เป็นมุสลิมแต่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามากทำไงดีค่ะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย naraluky, 30 กรกฎาคม 2010.

  1. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    <CENTER>
    มีธรรมะมาฝากเพิ่มเติมค่ะ

    ความเห็นผิดคืออย่างไร

    ปัญหา ข้อที่ว่าโลภและโกรธเป็นมูลเหตุให้เกิดอกุศลกรรมนั้น พอจะเข้าใจแล้ว แต่ข้อที่ว่าโมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?


    พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”


    อยสูตร ติ. อํ. (๕๕๗)
    ตบ. ๒๐ : ๓๔๕ ตท. ๒๐ : ๓๐๒



    *** องค์ประกอบของมิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง) ***


    มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง เมื่อแยกบทแล้ว ได้ ๒ บท คือ


    มิจฉา แปลว่า วิปริต

    ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็น


    เมื่อรวมกันแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิ แปลว่าความเห็นที่วิปริต หมายถึง ความเห็นที่ผิดแผกไปจากความเป็นจริง ดังวจนัตถะแสดงว่า


    มิจฺฉาปสฺสตีติ - มิจฺฉาทิฏฐิ


    แปลความว่า "ธรรมชาติใด ย่อมมีความเห็นที่วิปริตผิดไปจากความเป็นจริง ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า มิจฺฉาทิฏฐิ"


    เรื่องมิจฉาทิฏฐินี้ พระพุทธองค์แสดงไว้อย่างกว้างขวาง มีสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่า เป็นเรา.


    สำหรับมิจฉาทิฏฐิในมโนทุจริตนี้ มุ่งหมายเอา"นิยตมิจฉาทิฏฐิ" ๓ ประการ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหยาบ ที่ให้สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบทได้ ส่วนมิจฉาทิฏฐิอย่างอื่นนั้น เป็นเพียงทิฏฐิสามัญเท่านั้น




    นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ คือ


    ๑. นัตถิกทิฏฐฺ มีความเห็นว่า ทำอะไรก็ตาม ผลที่พึงได้รับนั้น ย่อมไม่มีความเห็นผิดชนิดนี้ จัดเป็นอุจเฉททิฏฐิด้วย คือ เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไป ไม่มีการเกิดอีก ในสามัญผลสูตร แสดงความเห็นผิด ชนิดที่เป็น นัตถิกทิฏฐินี้ว่า ได้มาจากความเห็นผิด ๑๐ อย่าง คือ


    ๑) เห็นว่า การให้ทานไม่ได้รับผลแต่อย่างใด

    ๒) เห็นว่า การบูชาต่างๆ ไม่ได้รับผล

    ๓) เห็นว่า การต้อนรับเชื้อเชิญไม่ได้รับผล

    ๔) เห็นว่า การทำดี ทำชั่วไม่ได้รับผลแต่อย่างใด

    ๕) เห็นว่า ผู้มาเกิดในภพนี้ไม่มี

    ๖) เห็นว่า ผู้ไปเกิดในภพหน้าไม่มี

    ๗) เห็นว่า คุณมารดาไม่มี

    ๘) เห็นว่า คุณบิดาไม่มี

    ๙) เห็นว่า สัตว์ที่ผุดเกิดเติบโตในทันที คือ สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม ไม่มี

    ๑๐) เห็นว่า สมณะพราหมณ์ ที่รู้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยตนเอง และสามารถแนะนำชี้แจงสมณะพราหมณ์ ที่ถึงพร้อมความสามัคคี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นั้นไม่มี


    ผู้มีนัตถิกะทิฏฐินี้ มีความเห็น"ปฏิเสธผล" ซึ่งเท่ากับปฏิเสธอำนาจกุศล อกุศลเจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดผลต่างๆด้วย


    ๒. อเหตุกทิฏฐิ คือผู้ที่มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังได้รับความลำบาก หรือความสบายก็ตาม ไม่ได้อาศัยเหตุใดๆ ให้เกิดขึ้นเลย เป็นไปเองทั้งนั้น ในสามัญผลสูตรแสดงว่า ชนกเหตุ คือเหตุให้เกิด และอุปถัมภกเหตุ คือ เหตุช่วยอุปถัมภ์ ให้สัตว์ทั้งหลายมีความเศร้าหมอง ลำบากกาย ลำบากใจนั้นไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเศร้าหมองและลำบากอยู่นั้น ก็ไม่มีชนกเหตุ และอุปถัมภกเหตุแต่อย่างใด เหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายมีความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากความลำบากกาย ลำบากใจนั้นไม่มี และสัตว์ทั้งหลายที่มีความบริสุทธิ์ พ้นจากความลำบากกายใจได้นั้น ไม่เกี่ยวกับชนกเหตุ และอุปถัมภกเหตุแต่อย่างใด


    ผู้มีอเหตุกทิฏฐินี้ มีความเห็น"ปฏิเสธเหตุ"ไม่เชื่อว่ากรรมดี หรือกรรมชั่วที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำกันอยู่ทุกวันนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดผลได้ ผู้ที่ปฏืเสธเหตุ เท่ากับเป็นการปฏิเสธเหตุ และผล ดังสามัญผลสูตร อรรถกถาว่า "ผู้ที่เห็นว่า ความสุขทุกข์ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่เกี่ยวเนื่องมาจากเหตุ ก็เท่ากับว่า เป็นการปฏิเสธเหตุ และผล ไปพร้อมกันด้วย"

    ๓. อกิริยทิฏฐิ มีความเห็นว่า การกระทำต่างๆของสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่สำเร็จเป็นบาป บุญแต่ประการใด ในสามัญผลสูตรแสดงว่า


    ผู้ที่มีความเห็นผิดชนิดอกิริยทิฏฐิ เห็นว่า การทำดี ทำชั่วของสัตว์ทั้งหลาย จะทำเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อื่นทำก็ตาม ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบุญ บาป หรือฆ่สัตว์ด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำก็ตาม ลักทรัพย์ด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลักทรัพย์ก็ตาม ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบุญ บาป


