี้ยังคงติดตัวติดใจท่านมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้ท่านก็ใช้ผ้า 3 ผืน, บิณฑบาตเป็นวัตร, ห่มสังฆาฏิซ้อนเวลาบิณฑบาต, ฉันมื้อเดียว, ตัด เย็บ ย้อม ผ้าไตรเอง ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความมั่นคงในธรรมของท่าน แม้วันนี้ท่านจะเป็นพระเถระที่มีอายุถึง 57 ปีแล้ว ท่านก็ยังทำทุกอย่างเอง ไม่อยู่สบาย นอนสบายเพราะถือตนว่าเป็นครูบาอาจารย์

    นี่คือพระแท้อีกองค์

    ครั้งหนึ่งที่ผมไปอยู่ปฏิบัติกับท่าน ท่านเน้นให้นั่งภาวนา และเดินจงกรมให้มาก ถึงผมจะใฝ่ใจในภาวนาแต่มันก็ลิงดี ๆ นี่เอง

    ขณะที่ผมเดินจงกรมในเย็นวันนั้น ผมตั้งใจว่าถ้าไม่ครบ 2 ชั่วโมง จะไม่ออกจากทาง เวลาตอนนั้นก็ราวบ่าย 3 โมงแก่ ๆ หากครบ 2 ชั่วโมง ก็ 6 โมงเย็น ไปอาบน้ำแต่งชุดใหม่ขึ้นศาลาทำวัตรเย็นพอดี เดินชั่วโมงแรกแดดก็เปรี้ยงดีอยู่หรอก พอขึ้นชั่วโมงที่ 2 ฝนก็เริ่มเทลงมา

    ตกเป็นตกซิ(วะ) เราจะไม่เลิกจนกว่าจะครบกำหนด ใจหนึ่งปักมั่นลงไป เดินได้ไม่กี่ตลบใจเจ้ากรรมก็แฉลบไปว่า เออ...นี่ถ้าใครมาเห็นก็ดีน่ะสิ เขาจะได้เอาไปเล่าลือว่าหมอนี่มันเก่ง ไม่หย่อนความเพียร ฝนตกยังไม่กลัวไข้ ถวายตัวบูชาธรรม

    อ้าว! เผลอแผลบเดียวคิดไปโน่นต้องรีบดัดมัน ไอ้บ้านี่ คิดอะไรบ้า ๆ อยู่ในป่าใครเขาจะมาเหลียวแล คิดชั่วเสียแล้ว

    แต่มีคนเห็นสมใจ

    ท่านอาจารย์ มายืนข้างทางจงกรมเมื่อไรไม่รู้ พอหันไปสบตาท่านก็เอ็ดเปรี้ยง

    “เป็นบ้าอะไรฝนตกยังมาเดินอยู่ได้ เดี๋ยวไม่สบายก็เดือดร้อนวุ่นวายอีก”

    ‘ใส่’ เสร็จก็เดินวูบวาบหายเข้าไปในราวป่า ทิ้งให้ลิงแสมยืนงงเหมือนโดนกะปิ ฝนตกตั้งนานทำไมเพิ่งมา จำเพาะเอาตอนจบความคิดต่ำ ๆ พอดิบพอดี อย่างนี้กระมังที่ท่านเรียกกันว่า

    ตีเหล็กตอนร้อน

    ก่อนที่ท่านอาจารย์จะลงมาอยู่วัดปัจจุบัน ท่านเคยสร้างวัดอยู่บนเขาชื่อ ‘ภูบันไดม้า’ หรือ ‘โคกผักหวาน’ ในเขตตำบลเดียวกันมาก่อน แต่ทางขึ้นที่ยากลำบากชนิดออกปากได้ไม่เขินว่า ‘สาหัส’ เป็นเหตุให้บรรดาศิษย์ขอร้องท่านให้หาที่อันจะ ‘สาหัส’ พอดี ๆ
    และด้วยวัดเกิดปัญหากับป่าไม้จังหวัดเรื่องที่ดินติดกับเขตป่าสงวน ท่านจึงลงมาสร้างวัดล่างที่ห่างกันราว 20 กิโลเมตร

    สมัยที่ท่านอยู่วัดบน มีครอบครัวหนึ่งในตลาดป่าแดงให้ความเคารพศรัทธาท่านมาก อุปัฏฐากจนสนิทสนมกับท่านอาจารย์ทั้งครอบครัว ผู้เป็นพ่อชื่อดวง เราจึงพร้อมใจกันเรียกพ่อดวง แม่ดวง

    วันที่ไม่มีใครลืมก็มาถึง แม่ดวงซ้อนมอเตอร์ไซด์โดยมีลูกสาวเป็นคนขี่ เข้าไปซื้อของในตลาดแล้วขับออกตรงถนนใหญ่ เพราะความที่เป็นต่างจังหวัดถนนไม่มีรถมากเหมือนในเมือง ลูกสาวจึงขาดความรอบคอบพุ่งรถออกจากจุดตัดไปกลางถนนพอดี ตอนนั้นเองที่ทันได้เห็นว่าถนนด้านขวามีรถบัสคันใหญ่พุ่งตรงเข้ามา เลียวไปทางซ้ายก็เป็นรถกระบะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

    คนทั้งสองอยู่กลางถนนเสียแล้ว

    เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ผู้เป็นลูกสาวก็ตะโกนออกไปโดยสัญชาตญาณว่า”หลวงพ่อช่วยด้วย” พริบตานั้น เธอก็เห็นพระรูปหนึ่งมีอาการดุจหล่นลงมาจากอากาศ พระองค์นั้นยืนปักหลักอยู่กลางถนนด้านคนขับรถบัส แล้วท่านก็ยกสองมือผลักรถคันใหญ่เต็มแรง รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วร่วมร้อยถึงกับหัวปัดออกจากแนวเดิม แล้วพุ่งเฉียดมอเตอร์ไซด์ไปไม่ถึงเมตร เสียงล้อรถบัสเบรกบดถนนดังลากยาว ตามด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ของโชเฟอร์ ผู้เป็นแม่จึงบอกปากคอสั่นให้เร่งเครื่องหนีไปเลย เพราะกลัวถูกต่อว่าขนานใหญ่

    เมื่อพ้นจุดเกิดเหตุ ลูกสาวที่เห็นปรากฎการณ์พิศวงละล่ำละลักถามมารดาว่าเมื่อกี้เห็นอะไรไหม ด้วยเธอเข้าใจว่าตาฝาดไป แต่คำตอบตรึงเธอจนนิ่งงัน เพราะแม่เธอก็เห็นเช่นเดียวกับเธอ และเห็นชัดด้วยว่าพระองค์นั้นเป็น

    หลวงพ่อสมบูรณ์

    เรื่องนี้ดังสนั่นไปทั่วตำบลในวันเดียว เพราะคนขับรถบัสคันนั้นดันเห็นท่านอาจารย์หล่นลงมาผลักรถเหมือนกัน กลายเป็นข่าวครึกโครมออกตามหาพระลักษณะผอม ๆ สูง ๆ ดำ ๆ ดังคำให้การของโชเฟอร์ อย่างจ้าละหวั่น

    ข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงท่านอาจารย์ได้อย่างไรไม่ทราบ แต่เป็นเหตุให้ท่านต้องเก็บบริขารหนีพวกบ้าพระบ้าหวยลงจากเขา เข้าไปพำนักที่วัดเชิงเลน ซอยมูลนิธิพระอาจารย์มั่น ฝั่งธนบุรี อยู่นานนับเดือน ผมผู้ทราบเรื่องตามไปแคะไค้เอากับท่านอาจารย์ในวันหนึ่ง ผมเรียนท่านอ้อมไปอ้อมมาแบบมีเชิง รู้ดีว่าถามตรง ๆ ไม่ได้แอ้มหรอก ก็สงสัยจริง ๆ นี่นาทั้งคู่ไม่ได้แขวนพระท่าน ไม่ได้สวดภาวนาถึงท่าน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปประสบอุบัติเหตุ

    ท่านเองก็ไม่ได้อยู่ในขณะนั่งสมาธิภาวนา เพราะผมเช็คเวลาแล้ว ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาที่ท่านกำลังฉันเช้าอยู่พอดี ท่านเอาเวลาที่ไหน ‘กำหนด’ ไปช่วย ถอดจิตไปหรือ? แล้วร่างที่ฉันข้าวอยู่ล่ะ ?

    ครั้นผมซักท่านหนักเข้า ท่านถึงกับลุกจากหมอนอิงจ้องหน้าผมเป๋งแล้วสั่งว่า

    “ไหน...ลองคิดถึงวัดท่านอาจารย์ทุยซิ” (คือช่วงเดือนนั้นเป็นเวลาที่ผมอยากจะขึ้นไปอยู่กับหลวงพ่อทุยมาก เพราะวัดท่านสงบร่มเย็นดี)

    เมื่อสิ้นเสียงท่าน ผมก็เห็นภาพวัดในความทรงจำได้ชัดเจน ก็คนเคยเห็นมาแล้วนี่ ผมเรียนท่านไปทันทีที่เกือบจะสิ้นเสียงท่านว่า

    “เห็นแล้วครับ”

    ท่านสวนตูม

    “เออ! จิตมันไวไหมล่ะ”

    เฮ้อ! หมดเรื่อง คืนนั้นนอนหลับสบายดีจัง หาย ‘คัน’ สนิท”

    คราวหนึ่ง ท่านยืนคุมพวกผู้ใหญ่บ้านและคณะศิษย์ที่ใช้เลื่อยยนต์ตัดไม้หลังวัด ขณะที่ใบเลื่อยกำลังหมุนรอบตัวด้วยความเร็วสูง และเริ่มกินเนื้อไม้เข้าไปนั้นเอง ตัวเครื่องเกิดสะบัดอย่างแรงหลุดออกจากมือช่างแล้วพุ่งเข้าไปฟันที่ขาท่านอาจารย์พอดี

    อัศจรรย์นัก ใบเลื่อยที่คมกริบไม่อาจกินเข้าไปในเนื้อท่านได้เลย เมื่อกระทบแล้วก็เพียงสะบัดตัวลงไปนอนสิ้นฤทธิ์อยู่ใกล้เท้าท่านท่ามกลางความตกตะลึงของศิษย์ ท่านอาจารย์ก้มลงเอามืดปัดปลายสบงพลางบ่นเสียงดัง

    “เฮ่ย! ทำอะไรไม่รู้จักระวัง”

    พูดแล้วก็เดินไป ปล่อยให้ทุกคนยืนตาค้างอยู่ที่เดิม

    หากจะว่าสิ่งเหล่านี้เป็น ‘ของเล่น’ สำหรับพระอริยะเช่นท่าน ผมก็พร้อมที่จะเป็นเด็กน้อยเพื่อไปเล่นของ ๆ ท่าน

    เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาอีกมาก ล้วนแต่ทำให้ใคร ๆ อยากได้เครื่องมงคลของท่านทั้งนั้น ทว่าท่านก็มีเพียงแผ่นทองแดงลงอักขระแจก ซึ่งท่านต้องเขียนด้วยมือท่านเอง จึงทำไม่ทันคนขอ

    ศิษย์คนหนึ่งเลยขออนุญาตทำพระขึ้นเพื่อแจกจ่ายเป็นที่ระลึก โดยในรอบปีจะทำขึ้นเพียงครั้งเดียว คือวันสรงน้ำทำบุญอายุของท่าน เพราะงานนี้ศิษย์เป็นผู้จัดทำถวายแม้ท่านจะไม่เคยเรียกร้องให้ทำ และในงานแต่ละปีก็จะมีเพียงศิษย์ที่เคารพท่านสุดใจมาร่วมงานเท่านั้น เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะท่านไม่เคยบอกใคร และศิษย์ที่จัดก็ไม่เคยประกาศข่าวคนจะไปต้องสืบเอง

    เหตุที่ทำให้ท่านยอมที่จะแจกพระเครื่อง ด้วยเห็นว่ามีเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น หากเป็นงานใหญ่ท่านจะไม่แจก ไม่พูดถึงเลย ท่านให้เหตุผลว่าท่านยังเป็นพระผู้น้อย ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านยังไม่มีเลย ท่านจะมีมันก็กระไรอยู่

    แต่ห้ามคนห้ามได้ ห้ามลิงห้ามยาก

    1. พระผงมงคลอายุรุ่นแรก ปีพ.ศ. 2537

    พระรุ่นแรกนี้สร้างเป็นพระปิดตา เนื้อผงพุทธคุณล้วน ๆกระบวนการสร้างเป็นแบบโบราณทุกขั้นตอน ตั้งแต่แกะพิมพ์ โขลกผงด้วยครกหิน ใช้ผงพุทธคุณผสมกับปูน, กล้วยน้ำว้า, น้ำผึ้ง, น้ำมนต์ และผสมเส้นเกศาของท่านเข้าไปในเนื้อพระ ซึ่งจะเห็นได้ในพระทุกองค์
    จำนวนสร้างทั้งสิ้น 55 องค์ เท่าอายุของท่านในปีนั้น ท่านอธิษฐานจิตให้บนมือของท่านประมาณ 5 นาที แล้วแจกเลย

    2. พระผงมงคลอายุรุ่นสอง ปีพ.ศ. 2538

    มีทั้งหมด 3 พิมพ์ คือพระสมเด็จ, พระสิวลี และพระปรกใบมะขาม พระสมเด็จแบ่งออกเป็น 3 เนื้อคือ พระสมเด็จขาว เป็นผงพุทธคุณล้วน
    พระสมเด็จดำ เป็นผงพุทธคุณ 3 ส่วน และอังคารธาตุท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วบ้านชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร 7 ส่วน พระสมเด็จเขียว เป็นผงพุทธคุณ 7 ส่วน และทรายทองจากสระพญานาคในวัดพระธาตุพนม 3 ส่วน

    พระสิวลี และพระปรกใบมะขาม เป็นผงพุทธคุณล้วน พระทุกองค์จะประทับตรายางหมึกสีดำที่ด้านหลัง เป็นคาถาเฉพาะของท่านที่ได้มาเมื่อคราวออกธุดงค์ รวมจำนวนพระทั้งหมด 95 องค์
    ท่านอาจารย์ได้แผ่เมตตาให้ตั้งแต่วันที่ 18-20 สิงหาคม พ.ศ. 2538

    3. พระผงมงคลอายุรุ่นสาม ปีพ.ศ. 2539

    เป็นพิมพ์พระแก้วมรกต เนื้อผงพุทธคุณผสมเส้นเกศา ปีนี้จะทำพระแก้วพิมพ์เดียว แต่มีจำนวนมากถึง 1,000 องค์ ทำเนื้อพิเศษขึ้นมาเพียง 5 องค์ โดยใช้มวลสารเดียวกับที่ทำ ‘พระธรรมจักร’ ของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ

    พระแก้วเนื้อผงนี้ได้นำไปถวายให้ท่านพ่อเมือง พลวัฒโฑ วัดป่ามัชฌิมวาส อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ พระเถระที่ทรงอภิญญาเป็นยิ่งอธิษฐานให้ก่อน โดยท่านแผ่เมตตาให้ 10 นาที จากนั้นจึงนำไปถวายท่านอาจารย์ ซึ่งท่านก็ใช้เวลาเพียง 5 นาที แล้วลงมือแจกคณะกฐินที่มาทอดในคราวออกพรรษาปี 38 เป็นประเดิม เมื่อมีผู้รับไปมาก ก็เกิดประสบการณ์มากเป็นที่กว้างขวางไปทั่ว ทำให้มีผู้ถามหาพระแก้วรุ่นนี้อยู่บ่อย ๆ คนสร้างไปไหนก็เดินตัวลีบ เกรงพระจะหมดกรุ

    เรื่องราวของท่านพระอาจารย์แท้จริงแล้วควรเก็บงำไว้ไม่น่ากล่าวถึง คนไม่เข้าใจจะหาว่ายกขึ้นให้สูง แต่ผมเห็นว่าท่าน ‘บริบูรณ์’ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไร ปัญญาอย่างผมจะไปเพิ่มไปทอนอะไรท่านได้ เล่าสู่กันฟังก็เพราะอยากให้ได้กราบพระดี พระเก่งโดยแท้

    ขวนขวายเข้าเถิด เวลามีพระดีให้สร้างบุญ




    บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 มิถุนายน 2540

    =======================================




    รุ่นแรกแห่งพระดี....ท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ กันตสีโล
    วัดป่าสมบูรณ์ธรรม บ้านห้วยหิน ต.ป่าแดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    ก่อนอื่นคงต้องกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” แก่ท่านผู้อ่านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อนแล้วหลายท่าน และขอเผื่อคำนี้ไปยังท่านที่เพิ่ง “เริ่ม” เห็นหน้ากันกับผมเป็นครั้งแรกในคอลัมน์นี้ ไม่อาจบอกได้ว่า หายไปเพราะเหตุใด แต่บอกได้เต็มปากว่า คิดถึงผู้อ่านทุกท่าน คิดถึงทีมงาน “ศักดิ์สิทธิ์” ทุกคน

    นี่ออกจากใจจริง ๆ นะ

    หวานไปไหม ?

