เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    นิพพานก็คือนิพพาน ไม่เป็นอื่น

    จิตอรหันต์ที่เสวยนิพพาน ก็เป็นเรื่องของจิตอรหันต์ที่เสวยนิพพาน
    จิตอรหันต์ที่เสวยนิพพานได้ต้องเป็นจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆอีก แม้ความเป็นนิพพานจิตอรหันต์ก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นด้วยเช่นกัน มีแต่ปล่อยวางปล่อยวางหมดสิ้นเท่านั้น ครับ สาธุ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความเข้าใจในธรรมอาศัยเหตุรู้จากสามส่วนคือ

    1 เพราะศึกษาจากตำรา การฟังการอ่านจากแหล่งต่างๆ หรือปริยัติ
    2 เพราะอาศัยรู้ที่เกิดจากขณะปฏิบัติ
    3 เพราะเห็นผลที่ปรากฏจากการปฏิบัติ ที่ให้ผล หรือปฏิเวธ

    ทั้งนี้ อันความรู้ที่เราได้รับ ที่เป็นตัวชี้วัดที่แท้จริงแห่ง ความรู้อันเป็นผลสำเร็จ ที่แท้จริง
    ย่อมเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น อันหมายถึงข้อสองและสาม เพราะเป็นความรู้ที่เกิดพร้อมกับการพัตนาจิตท่านไปพร้อมๆกันหรือด้วยกัน

    อันสรุปได้อีกอย่างหนึ่งว่า
    อันความรู้ใดๆ ก็ไม่สำคัญเท่าการเข้าไปรู้จิตใจตน รู้ธรรมชาติของจิตตน เพราะนี่คือจุดเริ้มต้นของการปฏิบัติธรรม เพื่อการชำระจิตตนให้หลุดพ้นทุกข์ได้ในที่สุดนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2014
  3. shamankings

    shamankings เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +543
    ส่งไปให้ใหม่ทาง pm แล้วนะครับ
     
  4. maewmaew2012

    maewmaew2012 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +35
    ขอบคุณคุณก้องค่ะ ขอนุญาตรบกวนอีกครั้งนะคะ ส่ง pm ไปแล้วนะคะ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มัวเข้าไปอธิบายธรรม ในกระทู้อื่นมา ไม่ค่อยได้กล่าวธรรมในกระทู้นี้เลย ก็เป็นธรรมดาอย่างนี้ครับ

    ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีเหตุปัจจัย จะไปเอาอะไรแน่นอน เที่ยงแท้ไม่ได้ ทุกอย่างล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น แม้จิตเราเองด้วยครับ สาธุ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ


    ===================

    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    อธิบายได้ว่า เหตุแห่งทุกข์ เพราะอาการที่จิตส่งออกนอก อันหมายถึงจิตเข้าไปรับสิ่งที่อยู่นอกจิต อันสิ่งทั้งหลายที่อยู่นอกจิตทั้งหมด แท้จริงล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อาการที่จิตส่ายออกไปรับเอาสิ่งภายนอก จึงเป็นอาการที่เข้าไปยึดในสิ่งภายนอกที่ไม่เที่ยงที่เป็นทุกข์ อาการอย่างนี้จึงเรียกว่าเป็น สมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง
    อาการที่จิตส่งออกนอกนั้น หมายรวมถึงสิ่งที่อยู่นอกจิต อันได้แก่ สิ่งที่อยู่ในกายและนอกกาย ทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนามทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นครับ


    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    อธิบายว่า ก็เมื่อจิตส่ายออกนอกจิตไปสู่รูปนามภายนอกอันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ผลที่ได้รับคือย่อมเป็นทุกข์ เพราะรูปนามทั้งหมดมีความไม่เที่ยง นำมาซึ่งผลคือ ทุกข์ ที่เกิดขึ้นนั่นเอง