    ความเห็นผิดชนิดอกิริยทิฏฐินี้ เป็นความเห็นที่ปฏิเสธกรรม อันเป็นตัวเหตุ ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า ปฏิเสธผลของกรรมด้วย ดังในสามัญผลสูตร อรรถกถาแสดงว่า

    "เมื่อปฏิเสธการการทำบาป บุญที่เป็นตัวเหตุแล้ว ก็เท่ากับปฏิเสธผลของการทำบาป บุญนั้นด้วย"


    นิยตมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นความเห็นผิดชนิดที่สามารถส่งผล ให้เกิดใน"นิรยภูมิ"อย่างแน่นอน แม้พระพุทธองค์ก็โปรดไม่สำเร็จ (นิรยภูมิ - สัตว์นรก)



    (คัดจากหนังสือ พระอภิธรรมมัตถสังคหะ)




    </CENTER>
     
  2. (อย่ามาแซว)

    (อย่ามาแซว) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +418
    เพื่อนก้อเป็นมุสลิมค่ะ เป็นตั้งแต่เกิดด้วยนะ นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะด้วยล่ะ แล้วก้อไปฟังเทศน์ฟังธรรมด้วยกันก้อยังมี (เพราะเพื่อนๆ เป็นชาวพุทธซะเยอะ)
    พอถึงช่วงรอมฎอน เค้าถือศีลอด อืม เค้าก้อแอบๆ ไม่ให้พ่อแม่เห็นค่ะ อิอิ แต่การนั่งสมาธิใครๆ ก้อสามารถทำได้ค่ะ ไม่เกี่ยงศาสนา
    ทำไปเถิดอะไรที่สบายใจ ถูกต้องไหมคับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  3. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    มิจฉาทิฏฐิ

    [​IMG]

    เรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ จึงยกเป็นอีกหัวข้อ เพราะเราต้องระวังตัวเองไม่ให้เป็นคน มิจฉาทิฏฐิ เนื่องจาก มิจฉาทิฏฐิบางอย่างรุนแรงถึงขั้นลงนรกได้เลย


    มิจฉาทิฏฐิ หมายความว่า มีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิด
    มิจฉาทิฏฐิ มีองค์ ๒

    ๑. ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่ผิด
    ๒. เชื่อและยินดีพอใจในอารมณ์นั้น


    • ปโยคของมิจฉาทิฏฐิ คือ สาหตฺถิกปโยค คิดเอง นึกเอง
      มิจฉาทิฏฐิ มีอยู่ 3 ประเภท คือ
      (2 ประเภทแรกถือเป็น ทิฏฐิสามัญ เท่านั้น ไม่มีโทษรุนแรงถึงขั้นลงนรกทันทีเหมือนข้อ 3)


      1. สักกายทิฏฐิ ๒๐ มีความยึดมั่นในขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นเขา เป็นเรา
      สักกายทิฏฐิ ๒๐ ประกอบด้วย
      รูปํ อตฺตโต สมนุปฺปสฺสติ เห็นรูปโดยเป็นตน
      รูปํวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนมีรูป
      อตฺตนิ รูปํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นรูปในตน
      รูป สฺมึ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนในรูป
      เวทนํ อตฺตโต สมนุปฺปสฺสติ เห็นเวทนาโดยเป็นตน
      เวทนาวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนมีเวทนา
      อตฺตนิ เวทนํ สมนุปฺปสฺสติ เห็น เวทนาในตน
      เวทนาย อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนในเวทนา
      สญฺญํ อตฺตโต สมนุปฺปสฺสติ เห็นสัญญาโดยเป็นตน
      สญฺญาวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนมีสัญญา
      อตฺตนิ สญฺญํ สมนุปฺปสฺสติ เห็น สัญญาในตน
      สญฺญาย อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนในสัญญา
      สงฺขา เร อตฺตโต สมนุปฺปสฺสติ เห็นสังขารทั้งหลายทั้งหลายโดยเป็นตน
      สงฺขา รวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนมีสังขาร
      อตฺตนิ สงฺขาเร สมนุปฺปสฺสติ เห็นสังขารทั้งหลายในตน
      สงฺขาเรสุ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนในสังขารทั้งหลาย
      วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปฺปสฺสติ เห็นวิญญาณโดยตนเอง
      วิญฺญาณเวนฺตํ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนมีวิญญาณ
      อตฺตนิ วิญฺญาณํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นวิญญาณในตน
      วิญฺญาณสฺสมึ อตฺตานํ สมนุปฺปสฺสติ เห็นตนใน วิญญาณ


      2. มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ ที่แสดงไว้ในพรหมชาลสูตรแห่งสีลขันธวัคค
      มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ จำแนกเป็นสาขาใหญ่ ๒ สาขา คือ ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ๑ และ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ

      ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ไม่เชื่อเหตุในอดีต มี ๑๘ คือ
      ๑. สัสสตทิฏฐิ ๔ เห็นว่า อัตตาและโลกเที่ยง (อกริยทิฏฐิ)
      ๒. เอกัจจสัสสตเอกัจจอสัสสตทิฏฐิ ๔ เห็นว่า อัตตา และโลกบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
      ๓. อันตานันติกทิฏฐิ ๔ เห็นว่าโลกมีที่สุด และไม่มีที่สุด
      ๔. อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ๔ ความเห็นซัดส่าย ไม่ตายตัว จะว่าใช่ก็ไม่เชิง จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง
      ๕. อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒ เห็นว่า อัตตา และโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ไม่มีเหตุ (อเหตุกทิฏฐิ)
      อปรันตกัปปิกทิฏฐิ ไม่เชื่อผลในอนาคต มี ๔๔ คือ
      ๑. สัญญีวาททิฏฐิ ๑๖ เห็นว่า อัตตาไม่เสื่อมสลาย ตายแล้วมีสัญญา
      ๒. อสัญญีวาททิฏฐิ ๘ เห็นว่า อัตตาไม่เสื่อมสลาย ตายแล้วไม่มีสัญญา
      ๓. เนวสัญญีนาสัญญีวาททิฏฐิ ๘ เห็นว่า อัตตาไม่เสื่อมสลาย เมื่อตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่เชิง
      ๔. อุจเฉททิฏฐิ ๗ เห็นว่า ตายแล้วสูญ (นัตถิกทิฏฐิ)
      ๕. ทิฏฐธัมมนิพพานวาททิฏฐิ ๕ เห็นว่า พระนิพพานมีในปัจจุบัน (คือ ๑.ว่ากามคุณ ๕ เป็นพระนิพพาน, ๒.ว่าปฐมฌาน, ๓.ว่าทุติยฌาน, ๔.ว่าตติยฌาน, ๕.ว่าจตุตถฌาน เป็นพระนิพพาน)


      3. นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ ที่แสดงไว้ใน สามัญญผลสูตร แห่งสีลขันธวัคค มิจฉาชนิดนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด คือ จัดว่าเป็น มิจฉัตตนิยตธรรม คือ เป็นกรรมหนัก ต้องลงนรกอย่างเดียว แม้ว่าจะทำบุญอย่างอื่นไ้ว้มากก็ตาม

      สำหรับมิจฉาทิฏฐิ ที่กล่าวในมโนทุจริตกรรมนี้ มุ่งหมายเฉพาะนิยตมิจฉาทิฏฐิ ทั้ง ๓ ที่สำเร็จเป็นกรรมบถ

      นิยตมิจฉาทิฏฐิมี ๓ ประเภท คือ

      ๑. อเหตุกทิฏฐิ มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นไปอยู่นั้น ไม่ได้อาศัย เนื่องมาจากเหตุแต่อย่างใด (ไม่เชื่อเหตุ อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒) คือ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีเหตุ เป็นการปฏิเสธเหตุ คือ เมื่อได้รับผลดีผลร้ายต่างๆ ก็เห็นว่าเป็นไปตามคราว คราวที่มีโชคดีก็ได้รับผลดี คราวที่มีโชคร้ายก็ได้รับผลไม่ดี ไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทำให้ได้ผลดีผลร้าย ปฏิเสธเหตุในการทำดี ทำชั่ว ของบุคคลทั้งหลายที่กระทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เชื่อว่าเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลได้ ฉะนั้นการปฏิเสธเหตุนี้ก็เท่ากับว่าปฏิเสธผลไปด้วย

      ๒. นัตถิกทิฏฐิ มีความเห็นว่า การทำอะไร ๆ ก็ตาม ผลที่จะได้รับนั้นย่อมไม่มี (ไม่เชื่อผล อุจเฉททิฏฐิ ๗) คือ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีผลแห่งกรรมที่ทำไว้ เป็นการปฏิเสธผล ผู้ที่มีความเห็นชนิดนัตถิกทิฏฐิย่อมมีอุจเฉททิฏฐิด้วย คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไม่มีการเกิดอีก มีความเห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สมมติสัจจะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า คติธรรมดา หรือ คลองธรรมตามเหตุและผล
      ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สมมติสัจจะ เช่น ไม่มีมารดาบิดา สัตว์บุคคลเกิดสืบเชื้อสายกันมาตามเรื่องตามราวเท่านั้น จึงไม่มีใครที่จะต้องนับถือว่าเป็นบิดามารดา แม้ที่นับถือว่าเป็นสมณะ พราหมณ์ ภิกษุ สามเณร ก็ไม่มีเป็นต้น
      ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า คติธรรมดา หรือที่เป็นไปตาม คลองธรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้ก็ไม่มี

      ๓. อกริยทิฏฐิ มีความเห็นว่า การที่สัตว์ทั้งหลายกระทำกิจการต่าง ๆ นั้น ไม่สำเร็จเป็นบุญ หรือเป็นบาปแต่อย่างใดเลย (ไม่เชื่อทั้งเหตุทั้งผล สัสสตทิฏฐิ ๔) คือ มีความเห็นว่าการกระทำของสัตว์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะทำดี ก็ไม่ชื่อว่าเป็นบุญ ถึงแม้กระทำชั่วก็ไม่ชื่อว่าเป็นบาป แต่เชื่อว่าการกระทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็แค่เป็นไปตามธรรมดา ไม่เชื่อบุญ ไม่เชื่อบาป
    มิจฉัตตนิยตธรรม หรือ ครุกรรมฝ่ายบาป
    อกุศลกรรมทั้ง ๘ ประเภทนี้ (นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓ และปัญจานันตริยกรรม ๕) ถ้าหากใครกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้แล้ว เมื่อสิ้นชีวิตก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นทันที ถึงแม้ว่าก่อนตายจะสร้างบุญใหญ่บุญดีเลิศขนาดไหน บุญทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการต้องรับผลกรรมชั่วเหล่านี้ทันทีที่ตายลงได้เลย







    • มิจฉัตตนิยตธรรม มี ๒ อย่าง คือ

      (๑) นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม : มี 3 ข้อดังกล่าวข้างต้น ข้อนี้เป็นกรรมหนัก หนักกว่า อนันตริยกรรมซะอีก

      นิยตมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดอันดิ่ง ไม่มีเขตกำหนด (หมายถึงไม่รู้จะพ้นจากวังวนแห่งอบายภูมิตอนไหน…แม้พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถทรงโปรดให้บุคคลที่มีความเห็นผิดนั้นกลับมาเห็นถูกได้) เป็นรากเหง้าของวัฏฏะ การหลุดออกจากวัฏฏะย่อมไม่มีสำหรับบุคคลผู้มีมิจฉาทิฐิเหล่านี้ แม้คราวกัปพินาศเมื่อมหาชนไปเกิดในพรหมโลก แต่บุคคลผู้มีนิยตมิจฉาทิฏฐิก็ไม่สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้ แต่ต้องถูกไฟไหม้อยู่ในโอกาสแห่งหนึ่ง ในอากาศซึ่งเป็นไฟยิ่งกว่าไฟในมหานรกเสียอีก
      ท่านอุปมาว่า ก้อนหินแม้เล็กขนาดเท่าถั่วเขียวโยนลงไปในน้ำ ชื่อว่าจะลอยอยู่ข้างบน ย่อมไม่มี ย่อมจมลงไปข้างล่าง อย่างเดียว ฉันนั้น

      (๒) ปัญจานันตริยกรรม : หรือ อนันตริยกรรม 5
      ปัญจานันตริยกรรม -
      ปัญจานันตริยกรรม มี ๕ คือ
      มาตุฆาต – ฆ่ามารดา
      ปิตุฆาต – ฆ่าบิดา
      อรหันตฆาต – ฆ่าพระอรหันต์
      โลหิตุปบาท – ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
      สังฆเภท – ยุให้พระสงฆ์แตกหมู่แตกคณะกัน


      ในบรรดาอนันตริยกรรม ๕ นี้ เป็นอกุศลกรรมอย่างหนักทั้งสิ้น แต่สามารถจัดลำดับการส่งผลจากมากไปหาน้อย คือ สังฆเภทกกรรมหนักที่สุด รองลงมาคือ โลหิตุปบาท รองลงมาคือ อรหันตฆาต ส่วนมาตุฆาตและปิตุฆาตทั้งสองนี้ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ ท่านใดมีศีลธรรมมากกว่า กรรมนั้นย่อมหนักกว่า ถ้ามารดามีศีลธรรม บิดาไม่มีศีลธรรม มาตุฆาตย่อมหนักกว่า ถ้าทั้งบิดามารดามีศีลธรรมด้วยกันหรือไม่มีศีลธรรมเหมือนกันแล้ว มาตุฆาตกรรมย่อมหนักกว่า


      โทษของมิจฉาทิฏฐินั้นหนักกว่าอนันตริยกรรม..จริงหรือ

      ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในเรื่องนี้ คือ พระเทวทัต เรื่องพระเทวทัตนี้ทุกคนคงรู้จักท่านดี เพราะท่านทำเรื่องไว้หลายเรื่องมาก ในข้ออนันตริยกรรม ก็ทำถึงสองข้อ คือ ทำร้ายพระพุทธองค์จนห้อพระโลหิต และ ทำสังฆเภท คือ แยกนิกายใหม่ เป็นนิกายกินมังสวิรัติ

      ในเรื่อง มิลินทปัญหา ประเจ้ามิลินท์ทรงสงสัยว่า ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู พระองค์ไม่รู้เลยเหรอว่า พระเทวทัต เมื่อบวชมาแล้ว จะกระทำ อนันตริยกรรม จนต้องลงอเวจีมหานรก นานถึง 1 กัปเพราะเหตุแห่งสังฆเภท ข้อนี้ พระนาคเสน ท่านแก้ว่า พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าพระเทวทัตจะทำอย่างนี้ แต่ที่ทรงยอมให้พระเทวทัตบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเล็งเห็นว่า หากพระเทวทัต ไม่ได้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา จะทำกรรมหนักยิ่งกว่า อนันตริยกรรม คือ จะเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล ดังเนื้อความในมิลินทปัญหา ดังนี้
      “…พระเทวทัตถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็จักทําบาปกรรมอันจักให้ไปตกนรก เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หลายกัป และทรงทราบว่า กรรมของพระเทวทัตจักไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีที่สิ้นสุดได้ เมื่อบรรพชาแล้ว ก็จักทํากรรมเพียงให้ตกนรกอยู่ ๑ กัป เท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้ จึงได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยอํานาจพระมหากรุณา”

      อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

      ดังนั้นต้องระวังนะครับ เรื่องมิจฉาิทิฏฐิ โดยเฉพาะ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ต้องระวังอย่าให้คนใกล้ชิดเรามีทิฏฐิพวกนี้ ไม่งั้นก็ลงนรกแน่นอนครับ…

      ที่มา:มิจฉาทิฏฐิ | Dhammatan.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  4. บรรยงก์

    บรรยงก์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +350
    ทุกศาสนามีหลักคำสอนที่เหมือนกันคือสอนให้คน ทำความดี ละเว้นความชั่ว ครับ
     
  5. Gearknight

    Gearknight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2008
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +234
    ธรรมะคือธรรมชาติครับ พระพุทธเจ้าแค่ มาบอกแนวทางการหลุดพ้นจาก ธรรมชาติของมันที่ควรจะเป็น การยึดว่านับถือนั่นนับถือนี่เป็นอัตตาครับยึดไปก็ไม่ได้อะไร ให้คิดซะว่าเป็นเป็นธรรมชาติของมัน เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นสิ่งนี้ถึงได้เกิด มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ทำใจสบายๆครับ เราแค่มาเล่นละครบนโลกครับ ไม่นานเราก็ต้องเดินต่อไป(ภพหน้า) โชคดีครับ
     