    หวานเกินไป ถ้าเป็นหมอก็คงจะบอกให้ลด เพราะเกรงจะเป็นเบาหวาน หากเป็นนักกีฬาอาจชอบใจ เพราะหวานนั้นให้ “พลังงาน” ดีนักแล

    ฉบับแรกที่ COMEBACK ขอบังอาจกล่าวถึงพระเถราจารย์ที่ไม่ประสงค์จะเปิดตัว หากชอบอยู่สันโดษแต่ในป่าเขาลำเนาไพร ก็ศิษย์อย่างผมมันลิงดี ๆ นี่เอง ปิดท่านไว้ก็ได้กราบไหว้อยู่แค่เราคนเดียว ประสาลิงใจดีจึงขออนุญาตทำท่านให้เป็นที่รู้จักกันอีกสักที

    ความจริงผมเคยเขียนถึงท่านพระอาจารย์สมบูรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ใน "ศักดิ์สิทธิ์” เช่นกัน แต่จะฉบับที่เท่าไร ปีอะไรก็เลือน ๆ ไปเสีย จำได้เพียงว่าเขียนไปแล้วก็ไม่กล้าไปวัดนานนับเดือน เสียวสันหลังว่า ท่านจะได้เห็นข้อเขียนของผม แล้วจะมีกระโถนเหาะเป็นรางวัล หาใช่ “ซีไรท์” อย่างที่ใคร ๆ เขาได้ไม่

    แล้วก็เป็นจริงดังสังหรณ์

    ไม่รู้สานุศิษย์คนใดของท่าน (บังอาจ) นำหนังสือ “ศักดิ์สิทธิ์” ฉบับ “ไดนาไมท์” ไปถวายท่านอ่าน และไม่รู้ว่าศิษย์คนใด (บังอาจอีกครั้ง) บอกไปได้ว่าผมคือคนเขียน เมื่อข่าวอันตรายนี้เข้าหูผม ผมก็ยิ่งเก็บตัวไม่ไปหาท่าน เพียงรู้เลา ๆ ว่าท่านมาชลบุรี ผมยังรีบเก็บบริขารหนีไปต่างจังหวัด (ทั้งที่ตัวเองก็ต่างจังหวัดอยู่แล้ว)

    หลบอยู่อย่างนี้ราว 6 เดือน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขบวนการกู้ชาติหรือกองโจรอะไรสักอย่าง กระทั่งแน่ใจว่าเรื่องชักเงียบ จึงตัดสินใจออกจากป่าเข้ามอบตัว กล้าบุกไปกราบท่านถึงในวัด ตัดใจแล้วว่าตายเป็นตาย ปลอบตัวเองว่า ท่านเป็นพระ ท่านไม่ฆ่าเราหรอกน่า อีกอย่างเรื่องก็นานเนป่านนี้ท่านคงลืม และ “ศักดิ์สิทธิ์” ฉบับนั้นคงหายสาบสูญ

    ไปถึงกุฏิก็ตรงเข้ากราบ ท่านมองหน้าแล้วยิ้มพร้อมเปรยว่า หายไปไหนนานนัก ไม่มาวัดเลย ผมก็ยิ้มพลางคิดว่า ท่านลืมแล้วจริง ๆ จากนั้นท่านก็หันไปข้าง ๆ หยิบอะไรบ้างอย่างขึ้นมาถือไว้

    หนังสือศักดิ์สิทธิ์

    อะไรจะ “ศักดิ์สิทธิ์” สมชื่อ ครึ่งปีแล้วยังสถิตสถาพรอยู่ที่วัดอีก ท่านเปิดหน้าที่เป็นเรื่องของท่าน แล้วชี้หน้าผมเบา ๆ หากไม่ปรากฏรอยยิ้มอย่างเอ็นดู (ลูกแมวลูกหมู) บนใบหน้าท่าน ผมคงโคม่าอยู่ตรงนั้น

    ชัดเจนว่าการเขียนครั้งนั้นไม่กระทบกระเทือนวัตรปฏิบัติของท่านนัก เพียงมีคณะศรัทธาเดินทางมาจากจังหวัด และภาคต่าง ๆ เข้ากราบขอฟังธรรมจากท่านมากมาย ท้ายที่สุดบางคนก็ขอของมงคลติดมือกลับบ้านไปเพื่อเป็นกำลังใจในการดำรงชีวิต ผมสบายใจ...สบายที่ได้แนะนำพระภิกษุดีให้คนกราบไหว้เอาบุญ สบายที่ได้เห็นคนปฏิบัติธรรมภาวนา อันเกิดจากเทศนาของท่าน และสบายที่ได้ยินว่า คนนั้น...คณะนั้น...หมู่นั้น...รถคว่ำไม่เป็นอะไร...ถูกยิงไม่เข้า...หมากัดไม่เข้า...นิรันตรายโดยอำนาจแห่งเครื่องมงคลของท่านอาจารย์ที่อยู่ในคอ

    ผมก็เอาดีได้แค่นี้แหละ

    สมัยหนึ่งที่วัดป่าสมบูรณ์ธรรม มีครอบครัวสามีภรรยาชาวบ้านที่เข้ามาช่วยงานวัดอยู่เป็นประจำ อาศัยที่ฝ่ายหญิงมีชื่อว่า “จ๋า” พวกเราจึงพากันเรียกว่า “แม่จ๋า” และเรียกสามีว่า “พ่อจ๋า” ร้องเรียกกันบ่อยเข้า เลยดูคล้ายพวกเราเป็นลูกแหง่ ตะโกนหาพ่อหาแม่อยู่ในวัด น่าเอ็นดู ผู้ผัวจะขับรถของวัดถวายท่านอาจารย์ไปในงานนิมนต์ต่างๆ ยามว่างก็ถางหญ้า ก่อปูนซ่อมเสนาสนะไปตามเรื่อง ผู้เป็นเมียก็ทำภัตตาหารเช้าบางอย่างถวายพระ-เณร เก็บกวาดทำความสะอาดโรงครัว และรอบบริเวณ ครั้นพระ-เณรฉันภัตตาหารแล้ว “พ่อจ๋า” ก็จะนำอาหารที่เหลือกลับไปรับประทานต่อที่บ้านประสาจน

    โดยเฉพาะข้าวก้นบาตรท่านอาจารย์

    หากกินเหลือเมื่อใดก็จะนำข้าวนั้นไปให้สุนัขที่เลี้ยงไว้ 3 ตัวกินเป็นที่สุดท้าย ทำอยู่อย่างนี้นับเดือน นับปี วันหนึ่งขณะแกทำธุระอยู่บนเรือน ได้ยินเสียงหมาที่เลี้ยงไว้เห่ากรรโชก แล้วตามด้วยเสียงไก่ร้องดังลั่นไป ครั้นแกวางธุระออกไปดูก็พบว่า ไก่หลายตัวถูกหมาที่เลี้ยงไว้กัดตายเรียบ

    โทสะพุ่งพรวดทันที เพราะไก่เป็นสัตว์เศรษฐกิจของคนจนเช่นเขา ไข่ออกมาก็กินได้ ตัวของมันก็กินได้ แต่หมา...กินไม่ได้ ! คิดแล้วก็วิ่งกลับเข้าไปในเรือน คว้าปืนยาวคู่ใจที่ออกล่าสัตว์มานักต่อนัก เล็งเข้าที่หมาที่นอนประกาศศักดาอยู่ข้างซากไก่

    แล้วกด “เปรี้ยง” ลงไป

    พ่อจ๋าเดินยิงหมา 3 ตัวรอบบ้าน ด้วยลูกปืนทั้งสิ้น 7 นัด เมื่อเห็นหมาบักด๊อกล้มตายเรียบ โทสะก็จางลง คิดว่าเลี้ยงดูกันมาก็หลายปี จะปล่อยให้มันนอนตายอย่างหมาข้างถนนก็ใช่ที่ เลยตกลงใจจะฝังให้มัน ว่าแล้วก็เดินตรงเข้าไปจับขาหมาเพื่อลากไปฝัง

    ทันทีนั้น ศพหมาก็ลุกพรวดพราดขึ้นวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา พ่อจ๋ายืนงง เห็นเป็นอัศจรรย์อย่างกับเจอพระนารายณ์เหาะลงมา เท่านั้นไม่พอ หมาอีกสองตัวยังลุกขึ้นวิ่งไล่กันไปคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น กว่าจะหายจากตะลึง และทำใจได้ก็เป็นนาน จึงตะล่อมเรียกหมาทั้งสามเข้ามาดู พบเพียงรอยจ้ำของกระสุนปืน และขนที่หลุดกระจุยไปตามแรงกระสุน

    แต่หาเข้าไม่ !

    นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขทั้งสามไม่ตาย แต่อะไรเป็นสาเหตุให้ยิงไม่เข้า พ่อจ๋าคิดไปคิดมา ก็นึกได้ว่า เขาเลี้ยงหมาทั้งสามตัวด้วยข้าวก้นบาตรของท่านพระอาจารย์สมบูรณ์อยู่เป็นประจำ หากมิใช่สิ่งนี้บันดาลให้เป็นไป ก็ไม่อาจหาเหตุผลใดมายืนยันได้ถึงความ “เหนียว” ของหมา แกจึงบึ่งมาวัดและกราบเรียนให้ท่านทราบทันที ครั้งที่ผมไปวัดและท่านเปรยเรื่องนี้ให้ฟัง ผมแจ้นไปสอบถามรายละเอียดเรื่องนี้กับพ่อจ๋า แกก็ยินดีเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง พลางเดาะปากเรียกไอ้ตัวตายยากทั้งสามที่วิ่งกระดิกหางอยู่ในวัดมาให้ผมดูรอยลูกปืนใกล้ ๆ

    เห็นแล้วขนลุก

    ร่องรอยที่เหลืออยู่ทำให้ผมเชื่อสนิทใจว่า ปืนจริงไม่ใช่หนังสติ๊ก แล้วโม้ว่าปืน หมู่คณะที่เป็นทั้งครูและตำรวจต่างตื่นเต้นไปกับเรื่องดังกล่าว แล้วจบลงด้วยการแย่งกันกินข้าวก้นบาตรของท่านพระอาจารย์กันโกลาหล

    เอาน่า เหนียวอย่างหมา ดีกว่าตายหยังเขียด

    ฉะนั้น พระผงรุ่นของท่านอาจารย์จึงต้องมีข้าวก้นบาตรที่ท่านพิจารณาแล้ว ฉันเหลือแล้วมาเป็นส่วนผสมอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นประกันได้เลยว่า “เหนียว” นี่อย่างหนึ่งละ อุดปืนแคล้วคลาด โชคลาภ เมตตา ไปหาเอาตอนเสกอีกที

    วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เป็นวันที่สำคัญยิ่งสำหรับศิษย์เช่นเรา เพราะท่านอาจารย์มีชนมายุครบ 5 รอบ คือ 60 ปี เป็นอะไรที่ศิษย์ทั้งหลายปีติยินดีที่ท่านอาจารย์อยู่มานาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับเรา

    ผมล่ะปีติยิ่งกว่าใคร

    แผนในใจที่มีมานานคือ การทำเหรียญรุ่นแรกนี่แหละ รอแต่วันมหามงคลเช่นนี้จะมาถึง สุ่มสี่สุ่มห้าทำ ท่านจะว่าไม่รู้จักกาลเทศะ บัดนี้ทุกอย่างพร้อม ท่านจะปฏิเสธเช่นไรได้ ว่าแล้วก็แอบซุ่มสุมศีรษะทำกันโดยไว เคยกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงการทำเหรียญรุ่นแรก ท่านว่า ไม่ควรทำ เพราะอายุท่านยังน้อย ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ก็ยังอยู่ แค่เป็นรูปถ่ายใบเล็ก ๆ ก็พอแล้ว

    ผมจึงกราบเรียนว่ารูปถ่ายจะใหญ่หรือเล็ก ก็เป็นรูปท่านอยู่ดี เพียงปรากฏอยู่บนกระดาษ ซึ่งมันไม่มีความคงทน ส่วนเหรียญทองแดงก็แค่รูปท่านเหมือนกัน เพียงปรากฏอยู่บนโลหะแทนกระดาษ ซึ่งมีความคงทนถาวรกว่าเท่านั้นเอง เรียนท่านไปดังนี้ท่านก็เงียบ ยิ้มน้อย ๆ เฉยอยู่ ผมโมเมในใจว่าเฉยก็รับนิมนต์น่ะแหละ พระพุทธเจ้าท่านทำแบบนี้เหมือนกัน เป็นที่รู้ว่าพระองค์ตอบรับ

    กลับมาทำทันที

    นายช่างประหยัด ลออพันธุ์สกุล หรือช่างอ๊อด มือเทวดา เป็นเป้าหมายสำคัญในการแกะบล็อก ยกแต่ช่างเกษม มงคลเจริญ แล้ว ผมมองไม่เห็นใครจะสรรค์สร้างงานเหรียญได้เช่นนี้อีก พี่อ๊อดที่แสนดีก็กรุณาเร่งมือให้เป็นระวิงทั้งที่งานเก่าก็ค้างอยู่มิใช่น้อย กว่าจะแล้วเสร็จใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม แต่ผมคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว จึงไม่เป็นปัญหาอะไร ขบวนเรามารับเหรียญที่บ้านพี่อ๊อดแล้วรีบเดินทางขึ้นวัดในค่ำวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2543 ตรวจนับเหรียญแล้ว ได้สมคำรับรอง ปรากฏเนื้อโลหะ ดังนี้