    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    อธิบายว่า ก็เมื่อจิตที่ส่งออกนอก นั้นเป็นสมุทัย และมีทุกข์เป็นผลที่เกิด การที่เราเข้าไปเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง [สมถะ+วิปัสสนา] ขอย้ำว่า ต้องเห็นอย่างแจ่มแจ้ง คือรู้แจ้ง เมื่อจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง แล้ว จิตย่อมทรงสภาวะธรรมเป็นกลางๆอยู่อย่างนั้น จิตจะไม่ส่าย ส่งไปไหน จิตจะอยู่กับจิตไม่ส่งออกนอก เมื่อจิตไม่ส่ายออกนอกไม่ไปรับรูปนามทั้งปวงที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เมื่อนั้นห่วงโช๋แห่งทุกข์จึงขาดจึงดับหมดสิ้น ทุกข์จึงดับลงโดยสมบูรณ์
    ฉนั้น การอาศัยจิตเข้าไปเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งจึงเป็นมรรควิธีหรือวิธีการเข้าไปดับทุกข์นั่นเอง อันหมายถึงอาการเข้าไปดับที่เหตุแห่งทุกข์นั้นด้วยครับ


    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
    อธิบายว่า ก็เมื่อสามารถฝึกตนให้สามารถเข้าไปรู้ทันจิต ฝึกให้จิตเข้าไปเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง รู้แจ้งชัดในจิตตน เมื่อนั้นจิตที่รู้แจ้งชัด ย่อมหาประโยชน์อะไรไม่ได้จากการส่ายส่งออกนอก เมื่อจิตไม่ส่ายส่งออกนอกไปรับกับรูปนามทั้งปวงที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นผลที่ปรากฏคือ ไม่มีอะไรให้ทุกข์หรือสุข ไม่มีสภาวะอะไรใดๆจากภายนอกมาปรุงแต่งจิต จิตจึงคงสภาพจิตอันเป็นธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น ผลที่เกิดที่ได้รับจึงเป็นเช่นนี้ รวมเรียกว่า นิโรธ คือความหลุดพ้นทุกข์ ปรากฏเกิดขึ้นนั่นเองครับ สาธุ
     
  7. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย
    ผลของการส่งจิตออกนอกเป็นทุกข์

    ทำไมจิตส่งออกนอกตามความอยาก
    หรือไม่อยากสิ่งเหล่านี้คือตัณหา
    เมื่อไล่ตามความอยากผลที่ได้ทุกข์ตามมา
    นี่แหล่ะหนาคือตัณหาความอยากเอย
     
  8. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค

    จิตที่ถูกเห็นมีอะไรเป็นจิตได้มั่ง
    ก็ต้องนั่งนิ่งดูจริงไปไม่ไหลหลง
    ตั้งแต่เวทนาถึงความคิดเพื่อให้ปลง
    สุดท้ายคงดูตัวเองจิตเหมือนกัน

    จิตเห็นจิตคงหมายถึงเห็นไม่ผิด
    จิตเห็นจิตคือเห็นตัวเองที่หลงอุปทานนั่น
    จิตเห็นจิตคือเห็นขันธ์ทำงานกัน
    แจ่มแจ้งนั้นคือปล่อยวางแม้ตัวตน
     
  9. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ

    ผลอันนี้คือหมายถึงจิตปล่อยหลง
    นั่นเพราะเห็นความไม่คงเที่ยงแท้นั่น
    เห็นโทษภัยในความหลงที่อุปทานกัน
    เห็นแล้วมันไม่ยึดมั่นหลุดพ้นต้วตน
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขออนุโมทนาครับ ท่าน BORNSTUT

    ธรรมทานที่กล่าวนั้น แค่การกล่าวอธิบายเป็นภาษาปกตินี่ก็กล่าวได้ยากยิ่ง แต่ท่านกลับสามารถกล่าวเป็นบทกวี ซึ่งทำได้ยากยิ่ง ผมขอชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะธรรมกวีที่กล่าวเป็นธรรมเบื้องสูง ผู้ปฏิบัติธรรมมาดีแล้วเข้าถึงแล้วย่อมรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้

    หากเป็นไปได้ อยากให้มีการรวบรวม กลอนธรรมกวี ทั้งหมด ไว้อนาคตอาจจะขอนำไปเผยแผ่เป็นธรรมทานต่อไป

