เพราะความที่ไม่รู้ธรรมจริงจึงโดนหลอกจนเกือบตาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 29 สิงหาคม 2012.

  1. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ไม่ว่านิมิตจะจริงไม่จริงหรือใครจะเห็นว่ายังไง โดยส่วนตัวผมก็ยังยึดมั่นในความดี
    ที่จะสร้างบารมีทั้ง30ทัศ ต่อไปนะครับ เพราะตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้เป็นอริยะบุคคลเลยอาจจะเห็นส่วนใดผิดไป แต่กระผมก็พูดไปตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น
    และอีกอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านเห็นอาจจะเป็นพระพุทธเจ้าของจักรวาลอื่นเป็นไปได้
    ประวัติก่อนที่ท่านจะเข้าพระนิพาน ท่านทำไมถึงต้องบอกลาเหล่าพระสาวกทั้งหลาย
    เพราะเหตุที่ท่านจะละสังขาร หากแต่เป็นการละสังขารแล้วจิตของท่านจะไม่สามารถกลับ
    มาสื่อสารกับเหล่าพระสาวกอีกได้เลย(อันนี้น่าคิด) พระองค์เหตุใดก่อนนิพพานถึงไม่ตรัสว่าเราไม่ได้ไปไหนจิตเรายังลงมาสอนท่านได้ แต่ท่านกลับตรัสว่า คำที่ตถาคตได้ตรัสไว้
    จะเป็นศาสดาแทนตัวเราละ(น่าคิดไหม)
    เรื่องความดีบารมีของพระพุทธเจ้าผมยึดไว้เต็มหัวใจอยู่แล้วครับว่าดีจริงสูงที่สุด
    แล้วผมก็ไม่ได้หมายความว่าจิตของพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจะสูญหายไปไหน อันที่นั้นยังอยู่มีจริงในแดนนิพพาน แต่หากกลับมาสอนพวกเราไม่ได้แค่นั้น (แต่สำหรับพระอริยะที่กำลังจะสิ้นกิเลสซึ่งเข้าใกล้พระนิพานมากแล้วส่วนนี้จะสามารถพบพระพุทธเจ้าได้แน่นอน)
    ขอบคุณทุกความคิดเห็นแลกเปลี่ยนความคิดกันนะครับ ผมก็แค่อธิบายไปตามเหตุตามผลที่น่าจะเป็นนะขอรับ
    ไม่ว่าชาติไหนๆผมก็สะสมบารมีทั้ง30ทัศต่อไป หากแต่ผมยึดมั่นในการทำความดีเป็นที่สุด เพราะผมยึดถือความดีไม่ใช่ยึดถือตัวบุคคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กันยายน 2012
  2. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ถูกต้องครับอย่าได้รวมว่าไม่จริงทั้งหมด คุณอาจพบพระพุทธเจ้าของจักรวาลอื่นก็เป็นไปได้ ทั้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้า(ที่มีชีวิต)ก็มีนะตอนนี้เยอะด้วย อย่างประวัติพระอุปคุตท่านมีฤทธิ์มากมายจนปราบมารได้ท่านยังต้องให้มารนิมิตให้เป็นพระพุทธเจ้าให้ดู(แต่พระอริยะที่ใกล้จะสิ้นกิเลสอาจจะสื่อสารกับพระพุทธเจ้าจริงๆได้เพราะใกล้นิพพานมากแล้ว)
     
  3. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ครับผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายหรอกครับแค่เล่าๆให้ฟังไปงั้นๆล่ะครับ
    อิอิ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ในยุคที่พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่สิ้นสุดลง จะไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าครับ
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขออนุญาตร่วมเสวนา

    ตามที่พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสไว้ว่า คำที่ตถาคตได้ตรัสไว้
    จะเป็นศาสดาแทนตัวเรา
    นั้น