    1. ทองคำบริสุทธิ์ หนักเกือบ 2 บาท จำนวน 5 เหรียญ

    2. เงินบริสุทธิ์ จำนวน 50 เหรียญ

    3. ทองแดงรมมันปู จำนวน 10,000 เหรียญ

    เราไปถึงวัดในตอนเช้ามืด ท่านอาจารย์เพิ่งเสร็จจากการเดินจงกรม และกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ผมกับคุณชัยชนะ สันทัดกิจการ แห่งบริษัทโพรเพท สิงห์บุรี เลยแอบคุยกันเบา ๆ อยู่ไม่ไกล พักใหญ่ท่านก็กระแอมเสียงขึ้นคล้ายเป็นสัญญาณให้ เราสองคนจึงเข้าไปเคาะประตูกุฎิเบา ๆ ท่านก็ให้เข้ามา ครั้นกราบเรียนท่านแล้ว จึงเรียกหมู่คณะมาช่วยกันยกลังพระเข้าไปถวายท่านถึงที่นอน ท่านดูเหรียญแล้วหัวเราะพลางว่า

    “ไปทำมาจนได้นะ”

    พิจารณาอยู่พักใหญ่ ท่านก็บอกกับพวกเราว่า “ไป...ไปรอข้างนอกก่อน เราจะทำให้เดี๋ยวนี้” ผมจึงเรียนว่า “เอาทุกอย่างเลยนะครับท่านอาจารย์ โดยเฉพาะมหาอุดหยุดลูกปืน เพราะสมัยนี้อันตรายมันเยอะ” ท่านก็ขำไปเท่านั้น

    ผมออกจากกุฎิเป็นคนสุดท้าย ปิดประตูล็อกแล้วดูนาฬิกา ท่านดับไฟฉาย และสงบจิตลงสู่องค์ภาวนาในเวลา 06.04 น. นิ่งสนิทอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานทีเดียว แล้วท่านก็กระแอมขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณในเวลา 06.30.น. รวมเวลา เสกก็ 26 นาที

    เป็น 26 นาทีที่เหลือเฟือ

    นายตำรวจใน สภ.อ.ชาติตระการหลายคนได้รับเหรียญนี้ไป และพกติดตัวออกไปยิงนกตกปลากับเพื่อนกลับมาเล่าลือกันถึงความแปลกประหลาดของเหรียญรุ่นนี้ว่า หากวันใดพกพระนี้ไปล่าสัตว์จะไม่เคยได้เลยแม้แต่ชนิดเดียว ถึงที่สุดต้องนำกลับมาไว้บ้านก่อน จึงจะประสบความสำเร็จ เห็นเป็นอัศจรรย์ในข้อที่ว่า ท่านอาจารย์ไม่ประสงค์ให้คนทำบาป หนำซ้ำบางคนเจอกระต่ายป่า แต่ปืนกลับยิงไม่ออก ทั้งที่ตนแขวนเหรียญท่านอยู่กับตัวไม่ใช่กระต่ายแขวนเสียเมื่อไร

    นี่ก็ตำรวจ แต่เป็นใน สภ.อ.เมืองชลบุรี ชื่อ จ.ส.อ. ชัยชาญ สุวรรณจิระ เล่าว่าได้รับเหรียญนี้ไปจากคนรู้จัก คือ คุณจรินทร์ เหล่ารินทอง ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งของท่านอาจารย์ บรรยายสรรพคุณต่าง ๆ ให้ฟังอย่างศรัทธาถึงขีด จ่าชัยชาญผู้ไม่เคยพบเจอท่านอาจารย์เลยอดไม่ได้ที่จะสงสัย และเลยไปถึงไม่เชื่อ หากรับเหรียญไว้โดยน้ำใจ

    วันหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ตรวจไปถึงศรีพโล เลยวัดเขาบางทรายไปหน่อยก็เกิดความคิดอยากทดลองดูว่า ดีสมคำคุยหรือไม่ จึงชักชวนเพื่อนตำรวจที่ซ้อนไปด้วยกันให้หาทำเลในป่าเหมาะ ๆ แขวนเหรียญท่านอาจารย์ไว้กับกิ่งไม้ แล้วเล็งด้วยปืน .38 ที่พกอยู่กับตัวนั่นแหละ บรรจงยิงอย่างตั้งใจ

    แชะ !

    ปืนคู่มือที่ซ้อมยิงกันออกบ่อยครั้งกลับทรยศเอาดื้อ ๆ คุณจ่ามองหน้าเพื่อนร่วมงานแล้วรวบรวมกำลังใจเล็งใหม่อีกที

    แชะ !

    ครั้งนี้จ่าหนุ่มวางปืนลงกับพื้น แล้วก้มกราบทันที เกิดมาไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ปืนคู่ใจตั้งแต่ใช้มาไม่เคยเป็นอย่างนี้ กระสุนก็จานท้ายบุบด้วยแรงนกปืนสับ หาใช่บังเอิญไม่ คิดได้ทางเดียว ไม่มีทางอื่น

    ปาฎิหาริย์มีจริง

    สองตำรวจจึงแขวนเหรียญนี้ติดตัวเสมอ ส่งผลให้ตำรวจในเมืองชลฯ ถามหาเหรียญนี้กันเป็นจ้าละหวั่น ผมเดินตัวลีบ ดีที่ไม่ค่อยรู้จักกับตำรวจ

    คุณจรินทร์ถามถึงการยิงเพียงสองนัดกับจ.ส.อ.ชัยชาญว่า ทำไมไม่สามนัด จ่าตอบว่า “โอ๊ย ! สองนัดไม่ออกก็เห็นผลแล้ว ขืนยิงนัดที่สามแล้วปืนเกิดแตกอย่างที่เขาพูดกัน ผมก็แย่เท่านั้น ไหนจะเจ็บตัว ไหนจะปืนหลวง” ก็จริงของเขา

    ที่จริงเฉพาะเหรียญนี้เมื่อแจกจ่ายออกไปปรากฏประสบการณ์มากมาย เล่ากันไม่ไหว เหตุที่กล้าเขียน เพราะไม่เคยคิดเชียร์ ไม่เคยมีผลประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะเครื่องมงคลของท่านอาจารย์ ไม่เคยที่สร้างมาเพื่อให้เช่าบูชา มีแต่แจกกับฟรี

    ดังนั้นถ้าใครเคยกราบท่าน ครั้นฟังธรรมะแล้วลองเลียบเคียงดูเถิดอาจสมหวัง แม้ท่านอาจารย์จะไม่สนับสนุนในเรื่องของขลัง แต่ก็ใช่ว่าท่านจะรังเกียจอะไร เพียงดูเวลา และสถานที่สักหน่อยเถิด ที่สำคัญเหรียญรุ่นนี้ ใครรับกับท่านตอนนี้ก็เท่ากับท่านเสกมา 3 ปี แล้วหนา เพราะท่านทำของท่านทุกวัน
    แต่ถ้าท่านผู้อ่านกับผมมีวาสนาได้เจอกัน ผมจะแจกให้คนละเหรียญทันทีเลยเอ้า !

    หมายเหตุ : ท่านที่อยู่นนทบุรี สนามบินน้ำ ติดต่อรับเหรียญได้ที่ คุณชัยชนะ สันทัดกิจการ (คุณบิ๊ก) บริษัท TCK. ท่านที่อยู่พระโขนงบางจาก คลองเตย ติดต่อได้ที่คุณคุณานันต์ กนกธร ร้านภูมิจิตรเภสัช ซ.ภูมิจิตร ถ.พระราม 4 ฟรีทั้งนั้นครับ..


    หมายเหตุ; ข้อมูลปี2543

    [​IMG]
     
  3. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    เถระประวัติหลวงปู่บุญพิน วัดผาเทพนิมิต
    พระอริยะที่เสกพระได้สะเทือนผาเทพนิมิต
    อ่านเพิ่มเติมที่
     
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    update วันที่ 1 กุมภาพันธ์
    ล็อกเกตพระแก้วมรกต ผ่านการพุทธาภิเษกแล้วดังนี้
    พิธีพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก-มังคลาภิเษก
    1. พิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอินทาราม วันที่ 15 พ.ย. 2552
    2. พิธีพุทธาภิเษก พญาวานร วัดบางพลีน้อย วันที่ 29 พ.ย. 2552
    3. พิธีพุทธาภิเษกวัดบางแคน้อย จ.สมุทรสงคราม วันที่ 6 ธ.ค. 2552
    4. พิธีพุทธาภิเษก วัดบวรสถานมงคล(อดีตวัดพระแก้ววังหน้า) วันที่ 19 ธ.ค. 2552
    5. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญครบรอบมรณภาพหลวงปู่หลุย จันทสาโร วันที่ 19 ธ.ค. 2552
    6. พิธีมหาพุทธาเษก "โครงการสร้างพระในใจ เทิดไท้องค์ราชันย์" วัดโฆสมังคลาราม จ.นครพนม วันที่ 26-28 ธ.ค. 2552
    7. พิธีสวดสักขีและเจริญพระพุทธมนต์จากพระสุปฏิปันโนสายวัดป่ากรรมฐาน 92 รูป วัดธรรมมงคล วันที่ 10 มกราคม 2553 (ด้วยความกรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้ของท่านพระอาจารย์ไม อินทสิริ ถือนำเข้าพิธี)
    ....

    พิธีปลุกเสก/อธิษฐานจิตเดี่ยว
    เรียงตามวาระดังนี้
    1. หลวงพ่อยวง วัดหน้าต่างใน
    2. หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก
    3. หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว(3 วาระ)
    4. หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
    5. หลวงปู่เก๋ วัดปากน้ำ
    6. หลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม
    7. หลวงปู่คำบ่อ วัดใหม่บ้านตาล
    8. พระราชวรคุณ(สมศักดิ์) วัดบูรพาราม
    9. หลวงปู่แปลง วัดป่าอุดมสมพร
    10. หลวงปู่เณรคำ(พระวิรพล) ขันติโก
    11. หลวงปู่สุมโน วัดถ้ำสองตา
    12. หลวงปู่เนย สมจิตโต วัดโนนแสนคำ
    13. หลวงปู่ผ่าน ปัญญาทีโป
    14. พระอาจารย์เจริญ วัดโนนสว่าง
    15. ครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อน
    16. ครูบาจันทร์แก้ว คันธสีโล วัดศรีสว่าง (2 วาระ)
    17. ครูบาสาย วัดร้องขุด
    18. หลวงปู่ดี วัดเทพากร(2 วาระ)
    19. หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน
    20. พ่อท่านหวาน วัดสะบ้าย้อย
    21. พระอาจารยไพบูลย์ สุมังคโร วัดอนาลโย
    22. หลวงปู่บุญมา วัดป่าสีห์พนม (3 วาระ)
    23. พระอาจารย์คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง(5 วาระ)
    24. หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางจาก
    25. หลวงปู่โปร่ง วัดตำหนักเหนือ
    26. หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
    27. หลวงพ่ออ้อน วัดบางตะไนย์
    28. หลวงพ่อสินธุ์ วัดสะพานสูง
    29. หลวงตาวาสน์ วัดสะพานสูง
    30. หลวงปู่อุดม ญาณรโต วัดป่าสถิตธรรมวนาราม
    31. หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ
    32. พระอาจารย์ประกอบบุญ วัดมหาวัน
    33. หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่(2 วาระ)
    34. หลวงปู่น่วม วัดโพธิ์ศรีเจริญ
    35. หลวงพ่อมนตรี วัดป่าวิสุทธิธรรม จ.ตราด
    36. หลวงปู่เกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส
    37. หลวงตาแตงอ่อน วัดป่าโชคไพศาล
    38. หลวงปู่วิไล วัดถ้ำพญาช้างเผือก(4 วาระ)
    39. พระอาจารย์สมหมาย วัดสันติกมลาวาส
    40. หลวงปู่สรวง วัดศรีฐานใน
    41. พระอาจารย์ทองพูล สิริกาโม วัดภูกระแต
    42. หลวงปู่สำลี วัดถ้ำคูหาวารี(2 วาระ)
    43. หลวงปู่อุทัย วัดถ้ำภูวัว
    44. หลวงพ่อปริ่ง วัดโพธิ์คอย
    45. พระอาจารย์ประสิทธิ์ วัดโฆสมังคลาราม
    46. ครูบาตั๋น ปัญโญ
    47. ครูบาอินถา วัดอินทราพิบูลย์
    48. ครูบาบุญมา วัดศิริชัยนิมิตร
    49. ครูบาบุญเป็ง วัดทุ่งปูน
    50. ครูบาสิงห์แก้ว วัดปางกอง
    51. ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง
    52. หลวงปู่บุญมา ข้างวิหารพระเจ้าเก้าตื้อ วัดสวนดอก
    53. พระอุดมญาณโมลี(จันทร์ศรี) วัดโพธิสมภรณ์
    54. พระอาจารย์สมบูรณ์ วัดป่าสมบูรณ์ธรรม
    55. หลวงปู่อ่ำ ธุดงคสถานสันติวรญาณ เพชรบูรณ์
    56. พระอาจารย์ไม อินทสิริ วัดหนองช้างคาว(2 วาระ)
    57. หลวงพ่อวิโรจน์ สำนักสงฆ์ดอยปุย
    58. หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้
    59. หลวงปู่ลี ถาวโร วัดป่าหนองทับเรือ(3 วาระ)
    60. พระเทพเจติยาจารย์(วิริยังค์) วัดธรรมมงคล
    61. หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต
    62. หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูนวรวิหาร
    63. หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม (ปลุกเสกขณะเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 15 มกราคม)
    64. หลวงพ่อวงศ์ สุภาจาโร วัดคำพระองค์ หนองคาย
    65. หลวงปู่ทองอินทร์ วัดกลางคลองสี่
    66. หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมพู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  5. Roj_56

    Roj_56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,485
    ขอร่วมบุญด้วยครับ
    จองล็อกเกตธรรมดาฉากสีขาว 1องค์
     
  6. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    อยากเห็นตัวอย่างล็อกเก็ตครับ
     
  7. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,326
    ค่าพลัง:
    +88,009
    ท่าทางฉากกรรมการจะจองกันเกินที่สร้างแล้วนะครับ แต่ก็จองกับเขาบ้างหนึ่งองค์ครับ
     
  8. krit_eng99

    krit_eng99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +2,228
  9. ไวยวัฒน์

    ไวยวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +887
    ลูกอมปราบไพรี หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม
    สีชมพูใช่รึป่าวครับ รุ้จักแต่มหากันหลวงพ่อคงครับสีชมพู
     