    อนาคตผมคิดไว้ว่าจะสร้างหนังสือธรรม แจกจ่ายเป็นธรรมทาน ซึ่งอาจจะมีทั้งส่วนที่เป็นบทสวดมนต์ บทธรรมบรรยาย และบทธรรมกวี เป็นหมวดหมู่ รวมทั้งชีวะประวัติ แต่ยังไม่มีเวลาทำ รอปีหน้ากลางๆปี ครับ สาธุ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มีสหายธรรม สอบถามเรื่องของเก่า วาสนาเก่าที่ตนสั่งสมมา จะทำอย่างไรจึงจะนำวาสนาบารมีเก่าของเก่าของตน มาใช้ประโยชน์ในปัจจุบันให้ได้

    กระผมจึงกล่าวว่า ความจริง เราทุกคน ต่างก็เคยมีของเก่า จากการ ทำบุญ รักษาศีล การปฏิบัติธรรมภาวนา อาจมีฌาณ ญาณ กสิน อภิญญา ปัญญาญาณ ก็ดี

    อันของเก่าผลบุญเหล่านี้ ที่เคยสั่งสมไว้ เราจะกู้คืนมาจะขุดค้นมันออกมาต้องทำอย่างไร คำตอบคือ มีวิธีการอยู่ดังนี้คือ
    การขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นประธาน ตลอดจนขอบารมีจากครูอาจารย์เทพพรหมเทวดาทั่วสากล จงช่วยดลบันดาลให้รื้อขนวาสนาบารมีธรรม ของเดิม เกิดสำเร็จมีในตนในปัจจุบันกาล โดยเร็วพลัน
    ให้ตั้งใจ รักษาศีล และสวดมนต์ภาวนา ให้เลือกบทสัมพุทธเธ เป็นบทของอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทรงมหาบุญบารมี แล้วให้เจริญภาวนา ทำเช่นนี้บ่อยๆก็จะสามารถรื้อขนขุดเอาของเก่า วาสนาบารมีเดิมของตนได้สำเร็จ ประกอบกับบารมีใหม่จากการภาวนาของเราก็จะก้าวหน้าทรงตัวยิ่งๆขึ้นไป เมื่อทำอย่างนี้จึงเท่ากับ 1+1 ยังผลให้สมาธิญาณ ของเราก้าวหน้าเจริญยิ่งๆขึ้นไป ครับ

    เมื่อใดที่จิตเราทรงสติปัญญาภาวนาแล้ว เรื่องอื่นๆทั้งหลายก็เป็นเรื่่องเล็กน้อยครับสำหรับการสร้างบารมีต่อๆไปครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2014
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอนำประสพการณ์สมาธิมาเล่าสู่กันฟัง สร้างศรัทธาปัญญาในการปฏิบัติธรรมดังนี้ครับ

    ประสพการณ์ท่องสวรรค์มีเยอะมากขอเล่าแค่สองเรื่องนี้ก่อน คือ

    1 ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นั่งสมาธิภาวนาแล้วสงบนิ่ง แบบนิ่งไปเลย แต่มีสติรู้ ว่าสงบเบาสบาย ในขณะนั้นไม่รับรู้กาย เวทนา ดับหมดแล้ว ก็ปรากฏ นิมิตภายในความสงบนิ่ง เห็นท้องฟ้ากว้างไกลสวยงาม มีเมฆลอยอยู่ข้างล่างต่ำกว่าที่ตนเองยืนอยู่พอสมควร มองไปข้างหน้า เห็นวิมานหลังหนึ่ง ไกลๆสวยอร่ามมาก แค่นึก รู้สึกว่าตนเองไปยืนอยู่ข้างหน้า วิหารทิพย์ที่เห็นสวยงามเหลืองอร่ามเหมือนอุโบสถแต่หลังไม่ใหญ่มาก แบบวิหารหลวงพ่อเป็นต้น แบ๊บเดียวก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏสวมใส่ชุดขาวเรียบร้อยสะอาดหมดจด ยืนอยู่ตรงประตู ด้านหน้ามีม่านสีทองกางกั้นอย่างสวย ในจิตอยากรู้ว่าเป็นวิหารของใคร แค่นึก ผู้หญิงคนดังกล่าว พนมมือไหว้กระผมแล้วพูดว่า
    วิหารทิพย์หลังนี้เป็นของท่านมิใช่ของใครอื่น ผลบุญที่ท่านได้สร้างวิหารทาน จะเกิดรอท่านทันที เมื่อท่านละสังขารเมื่อไหร่ท่านจะใช้สอยวิหารหลังนี้ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ส่วนดิฉันมีหน้าที่ดูแลรักษาไว้ให้จนกว่าจะถึงเวลานั้นเจ้าคะ