  6. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    จริงๆทุกศาสนา เค้ามีนรก สวรรค์ เหมือนกันหมด ถามคุณสามีที่เป็นอิสลาม เค้าบอกว่า ศาสนาเค้าสอนไม่ให้ยึดติดกับโลกนี้เหมือนกัน(เพิ่งรู้) แต่เค้าเชื่อในโลกหน้า ถ้าทำดีในโลกนี้ โลกหน้าเค้าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ตีความได้คือ ยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ไม่รู้จักจบสิ้น แต่พระพุทธเจ้าของเรา(ดิฉันยังนับถือพุทธอยู่ และสอนสามีกับครอบครัวสามี นั่งสมาธิด้วย ไม่ได้ผิดกฎอะไร เค้าบอกทำได้ เราบอกนั่งสมาธิเพื่อให้ใจสะอาด ชำระสิ่งไม่ดีในจิตใจ เค้ายอมรับ และไม่มีปัญหา แต่ครอบครัวของเจ้าของกระทู้ ดิฉันไม่ทราบค่ะ) ท่านสอนให้ไปนิพพาน จะได้พ้นทุกข์ หลุดจากบ่วงวัฏสงสารกันเสียที ทุกครั้งหลังจากที่ดิฉันสวดมนต์นั่งสมาธิเสร็จ ดิฉันขออำนาจบุญให้ไปนิพพานอย่างเดียว และไม่ลืมแผ่เมตตาพร้อมกับอุทิศส่วนกุศลให้กับครอบครัวดิฉันกับสามีด้วย ได้ศึกษาอ่านคัมภีร์ของเค้าบ้าง(ศาสนาเปรียบเทียบ)ยอมรับว่าบางอย่างเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ไม่ขอกล่าวตรงนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอาจนำไปสู่การขัดแย้งกันได้ ซึ่งไม่เป็นเรื่องดี ต่อนะคะ ดิฉันไม่ลืมอธิษฐานว่าขออำนาจบุญที่ดิฉันได้ทำ ช่วยเปิดให้สามีและครอบครัวของสามี เกิดดวงตาเห็นธรรม มีความเห็นที่ถูกต้อง(สามีบอกว่า เค้านับถือพระพุทธเจ้า ในส่วนที่สอนคนให้เป็นคนดี สามีดิฉัน เข้าวัด ทำบุญได้ค่ะ) อีกอย่างเราอยู่กันแบบให้เกียรติกัน เวลาเค้าละหมาด ดิฉันจะไม่รบกวน เวลาดิฉันสวดมนต์เค้าจะไม่รบกวนเช่นกัน ดิฉันหวังว่าเจ้าของกระทู้คงได้ทางออกในเร็ววันนะคะ
    เคยเครียดเรื่องนี้เช่นกัน(กลัวสามีลงนรก) แต่พอมาอ่านหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ว่า สวรรค์กับนรกไม่แบ่งศาสนา ทำดีก็ได้ไป สวรรค์ไปพรหมโลกเหมือนกัน ทำชั่วก็ลงนรกเหมือนกัน แต่ของเราขอหลุดพ้นไปนิพพานค่ะ
     
  7. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    ดิฉันเห็นด้วยค่ะ ที่ตุรกี(สามีดิฉันเกิดที่นี่) เค้ามีเรื่องคนกลับชาติมาเกิดด้วย รู้สึกจะหลายคนอยู่ ทุกคน จำได้หมดว่าเกิดกับครอบครัวนี้ ตอบคำถามได้ถูกต้องทุกอย่างของชาติก่อนที่เค้าเคยเกิด ทางอิหม่ามที่นั่น เค้าก็ถกกันว่ามีในคัมภีร์ของศาสนาอิสลามรึป่าว สามีก็ถามว่า คุณตกใจกับเรื่องนี้มั๊ย มันประหลาดมาก แต่ถ้าตามความเชื่อของเค้า มันไม่จริง ดิฉันตอบว่า ฉันเฉยๆกับเรื่องแบบนี้ ธรรมดามาก เพราะพระพุทธเจ้าเราสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในพระไตรปิฎกเรามีสอนไว้ขอบอกละเอียดยิบ อธิบายได้ว่าเพราะอะไร สามีฟังแล้วเค้าก็เฉยๆนะคะ ดิฉันก็ไม่สามารถอธิบายได้ลึกซึ้งได้เพียงพอ ดิฉันแค่บอกว่า อยากให้คุณนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ซักวันคุณคงรู้เอง
     
  8. Abdulkharim

    Abdulkharim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2009
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +201
    ผมพึ่งเคยรู้ว่าใช้ได้ด้วยเพราะปกติก็ทำอยู่แสดงว่าไม่ผิดสินะครับเนี่ย
    เค้านมัสการพระเจ้าเราก็นมัสการพระพุทธในใจ อิอิ
     
  9. D_pat

    D_pat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +499
    น่าเห็นใจค่ะ แต่ก็ขอให้หมั่นทำความดีไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็จงให้รักษษความดีทุกวันเป็นประจำค่ะ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก่อนอื่น ต้องขออนุโมทนา ด้วยกับจิตใจ ที่ยังศรัทธาในพระพุทธศาสนา

    แรงศรัทธาแบบนี้แหละครับ ที่จะนำเราไปสู่ ความหลุดพ้นตามพระศาสดาได้

    หรือไม่ก็ เกิดในชาติใดๆ แรงศรัทธานี้ก็จะยังฝังจิต ไปตลอด

    การที่เราได้เข้าไปอยู่ในศาสนาอื่น อาจจะเป็นกรรมแต่ชาติก่อน

    แนวทางการประพฤติตน มีดังนี้


    พระศาสดากล่าวว่า เมื่อฝึกตนดีแล้วจึงค่อยฝึกผู้อื่น ดังนั้น เราจะต้องฝึกเราให้เป็นคนมีความเย็น ฝึกตนให้เป็นคนที่มีสติ ฝึกตนให้มีความมั่นคงทางอารมณ์ ฝึกตนให้เราทำหน้าที่ความเป็นภรรยาให้ดี แล้วเมื่อ สามีของเราสังเกตุ ความดีของเราแล้ว เขาจะต้องเห็น ของดีที่มีอยู่ในตัวเรา แล้วเขาจะค่อยๆ ตามเราเอง เพราะตามธรรมชาติ แล้ว ผู้อ่อนแอกว่า ย่อมตามผู้แข็๋งแกร่งกว่า

    ทีนี้ เมื่อเรายังอยู่ท่ามกลาง มุสลิม เราก็ต้องแยกให้ออกว่า อันใดเป็นประเพณี พิธีการของเขา อันใดเป็นหลักคำสอน