  10. krit_eng99

    krit_eng99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +2,228
    ขออนุญาติเจ้าของกระทู้ครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      48.9 KB
      เปิดดู:
      2,246
    • 4.JPG
      4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      62.5 KB
      เปิดดู:
      573
    • 6.JPG
      6.JPG
      ขนาดไฟล์:
      30.7 KB
      เปิดดู:
      451
  11. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ผมของจองเพิ่มรวมทั้งหมดเป็น
    กรรมการฉากทอง 2 องค์
    ธรรมดา 1 องค์
     
  12. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ฉากทองเกินจำนวนแล้วนะครับ ผมให้สิทธิตามคนที่จองก่อนนะครับ ไม่มีเส้นสายใดๆทั้งสิ้น ครับ
    ผมเองก็ได้อันเดียวเหมือนกันครับ
     
  13. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    Update มวลสารประเภทจีวร/สังฆาฏิ/สบง
    1. จีวรหลวงปู่เทพโลกอุดร (ได้จากหลวงปู่วัย จัตตาลโย วัดเขาพนมยงค์)
    2.อังสะหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน บ้านละลม ศรีษะเกษ
    3. จีวรหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
    4. จีวรพ่อท่านเขียว อินทมุนี วัดหรงบล นครศรีธรรมราช
    5.ผ้าครองสรีระครูบาอภิชัยขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จังหวัดลำพูน
    6.อังสะหลวงปู่ตื้อ (ชุดที่ใช้ที่วัดป่าสามัคคีธรรม)
    7.จีวรครูบากองแก้ว วัดต้นยางหลวง เชียงใหม่
    8.จีวรหลวงปู่เทสน์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย
    9.จีวรหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม
    10.ผ้ารองกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย
    11.จีวรหลวงพ่อทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์
    12.จีวรหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย อยุธยา
    13.จีวรไม่ไหม้ไฟ ครูบาศรียูร วัดทุ่งแป้ง
    14.สบงหลวงปู่ครูบาธรรมธิ วัดสันป่าตึง
    15.จีวรหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย
    16.จีวรไม่ไหม้ไฟหลวงปู่ทอง วัดจักรวรรดิ(สามปลื้ม)
    17.จีวรหลวพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก
    18.จีวรหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    19. จีวรหลวงปู่ครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ วัดร้องขุ้ม

    เล็กๆน้อยๆนะครับ ผมเองก็มีแค่นี้ เต็มความสามารถแล้วครับ พี่ๆท่านใดพอมีจีวรครูบาอาจารย์พอแบ่งได้ อยากร่วมบุญ รบกวนด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  14. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,326
    ค่าพลัง:
    +88,009
    ช่วยดันครับ
    จองได้ไม่ได้ไม่เป็นไรครับ มีคนร่วมบุญมากๆ ยิ่งดีครับ
     
  15. เด็กวัดถ้ำ

    เด็กวัดถ้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +245
    ผมมีผ้าอังสะครูบาอาจารย์ อยู่สองรูป ครับ จะส่งไปร่วมทำบุญด้วยนะครับ
    ผ้าอังสะ หลวงปู่พระมหาโส กสฺสโป วัดป่าคำแคนเหนือ จ.ขอนแก่น
    ผ้าอังสะ หลวงปู่เผย วิริโย วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย
    ผมได้มีโอกาสตัดผ้าถวายองค์หลวงปู่ทั้งสองจึงขอส่วนที่ท่านใช้แล้วมาบูชาจะส่งไปร่วมทำบุญด้วยนะครับ
     
  16. supachaipnu

    supachaipnu ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,369
    ค่าพลัง:
    +7,301
    ผมขอจองเพิ่ม....
    + ธรรมดา 5 องค์<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    อนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลครับ

    เมื่อหลายเดือนก่อน ผมไปขอความเมตตาขอมวลสารจาก อาจารย์สุวัฒน์ พบร่มเย็น(อ.เบิ้ม) ระหว่างที่กำลังสนทนาอยู่นั้น โทรทัศน์ช่อง 7 ได้รายงานข่าวว่าได้พบพระพุทธรูปเป็นสัณฐานพระแก้วมรกตใต้น้ำ อาจารย์จึงอุทานว่า พระแก้วท่านอนุญาต ท่านจึงขึ้นไปเตรียมมวลสารให้ผมในวันนั้นเลย
    ประกอบไปด้วย
    -ผงพระแตกหักจากพระพิมพ์ชุดแช่น้ำมนต์ปี 2466 และพระพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ปี 2510 ของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี (ชุดนี้เรียกว่าผง 10 ไตรมาส เพราะ อ.เบิ้มกับเพื่อนอาจารย์ได้ฝากให้หลวงปู่โต๊ะอธิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชาตั้งแต่ประมาณปี 2510-2521 ตอนไปรับหลวงปู่บอกว่าผงนี้เราอธิษฐานจนเต็มที่ๆสุดแล้ว ปั้นเป็นลูกอมได้เลย)
    -ผงพระวัดปากน้ำ รุ่น 1 – 3 (ผงนี้อาจารย์ได้มาจากอ.ทองเจือ ผู้รับผิดชอบการสร้างพระผงของขวัญรุ่นสี่)
    -ผงพระกรุวัดสามปลื้ม (หลวงปู่โต๊ะได้รับการถวายเมื่อไปปลุกเสกพระที่วัดสามปลื้มปี 2514)
    -ผงสำเร็จ (ไตรมาส) หรือผงวัดวิเวก อธิษฐานโดยพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทร์ (อาจารย์ได้มาสมัยคุณลุงแก้ว ศิริรัตน์)
    -ผงชันเพชร (ทองและสีที่ขูดจากองค์มหาบุษบกทองคำที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกต)
    อาจารย์ได้มาจาก อ.อนันต์ สหัสดิเสวี ผมยังได้ผงชันเพชรมาจากคุณสุธันย์ สุนทรเสวีอีก
    -ผงสุริยประภา-จันทรประภา-ผงรัตนะมาลา และผง 12 คัมภีร์ ที่ลงและลบโดยท่าน อ.รอด สุขเจริญ (ลบถมถึง 1 หมื่นจบ เรียกสูตรเรียกนามตามตำรา อ.รอดเรียนวิชาจากหลวงปู่ศุข เป็นอาจารย์ของ อ.ทองเจือซึ่งผู้คำนวณฤกษ์ให้พระกริ่งชินบัญชรของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่)


    -ผงตะไบจากชิ้นส่วนองค์พระมงคลบพิตรที่ชำรุด
    -ผงปัฐวีธาตุ (ทรายเสก 32 อาจารย์) ส่วนที่เหลือจากการสร้างพระกริ่งปฐวีธาตุ ปี 2525 (เช่น ทรายเสกหลวงปู่ชู วัดนาคปรก ทรายเสกเจ้าคุณสนิท วัดท้ายตลาด ทรายกันไฟหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม อันทรายเสกเหล่านี้ขณะบดทำให้เครื่องบดแร่ของประเทศญี่ปุ่นพัง ไป 1 ตัว พระกริ่งชุดนี้จึงมีประสบการณ์ลือลั่น ประเมินค่าถึง 6 หลัก )
    -ผงสมเด็จวัดระฆัง-วัดสามปลื้ม-บางขุนพรหมที่ได้จากการซ่อมพระชำรุด
    -ผงกรุบางขุนพรหมที่สร้างพระองค์บดินทร์
    -ผงงาช้างแมมมอธหลวงพ่ออุตมะ
    -ผงจักรพรรดิหลวงพ่ออุตตมะ (หลวงพ่ออุตตมะลบถมเองในถ้ำ)
    -ผงหินพระธาตุเขา300ยอด หลวงพ่อยิดเสก1ไตรมาส
    -พลอยนพเกล้า108พิธี
    -ดินใต้หมอชีวะโกมารภัจน์ในวัดพระแก้ว
    -ดินฤษีเขาสารพัดดี
    -ผงยาอธิษฐานโดยหลวงปู่่ดู่
    - ผงอิทธิเจรวมที่อาจารย์สะสมมาตลอดเวลา 30 ปี อาจารย์บอกคร่าวๆว่า ผงนี้ผสมผงของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ที่อยู่บนหัวนอนของหลวงพ่อทองสุข เป็นที่มาว่าทำไมพระชุดธรรมกายของวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามถึงระบุว่ามีผงหลวงปู่เอี่ยม ผงนี้อาจารย์บอกว่าเข้าพิธี วัดพระแก้ว วัดบวรนิเวศ วัดสุทัศน์ วัดราชบพิธ ไม่ต่ำกว่า 200 พิธี เสกเดี่ยวมหาศาล มาหยุดเสกตอนหลวงปู่นนท์ วัดเหนือวน และหลวงปู่ม่วง วัดยางงาม


    dekdelta2 นำผงไปเสกเดี่ยวอีกมากมาย เช่นกัน ขนาดหลวงพ่อสม วัดโพธิ์ทอง ท่านหลับตัวเพียงครู่เดียวยังบอกว่าผงนี้ดีอยู่แล้ว ยังเอามาเสกอีกทำไม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  18. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    หลายท่านคงสงสัยว่าผงในตำราไสยศาสตร์มีกี่ตำรา วันนี้ผมจะนำมรดกทางพระเวทย์ ที่อาจารย์ผมทิ้งไว้ให้มาแถลงเป็นเกร็ดความรู้นะครับ
    ว่ากันด้วยเรื่องผงแล้วประกอบไปด้วย 12 คัมภีร์ด้วยกัน เป็นคัมภีร์แม่บทเสีย 5 คัมภีร์ นอกนั้นเป็นผงเกร็ดทั้งสิ้น หากแต่ต่างกันที่แต่ละสำนักจะนำผงเกร็ดต่างๆมารวมให้ครบตามอุปเท่ห์ของแต่ละอาจารย์พูดง่ายๆคือมีผงที่เหมือนกันทุกสำนักคือ 5 อันดับแรก(TOP5) เท่านั้นส่วนผงอื่นเปรียบเสมือนน้ำจิ้มกับเครื่องเคียงทั้งสิ้น ตำราผงที่นำมาเสนอนี้เป็นของส่วนตัวของพ่อท่านอ่อน วัดลุมพินี จ.พังงา ท่านกล่าวไว้เสมอว่าฐานหลักคือ 5 ผง ส่วนที่เหลือคืออำพลาง ซึ่งหากใครตีปริศนาผงได้นั้นก็เป็นกำไรนะครับผมไม่อาจแปรในทัศนคติของผมให้ฟัง โดยตำราผงมาตรฐานมีดังนี้คือ

    1.ผงพุทธคุณ
    2.ผงปถมัง
    3.ผงตรีนิสิงเห
    4.ผงอิทธิเจ
    5.ผงพุทธนิมิต
    อีก 7 ชนิดนั้นได้สอบทานกับสำนักอื่นว่าทำคล้ายกันเพียงแต่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น เช่น สำนัก หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน ,สำนักเขาอ้อ เป็นต้น
    6.ผงรัตนบัลลังก์
    7.ผงเมตตา(นะเศรษฐี)
    8.ผงโพธิสัตว์(นอโม)
    9.ผงพระพุทธเจ้าชนะมาร
    10.ผงพระสังข์เรียกทรัพย์
    11.ผงจินดามณี (สิวลี)
    12.หน้าพระลักษณ์


    เล่าต่ออีกด้วยว่า อันหัวเชื้อผงวัดปากน้ำของหลวงพ่อสดแท้ๆและพระวัดปากน้ำรุ่นแรกที่ชำรุดๆ ซึ่งตั้งอยู่ข้างที่จำวัดของหลวงพ่อสด ตอนมรณภาพ ที่มีอยู่มากเป็น”บาตรๆ”นั้น ก็ได้ตกมาที่ท่านพระอาจารย์ทองเจือแทบจะหมดสิ้น..!!??!! เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะท่านอาจารย์ทองเจือมีหน้าที่ควบคุมการสร้างพระผงของขวัญวัดปากน้ำ “รุ่น 4”ต่อมานั่นเอง “สรรพผง”วิเศษของหลวงพ่อสด จึงประดังประเดมา”รวมยอด”อยู่ที่ท่านพระอาจารย์ทองเจืออย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงอื่นไปได้ และผงวิเศษหลวงพ่อสด วัดปากน้ำจำนวนมหาศาลอีกนั่นแหละ ที่ได้รับการอัญเชิญลงผสมในเนื้อหาของพระสมเด็จ วัดสรรเพชญ์ ของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ อย่างเหลือเฟือ ชนิดที่แทบไม่มีการยั้งมือไว้ไมตรีแต่อย่างไรทั้งสิ้น อยากจะเป็นลม.......................

    แม้จะอุดมด้วยสรรพมงคลพิเศษสุดเห็นปานนี้ แต่พระสมเด็จ วัดสรรเพชญ์ก็หาได้ยุติแห่งการ”รวมผงสุดยอด”แต่อย่างไรเพียงเท่านั้นไม่ “อาจารย์รอด สุขเจริญ” อาจารย์ฆราวาสผู้กล้าวิทยาคม ศิษย์รุ่นน้องที่เคยเดินธุดงค์ร่วมกับ”หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม” สุดยอดพระคณาจารย์อันดับหนึ่งแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง และยังเป็นที่นับถือของท่านพระครูญาณวิลาศ หรือที่ทุกคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีที่สุดในนาม”หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ” ซึ่งมีความชำนาญในสรรพอาคม มีการ”ลบผง 12 คัมภีร์”อันล้ำลึกพิศดารที่สุด (หารูปถ่ายไม่ได้ เพราะไม่ว่าใครก็ถ่ายรูปอาจารย์รอดไม่ติดแม้แต่สักครั้ง) ก็ได้ลบผงวิเศษมอบให้ท่านพระอาจารย์ทองเจือ ธมฺมธีโรมาช่วยผสมสร้างพระสมเด็จ วัดสรรเพชญ์นี้อีกเป็นจำนวนมากด้วยกันอาทิ

    1.ผงปถมัง
    2.ผงมหาราช
    3.ผงอิทธิเจ
    4.ผงตรีนิสิงเห
    5.ผงสุกิตติมา
    6.ผงโมโน
    7.ผงอาการวัตตาสูตร
    8.ผงอิติปิโสรัตนมาลา
    9.ผงพระสีวลี
    10. ผงนะ 108

    ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯอนึ่ง ในการ”ลบผง”ของอาจารย์รอด สุขเจริญนี้ อาจารย์เบิ้มเล่าให้ฟังว่า เป็นการ”ลบ”และ”ถม”ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างโบราณจริงๆ นับเป็น”หมื่นๆ” ครั้ง แถมยังต้องมีการ”สวดธาตุ”คุมซ้ำอีกต่างหาก อานุภาพของผงวิเศษเหล่านี้ จึงเข้มขลังอย่างเหนือคำบรรยาย สุดที่จะกล่าวให้เข้าใจโดยแจ่มแจ้งโดยง่ายได้..........."