    น่าจะหมายถึง

    จะมีผู้ที่สัมผัสถึงท่านได้เพียงแค่น้อยนิด ที่จะสัมผัสไม่ได้มีมากมายมหาศาล ถ้าปล่อยให้ผู้ที่มีอยู่มากมายมหาศาลเหล่านั้นมาปฏิบัติจนถึงขั้นที่จะสัมผัสพระพุทธองค์ได้ ก็คงจะอีกนานแสนนาน เพราะฉะนั้นจึงมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นแนวทางปฏิบัติแทนการฟังคำสอนจากพระพุทธองค์โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ และถ้าจะรอแต่ให้มีผู้เข้าถึงจริงๆจึงจะได้ฟังธรรมอันประเสริฐนั้นก็เท่ากับเป็นการปิดโอกาสให้กับผู้ที่ยังไม่เห็นธรรม ไม่เคยฟังธรรม ด้วยเมตตาอันมากมายมหาศาลของพระพุทธองค์ท่านไม่ทำเช่นนั้น

    เอาง่ายๆ แค่คนที่เรารักตายจากไปเนี่ย เรารู้ไหมว่าเขาไปไหน เขายังอยู่กับเราหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่รักเราแล้วถึงไม่มาหาเราซักที นั่นเป็นเพราะว่าเราอยู่ในสถานะที่ต่างกัน เมื่อสถานะต่างกันเราจูนกันไม่ได้ จึงไม่เห็นกัน ทั้งๆที่เขาอาจจะอยู่ไม่ไกลจากเราเลย แต่ถ้ามีด้วยเรื่องบางสิ่งบางอย่างทำให้เรากับเขาจูนกันติดเราก็จะรู้จะเห็นว่าเขาไปอยู่ที่ไหน เขาเป็นอย่างไร