    ตามธรรมดาแล้ว หลักคำสอนของมุสลิม เขาก็ไม่ขัดกับคนพุทธหรอก แต่ประเพณีและพิธีการที่แตกต่างกันไป เช่น ข้อปลีกย่อยจำพวก ไม่ทานหมู เป็นต้น

    เราก็ประพฤติ ปฏบัติิธรรม ด้วยการศึกษาว่า หลักการปฏิบัติในศาสนาพุทธ ที่แท้จริง อยู่กับตัวเราทั้งสิ้น เช่น มหาสติปัฎฐาน ก็สังเกตตนได้ทุกเมื่อ คอยประคองสติให้แก่กล้า

    ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ครองเรือน แล้วเราจะเกิดปัญญา รู้วิธีครองเรือนให้สอดคล้องไปตาม ประเพณีของมุสลิมเอง

    อธิษฐานให้บ่อย แล้ว แรงอธิษฐานนั้นจะนำพาเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการเอง
     
  11. ลุงเจ

    ลุงเจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +599
    ขอให้กำลังใจในการปฎิบัติ ขอให้ผ่านอุปสรรคไปได้

    ขออนุโมทนา สาธุ ในกุศลที่เกิด
     
  12. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,092
    เป็นกรรมนะครับ แต่ก็ขึ้นกับศรัทธาของตัวเราเองด้วยนะครับ

    ถ้าเราเคยอ่านประวัตินางวิสาขา ผู้เป็นพระโสดาบัน ในพระพุทธศาสนาแล้ว

    ก็จะรู้ว่านางได้แต่งงานไปอยู่ในตระกูลพราหมณ์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อตาฝักไฝ่ในอลัชชี

    พวกชีเปลือยแล้วยังบอกว่าเป็นอรหันต์ แต่กับพระสงฆ์ก็ไม่เคยสนใจใยดีครับ

    ลองหาอ่านดูในเนต จนสุดท้ายครอบครัวก็เข้ามาหาพระศาสดาในที่สุดครับ

    1 ถ้าเลือกจะเปลี่ยนใจ ให้หลายๆคนมานับถือศาสนาพุทธคงยาก และเพียร

    แต่คุณก็จะได้เป็นคนนึงที่จะช่วยพระศาสนาได้ แต่ สังคมและประเพณี

    ความเชื่อทางศาสนา อาจจะทำให้ชีวิตคู่ลำบากมากกว่านี้ก็ได้

    2 ถ้าเลือกที่จะ ไม่บอกใคร แล้วแอบทำ สุดท้ายจะเป็นความทุกข์ในใจคนเดียวไหมครับ

    และถ้ามั่นใจและหนักแน่พอ ก็อธิษฐานสิครับ ธรรมจัดสรรให้ เทวดาอารักษ์จะจัดสรรให้

    ในคราที่กรรมนั้นได้อโหสิ แต่ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน หรือว่าชั่วชีวิต

    3 มีอีกทางครับ ถ้ารักพระพุทธเจ้า ด้วยใจจริง ก็เลือกทางที่ตัวเองต้องการเถิดครับ

    ทำทุกอย่างด้วย สติ และปัญญา จะมีทางออกที่ดีเองนะครับ

    สาธุ อนุโมทนา ครับ
     
  13. ข้ามากะพระ

    ข้ามากะพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +2,013
    เคสเดียวกันล่ะค่ะ แต่ว่าด้วยความที่ตัวเองไม่ประสีประสากับศาสนาพุทธเลย ก็กะว่าแต่งงานกะสามีมุสลิม อยู่ประเทศมุสลิม ก็จะเป็นมุสลิมมันซะเลย เริ่มเรียนอิสลามได้สักสองครั้งได้ คืนต่อมาหลวงพ่อฤาษีท่าน มาในฝัน บอกว่า "ไปคิดเอาเอง" เท่านั้นล่ะค่ะ
    เลิกเลยความคิดที่จะเป็นมุสลิม แล้วก็มาศึกษาคำสอนของท่าน คำสอนของพระพุทธเจ้า เราอยู่กับสามีมุสลิม ที่ประเทศมุสลิม มาร่วม แปดปีแล้ว ก็มีปัญหากันเรื่องศาสนาไม่ค่อยมากค่ะ เพียงแต่ไม่สามารถมีรูปเคารพขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย หรือเปิดเว็บไซท์ที่มีรูปก็ไม่ได้ จะโดนดุทันที คือว่าการปฏิบัติทุกอย่างต้องไม่ให้เห็นค่ะ คือเค้าจะคิดว่าเราเป็นมุสลิมที่ไม่เคร่ง คือไม่ ละหมาด สวดอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ห้ามนับถือพุทธ ฉะนั้นเน้นการปฏิบัติกรรมฐาน ถือศีล ทำทานก็จะฝากพี่ๆที่เมืองๆไทย ส่วนอยู่ที่นี่ก็ จะได้ปล่อยปลาที่อยู่ในตลาด ก็นาน นานครั้ง เพราะสามีไม่ค่อยชอบให้ทำแบบนี้ แล้วก็ส่วนใหญ่เลยจะได้ให้อาหารคนยากจนค่ะ อันนี้ทำได้เกือบทุกวันและจำนวนมากๆ เคยให้วันละ สี่สิบคน สามีสนับสนุนค่ะ เพราะเข้ากันกับอิสลามที่ให้ช่วยเหลือคนที่ยากจน ด้อยโอกาส

    ทุกวันนี้มีความสุขค่ะ ลูกสาว สี่ขวบชอบทั้งละหมาดและไหว้พระ นั่งสมาธิ แต่ ถ้าทางพุทธก็จะบอกเค้าให้แอบ คุณพ่อ ไม่ให้ทำให้เห็นนะคะ ส่วนเราเองเมื่อก่อนสามีเคี่ยวเข็นมากให้ศึกษา แต่ไม่ทราบว่าอะไรมาดลใจ กลายเป็นไม่สนใจไปแล้ว เราเลยเต็มที่ ศึกษาเต็มที่ ปฏิบัติเต็มที่ค่ะ