    เนื่องจากมีบางคนมาอ่านเห็นชื่อผมแล้วไปเรียนถามพระเถระผู้ใหญ่บางท่าน ผมเลยหลบๆ ไม่แสดงตัวระยะหนึ่ง ผงสิบสองคัมภีร์บางทีอาจเป็นแค่ความเชื่อที่ต่างกันเนื่องจากความจริงตำราผงอาจมีมากกว่านั้น แต่ทำไมท่านจัดไว้เป็นสิบสอง ที่โบราณท่านนับเป็นทวาทสมาสสิบสองเดือน คือทำตามตำรับใหญ่เดือนละตำรา ครบปีได้สิบสองตำราพอดี แต่ไม่ใช่ผงสิบสองนักษัตรของทางมอญ อันนั้นจะยุ่งยากกว่าผงสิบสองคัมภีร์นี้มาก ลบได้ผงแล้วก็เอามาปั้นใหม่อีก ทำซ้ำๆ ไปอย่างนี้ต้องใช้ความเพียรมาก

    จริง ๆ แล้วผงทุกประการ พื้นฐานอยู่ที่ปถมัง เพราะ ปถมังแปลว่าแรกเริ่ม ปถมํ พินฺทุกํ ชาตํ คือ แรกเริ่มย่อมเกิดพินทุขึ้นก่อน หลักการทำผงต่าง ๆ ก็แตกไปจากปถมังทั้งสิ้น ผงปถมังกับอิธะเจจะเก่าสุด มหาราชกับตรีนิสิงเหยังเกิดภายหลัง แต่ผงทั้งหมดมีที่มาจากมูลกัจจายน์ เมื่อก่อนพระเรียนมูลกัจจายน์ท่องว่าสูตรบาลีลบทำสนธิเกิดดับซ้ำ ๆ จนจิตเป็นเอกัคคตา ผงก็ร่วงหล่นทะลุกระดานลงมาเป็นอัศจรรย์ ไม่ถึงกับต้องลงผงดินสอ แค่ท่องสูตรได้ทั้งหมดก็ยังเชื่อว่ามีอานิสงส์นักหนา อาจดับอกุศลกรรมของญาติวงศาที่เสวยผลกรรมอยู่ในนรกได้ ครูอาจารย์ท่านเลยสรรเสริญว่าให้หมั่นท่องจำสูตรเหล่านี้ไว้ อย่างสูตรอิธะเจนี้ถ้าท่องจำได้ท่านว่าอานิสงส์ให้เกิดมาได้พบพระศาสนาทุกชาติไป

    วิชาทำผงปถมังอิธะเจนี้ ทางล้านนากับทางอีสานเห็นจะไม่มี แต่อาจมีผงอย่างอื่นหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่ที่รู้กันว่าวิชาเหล่านี้แพร่หลายอยู่ในภาคกลางจรดภาคใต้ เพราะมีความเกี่ยวพันทางวัฒนธรรมและการเมืองที่แน่นแฟ้นมากมาแต่อดีต ตัวอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามก็แพร่ลงใต้ ขณะเดียวกันพ่อขุนรามก็อาราธนาพระสงฆ์ ปู่ครู เถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร... จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นไปสอนธรรมยังสุโขทัย ขณะที่ทางล้านนาใช้อักษรล้านนาเป็นหลัก การรับอารยธรรมจากเมืองใต้ที่ใช้อักษรขอมจึงเป็นไปได้ยากกว่า พวกโองการต่าง ๆ ตลอดจนวิชาทำผง นะร้อยแปด และเลขยันต์ตำรับพิไชยสงครามแบบภาคกลางแพร่ไปไม่ถึง สังเกตดูว่า วิชาทางภาคกลางมีอะไร ภาคใต้ก็มักจะมี เพราะเมื่อก่อนภาคกลางกับใต้ถึงพัทลุง ถลาง นครศรี คืออาณาจักรสยามเหมือนกัน ส่วนทางเหนือ อีสาน เป็นอาณาจักรล้านนาล้านช้าง มีภาษาวัฒนธรรมของตนเอง แต่อย่างไรวิชาทางอยุธยากับเขาอ้อก็ยังต่างกัน แบบนี้โบราณาจารย์จึงเรียกว่า “สายวิชา” ของใครของมัน อย่างนอโมภาคกลางก็มีใช้ แต่อธิบายคนละแบบกับภาคใต้ แต่ทางใต้จะนิยมใช้นอโมมากกว่าภาคกลาง คาถาอะไรมักมี ออ อึ ทา ยอ สิ ธ่อ ทม ปะปนอยู่ด้วยเสมอ แต่นอโมนี้ทางล้านนาอาจไม่รู้จักเลยก็ได้

    การทำผงเป็นการฝึกฤทธิ์โดยวิธีลัดที่ได้ผลดี เริ่มจาก ปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห มหาราช ส่วนพุทธคุณกับพุทธนิมิตนั้นท่านว่าเป็นอันเดียวกัน คือทำพุทธคุณแล้วก็ต่อตอนท้ายเข้าพุทธนิมิตเท่านั้นเอง แต่ละอย่างก็บังเกิดอานุภาพต่างกันออกไป ผงคุณพระเหล่านี้ใช้ได้ทุกประการ แต่คนที่สำเร็จอย่างปถมังนี้ถ้าสำเร็จถึงวรรค 9 จะล่องหนหายตัวได้ และเป็นคงทนจังงังต่อศาสตราวุธทั้งปวง ผงอิธะเจใช้ทางผู้หญิง เป็นเสน่ห์แก่สีกาสาวแก่แม่หม้าย ถ้าทำขาดตัวในสูตรสนธิแล้วเป็นเสน่ห์ดีนัก และก็เป็นมหาละลวยงวยงงได้อีกด้วย ถ้าทำจนถึงสูญนิพพานใช้ได้เป็นคงกระพันหายตัวได้ ผงมหาราชเป็นเมตตามหานิยม เป็นที่รักเมตตาเอ็นดูกรุณาต่อมนุษย์ทั้งโลก ผงตรีนิสิงเหเป็นกำลังเทวดาในโลกธาตุใช้ทางกำราบภูตพราย ถอนอาถรรพ์คุณไสยศาสตร์ ล้างอวมงคลไม่ว่าจะโดยวิธีไหน ทำมาโดยวัตถุใดๆ เอาผงผสมน้ำมนต์รดให้กินถอนได้สิ้น เป็นคงกระพันและเมตตาก็ได้อีก ส่วนผงพุทธคุณบางสำนักก็เรียกผงรัตนมาลา ใช้ได้ 108 ประการ ผงหลักมีแค่นี้เป็นพื้น

    ส่วนผงเกร็ดมีเยอะ แต่ละสำนักก็พลิกแพลงกันไป เช่น ผงโสฬสมงคล ผงองค์พระ ผงสาลิกาหลงรัง ผงหน้าทอง ผงหน้าพระลักษมณ์ ผงหน้าพระ ผงจินดารูปทอง ผงพระเจ้าห้าพระองค์ ผงนอโมเข้าห้อง ผงปถมังโลกีย์ ผงพ่อไตรภพ ผงพญาหงส์ทอง ผงพระเจ้าเข้านิโรธ ผงอุนลุม ผงปถมังแฝด ผงอิทธิเจแฝด ผงองครักษ์ ผงจันทร์เสี้ยว ผงเจ้านางออ ฯลฯ เท่าที่เคยเห็นผ่านตา เคยเรียน หรือเคยได้ยินได้ฟังมายังเยอะขนาดนี้ และก็ยังมีอีกมากที่ผมไม่รู้หรือไม่เคยรู้จัก เพราะผงเกร็ดเป็นของเฉพาะสาย บางอย่างอาจสูญไปแล้วเพราะไม่มีคนเรียน ผงเกร็ดเหล่านี้โดยมากเป็นผงทางเมตตาทั้งนั้น วิชาไสยศาสตร์ฝึกได้หลายทาง ไม่ต้องเอาทางผงก็ได้ แต่อาจารย์แต่ก่อนมักหัดให้ทำผงเพื่อดูความเพียรของศิษย์ก่อนว่าแค่ไหน พอยุคหลังไสยศาสตร์ตกต่ำ บางอาจารย์เลยคิดวิชาผงขึ้นเองไม่เป็นไปตามโบราณ เกิดผงชื่อแปลก ๆ เอาของแปลก ๆ มาผสมเอามาทำเครื่องรางว่าขลังดี พวกเชื่อก็เชื่อกันไป แต่คนโบราณที่เก่งทำขึ้นจริง ๆ ผงดินสอพองธรรมดาลบแล้วเดินได้อย่างกับมด บางสำนักผงไต่สายสิญจน์ขึ้นไปถึงเพดานเลยก็มี หรือถ้าทำปถมังทะลุกระดานลงมา ทีนี้ทำนะอะไรก็สำเร็จทุกตัว อันนี้เป็นความอัศจรรย์เฉพาะของวิชาผงเท่านั้น
    ผมว่าไปตามเนื้อผ้า ผิดพลาดไปตรงไหนนักปราชญ์โปรดอภัยด้วย (ความรู้ของอาจารย์พลปฺปตฺโต)


    อ้างอิงจาก http://palungjit.org/threads/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%87-12-%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2.189246/


    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  19. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโตffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>


    <O:p></O:p>


    พระผู้ทรงจิตตานุภาพอัศจรรย์<O:p></O:p>


    ผู้ได้รับการอบรมธรรมจากหลวงปู่เทพโลกอุดร<O:p></O:p>


    <O:p></O:p>


    วัดป่าคูณคำวิปัสสนา บ้านกลาง ต.กุดไห <O:p></O:p>


    อ.กุดบาก จ.สกลนคร<O:p></O:p>


    โดย..ภันธกานต์ <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>พระพุทธศาสนากับหลวงปู่เทพโลกอุดร<O:p></O:p>

    <O:p></O:p> เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลึกลับสำหรับปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ บันทึกต่างๆ มักได้มาจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์โดยตรงที่เรียนวิชากับท่านทางกายเนื้อ เช่น หลวงปู่วัย จัตตาลโย แห่งวัดเขาพนมยงค์ ปู่โทน หลำแพร แห่งบ้านทรงไทยตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ลูกศิษย์ทางอ้อมที่ท่านมีเมตตามาสั่งสอนทางสมาธิ (เจโต) หลายท่านที่หลวงปู่ท่านมีเมตตามาปรากฏองค์ให้เห็นทางนิมิต และสอนธรรมะต่างๆ ตามวาสนาบารมีแตกต่างกันไป ดังนั้นท่านผู้อ่านอย่างพึ่งเชื่อในสิ่งที่นำเสนอทั้งหมด ควรพิจารณาหาความจริงด้วยเหตุผลใช้ปัญญาพิจารณาค่อยเชื่อ พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ”<O:p></O:p>

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_s1059 style="MARGIN-TOP: 3.75pt; Z-INDEX: -1; MARGIN-LEFT: 162pt; WIDTH: 74.35pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 110.2pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\02\clip_image006.jpg" o:title="หน้า 10"></v:imagedata></v:shape><O:p></O:p>

    หลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบันในหนังสือพงศาวดารที่เขียนโดย หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแปลอักษรโบราณประจำกรมศิลปากรได้กล่าวถึง การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาพุทธจากประเทศอินเดีย เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปี พ.ศ. 235 โดย พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 แล้วได้อาราธนา พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ทรงพิจารณาจัดคณะพระธรรมทูต อันมี พระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระฌานัยยะ พระภริยะ พระมุนียะ พร้อมคณะเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ณ เมืองนครศรีธรรมราช (ในปัจจุบัน) พร้อมทั้งวางรากฐานของพระพุทธศาสนา เช่น การอุปสมบท การทำสังฆกรรม จัดสร้างเสนาสนะ และสร้างวัดมหาธาตุ ขึ้นเป็นแห่งแรกในแผ่นดินสุวรรณภูมิ<O:p></O:p>

    ตามประวัติกล่าวว่า พระโสณเถระซึ่งเป็นหัวหน้าคณะพระธรรมทูต ณ แผ่นดินสุวรรณภูมิรวมเวลาทั้งสิ้น 29 ปี นับจากออกเดินทางจากประเทศอินเดียเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้นิพพานในปีพุทธศักราช 264 ซึ่งเป็นหลักฐานการบันทึกของพงศาวดารฉบับลังกานี้มิได้กล่าวถึง พระอุตตรเถระ ซึ่งเข้ามาพร้อมคณะพระธรรมทูตคณะดังกล่าว แล้วท่านหายไปไหน ซึ่งหากเชื่อตามนี้ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรคือ พระอุตตรเถระ แล้วนั่นแสดงว่า ท่านต้องมีอายุถึงกว่าสองพันห้าร้อยปี ซึ่งในแง่เหตุผลแล้วไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งธรรมชาติของปุถุชนคนธรรมดาที่มีอายุมากที่สุดที่กินเนสบุ๊คบันทึกไว้ก็ร้อยกว่าปีเท่านั้น แต่หากพิจารณากันในแง่ของการปฏิบัติธรรมของฤๅษีหรือโยคีในประเทศอินเดียที่มีอายุนับพันๆ ปี ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาหาความจริงอยู่ไม่น้อยในการเจริญอิทธิบาท 4<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>


    <v:shape id=_x0000_s1028 style="MARGIN-TOP: 9.35pt; Z-INDEX: -32; LEFT: 0px; MARGIN-LEFT: 45pt; WIDTH: 342pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 36.75pt; TEXT-ALIGN: left" type="#_x0000_t202" strokeweight="4.5pt"><v:stroke linestyle="thinThick"></v:stroke><v:textbox><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: #f4f4f4; BORDER-TOP: #f4f4f4; BORDER-LEFT: #f4f4f4; BORDER-BOTTOM: #f4f4f4; BACKGROUND-COLOR: transparent"><O:p></O:p>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></v:textbox></v:shape><O:p></O:p>