    ผมได้รับรู้อย่างนี้ก็มีปิติ และจำได้ว่า ตนเคยนำผ้าป่าไปสร้างกุฏิพระเมื่อไม่นานมานี่เอง ผลบุญเกิดทันที มีวิหารทิพย์เกิดขึ้นทันที
    แต่ในจิตก็นึกว่า เราไม่ได้อยากได้อะไร เราทำบุญเพราะศรัทธา ก็เท่านั้น แล้วถ้าเราสร้างวิหารทานหลายๆที่ วิหารทิพย์ของเราก็คงมีหลายที่เช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร

    แค่นึกอย่างนี้ก็ปรากฏรู้ขึ้นมาว่า วิหารทิพย์ ย่อมปรากฏตามวิหารทานที่เราได้ตั้งใจสร้างถวาย และในขณะนั้นกำลังจิตเราทรงอารมณ์ใด วาสนาบารมีเราในขณะนั้นมีกำลังมากน้อยแค่ไหน หากเรามีกำลังจิตเทียบเคียงพระโสดาบัน วิหารเราย่อมเกิดปรากฏในชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นเบื้องต้น หากทรงกำลังจิตสกิทาคามี ก็หมายถึงวิหารย่อมเกิดในชั้น ดาวดึงส์ขึ้นไปจนถึงชั้นยามาเป็นต้น คือวิหารทิพย์เกิดตามวิหารทานและอาศัยกำลังใจเป็นเครื่องหนุนส่งไปในชั้นภพนั้นๆครับ สาธุ

    แต่ก็มีความเข้าใจผุดขึ้นอีกว่า หากเราไปเสวยทิพย์ในชั้นที่สูง เราจะลงมาวิหารทิพยวิมานในชั้นที่ต่ำกว่าก็ย่อมทำได้ แต่ทั้งนี้ อาศัยกำลังจิตตอนละสังขารสำคัญมากที่สุด ส่วนทิพย์วิมาน ก็จะเกิดปรากฏแก่เราในทันทีที่เราไปเกิดบนสวรรค์ครับ มีเหตุปัจจัยหลายอย่างหนุนส่งครับ

    ส่วนเรื่องที่สอง คือ หลวงปู่พาไปกราบพระจุฬามณี จตุระทวารชั้นดาวดึงส์ สวยงามมาก เรื่องนี้ เกิดขึ้นนานแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนผมชอบนั่งสมาธิภาวนา นั่งนานแบบนั่งแล้วต้องตัดกาย เวทนาให้ได้ แล้วคงเหลือไว้เพียงสุขสงบในสมาธิหรือฌาณ ตอนนั้นชอบไปนั่งตามป่าตามเขา ถ้ำและวัด เวลาไปก็ไปคนเดียวจะได้สะดวกและไม่ต้องเป็นห่วงอะไร นั่งครั้งหนึ่งก็นาน2ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ นานสุดเคยนั่งภาวนาที่ในวัดแห่งหนึ่งใกล้เมรุนานตั้งแต่เย็นหัวค่ำจนรุ่งสางอีกวัน