    สำหรับท่านที่เป็นพุทธแล้วต้องมีสามีเป็นอิสลาม อยากให้ปฏิบัติให้มาก ใช้ปัญญาในการปฏิบัติ และทำเผื่อสามีและครอบครัวของเค้าด้วยนะคะ
     
  14. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    ดิฉันเห็นด้วยค่ะ คิดว่าคงเป็นกรรมเก่าของดิฉันจึงทำให้ดิฉันแต่งงานกับสามีมุสลิม และมาอยู่ประเทศที่ไม่นับถือพระพุทธศาสนา การไปวัดทำบุญ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ดิฉันมีโอกาสก็ต่อเมื่อได้กลับเมืองไทยแล้วเท่านั้น แต่ดิฉันสามารถทำบ้านที่อยู่ให้เปรียบเสมือนวัดได้ ด้วยการประพฤติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อ ทำอารมณ์ให้เหมือนอยู่วัด เวลาสวดมนต์ทุกครั้ง ดิฉันจะนึกเลยว่ากำลังสวดมนต์ในวิหารสมเด็จองค์ปฐมต่อหน้าท่านอยู่ และนึกเสมอว่า แม้ว่าดิฉันจะไปทำบุญไม่ได้(ไม่มีวัด) ดิฉันก็ขอปฏิบัติบูชาเพื่อเป็นพุทธบูชา และไม่ลืมที่จะให้ทานกับคนยากจนในประเทศนี้ และไม่ได้ขัดกับสามีและครอบครัวแต่อย่างใด เพราะเค้าก็มีการทำบุญเรื่องการให้ทานเหมือนกัน ดิฉันจะบอกสามีให้หมั่นซื้อพวกขนม น้ำ หรืออาหาร ไปแจกคนงานบ่อยๆ แรกๆเค้าถามว่า ทำไปเพื่ออะไร ดิฉันเลยต้องใช้กุศลโลบายมาตอบ ดิฉันบอกว่า ลองคิดดูคุณเชื่อว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้าใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็น เงินทองที่ใช้จ่าย หน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง ดิฉันคิดว่า ท่านคงอยากให้ช่วยคนที่เดือดร้อนและลำบากกว่าเรา ถ้าเป็นของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องการให้ทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก่ทุกๆคน ดิฉันไม่ได้หวังอะไร ดิฉันขอแค่สบายใจที่ได้ทำ ดิฉันพอแล้ว อีกอย่างถ้าคุณทำอย่างนี้ รับรองได้ว่า มีแต่คนอยากร่วมงานกับคุณและเค้าเต็มใจที่จะทำงานให้คุณ ทำให้การงานก้าวหน้า ดิฉันบอกอย่างนี้ สามีเห็นด้วย ตอนนี้สามีจะซื้อพวกอาหาร หรือขนม ของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปฝากหรือให้คนร่วมงานและคนงานเป็นประจำ โดยที่ดิฉันไม่ต้องกระตุ้นหรือคอยบอกอีก
    ดิฉันคิดว่าทุกอย่างมันคงต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ถ้าเราทำดี ประพฤติดี และปฏิบัติดี แน่นอนเค้าย่อมเห็น และค่อยๆตามเราเอง อย่าไปใช้ทิฏฐิเพื่อเอาชนะกันอย่างเด็ดขาด บอกว่าศาสนาของฉันดีกว่าไม่ได้สอนแบบนี้ เค้าจะปิดใจและไม่ฟังเราไปเลย อาจทำให้ครอบครัวมีปัญหาได้ และเรื่องนี้เป็นปัญหาของคุณจขกท.เอง เป็นเรื่องภายในครอบครัว คุณจขกท.คงรู้ดี ว่าควรทำอย่างไร ดิฉันคงได้แต่ให้คำแนะนำและการปฏิบัติ และทุกคนที่เข้ามาให้ความเห็นคงเช่นกัน อยู่ที่คุณจขกท.จะนำวิธีการอย่างไร ไปใช้ในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ค่ะ
     
  15. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    อ่านข้อความแล้ว นึกได้ค่ะ ของครอบครัวสามีดิฉันไม่เคร่งเท่าไร ครั้งแรกที่ไปบ้านสามี พบพระพุทธรูปด้วย ตกใจ ดิฉันถามมีด้วยเหรอ ได้มายังไงน่ะ เค้าบอกเป็นของขวัญมีคนซื้อให้ ดิฉันดีใจมาก อย่างน้อยก็มีพระพุทธเจ้าในบ้าน ให้เรานึกถึงได้ แต่ดิฉันเข้าเวป อ่านคำสอนหลวงพ่อ ดูรูปพระพุทธเจ้าได้ค่ะ ไม่มีปัญหา บางครั้งเปิดช่องทีวีจากเมืองไทย จะมีละครเรื่องกรรมลิขิต เราดูได้ สามีก็ดูด้วย เราก็อธิบายไปด้วยว่าสร้างจากชีวิตจริง คนทำไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดีตอบแทน อันนี้สามีเห็นด้วยค่ะ โดยส่วนตัวสามีดิฉันเค้าก็ดูแล ให้ความอุปการะเด็กกำพร้าในประเทศเค้าอยู่ด้วย แต่ดิฉันจะบอกให้ทำเพิ่มอย่างเจอคนยากจน ก็ให้เงินเล็กน้อย หรือซื้ออาหารให้ อันนี้มันสอดคล้องกับของเค้าค่ะ ส่วนเรื่องการทำบุญกับสัตว์ ปล่อยนก ปล่อยปลา ที่นี่ไม่มีให้ปล่อยค่ะ แต่จะอาศัยเอาอาหารที่เหลือไปให้สุนัขหรือแมวแทน สามีรู้ว่าเราชอบสัตว์เลี้ยงมาก แต่เลี้ยงไม่ได้ เค้าจะบอก เดี๋ยวเค้าพาเราไปให้อาหารหมาและแมวละกัน ดิฉันเลยรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่องการทำบุญด้วยการให้ทาน มันจะไม่ขัดกับเค้าค่ะ ส่วนเรื่องการละหมาด กับสวดมนต์ จะต่างคนต่างทำค่ะ แต่เค้าจะบอกให้เราสวดเพื่อพระเจ้าของเค้าด้วย เราก็รับปากทำนะ แต่ในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อตลอดเลย อีกอย่างไม่ลืมแผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลให้สามี กับครอบครัวเค้าด้วย ดิฉันเลยไม่มีปํญหาอะไรในการปฏิบัติค่ะ ดิฉันเคยถามเค้าว่า แปลก ทำไมคุณถึงเข้าวัด มาทำบุญกับฉันและครอบครัวฉันได้ล่ะเนี่ย(สามีไหว้พระด้วย ที่บ้านงง) เค้าบอกว่า ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ก็ทุกคนในที่นี้เป็นคนดี ทุกครั้งที่เข้ายกมือไหว้พระ หรือพระพุทธรูปตามเรา เค้าก็บอกขอบคุณพระเจ้าของเค้าในใจ(เหมือนกับที่ดิฉัน นึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา กับหลวงพ่อในใจเลย) ที่ทำให้เค้าได้มาเจอคนดี ที่ดีๆค่ะ
     