    หลวงปู่เทพโลกอุดรติดตามดูแลและส่งมอบพลังบุญบารมี<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p> นับตั้งแต่จำความได้ผู้คนแถบจังหวัดสกลนครต่างเล่าลือถึงบุญญาบารมีของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ตลอดทั้งพระผู้ทรงคุณต่างๆนานาให้เด็กชายขาว ไพรคำนาม ให้ได้รับอยู่เสมอถ่ายทอดทั้งเรื่องราวบุญญาบารมีธรรมะให้ได้รับรู้ จึงได้เกิดความคิดตามประสาเด็ก<O:p></O:p>
    ถ้าเราได้บวชแล้ว ก็ขอให้สามารถปฏิบัติได้อย่างท่าน เราน่าจะปฏิบัติได้อย่างท่าน ท่านก็มีสองขา สองแขนเหมือนเราเราต้องเป็นอย่างท่านให้ได้เป็นอย่างท่านให้ได้”<O:p></O:p>
    เป็นความคิดในวัยเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องพระศาสนาแต่ประการใดของเด็กชายขาว พอเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่๑ เด็กชายขาวได้ใช้ชีวิตตามประสาเด็กชนบทที่อนาถา ยากจน กว่าใครในหมู่บ้านถูกตั้งข้อรังเกียจสารพัดอย่างที่คนเขาใส่ความทั้งๆที่ไม่ได้กระทำผิดใดๆ.. ต่อมาในขณะนั้นได้มีพระธุดงค์รูปร่างสูงใหญ่ มือเท้าใหญ่ผิดกับพระโดยทั่วไป ผิวพรรณขาวเหลืองผ่องใสได้เข้ามาเยี่ยมเยือนเด็กชายขาว กล่าวทักทายกันตามวิสัยแต่ด้วยความเป็นเด็กเล็กๆจึงไม่ได้ใส่ใจ...เด็กชายขาวใช้ชีวิตเหมือนเด็กชนบทโดยทั่วไปและด้วยความที่ไม่ค่อยสนใจเล่าเรียนประกอบกับมีหัวสมองไม่ดีจึงทำให้การเรียนของเด็กชายขาวไม่ได้ดี จนถูกครูตำหนิต่างๆ จนเรียนหนังสือเข้าชั้นประถมศึกษาที่ ๕ เป็นช่วงเดือน๑๒ วันเพ็ญเด็กชายขาวนั้นได้ถูกเพื่อนๆชักชวนไปเข้าป่าเพื่อไปหาล่าสัตว์ยิงตัวบ่าง ขณะนั้นได้มีพระธุดงค์รูปร่างสูงใหญ่ มือเท้าใหญ่ ผิวขาวเหลืองใสผ่องใส หน้าตาออกไปทางพระทิเบตพระแขกได้มาปรากฏกายให้เด็กชายขาว เห็นอีกครั้ง และกล่าวทักชื่อเด็กชายขาวได้อย่างถูกต้องทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน<O:p></O:p>
    ลูกขาว จำพ่อได้ไหมลูกเอ๋ยพ่อมาตามหาเจ้า จำพ่อได้ไหมตอนเจ้าอายุ ๘-๙ ขวบที่พ่อเคยมาหา วันนี้อย่าออกไปยิงสัตว์เลยน่ะลูก”<O:p></O:p>
    พระธุดงค์นิรนามที่ได้พบกันในครั้งนี้กล่าวทักเด็กชายขาวได้อย่างน่าแปลกประหลาดเหตุใดท่านจึงทราบชื่อ และพฤติกรรมที่จะกระทำ เด็กชายขาวแปลกใจ<O:p></O:p>
    พระองค์นี้คงจะสำคัญน่าดู ทำไมจึงรู้ว่าเราจะไปไหน เราชื่ออะไร”<O:p></O:p>
    เมื่อได้พบกันครั้งที่สองทั้งที่ครั้งแรกเด็กชายขาวนั้นจำไม่ได้แล้วว่าเคยพบกับท่านที่ไหนอย่างไรเพราะอยู่ในวัยเด็ก พระธุดงค์จึงได้กล่าวบอก<O:p></O:p>
    เมื่อเจ้าเรียนหนังสือจบ ออกโรงเรียนแล้วให้บวชให้พ่อน่ะลูก”<O:p></O:p>
    เด็กชายขาวกราบเรียนตามนิสัยเด็ก<O:p></O:p>
    โอ๋ยผูข่า อ่านหนังสือไม่ออกอ่านหนังสือไม่ค่อยได้เท่าใดเลยครับ ผูข่าไม่สนใจเรียน”<O:p></O:p>
    พระธุดงค์ผู้เมตตาได้กล่าวรับรู้<O:p></O:p>
    ไม่เป็นไร ไม่ยาก ขอแต่เพียงรับปากว่าจะบวช”<O:p></O:p>
    เด็กชายขาวรับปากไปตามประสาวัยเด็ก <O:p></O:p>
    ได้ครับ”<O:p></O:p>
    เป็นการรับปากแบบไม่เต็มใจ <O:p></O:p>
    จากนั้นพระธุดงค์จึงได้ยื่นมือข้างขวา ที่ยาวใหญ่มาจับที่กระหม่อมเด็กชายขาว ยืนอธิษฐานจิตเพ่งพลังลงในร่างกายให้เด็กชายขาวอยู่นานหลายนาที พลันใดนั้นเด็กชายขาวที่ถูกจับกระหม่อมได้เกิดความรู้สึกสั่นสะท้านตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้ารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเกิดความรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างแผ่ซ่านเข้าร่างกาย ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าระทวยหายใจไม่ออกออกอาการร้อนรนทั่วร่างกาย จนเวลาผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที แล้วพระธุดงค์นั้นได้เป่าลงกระหม่อม..พ้วง!<O:p></O:p>
    อาการต่างๆของเด็กชายขาวจึงเข้าสู่สภาวะปกติ พระธุดงค์เมตตามอบพลังต่างๆให้จนเสร็จ จึงได้กล่าวบอกเด็กชายขาว<O:p></O:p>
    สิ่งที่ลูกปรารถนานั้น จะได้ทุกอย่างพ่อส่งมอบคืนของเก่าให้ทั้งหมดแล้วและต่อไปให้แกล้งทำตัวเป็นคนบ้างน่ะ”<O:p></O:p>
    เด็กชายขาวตอบรับอนุโมทนาสาธุ เมื่อได้สัมผัสพลังประหลาดที่เข้าสู่ร่างกายเกิดความคิดว่าพระธุดงค์รูปนี้ทำไสยศาสตร์ และเด็กชายขาวเกิดความกลัวต่างๆนานาว่าจะเป็นบ้าบ้าง เสียสติบ้าง เมื่อได้สติจึงเรียนถามพระธุดงค์<O:p></O:p>
    หลวงพ่อ ชื่อว่าอะไร”<O:p></O:p>
    กลับไม่ได้รับคำตอบทางวาจาจากพระธุดงค์ แต่ท่านกลับเอาย่ามยื่นส่งให้อ่านด้านข้าง เด็กชายขาวได้อ่านข้อความที่เขียนว่า<O:p></O:p>
    หลวงพ่อพระครูเทพโลกอุดร อุตตระเถระ”<O:p></O:p>
    หลังจากนั้นพระธุดงค์ได้เมตตาให้โอวาทแก่เด็กชายขาว แล้วท่านจึงได้เดินทางจากไป....<O:p></O:p>
    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ได้กล่าวให้ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านได้รับในครั้งนี้ให้ทราบ<O:p></O:p>
    ตอนที่พระธุดงค์จับหัวแล้วบอกให้ทราบว่าพ่อส่งของเก่าคืนให้หมดแล้วจนเกิดญาณรู้เห็นต่างๆ พลังงานที่ได้รับก็คือพลังงานของบุญเก่าที่เคยสร้างสมมา ท่านนำมาส่งให้เพราะท่านเคยเป็นครูบาอาจารย์เรามาก่อนท่านเป็นผู้มีอำนาจจิตเหนือคนเหนือมนุษย์โลกท่านก็ย่อมสามารถทำได้ หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเป็นพระเหนือโลก จิตเหนือโลกจิตท่านพ้นโลก<O:p></O:p>

    <v:shape id=_x0000_s1033 style="MARGIN-TOP: 10.35pt; Z-INDEX: -27; LEFT: 0px; MARGIN-LEFT: 207pt; WIDTH: 161.5pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 279pt; TEXT-ALIGN: left" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\02\clip_image009.jpg" o:title="หน้า 42" cropright="36704f" croptop="30466f"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_s1032 style="MARGIN-TOP: 1.35pt; Z-INDEX: -28; LEFT: 0px; MARGIN-LEFT: 81pt; WIDTH: 117.85pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 4in; TEXT-ALIGN: left" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\02\clip_image009.jpg" o:title="หน้า 42" cropbottom="30730f" cropleft="45308f"></v:imagedata></v:shape><O:p></O:p>


    <O:p></O:p>ชีวิตเด็กชายขาวที่เปลี่ยนไป<O:p></O:p>

    ชีวิตนับตั้งแต่เจอพระธุดงค์ นามหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรหรือท่านพระอุตตระเถระ ได้เมตตาเพ่งพลังให้ในครั้งนั้นชีวิตเด็กชายขาว จึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆในจิตเกิดญาณรู้เห็นสิ่งต่างๆบ้างเห็นคนคุยกันในสถานที่ไกลๆก็สามารถได้ยินชัดเจน สามารถมองเห็นในสถานที่ไกลๆได้ ฟังภาษาสัตว์นานาชนิดและสื่อสารได้อย่างเข้าใจ รู้เรื่องสมุนไพรในการรักษาโรคให้แก่ผู้คน สามารถสวดมนต์บทต่างๆได้เอง สามารถรับรู้วาระจิตผู้อื่นได้อย่างน่าฉงนสนเท่ห์.........และสิ่งประหลาดที่เกิดกับชีวิตเด็กชายขาวในการปรับตัวในด้านอาหารการกินนับตั้งแต่นั้นเด็กชายก็ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด เมื่อได้กลิ่นคาวเนื้อสัตว์ก็จะอาเจียนออกมาทันทีเพราะเหม็นคาวบางครั้งเห็นเขาต้มแกงปลาต้มยำไก่เมื่อได้กลิ่นถึงกับอาเจียนออกมาทันที ท้องไส้ปั่นป่วน เจ็บปวดทรมาน จนเรื่องราวต่างๆเล่าลือออกไป วันนั้นญาติๆจึงอยากทดลองว่าเด็กชายขาวนั้นกินเนื้อสัตว์ไม่ได้จริงหรือไม่ จึงได้วางแผนอุบายด้วยการแอบทำลาภวัวซ่อนไว้ จากนั้นญาติจึงได้ไปชักชวนเด็กชายขาว ให้มารับประทานอาหารที่บ้าน ขณะที่มาถึงที่เด็กชายขาวได้กล่าวทัก<O:p></O:p>
    มึงไม่ต้องมาชวนกูหรอก กูไม่ไปกินกับมึงหรอก กูรู้จักอยู่ว่ามึงจะพากูไปกินลาภวัว”<O:p></O:p>
    ญาติๆ แปลกใจจึงได้มาคุยกัน<O:p></O:p>
    เฮา ยังไม่ได้บอกอะไรมันเลย ทำไมมันจึงรู้จัก แปลกๆอยู่น่ะบักขาวนี่”<O:p></O:p>
    เด็กชายขาวถูกทดสอบหลายครั้งหลายครา ญาติๆและเพื่อนบ้านจึงตั้งข้อสงสัยเมื่อเห็นอากัปกิริยาการประพฤติตัว ต่างๆของเด็กชายขาวคล้ายคนบ้า เสียสติ ทำสิ่งต่างๆดูแล้วคล้ายคนบ้าแต่เด็กชายขาวนั้นกลับรู้ตัวมีสติทุกอย่าง จนญาตๆและชาวบ้านลงความเห็น<O:p></O:p>
    หรือว่า มันเป็นผีบ้า บักอันนี่”<O:p></O:p>
    เริ่มแต่งตัวด้วยชุดขาว นั่งภาวนาตามท้องไร่ท้องนาในป่าเป็นประจำ ผู้คนเห็นไปหาสมุนไพรรากไม้ต่างๆมาทำเป็นยารักษาโรคให้ผู้คน ผู้คนส่วนหนึ่งคิดว่าเด็กชายขาวเป็นบ้าจริงๆ จนเดือดร้อนถึงผู้เป็นแม่ต้องนำตัวไปรักษาไปรดน้ำมนต์ในสถานที่ต่างๆ จนหมดเงินทองมากมายสำหรับชีวิตชาวบ้านที่ยากจนหมดไป ๑๕,๐๐๐ บาท ผู้เป็นแม่ถึงกับบ่น<O:p></O:p>
    กูทุกข์เพราะมึงนี่แหละ”<O:p></O:p>
    ในขณะที่ถูกนำไปรักษาตัวรดน้ำมนต์ ในขณะที่ฟังบทสวดมนต์เพื่อทำน้ำมนต์นั้นปรากฏว่าเด็กชายขาว สามารถบริกรรมบทสวดมนต์ต่างๆตามไปได้อย่างเป็นปกติเช่นเขาสวดมนต์ที่ทำการรักษาให้ตนเอง <O:p></O:p>
    ฮึ แค่นี้ กูก็ทำได้”<O:p></O:p>
    เด็กชายขาวบอกกับตนเอง<O:p></O:p>
    หลังจากนั้นมาเด็กชายขาว ยังคงทำการรักษาโรคภัยให้แก่ผู้คนต่างๆที่มาขอความเมตตาให้ช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้แม้กระนั้นยังไม่วายที่จะถูกผู้คนร้องเรียนถึงพฤติกรรมหาว่าหลอกลวงจนถึงกับไปแจ้งเจ้าหน้าที่มาจับเด็กชายขาว จึงได้บอกให้ทราบ<O:p></O:p>
    จับ ก็จับคนที่มาหาซิไม่ได้ไปหาใครนิ และไม่ได้บอกให้ใครมาหา เขามาหาเขาเองไม่ได้หลอกลวงเอาเงินทองใคร”<O:p></O:p>
    เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อมูลถึงการหลอกลวง สืบไปสืบมาก็ได้ความจริงว่าคนที่มาให้รักษานั้นหายป่วยจริงๆ จึงไม่สามารถเอาความผิดเด็กชายขาวได้....<O:p></O:p>
    เป็นประจำนับตั้งแต่ได้รับการถ่ายพลังงานบุญบารมีที่เคยบำเพ็ญมาจากอดีตของเด็กชายขาวจากท่านอุตตระเถระที่ถ่ายถอดพลังให้ จิตที่นอนเนื่องนิ่งก็ได้รับการพลังงานกระตุ้นเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับกระแสไฟฟ้า เหมือนเหล็กถูกเคาะสนิม จิตถูกกระตุ้นด้วยพลังบุญบารมีจนเกิดญาณทิพย์รู้เห็นสิ่งต่างๆด้วยบุญบารมีจากในอดีตชาติที่สั่งสม....ท่านอุตตระเถระหรือที่คนทั่วไปเรียกขานท่านว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร จะเมตตามาปรากฏกายทิพย์อบรมธรรมให้แก่เด็กชายอยู่เป็นประจำ<O:p></O:p>
    เนื่องจากตั้งแต่ได้รับการถ่ายทอดพลังงานบุญญาบารมีจากหลวงปู่เทพโลกอุดรแล้วอากัปกิริยาภายนอกของเด็กชายขาวนั้นดูเหมือนเป็นคนไร้สติ เหมือนคนบ้าแต่สติภายในยังรู้ตัวมีสติสมบูรณ์ จนเด็กชายขาว เรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาที่ ๖ จึงได้จัดแต่งขันธ์ ๕ ดอกบัวขาวจำนวน ๕ คู่ ธูปเทียน และผ้าขาว ๑ วา ยกขึ้นบูชาอธิษฐาน ขอให้อากัปกิริยาต่างๆนั้นหายเป็นปกติ ...ชีวิตเด็กชายขาวจึงได้เหมือนคนปกติทั่วไป เมื่อหลวงปู่เทพโลกอุดร เมตตามาอบรมเด็กชายขาวจึงได้เรียนถาม<O:p></O:p>
    หลวงพ่อทำไมต้องทำให้ลูกเป็นบ้า”<O:p></O:p>
    ท่านพระมหาเถระอุตตระหรือหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านได้เผยปริศนาธรรม<O:p></O:p>
    ลูกเอ๋ย ถ้าเราไม่สร้างบารมีเช่นนี้แล้วเราจะรู้หรือไม่ว่าคนเรามันมีความซื่อสัตย์เพียงใด พ่อต้องการให้เจ้ารู้เพียงว่าการที่ต้องดำรงตนอยู่กับมนุษย์ ถ้าเราเป็นคนบ้านี่มนุษย์เขาจะสรรเสริญเจ้าหรือไม่ การจะสร้างบารมีแต่ละอย่างต้องให้เห็นเหตุเห็นผล ถ้าเหตุไม่เกิด ผลก็ไม่เกิด ถ้าอยากรู้ใจมนุษย์นี่ก็ต้องทำตัวเหมือนที่พ่อพาเจ้าทำอยู่นี่ถ้าอยากรู้จักใจมนุษย์ นี่แหละคือสิ่งที่พ่อให้เจ้าทำอยู่นี่เพื่อให้รู้ใจมนุษย์มันเป็นอย่างไรให้เจ้าดูเอา”<O:p></O:p>
    เป็นประจำที่ท่านหลวงปู่เทพโลกอุดรมาเมตตาสอนจนเด็กชายขาว บวชเป็นสามเณรสุพัตร ไพรคำนาม หรือสามเณรขาว ตามที่ได้ถือสัจจะต่อหลวงปู่เทพโลกอุดรว่าจะบวชทันที่เมื่อเรียนจบ ทุกคืนค่ำท่านจะมาสอนทางสมาธิให้ทราบในการพิจารณาธรรมโดยท่านเน้นการภาวนาให้แก่สามเณรขาวแต่การสอนธรรมนั้นสามเณรขาวสนทนากับท่านด้วยสายตาเนื้อไม่ได้หลับตาใดๆโดยท่านเน้นสอนในด้าน <O:p></O:p>
    การพิจารณาจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวภาวนาด้วยอารมณ์พุทธานุสติพุท-โธพิจารณาอสุภกรรมฐานให้พิจารณาให้เห็นตามสภาพธรรมชาติ ให้พิจารณากายตั้งแต่ปลายผมลงไป ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาให้พิจารณาอยู่ในกายเท่านี้แหละลูกพระไตรปิฏกก็อยู่ในกายเราไม่ต้องไปหาอื่นไกลธรรมะอยู่ที่กาย วาจา ใจเรา”<O:p></O:p>
    เมื่อได้บวชเป็นสามเณรแล้วสามเณรขาวในวัยจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นตัวเล็กๆจึงอยากจะเดินธุดงค์ด้วยการไปกราบหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคนั้นจึงได้เข้ากราบนมัสการท่านพระผู้ปกครองดูแลคือท่านหลวงตาดา<O:p></O:p>
    หลวงตา ข้าน้อยจะไปธุดงค์”<O:p></O:p>
    หลวงตาดาได้รับฟังคำร้องบอกจากสามเณรขาวตัวน้อย ถึงกับแสดงอาการไม่พอใจและกล่าวด้วยเสียงดุดัน<O:p></O:p>
    ถ้ามึงไปธุดงค์เท่ากับมึงไปตาย อยู่บนภูนั่นแหละบักน้อย มึงจะรู้อะไรภาษานะโม อะไรซักตัว เพิ่งบวชมานี่”<O:p></O:p>
    สามเณรขาวถึงแม้จะถูกคัดค้านจากหลวงตาดา แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นที่จะไปกราบหลวงปู่แหวนให้ได้ การห้ามปรามจึงไม่เป็นผลจึงได้ตัดสินใจด้วยวัย ๑๓ ปี ออกธุดงค์ด้วยใจมุ่งมั่นไปตามเส้นทางป่าเขา ลำเนาไพร ตามถิ่นดินแดนต่างๆ ออกธุดงค์มาตามเส้นทางเลียบลำแม่น้ำโขงมาทางอำเภอท่าอุเทน ไปตามเส้นทางท่าบ่อแก้วและได้มีเหตุต้องได้ข้ามแม่น้ำโขงไปเที่ยววิเวกทางฝั่งประเทศลาว ที่บริเวณแม่น้ำดินบูน หินเหิบ ทางทางแขวงปุริคำไซ บ้านวังหัวปลา จนมาเจอเหตุการณ์ในช่วงนั้นบ้านเมืองประเทศลาวเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บ้านเมืองมีความวุ่นวายต่างๆเกิดขึ้นประชาชนแลพระเณรอยู่ด้วยความยากลำบากสามเณรขาวจึงได้เข้าไปหลบในวัด<O:p></O:p>
    <v:shape id=_x0000_s1035 style="MARGIN-TOP: 11.4pt; Z-INDEX: -25; LEFT: 0px; MARGIN-LEFT: 99pt; WIDTH: 3in; POSITION: absolute; HEIGHT: 158.3pt; TEXT-ALIGN: left" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\02\clip_image014.jpg" o:title="002"></v:imagedata></v:shape><O:p></O:p>