    วันหนึ่งนั่งสมาธิภาวนาเหมือนเคย วันไหนสวดชินบัญชรและยอดพระกันไตรปิฏกแบบไม่ผิดเลยแสดงว่าสมาธิเราดีมาก แล้วจึงภาวนา เมื่อสงบนิ่ง มันเกิดอยากรู้อยากไปจุฬามณีไปกราบพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว จำได้ว่าครั้งแรกเคยไปวิมานชั้นจาตุมหาราชิกามาแล้ว ครั้งนี้จึงอธิฐานจิตไป แต่พอรวมจิตเป็นสมาธิแล้ว ขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างไกล ไปไม่ถูก ก็นึกขึ้นได้ว่า ชั้นดาวดึงส์นี่มันสูงนะ คงไปได้ไม่ง่ายๆและเป็นชั้นที่องค์อัมรินทร์ท่านปกครอง คงขึ้นไปยาก ทำอย่างไรดี ปรากฏว่าใน ขณะนั้น ปรากฏนิมิตเห็นหลวงปู่รูปหนึ่ง[ไม่ขอเอ่ยชื่อท่านครับ] ท่านบอกว่า ให้ตามท่านมา ผมเห็นท่านถือไม้เท้า และก้าวเดินตามท่านไปบนอากาศ จำได้ว่า 5ก้าว ก็ถึงพระจุฬามณี สภาพอากาศโดยรอบ เหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ด่าวระยิบระยับสวยงามมาก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยอัญมณีรัตนชาติ คือสวยงามมากสบายตาสบายใจจะว่ามืดก็ไม่มืดจะว่าสะว่างเหมือนชั้นจาตุมหาราชิกาก็ไม่ใช่ ชั้นจาตุมหาราชิกาจะสว่างจ้าเหมือนโลกมนุษย์ แต่ดาวดึงส์จะสว่างแบบนวลตาพูดไม่ถูกครับ
    พอไปถึงจุฬามณี เห็นซุ้มประตู เป็นจตุรมุข ทสี่ด้านสวยงาม มีเทพยืนประจำประตู หนึ่งท่านต่อประตูหนึ่งๆ สวยงามมาก ตอนนั้นไม่ได้มองอะไรมาก เดินตามท่านหลวงปู่เข้าผ่านประตูเข้าไปข้างใน ตอนแรกดูจากข้างนอกก็ใหญ่ปานกลาง แต่พอเข้าไปข้างในกลับกว้างขวางมาก ข้างในเป็นที่โล่งกว้าง แต่ก้าวเดินตามหลวงปู่เพียงสามก้าวก็อยู่หน้ามณฑบพระจุฬามณีอันมีพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ส่องฉัพพรรณรังสี สวยงามมากเป็นสีรุ้งสว่าง อยู่บนแท่นบุษบกชุกชี ทำด้วยทองคำและประดับด้วยรัตนชาติ ครอบด้วยแก้วสวยงามมากครับ เมื่อนั้นก็ก้มลงกราบตามหลวงปู่ เสร็จแล้วจึงกลับ ตอนเดินออกมาก้าวแรกก็เห็นเทพพรหม เข้ามากันอย่างไม่ขาดสายต่อเนื้องจากทั้งสี่ทิศสี่ประตู ก้าวที่สองออกมานอกพระจุฬามณี ก้าวที่สาม ลงมา ลงมา จนถึงก้าวที่ห้าก็รู้สึกตัว ออกจากสมาธิ คืนนี้เป็นอันว่าสมปราถนา น้ำตาแห่งปิติเกิดขึ้นอย่างมากที่สุดในชีวิตที่ปฏิบัติธรรมมมา ทำให้เชื่อว่าสวรรค์มีจริง สิ่งที่กล่าวไว้ตามพระคัมภีร์มีจริง จึงเกิดกำลังใจมากมายเป็นที่สุด ในการ ตั้งใจทำความดี และปฏิบัติธรรม สวดมนต์ภาวนา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันครับ สาธุ

    นอกจากนี้ยังมีประสพการณ์อื่นๆอีกมากมายด้านการท่องสวรรค์และนรก อีกมากมายครับ

    แต่ขอละไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ สาธุ
     
  13. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    ว่าแต่อะไรๆก็สหายเก่า
    สหายใหม่ไม่มีเลยงั้นหรือ
    สหายใหม่ไม่มีดียังงั้นฤา
    ความใหม่นั้นมีทุกวันทุกวินาที เด้อ สิบอกไห่ อิอิ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด

    เรื่องการเจริญสมาธิก็เช่นกัน ที่สุดของสมาธิคือปัญญารู้แจ้งปล่อยวาง

    วันนี้เราเหมือนคนที่ผ่านโลกมามาก เมื่อย้อนมองสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ประกอบปัญญา ปัญญาในสมาธิของเราในเวลาจึงเข้าใจแจ่มแจ้งชัด ตกผลึกแล้ว นั่นคือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ นั่นเอง อดีตที่ผ่านมามันสั่งสมบ่มปัญญา จนถึงที่สุด มันไม่มีอะไรให้ต้องไปยึดมั่นถือมั่น ต่อไป การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อหวังอยากได้อะไรหรือเอาอะไรมาพอกพูนฉาบทาจิตใจของตนเอง แต่เป็นไปเพื่อการชำระกระเทาะปล่อยวางสรรพสิ่งออกไปให้หมด ไม่เหลือแม้อัตตาในตนที่มีครับ สาธุ
     