    เหมือนอย่างที่ผมโดนทดสอบ ถ้าผมยังมาไม่ถึงจุดนี้ ยังไม่ถึงวาระ เขาก็คงไม่มา

    โปรดปฏิบัติต่อไปอีก แค่เรายังไม่รู้ไม่เห็นมากกว่านี้ก็เท่านั้นเอง

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มีพระสูตรที่น่าสนใจอยู่ขอนำพระวจนะมาแสดง...พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำกล่าวกันว่า สัมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐิดังนี้ สัมมาทิฎฐิย่อมด้วยเหตุเพียงเท่าไรพระเจ้าข้า....กัจจานะ สัตว์โลกนี้ อาสัยแล้วซึ่งส่วนสุดทั้งสอง โดยมากคือ ส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงมี(อตถิตา) และส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี(นตถิตา)...กัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นแดนเกิดของโลก(โลกสมุทัย)อยู่ ทิฎฐิทั้งปวงไม่มีในโลกย่อมไม่มี.............กัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งความดับไม่เหลือของโลก(โลกนิโรธ)อยู่ ทิฎฐิทั้งปวงมีในโลก ย่อมไม่มี............กัจจานะ สัตว์โลกนี้โดยมาก มีอุปายะ อุปาทานะ และอภินิเวสเป็นเครื่องผูกพัน ส่วนสัมมาทิฎฐินี้ย่อมไม่เข้าไปหา ย่อมไม่ยึดมั่น ย่อมไม่ตั้งทับ ซึ่งอุปายะและอุปาทานทั้งสองนั้น ในฐานะที่เป็นที่ตั้งทับเป็นที่ตามนอนแห่ง อภินิเวสแห่งจิตว่า" อัตตาของเรา" ดังนี้ ทุกข์นั่นแหละเมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิด ทุกข์นั่นแหละเมื่อดับย่อมดับ ดังนี้เป้นสัจจะที่ผู้มีสัมมาทิฎฐิไม่สงสัย ไม่ลังเล ญานดังนี้นั้น ย่อมมีแก่เขา ในกรณีนี้ โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัยเพื่อความเชื่อ.......กัจจานะ สัมมาทิฎฐิ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล มหาชนชาวพันธุมวดีราชธานี จำนวนแปดหมื่นสี่พันคน ออกจากเมือง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาควิปัสสีถึงที่ประทับ ณ เขมิคทายวัน ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาควิปัสสีได้ตรัส อนุปุพพิกถา แก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น กล่าวคือ ทานกถา สิลกถา สัคคกถา ทรงประกาสโทษอันเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงค์ในการออกจากกาม...........ครั้นทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมีจิตเหมาะสม อ่อนโยน ปราจากนิวรณ์ ร่าเริง แจ่มใสแล้ว ก็ได้ตรัสธรรมเทศนาซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงเอง กล่าวคือ เรื่อง ทุกข์ เรื่องสมุทัย เรื่องนิโรธ และเรื่องมรรค เปรียบเสมือนผ้าอันสะอาด ปราศจากสิ่งแปดเปื้อน ย่อมรับเอาน้ำย้อมอย่างดีฉันใด ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได่เกิดขึ้นแก่มหาชน แปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น ณที่นั้นเองว่า " สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา"ดังนี้ฉันนั้นเหมือนกัน.........ชนเหล่านั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว บรรลุแล้วรู้แจ้งแล้ว หยั่งเอาได้ครบถ้วนแล้ว หมดความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความกล้าหาญ ไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่นในคำสอนแห่งศาสดาตน ได้กราบทูลกับพระผู้มีพระภาควิปัสสีว่า"ไพเราะนัก พระเจ้าข้า ไพเราะนักพระเจ้าข้า เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำอยู่ เปิดของที่ปิดอยู่ บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือว่าจุดประทีปไว้ในที่มืด เพื่อว่าคนมีตาจักได้เห็นรูป ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนี้------มหา.ที.10/49/49:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป้นปัจจัย ที่ทำให้เกิดทิฎฐิ มีอย่างเป็นเอนกเหล่านี้ ขึ้นมาในโลก ว่า โลกเที่ยง บ้าง ว่าโลกไม่เที่ยง บ้าง ว่าโลกมีที่สุดบ้าง ว่าโลกไม่มีที่สุดบ้าง ว่า ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น บ้าง ว่า ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่นบ้าง ว่าตถาคต ภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีก ว่า ตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมไม่มีอีก บ้าง ว่าตถาคตภายหลังแต่ตายแล้วย่อมมีอีกก็มี ไม่มีอีกก็มี บ้าง...ว่าตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้บ้าง.............วัจฉะ เพราะความไม่รู้ในรูป ในเหตุเกิดขึ้นแห่งรูป ในความดับไม่เหลือแห่งรูป ในหนทางเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งรูป ทิฎฐิมีอย่างเป็นเอนกเหล่านี้ จึงเกิดขึ้นมาในโลกว่าโลกเที่ยง บ้างว่าโลกไม่เที่ยงบ้าง.............ว่าตถาคตภายหลังแต่ตายแล้ว ย่อมมีอีกก็หามิได้ไม่มีอีกก็หามิได้บ้าง-----(ในกรณีแห่งความไม่รู้ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร และในวิญญาน แล้วจึงเกิดทิฎฐิต่างต่างเหล่านี้ ก็ได้ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีความไม่รู้ในรูป.........สำหรับคำว่าเพราะความไม่รู้ ในพระสูตรข้างบนนี้ ในสูตรอื่นอื่นได้ตรัสไว้ด้วยคำว่า เพราะไม่เห็น เพราะไม่ถึงพร้อมเฉพาะ เพราะไม่รู้โดยลำดับ เพราะไม่แทงตลอด เพราะไม่กำหนดทั่วถึง เพราะไม่เข้าไปกำหนด เพราะความไม่เพ่งพินิจอย่างสม่ำเสมอ เพราะความไม่พิจารณาโดยเจาะจง เพราะความไม่เข้าไปกำหนดโดยเฉพาะ เพราะความไม่ทำให้ประจักษ์ อีกถึง10 คำซึ่งมีใจความอย่างเดียวกัน(คำกล่าวของท่านพุทธทาส)----ขนธ.สํ17/19-326/554-584.----------------------(อริยสัจจากพระโอษบ์ ท่านพุทธทาส):cool:ปล. นำมาแสดง เพื่อศึกษากันครับว่า..อะไรที่เรียกว่า ทิฎฐิ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