    <O:p></O:p>เณรคำมารับไปพบพ่อแม่ครูบาอาจารย์<O:p></O:p>

    <O:p></O:p> ค่ำคืนนั้น ได้มีสามเณรรูปหนึ่ง มีลักษณะผมยาวเกือบถึงกลางหลัง ได้เข้ามาพบสามเณรขาวและบอกกล่าวให้ทราบว่าชื่อ โจ๋คำ นามสกุลตระกูล ณ จำปาสัก(ภาษาลาวเรียกสามเณรว่า โจ๋ มีชื่อว่า คำ)รูปร่างของสามเณรคำที่สามเณรขาวได้สังเกตเพ่งพิจารณาถึงใบหน้าของเณรคำอย่างชัดเจน พบว่าบริเวณใบหน้าที่ตรงบริเวณหางตาขวามีรอยแผลเป็นขนาด ๓ นิ้วอยู่ทางหางคิ้วด้านขวา เข้ามาพบสามเณรขาว และเรียนบอกให้ทราบ<O:p></O:p>
    ครูบาๆ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้มารับ”<O:p></O:p>
    สามเณรขาว แปลกใจ<O:p></O:p>
    ใครหนอ ให้มารับ”<O:p></O:p>
    จึงได้เรียนบอกสามเณรคำ ให้ทราบ<O:p></O:p>
    ข้าน้อยยังเป็นสามเณร เดอไม่ใช่ครูบา”<O:p></O:p>
    เณรคำหรือโจ๋คำ เรียนบอกให้ทราบด้วยความเคารพ<O:p></O:p>
    ไม่เป็นไร ข้าน้อยจะเรียกครูบา”<O:p></O:p>
    สามเณรขาว จึงซักถาม<O:p></O:p>
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ให้มารับนั้นคือใคร ชื่ออะไร”<O:p></O:p>
    เณรคำชี้แจงให้ทราบ <O:p></O:p>
    ไปก่อนเถอะ ไปถึงแล้วก็รู้จักเองแหละ”<O:p></O:p>
    สามเณรขาวสอบถามเส้นทาง<O:p></O:p>
    อยู่ไกล ขนาดไหน”<O:p></O:p>
    เณรคำแจ้ง<O:p></O:p>
    เดี๋ยวจะพาไปให้ท่านหลับตาแล้วข้าน้อยจะพาไป”<O:p></O:p>
    สามเณรขาวจึงได้หลับตาด้วยความมีสติ เณรคำจึงได้นำชายจีวร ปกคุมร่างกายสามเณรขาวแล้วเณรคำ จึงได้เดินนำทางสามเณรขาว เพียงช่วงเวลาไม่นานไม่กี่อึดใจมีความรู้สึกว่าเดินไม่กี่ก้าว จนมาถึงอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีรอยพระพุทธบาทอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้(ทราบว่าภายหลังสถานที่นี้คือ พระบาทแอวขัน ซึ่งมีระยะห่างจากวัดที่ออกมาร่วม ๒๐๐ กิโลเมตร)<O:p></O:p>
    สามเณรคำ จึงได้บอกให้สามเณรขาวทราบ<O:p></O:p>
    ลืมตาเถอะ ครูบา”<O:p></O:p>
    สามเณรขาว ค่อยๆลืมตาและได้สัมผัสกับพื้นดินที่เหยียบโดยรอบเป็นโขดหินสีคล้ำดำ เต็มไปทั่วอาณาบริเวณป่าเขาแห่งนี้ มีต้นไม้ประปราย น้อยใหญ่ เป็นอาณาเขตเชิงตีนภูเขาด้านหน้า (ทราบชื่อภายหลังว่า ภูเขาควาย )<O:p></O:p>
    สามเณรขาวสัมผัสบรรยากาศ โดยรอบเย็นสบายกับสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ จึงถามเณรคำ<O:p></O:p>
     
  20. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    หลวงปู่วัย จัตตาลโย ศิษย์ในหลวงปู่เทพโลกอุดร

    [​IMG]
    หลวงปู่เทพโลกอุดร
    ท่านคือ 1 ในจำนวนพระภิกษุลึกลับนั้น เนื่องจากมีผู้ที่ได้สัมผัสกับตัวท่านมาหลายคน ทั้งพระภิกษุ อุบาสก - อุบาสิกา ครูบา และพระอริยสงฆ์

    เชื่อไหมว่า มีผู้คนนับถือท่านมากมายนัก รู้จักกันในวงแคบ ซึ่งวงแคบเริ่มแผ่ออกทีละนิด ๆ ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน คล้าย ๆ กับในยุคปีปี 2532 ที่มีคนรู้จักเทพจตุคามกันในวงแคบ ๆ


    ปัจจุบันมีพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระปฏิบัติ พระป่าหรือพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่านออกมายอมรับว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร มีตัวตนจริงและต่างก็เคยเป็นศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดรมาแล้วทั้งนั้น อาทิ หลวงพ่อจรัล ฐิติธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร(ละสังขารแล้ว) หลวงพ่อครูบาลุ่น วัดจันทาราม จ.เพชรบูรณ์(เคยเรียนวิชากับหลวงปู่ ฯ ที่ถ้ำวัวแดง) หลวงตาจี๊ด วัดวังขร จ.ชัยนาท(ละสังขารแล้วโดยสำเร็จเป็นอรหันต์ อัฐิเป็นสีนิลและชมพู)ฯลฯ

    ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็มีหลวงปู่อยู่รูปหนึ่งที่ทราบกันว่าท่านเป็นศิษย์เคยเรียนธรรมะมาจาก หลวงปู่เทพโลกอุดร ในป่าลึก ปัจจุบันพระรูปนี้ท่านอายุ 104 ปีแล้ว มีชื่อว่าหลวงปู่กอง จันทวังโสจำวัดอยู่ที่วัดสระมณฑลท่านเป็นพระใจดียังแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วยและความจำยังดีมากไม่หลงลืมทั้งที่อายุท่านก็เลยไปถึงหลักร้อยแล้ว

    วัดสระมณฑลเป็นวัดเล็กๆ ซึ่งถ้าใครได้ไปเห็นก็จะรับรู้ถึงความสมถะ รักสันโดษและความเรียบง่ายของหลวงปู่รูปนี้ ท่านอาศัยอยู่เฉพาะในโบสถ์ ภายในวัดก็ไม่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญหรือวิหารใหญ่โตใดๆ เลย รอบๆ บริเวณเนื้อที่แคบๆ นี้มีเพียงโบสถ์หลังเล็กหลังเดียวตั้งอยู่และรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ชิดติดเขตวัด

    หลวงปู่กอง จันทวังโสท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายหลายอาชีพ ตั้งแต่ระดับชาวบ้านธรรมดาไปถึงชันรัฐมนตรี(ในรัฐบาลปัจจุบันก็มี) ต่างให้ความเคารพนับถือท่าน

    “ป้ากวย ถนอมทรัพย์” หลานสาวของหลวงปู่มาช่วยดูแลเพราะพระที่เคยมาบวชและอยู่ดูแลหลวงปู่ก่อนหน้านี้ก็มรณภาพไปก่อนแล้ว

    ป้ากวยได้บอกเล่าเรื่องราวของหลวงปู่กองให้ผู้เขียนฟังคร่าวๆ ว่า หลวงปู่กอง จันทวังโสเดิมท่านชื่อว่า กอง ถนอมทรัพย์ ท่านบวชและร่ำเรียนวิชามาสารพัดตั้งแต่รุ่นหนุ่ม ในสมัยที่ท่านออกบวชท่านชอบธุดงค์ไปตามป่าเขา ในดินแดนทุรกันดาร จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเดินพลัดตกเขาสลบไป ก็ปรากฏร่างของพระสงฆ์รูปหนึ่งมาช่วยไว้ หลวงปู่กองท่านเรียกพระรูปนั้นว่า “หลวงปู่ใหญ่” ซึ่งก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร หลังจากนั้นหลวงปู่กองก็ได้ปฏิบัติทาง “จิต” และร่ำเรียนวิชาที่เป็นศาสตร์ลี้ลับจากหลวงปู่ใหญ่อีกมากมายหลายวิชา เมื่อสำเร็จแล้วจึงออกจากป่ามาจำพรรษาอยู่ตามวัดต่างๆ และร่ำเรียนวิชาจากพระเกจิชื่อดังอีกหลายรูป อาทิ หลวงปู่เทียม แห่งวัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา (อยู่ตรงข้ามไม่ไกลจากวัดสระมณฑ,ปหลวงปู่กองอยู่จำพรรษาที่วัดกษัตราฯ เป็นเวลานานกระทั่งเห็นว่าวัดสระมณฑลที่อยู่ไม่ไกลกันนี้เป็นวัดร้างไม่มีพระจำพรรษาอยู่ท่านจึงขอมาอยู่ที่นี่เพียงรูปเดียวกระทั่งปัจจุบันนี้

    ภายในโบสถ์วัดสระมณฑลหลังนี้มีรูปหล่อของหลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ใหญ่ที่หลวงปู่กองให้หล่อนขึ้นไว้บูชา ป้ากวยได้เล่าถึงอภินิหารของรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ฟังว่า เมื่อรูปหล่อหลวงปู่เทพฯมาถึงวัดขณะที่แดดกำลังเปรี้ยงแต่แล้วฟ้ากลับครึ้มและมีฝนตก แล้วเมื่อถึงเวลาจะยกเข้าประตูโบสถ์ ก็ปรากฏว่าทำยังไงก็ยกเข้าไม่ได้ เพราะองค์พระใหญ่กว่าประตูมาก จนหลวงปู่กองต้องบริกรรมคาถาอยู่ครู่ใหญ่จึงสามารถยกรูปหล่อหลวงปู่เทพฯเข้ามาได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์

    สำหรับ “ป้ากวย” เองก็เคยพบปาฏิหาริย์จาก “หลวงปู่เทพโลกอุดร” หรือ “หลวงปู่ใหญ่” ด้วยตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ป้ากวยได้เล่าให้ฟังว่า