  15. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    ยังมีอีกนะคือช่วยเหลือคนอื่นตามกำลังของเรา
    ทำไมเราต้องมารู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างนี้
    นั่นเพราะเรามีเจตนาเพื่อมาช่วยเหลือคนอื่นนั่นเอง
    จงเรียนรู้กรรมในการช่วยเหลือผู้อื่นให้อยู่บนเส้นทางของมรรคแปด

    มรรคแปดที่รวมกันเป็นหนึ่ง เรียกว่า สัมมาสัมพุทธะในตนเอง

    มาร่วมเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐกันเถอะ เพื่อนเอ๋ย
     
  16. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    แม้พญามารที่ว่าเก่ง ผมก็เป็นเพื่อนกับเขาได้
    แม้คนจนที่ไม่มีอะไรผมก็เป็นเพื่อนกับเขาได้
    แม้คนที่ว่าร่ำรวยที่สุดในโลกผมก็เป็นเพื่อนกับเขาได้

    ขอแค่ใจ ที่เข้าใจในกันและกันเท่านั้น ในความเป็นเพื่อน
    ไม่ต้องแบกอย่างอื่นมา ด้วยเลย
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    สาธุครับ ท่านกล่าวได้ถูกต้องดีงามแล้วครับ
    กระทู้นี้ยินดีต้อนรับครับ ตลอดจนท่านอื่นๆทุกท่านด้วยครับ ที่แห่งนี้ ยินดีก้าวไปด้วยกันครับ ทางของเราคือ ทางสายกลาง ครับ

    สาธุ
     
  18. shamankings

    shamankings เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +543
    อยากทำได้แบบพี่ tjs บ้างครับ ไม่ได้อยากจะเห็นแล้วไปอวดใครนะครับ อยากเห็นด้วยตาตัวเองเพื่อจะได้รู้ว่า สวรรค์ นรก นั้นมีอยู่จริง เราจะได้ทำความดีสะสมบุญเอาไว้

    ตอนที่ผมยังโสด ผมชอบสวดมนต์ครั้งนึงก็ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อครับ แต่พอได้แต่งงานอยู่กับแฟน ผมก็บอกแฟนว่าผมอยากนั่งสมาธิ เค้าก็ว่าผมเยอะครับ แค่สะสมบูชาพระเครื่องก็พอแล้ว ทำไมต้องนั่งสมาธิด้วย ผมก็บอกว่านั่งเพราะว่ามันสงบดี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้นั่งครับ ไม่อยากทะเลาะกัน

    ปล.อาจจะเป็นอย่างที่เค้าว่ากันก็ได้ครับว่า ชีวิตโสดดีที่สุดแล้ว
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การเดินสายกลาง ต้องเป็นกลางโดยธรรม เป็นผู้เข้าใจในเหตุปัจจัย มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ เป็นเครื่องดำเนินไป ประคองสติปัญญา ของตนไปครับ

    เรื่องที่จิตผมเคลื่อนไปจากการนั่งสมาธินั้น แท้จริงมันก็คือสภาพ ของอภิญญาที่เราเรียกว่า มโนมยิทธิ

    แต่หากลำดับความสามารถทางจิต ของผมมันเกิดเป็นลำดับขั้นดังนี้
    1 เกิดกสิน ทั้งสี่แบบชำนาญ ก่อน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อุคหนิมิต
    2 เกิดกสินแบบ ปฏิภาคนิมิต และบางกสินก็ไปไกลกว่านั้น เช่นกสินไฟ เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ แต่ทำได้ไม่เกินสามครั้งก็ละทิ้งเพราะอันตราย
    3หลังจากกสินชำนาญแล้ว สมาธิที่ทรงฌาณ ก็มีอตีตังคสญาณ รู้อดีตชาติตนเอง อาศัยเห็นเป็นภาพ หรือตาทิพย์