    "ทุภพ ทุภพ สบายดีอยู่หรือ"

    "จำไม่ได้เหรออออออ"

    "เราเอง คนรักเก่าของเธออออออออววววววววว์"
     
  10. pmntr

    pmntr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +2,244
    คงขึ้นอยู่กับสติปัญญาแล้วครับท่านสมาชิกทั้งหลาย

    *เก่งจริงนะเราเนี่ย (ไม่ได้หมายถึงผม) ทำซะทะเลาะกันใหญ่เลย แหมถ้าพระพุทธเจ้าไม่เจอวิธีหนีท่านนะ คงตกหลุมไปอีกเยอะ แต่ก็อย่างว่าท่านยังทำทางหลอกให้กับคนอื่นอืีกนี่นา ก็อยู่ที่ใครจะเห็นจริงแล้วละ แต่ละคนที่ท่านจัดการเอาแต่ที่เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย กว่าเขาจะวกกลับมาดูตัวเองท่านคงลากไปไกลแล้วสิ ผมเคยโดนมาแล้ว ท่านไปหาคนอื่นเหอะ บ่วงแค่นี้จิ๊บ ๆ 5 5 5 แต่หลงไปเข้ากับดักกันเต็มเลย ว่างก็มาคุยกันได้นะท่าน ไม่ต้องมาหลอกหรอกนะ เบื่อแล้ว มันก็อีหรอบเดิมแหละ ใช่ไหม ผมโดนซะกรอบเลย นี่ ๆ ๆ ยังต้องระวังกับดักท่านอีกหลายห่วง หลายซ้อนเลย ไม่สงสารพวกเขาบ้างเลยนะท่านเนี่ย
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ " ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต "




    พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้" ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต "




    พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ " ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต "



    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต.



    .

    ความหมายตรงตามตัวอักษรเลย


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  12. สง๊บ สงบ

    สง๊บ สงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +664
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่นำประสบการณ์ของท่านมาเล่าสู่กันฟัง เราพิจรณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อที่จะได้เอาไว้เป็นตัวอย่างต่อไป การปฏิบัติธรรมนั้นถ้ายิ่งเข้มข้นขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งถูกทดสอบแบบเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำที่มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" ขอโมทนาบุญในธรรมกับท่านเจ้าของกระทู้และทุกๆท่านที่มาร่วมแสดงธรรมในกระทู้นี้ด้วยจ้า
    ขอให้เจริญในธรรมกันทุกๆท่านจ้า
    รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน
     
  13. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มารมิใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุด

    ศัตรูที่แท้จริงของเรามิใช่ มาร หรือ ญาณอันเป็นเครื่องรู้ แต่หากเป็น กิเลสในใจตนเอง นั้นแล

    เจริญในธรรมครับ
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ^
    เอ..บุพกรรมอันใด ที่ทำให้ผู้ทำกรรมนั้นได้ไปจุติยัง ชั้นปะระนิมมิตะสะวัสตีมาร
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ^
    บ้างก็เรียกกิเลสมาร
    มารเป็นเทวบุตร ก็ตังหากม๊าง
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ^
    ตอนนี้มารมาแล้ว

    สาม-สี่หาวแล้ว ไปแระ วิสกัส
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอ.. สงสัยมานใช้ ว่านมะละกอล้างหน้า อ่ะ
     
  18. พระคุณากร

    พระคุณากร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +72
    ไม่มีใครในโลกที่ไม่โดนหลอก นอกจากผู้จบหลักสูตรในโลกนี้และโลกหน้า
     
  19. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ผมมีเรื่องที่อยากจะเตือนอยู่สองอย่าง คือ