  16. ตรีเพชร์

    ตรีเพชร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +528
    ไม่บาปเด็ดขาด ผมก็เป็นคนคริสต์ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ผมพิสูจน์แล้วว่าพุทธศาสนาเท่านั้นเป็นหนทางดับทุกข์ที่แท้จริง พระเจ้าไม่มีการวิงวินขอพระเจ้าไม่มีผล โชคดีๆที่ได้พบกัลยาณมิตรครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. momแข็งแรง

    momแข็งแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +214
    ผมเคยฟังคลื่นวิทยุธรรมมะ ที่เกี่ยวกับวัดป่ามะม่วงท่านบอกว่าไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็สามารถปฏิบัติแบบแนวยุบหนอ-พองหนอได้ครับ ท่านเคยช่วยลูกชายชาวมุสริมที่พ่อมาเข้ากรรมฐานให้ลูกจนรอดชีวิตมาได้จากอุบัติเหตุรถคว่ำครับ
     
  18. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    ก็แอบทำต่อไปนั่นแหละ มัถกุลฑลีเทพบุตร คิดถึงพระพุทธเจ้าแผล็บเดียวได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร คนทั่วไปมีใครรู้บ้างล่ะว่าเขาคิดถึงพระพุทธเจ้า

    แต่ปัญหาคือคุณกับสามีทำไมไม่ตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานล่ะ ตกลงไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งก็แค่นั้นถ้าจริงจังมากนะ หรือว่าความรักมันบังตา
     
  19. ramaniyo

    ramaniyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +3,649
    การถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดอยู่ในใจเรานี้เอง
    การประกอบบุญกุศล โดยบุญกิริยา 10 ย่อเหลือ ทาน ศีล ภาวนา
    บุญทั้งหลายก็ทำได้ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า อยู่ศาสนาไหน
    จะทำทาน ให้ทรัพย์ ให้ความช่วยเหลือ แก่ใคร
    นึกในใจว่าเราทำถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    จะรักษาศีล ก็รักษาในใจเราเองนี้ ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนใคร ถวายได้เช่นกัน
    จะบำเพ็ญภาวนา ก็ในใจเรานี้ พุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอ พองหนอ ฯลฯ
    เอา กายเอาใจเรานี้เป็นแบบ พระรัตนตรัย อยู่ในกายในใจเรานี้
    ดังนั้น วัดวาอาราม แท้จริงก็คือกายใจเรานี้เอง
    เวลาทำความดี ทุกอย่างเกิดที่ใจ ให้กายเป็นวัด ใจเป็นพระ ถึงพระถึงวัด

    ขอให้นึกว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา
    ถือเป็นบุญอันยิ่งใหญ่มหาศาลแล้ว อธิษฐานในมีโอกาสที่ดีขึ้น
    แต่ก็ให้พอใจ ปิติ กับสิ่งที่เราทำได้ การทำได้ ทั้งที่โอกาสน้อยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่าย
    ต้องอาศัยความเพียร ความตั้งใจ มากกว่าธรรมดา นั่นคือ บุญบารมีจะเข้มข้นขึ้น

    ขอให้นึกถึงพระโพธิสัตว์
    บางสมัยก็เกิดมาไม่ได้พบพระพุทธศาสนา
    บางคราวก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    แต่ท่านก็บำเพ็ญบารมีตามอัตภาพนั้น อย่างเข้มข้น
    สามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์รอบข้างให้มีความสุข ปลอดภัย
    และดำเนินชีวิต เป็นสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น ๆ

    ขอเป็นกำลังใจให้คุณมาก ๆ ครับ
     
  20. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้ดังใจเราไปเสียทุกอย่าง..บางครั้งเราก็อาจจำเป็นต้องเลือก..

    1.เลือกที่จะปฏิบัติตามสังคมรอบด้าน แล้วทำให้เราต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุดหรือเข้าถึงมรรคผลนิพพานช้าลง

    2.รู้ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อทำบุญสร้างบารมีและต้องการมรรคผลนิพพาน แล้วเลือกปฏิบัติตามที่เราศรัทธา

    ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของกระทู้ว่าต้องการแบบไหนค่ะ ถ้ารักพระพุทธเจ้าจริงควรจะเลือกแบบไหน ลองอฐิษฐานจิตกับพระพุทธองค์หรือหลวงพ่อฤาษีให้ท่านช่วยดูนะคะ คิดว่ามีทางออกอยู่ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...