    4 จากสมาธิที่ทรงตัว จะสามารถรับรู้เสียงจากที่ต่างๆที่เขาสื่อสารกัน แบบหูทิพย์

    5 หลังจากได้ทั้งหูและตาทิพย์แล้ว เคยฝึกแยกจิตถอดออกจากกายออกจากร่าง3ครั้งก็เลิกทำเพราะอันตราย จึงเริ่มฝึกส่งไปเฉพาะกระแสจิต หรือที่เรียกว่า มโนมยิทธิ แต่ยังเป็นขั้นต้น

    6 หลังจากนั้น ส่งกระแสจิตไปและสามารถรับรู้เข้าใจจิตวิญญาณอื่นๆแบบจิตเราสามารถรับสัญญาณจากภายนอกได้ แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณกลับไปหาเขา คือเขาสื่อกับเราเรารับรู้แต่เราไม่รู้จะสื่อกับเขาแบบไหน หรือมโนมยิทธิขั้นกลาง

    7 หลังจากนั้น จะเป็นมโนมยิทธิแบบขั้นสูงคือสามารถสื่อสารพูดคุยกับจิตวิญญาณได้ หากชำนาญมาก สามารถรู้ไปในทีเดียวได้เลยว่า ปูมรากเหง้าของจิตนั้นๆเป็นอย่างไรไม่สามารถมาหลอกลวงเราได้ด้วยกายทิพย์ ที่จำแลงมา

    8 เกิดการเข้าไปรู้การเคลื่อนไปของสรรพจิต การเกิดดับการจุติได้บางส่วน ยังไม่ชำนาญนัก

    9เกิดเจโตปริยญาณ เกิดที่ตนเองก่อนแล้วค่อยเจริญก้าวหน้ารู้แจ้งจิตผู้อื่น ตลอดจนรู้การเคลื่อนไปของจิตของอำนาจแห่งกิเลส อำนาจแห่งวิบากกรรม

    ทั้ง9ข้อ ของผมจะเกิดขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ต้องอาศัยสมาธิระดับฌาณ อรูปฌาณ รวมทั้งวิปัสสนาญาณ สติปัฏฐานสี่ อสุภะกรรมฐาน เป็นบาทฐาน ตลอดจนการทำบุญทาน รักษาศีล และสวดมนต์ภาวนา

    งานด้านพิธีกรรมผมวางลงไปมาก เพราะไม่ค่อยมีเวลา งานด้านรักษาคนช่วยเหลือคนปัดรังควาญขจัดปัดเป่าอัปมงคลก็วางลงไปมาก งานตั้งศา พิธีกรรมทางพราหมณ์ ก็ลดลง

    ปัจจุบัน ต้องทำงานไม่ค่อยมีเวลา แต่เรื่อง บุญทาน ศีล สวดมนต์ภาวนา นั้นทิ้งไม่ได้ครับ
    ส่วนหน้าที่อันใหม่ที่เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกันคือการ เผยแผ่พระธรรม เป็นธรรมทาน ข้อนี้จะเพียรสร้างบารมีส่วนนี้ให้ดีงามยิ่งๆขึ้นไปครับ สาธุ

    ==================
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2014
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ไหนๆก็กล่าวเรื่องนี้แล้ว ก็ยินดีกล่าวแบบหมดเปลือกไม่เห็นประโยชน์ในการปิดบังอำพรางอะไร และขอกล่าวต่อยอดอีกนิดหนึ่งจาก
    คำสอนของหลวงปู่ครูอาจารย์ ท่านสอนว่า

    อิทธิฤทธิ์ เป็นของสูง ที่สูงคือ รากฐานต้องดี กายอินทรีย์ มีกำลังจิตที่แก่กล้าแล้วจึงทำได้ ไม่อันตราย[พระสกิทาคามีขั้นปลายขึ้นไป]

    ส่วนที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ อิทธิฤทธิ์ ของโลก ย่อมเสื่อมได้เสมอ หากจะไม่ให้เสื่อมก็ต้องทำให้เป็นอิทธิฤทธิ์แบบโลกุตระ ซึ่งเห็นจะมีเพียงพระอนาคามีที่รู้วิธี และพระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้ครับ สาธุ ส่วนวิธีการว่าจะต้องทำอย่างไร ท่านครูอาจารย์สอนว่า สำหรับผมต้องออกธุดงค์ผ่านสมรภูมิรบให้ได้ ถ้าผ่านได้ ก็ทำได้ รู้แจ้งในเรื่องนี้ครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...