    เรื่องแรกนี้ ได้มีครูบาอาจารย์ท่านได้เคยเตือนมาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลกับตัวเองขนาดนี้ จึงไม่ได้สนใจ คือเรื่องการอย่าเอาสิ่งใดก็ตามเข้ามาในตัว เพราะถ้าสมาธิเราไม่สูงพอ หรือไม่มีปัญญามากพอ เราก็จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่เข้ามา หรือเข้ามาแล้วจะออกหรือเปล่า ไปแอบอยู่ตรงไหนในกายเรา เป็นดวงจิตดีหรือร้าย

    ที่ผมต้องเป็นอย่างนี้เพราะตอนที่ผมเปิดจิตได้แล้ว ผมก็ติดต่อกับวิญญาณของคนนั้นคนนี้ด้วยความอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเมื่อตายไป หรือวิญญาณของผู้อื่นที่ไม่รู้จัก (ผมให้ดูในเรื่องของกรรม) เมื่อเขามาแล้วเขาไม่ไป เขารอบุญกุศลก็มีมาก เป็นเจ้ากรรมนายเวรก็มี ดวงวิญญาณชั้นต่ำที่มีแต่หาเรื่องให้เราก็มี ผมจึงต้องรับผลกรรมอันนี้อยู่ เพราะเราดันทะลึ่งทำไปโดยไม่รู้ประสีประสา จึงอยากเตือนทุกท่านด้วย

    และอีกอย่างหนึ่งคือ การเปิดจิต อย่าไปเปิดกันเองถ้าวาระยังมาไม่ถึง ปัญญายังไม่มีมากพอ จิตยังไม่มีความมั่นคง

    เพราะการเปิดจิตนั้น เมื่อเปิดแล้วจะปิดไม่ได้อีก ไม่เหมือนประตูที่เปิดปิดได้ รอให้วาระเรามาถึง สมาธิสูงปัญญามากจิตมีความตั้งมั่นดีแล้ว เขาจะเปิดของเขาเอง ไม่ต้องไปรีบเร่งอยากเปิดเอง ไม่งั้นก็จะโดนแบบผมที่ต้องตั้งกำลังใจสู้กับสิ่งที่เข้ามาแบบที่เหนื่อยมากๆ เพราะเราไม่รู้ว่ามีอะไรเข้ามาหาเราบ้าง ถ้าเราไม่พิจารณาให้มากๆ

    ง่ายๆคืออย่าเพิ่งถ้ายังไม่พร้อม

    เท่านี้ครับ

    และขอขอบคุณในทุกคำแนะนำของทุกท่านครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    หากเป็นเพราะคำว่า "เปิดจิต" ที่มีในพระไตรปิฏก ในพระวินัย เสร็จ
    แล้ว คุณก็ไปสำคัญเอาว่า การ "เปิดจิต" เป็นเรื่อง พันธ์อย่างว่า
    ( อะจึยยยส์ ขนแขนแสตนอัพนิดหน่อย ไม่ใช่ กลัวนะ แต่ มันเป็น
    เรื่อง เข้าใจผิด น่ารังเกลียดมาก )


    พึงทราบว่า

    คำว่า เปิดจิต มีจิตเปิด ท่านให้หมายเอาว่า มีสติ รู้เท่าเอาทัน "โมหะมูลจิต
    โทษะมูลจิต โลภะมูลจิต" นี้เท่านั้น จึงจะเรียกว่า มีจิตเปิด หรือ เปิดจิต

    ดังนั้น

    การเปิดจิต มีจิตรู้เท่าเอาทัน โทษะมูลจิต ท่านทั้งหลาย ควรเปิดกันเอง กิเลสตัวเอง เปิดเอง

    การเปิดจิต มีจิตรู้เท่าเอาทัน โลภะมูลจิต ท่านทั้งหลาย ควรเปิดกันเอง กิเลสตัวเอง เปิดเอง

    การเปิดจิต มีจิตรู้เท่าเอาทัน โมหะมูลจิต ท่านทั้งหลาย ควรเปิดกันเอง กิเลสตัวเอง เปิดเอง

    ส่วนเรื่อง เปิดจิต ที่เป็น นัยยะอื่น พึงทราบว่า เป็น มิจฉาทิฏฐิ ทุภพ ตั้งแต่ ออกสตาร์ทแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...