    “ก็มีอยู่วันนึงมีพระมาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาในโบสถ์นี่ มากราบหลวงปู่กองและก็บอกหลวงปู่กองว่าวันนี้ประมาณ 6 โมงจะมีพระรูปหนึ่งมากราบ พูดจบท่านก็ลากลับไป แล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็มีพระมาจริงๆ แล้วหน้าตาก็เหมือนรูปปั้นนั่นไม่ผิดเพี้ยน (หมายถึงรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร) เป็นพระหนุ่มนะ แล้วคืนนั้นท่านก็อยู่ค้างด้วย ป้าก็นอนกับญาติอีกคนข้างๆ ไม่ห่างจากพระองค์นี้ แต่น่าแปลกที่พอตกดึกป้าหันไปตรงที่ท่านนอน กลับไม่เห็นท่าน ก็นึกเอะใจแล้วพอหันไปไปดูอีกที เอ๊ะ...ท่านก็ยังนอนอยู่ตรงที่เดิมนี่ แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นก็คิดว่ายังไงๆ อยู่ พอตอนเช้าท่านจะลากลับ ก็เข้าไปกราบหลวงปู่กองและพูดบอกให้หลวงปู่กองมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อช่วยดำรงพระพุทธศาสนา แล้วท่านก็ลากลับ แต่ตอนนี่ท่านจะเดินออกจากประตูโบสถ์นี่สิ ป้าเห็นรูปร่างท่านเปลี่ยน จากรูปร่างคนธรรมดากลายเป็นตัวสูงจรดประตูโบสถ์ ทั้งที่ประตูโบสถ์ก็สูงแล้วนะ และสังเกตเห็นเท้าท่านใหญ่มาก พอท่านเดินออกไปปุ๊บป้าก็เดินตามไปชั่วพริบตา ไม่เห็นท่านเสียแล้ว ท่านมาแปลก เวลาจะไปก็ไปแปลก”

    ยังมีเรื่องเล่าที่แปลกเกี่ยวกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ท่านสามารถแปลงกายให้เป็นอะไรก็ได้เช่นแปลงเป็นพระแก่ พระหนุ่ม สามเณร แขก คนชรา คนพิการ ฯลฯ แล้วบังเอิญได้ไปเห็นภาพถ่ายของพระหนุ่มรูปหนึ่งที่วัดสระมณฑล ทราบว่าภาพนั้นคือภาพของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่แปลงเป็น “พระหนุ่ม” ซึ่งมีผู้ที่ทราบและได้ถ่ายรูปไว้ เป็นที่ฮือฮามากสำหรับภาพดังกล่าว และก็เคยมีเรื่องเล่าว่าท่านเคยแปลงกายเป็นพระหนุ่มเพื่อโปรดผู้มีบุญที่นครปฐม

    เรื่องนี้เล่ากันปากต่อปากที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่ามีคหบดีชาวนครปฐมคนหนึ่งได้จัดงานบวชลูกชายขึ้นเป็นงานใหญ่โต คนหบดีเศรษฐีคนนี้ปกติแล้วก็เป็นคนใจบุญสุนทาน ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมอยู่เสมอ ในงานวันนั้นเศรษฐีได้นิมนต์พระมาสวดมนต์ 9 รูป แต่เมื่อถึงเวลามีพระไปได้เพียง 8 รูปทีนี้ก็เดือดร้อนต้องวิ่งหาพระกันยกใหญ่เพราะพระไม่ครบ ก็เผอิญในละแวกนั้นปรากฏว่าพระธุดงค์หนุ่มรูปหนึ่งมาปักกลดอยู่ใต้ต้นข่อย เจ้าภาพเศรษฐีก็เลยให้คนไปนิมนต์มา พระธุดงค์หนุ่มรูปนั้นก็รับนิมนต์มาในงาน เมื่อมาถึงท่านก็ก้าวเข้าไปนั่งประจำที่พระอาวุโสสุด ทำให้พระทั้ง 8 รูป ซึ่งอาวุโสกว่าไม่พอใจ เพราะเห็นว่าพระภิกษุรูปนี้หน้าตาและรูปร่างยังหนุ่มแน่น ไม่น่าจะมีพรรษามากนักเห็นจะเป็นประธานสงฆ์ในงานนี้ไม่ได้ พระรูปหนึ่งจึงได้ต่อว่าท่านในเชิงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้อาวุโสและยังพูดแดกดันอีกว่า เป็นพระจริงหรือพระปลอมก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้พระหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ทันใดนั้นก็เกิดอาเพทขึ้น เกิดฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดปั่นป่วนไปหมด ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ในขณะที่พระธุดงค์รูปนั้นนั่งสมาธิบริกรรมคาถาอยู่เพียงครู่เดียว ร่างของท่านก็เปลี่ยนไปเป็นพระภิกษุชรา เนื้อหนังย่น พระภิกษุและชาวบ้านที่อยู่ ณ ที่นั้นเมื่อได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิ์ของพระรูปนั้นก็ก้มกราบขอขมากันยกใหญ่ที่ได้ล่วงเกินไป แล้วพระธุดงค์รูปนั้นก็เนรมิตร่างให้เป็นหนุ่มตามเดิมและได้พูดคุยกับพระและญาติโยมเป็นปกติ มีผู้เล่าบางคนบอกว่าท่านได้บอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านด้วยว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” แล้วเขายังเล่ากันอีกว่าวันนั้นท่านฉันภัตตาหารเพียงคำเดียว จากนั้นก็กล่าวลาญาติโยมหายไปจากที่นั่น และมีคนไปดูที่ที่ท่านปักกลดก็ไม่พบท่านอีกแล้ว

    ในเรื่องการปรากฏตัวของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ในที่ต่างๆ เพื่ออะไรนั้นมีผู้รวบรวมไว้ 3 สาเหตุคือ

    1. ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายตามบริเวณป่าเขา เช่นเคยช่วยทหารตำรวจตระเวณชายแดนหรือช่วยเหลือพระป่า พระธุดงค์รวมทั้งนักปฏิบัติธรรมที่เป็นฆราวาสที่ได้รับอันตรายขณะออกธุดงค์ตามป่าเขาถิ่นทุรกันดาร บางครั้งท่านก็ปรากฏตัวเพื่อรักษาคนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย จึงทำให้ทราบว่านอกจากท่านจะมีความเก่งกล้าในทางฤทธิ์อภิญญาแล้วท่านยังมีความรู้ เชี่ยวชาญในเรื่องแพทย์แผนโบราณ เรื่องการใช้ยาสมุนไพรด้วย ผู้ที่เคยเป็นศิษย์ของท่านทุกคนจะได้รับการสอนให้มีความรอบรู้ในเรื่องตัวยาสมุนไพรด้วย

    2. ปรากฏตัวเพื่อช่วยชี้แนะหรือสั่งสอนวิชาคาถาอาคม และการฝึกปฏิบัติวิปัสสนา รวมทั้งเรื่องการแพทย์แผนโบราณ การใช้ยาสมุนไพร บางครั้งก็ปรากฏตัวเพื่อรับคนเป็นศิษย์ การปรากฏตัวแบบนี้มีทั้งปรากฏในนิมิตของศิษย์คนนั้นหรือปรากฏให้เห็นโดยตาเนื้อก็มี

    3. ปรากฏตัวเพื่อมาโปรดสัตว์ การปรากฏตัวแบบนี้ก็มีบ่อยครั้งเช่นเคยปรากฏตัวเพื่อรับบิณฑบาตที่บ้านวังยาว อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน หรือปรากฏตัวโปรดคนป่วยโรคมะเร็งก่อนเสียชีวิต ที่บางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ ฯลฯ

    1 ในศิษย์ของพระครูเทพโลกอุดร คือหลวงปู่วัย จัตตาลโย วัดเขาพนมยงค์ อ.หินกอง จ.สระบุรี และเป็นผู้ที่เคยถ่ายภาพพระครูเทพโลกอุดรเอาใว้เมื่อครั้งเดินทางไปหาที่ถ้ำ.... หลวงปู่เคยถามถึงที่มาที่ไปของพระครูเทพโลกอุดรกับตัวของพระครูท่านเอง ซึ่งคำตอบที่ได้พอสรุปได้ว่า

    เดิมทีพระครูเทพโลกอุดร ท่านชื่อ คง หรือเรียกว่า หลวงพ่อคง หลวงปู่คง ท่านเกิดในเมืองอยุธยา ในยุคที่สุโขทัยยังเป็นราชธานี พระครูเทพโลกอุดรท่านเคยบอกว่า

    " ข้าอายุเท่าไหร่ข้าไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่าขณะที่เขาสร้างเมืองลพบุรีนั้นข้าเคยไปยืนดูคนเขาสร้างเมืองกันอยู่ "


    ( ประมาณว่าในยุคนั้นมีสุโขทัยเป็นราชธานี มีอยุธยา ลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน ยุคก่อนที่พระเจ้าอู่ทองประฐมกษัตริย์อาณาจักรอยุธยาจะทรงตั้งราชวงศ์อู่ทองขึ้นมาปกครองอยุธยาเป็นคนแรก )


    หลวงปู่วัย จัตตาลโย ท่านเล่าว่าท่านรู้จักพระครูเทพโลกอุดรมาตั่งแต่ท่านเป็นทหารหนุ่มที่ร่วมรบในสงครามอินโดจีน ในปี พ.ศ. 2482- 2483 สงครายุตติ พ.ศ. 2485 ตอนนั้นท่านเป็นผู้กองเสนารักษ์ อยู่ค่ายบูรพราเชียงตุง วันหนึ่งมีตะขาบยักษ์กว้าง 1 เมตร ยาว 4 เมตรเดินเข้ามาในค่าย จึงได้เดินตามไปเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง เจอพระภิกษุรูปหนึ่ง จึงได้พูดคุยสนทนากัน และหลวงปู่สมัยนั้นได้คอยนำภัตาหารอาหารมาถวายให้ฉัน ก่อนจากกันพระครูเทพโลกอุดรกล่าวว่า " ใว้พบกันใหม่เมื่อเธอบวช "
    วันเวลาผ่านไป หลวงปู่วัยได้บวชจริง ๆ และหลวงปู่วัยกล่าวว่า ก็ได้เจอกันอีก เจอกี่ครั้งรูปร่างหน้าตาไม่เปลื่ยน

    ท่านมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่นหลวงพ่อโลกอุดร พระครูเทพโลกอุดร พระครูโลกอุดร หลวงปู่พระครูโลกอุดร หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่ และอีกหลายชื่อ

    กรมหลวงเขตชุมพรอุดมศักดิ์ พระโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังรู้จักพระครูเทพโลกอุดรและทรงได้เคยถ่ายภาพพระครุเทพโลกอุดรเอาใว้ในท่านั่งสมาธิ แต่เสียดายที่หารุปมาลงไม่ได้เพราะมีแต่ในหนังสือ


    หลวงปู่วัย เล่าว่าพระครูเทพโลกอุดรท่านชอบไปจำอยู่ที่ถ้ำ ..... จังหวัด.... ซึ่งหากไปแล้วใช่ว่าจะได้พบ หากท่านไม่ต้องการให้พบ ท่านเคยพาศิษย์คนหนึ่งเดินทางลัดเลาะไปตามป่าเขาเพื่อไปหาพระครูเทพโกลอุดรในถ้ำ... ลูกศิษย์คนนั้นพอเจอพระครูท่านก็ คร่ำครวญถึงความยากจนของตัวเอง ที่ทำงานตัวเป็นเกลียวไม่รวยซักที ลำบากเหลือเกิน พระครูเทพโลกอุดรท่านก็เมตตาสงสาร บอกว่าให้ไปทำไม้เล็ก ๆ เท่ากล่องไม้ขีดมา พอได้มาท่านก็ปลุกเสกของท่าน และบอกว่า ขัดสนเงินทองให้จุดธูอธิฐาน ศิษย์คนนั้นก็ได้กล่องไม้มาก็เสกเงินเป็นว่าเล่น งานการไม่ทำ

    ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุหร่าย จนวันหนึ่งศิษย์คนนี้ไปจีบสาว จีบไปจีบมาเลยคุยโวโอ้อวดถึงกล่องไม้นี้ จนสาวบอกว่า " เสกกิ๊บทองคำให้หน่อย ถ้าได้จะยอมเป้นแฟน " ศิษย์คนนี้ก็จุดธูปเสกตามแบบ เจอกิ๊บติดผมทองคำในกล่อง แต่เอาออกไม่ได้ ทำไงดี " งัดซิ " มันงัดจนกล่องพัง กิ๊บติดผมหายไปกับตา
    ศิษย์คนนี้เลยอ้อนวอนขอติดตามหลวงปู่วัยไปหาพระครูเทพโลกอุดรอีก หลวงปู่วัยก็เห็นว่าเคยไปแล้ว ก็เลยให้ไปด้วยอีก พอไปถึงมันก็อ้อนวอนขอกล่องไม้อีก พระครูท่านก็ถามว่าก่องเดิมไปไหนแล้ว
    มันก็อ้างไปเรื่อยข้าง ๆ คู ๆ พระครูท่านก็ถอนหายใจเฮีอกแล้วบอกว่า " เอ้า.. ลูก ลูกพาเขามาแล้วก็พาเขาไปรักษาด้วยนะ "
    พูดเสร้จขี้กลากขี้ทูดกินมันทันที หลวงปู่วัยต้องพาไปรักษาอยู่ 3 ปีถึงหาย พอหายแล้วก้ตัดขาดจากการเป็นศิษย์อาจารย์กันทันที

    พระอาจารย์เกียน ทีฆายุโก วัดสว่างวัฒนา ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พระเกจิของจังหวัดสกลนครได้เล่าถึงการพบพระครูเทพโลกอุดรอย่างน่าสนใจ

    ในสมัยเด็กท่านบวชเป็นเณรได้ไปขึ้นไปเล่นตามประสาเด็กที่เทือกเขาภูพาน เข้าไปในป่า ได้เจอพระภิกษุปรักกรดอยู่ จึงได้เข้าไปถามไถ่ พระภิกษุรูปนั้นจึงได้ชวนมาปฏิบัติธรรมฝึกกษิณ ถ้าจะมาอีก 7 วันก็มา เณรจึงกลับมาอีก 7 วัน อยู่ฝึกกษิณและปฏิบัติธรรมจากท่าน ตอนเช้าเดินเข้าไปในป่าลึกเพื่อบิณฑบาตร แต่แปลก มีผู้คนในป่าจากไหนไม่รู้มาใส่บาตรทุกเช้าโดยที่ไม่มีบ้านเรือนอยู่ในป่าลึกเลย

    เวลาผ่านไปนานมาก เณรลาสึกและโตเป็นผู้ใหญ่ และได้กลับมาบวชอีกทีหนึ่ง จนลืมเรื่องนี้ไปเลย วันหนึ่งได้รับนิมนตร์จากคฤหัสท่านนหึ่งที่จังหวัดกาญจนบุรี และได้เจอรูปพระครูเทพโลกอุดรเข้าเลยตกใจ !!! ว่าพระภิกษุในภาพเราเคยเจอในป่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ซึ่งเป็นภาพที่หลวงปู่วัยได้ทรงถ่ายเอาใว้แล้วแต่ก่อนโน้นแล้วมีการพิมพ์แจกแก่ญาติโยมในวงแคบ ๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...