เมื่อลูกของข้าพเจ้าได้พบยมบาลและได้ไปเที่ยวสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 12 สิงหาคม 2014.

  1. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    ทีนี้ในส่วนของการดับเวทนา ตามที่คุณบอกว่า เอาเวทนาสุขมาดับเวทนาทุกข์ อันนี้ขอบอกว่าคุณดับที่ปลายเหตุไปแล้วครับ เพราะแค่ถ้าคุณแยกสติดูกายดูจิตเมื่อใด มันก็เหมือนแยกออกจากการร่วมปรุงในทันที การที่เวทนาทุกข์มันเกิดมาได้ เพราะคุณเผลอเอาสติร่วมปรุงไปแล้วครับ อยากหยุดก็แค่คุณแยกสติออกมาดูกายดูจิต เวทนามันจะลดฮวบ เกือบหมดเองครับ เหลือก็แต่นิดเดียวเองครับ
     
  2. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    เวลาที่คุณโกรธ ก็เช่นกันครับ แค่คุณฝึกแยกสติออกดูกายดูจิต คุณก็ไม่ได้ร่วมโกรธในทันที แต่คุณจะรับรู้คลื่นความร้อนแทนว่า อ๋อ โกรธ มันมีความร้อนแบบนี้นี่เอง ก็ดูจนความร้อนหายไปนั่นแหล่ะครับ
     
  3. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    ตามที่ฟังมา คุณขาดการฝึกโดยต่อเนื่อง หรือเรียกอีกอย่างว่า คุณไม่รักษาสภาวะอารมณ์ให้ได้ตลอดเวลานั่นเองครับ เรียกว่าฝึกไม่ต่อเนื่อง มันเลยยังขาดวสีในการเข้าถึงความสงบ
    คุณต้องฝึกได้ทุกเวลานะครับ มันถึงจะแยกสติดูเมื่อไหร่ก็ได้ครับ มันถึงจะเรียกว่าไม่เผลอสติไงครับ
    แบบว่าเกิดอารมณ์ปุ๊บสติรู้ทันแล้วแยกสติออกมาดูจิตหรือดูอารมณ์ หรือดูความคิดได้เลยครับ
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณ ครับ ที่เมตตากรุณาแนะนำให้แก่ข้าพเจ้า

    แต่ข้าพเจ้าต้องขอเสียมารยาทที่จะไม่แนะนำตัวนะครับ ขอมีเพียงชื่อเดียว คือ Supop
    คุณนิวรณ์เอง ก็เคยเมตตาสอนข้าพเจ้ามาแต่เริ่มแรกเช่นกันครับ

    สิ่งที่คุณเรียก สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียก เป็นเพียงคำที่สมมติขึ้นมาเพื่อจะเปรียบเทียบอาการของสภาวะที่เรารู้ที่เราเห็น เพื่อจะใช้ตรวจสอบว่าตรงกับคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไม่ แล้วกับผู้อื่นเขาจะสมมติสิ่งๆนั้นตรงกับเราหรือเปล่า นี่เองจึงทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้เข้าไปคุยกับใครในรายละเอียดเหล่านี้เท่าไหร่ มันจะทำให้เราฟุ้งกันไปเรื่อย เพราะต้องมานั่งเปรียบนั่งเทียบอาการกันอีก ข้าพเจ้าจึงเน้นเฉพาะการคุยไปเรื่อยๆ ที่ไม่เน้นในรายละเอียดที่หาคำเปรียบเพื่อให้คนอื่นเข้าใจเหมือนเราได้ยาก เพียงเท่านั้นครับ

    แต่จากการแนะนำนี้ คุณเองก็มีส่วนให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า มาทางเดียวกัน เห็นเหมือนกัน ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้ครับ และข้าพเจ้าก็จะยังทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆครับ ตามความตั้งใจที่มีอยู่เดิม และตามคำแนะนำของคุณนะครับ ตอนนี้ข้าพเจ้าขาดความต่อเนื่องอย่างที่คุณกล่าวไว้จริงๆครับ สิ่งที่รู้จึงยังกระพร่องกระแพร่งอยู่ เพราะขาดความเอาจริง ตอนนี้ข้าพเจ้าเลยปรับตัวใหม่ และจะเอาจริงเสียที จริงๆก็เริ่มมาได้สักพักแล้วหล่ะครับ ขอบคุณมากครับ

    การทำในสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเราเป็นผู้ทำอยู่ มุ่งมั่นอยู่ เราจะรู้ได้เองว่า ที่ทำอยู่ มันยังไม่สิ้นสุด มันยังมีต่อไปอีก เรายังต้องทำต่อไปอีก ดังที่มีคำกล่าวไว้สำหรับผู้ที่จบกิจแล้วรู้ตัวว่าจบแล้ว ว่า กิจของเราจบแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งกว่าไม่มีอีกแล้ว
    ไม่ทราบว่า คุณและท่านอื่นๆ รู้สึกถึงสิ่งนี้หรือไม่ครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ่นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2014
  5. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    ดีครับที่คุณเป็นคนไม่ถือตัวถือตน ซึ่งที่ผมเล่าบอกเพราะผมผ่านมาแล้วครับเส้นทางสายนี้
    ก็จริงตามที่คุณพูดนั่นแหละครับ เข้าใจตรงกันแต่พูดคนละภาษามันก็จะกลายเป็นขัดแย้งกัน

    ดีแล้วครับ เอาตามที่คุณเข้าใจนั่นแหล่ะครับถูกที่สุดของคุณแล้ว
     
  6. wlotuss

    wlotuss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +184
    กิจของเราทำจบแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งกว่าสำหรับตัวเราไม่มีอีกแล้ว อันนี้พูดในฐานะเพื่อชำระอวิชชาที่มีในตนครับ

    แต่ถ้าพูดในฐานะที่จบกิจจริงเหมือนพระพุทธเจ้า ท่านจะพูดว่าเมื่อหมดซึ่งประโยชน์ตน ก็จะเหลือแต่ประโยชน์ท่านอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่ที่ เมตตาธรรมของท่านว่าจะยังประโยชน์เพื่อผู้อื่นหรือไม่

    นั่นเองครับ ดังนั้นการที่จะทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ การบรรลุธรรมจึงต้องอาศัยผู้ชี้ ผู้ชี้ที่มีเมตตาธรรมต่อเรา จนเราจบกิจแห่งตน เมื่อจบกิจแห่งตนเพราะมีผู้เมตตามาชี้ เราถึงจะเข้าใจในคุณค่าจองผู้อื่น แล้วเราถึงจะเกิดเมตตาธรรมช่วยเหลือคนอื่นต่อไปได้ครับ

    หลักการมันมีดังนี้แหล่ะครับ
     
  7. zaff

    zaff Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2014
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +56

    ว่ะ ฮ่ะ ฮ่ะๆๆๆ ดีทีเดียวเชียว ที่เจ้าของกระทู้ยังไม่ได้ปลีกวิเวก ออกจากกระทู้ไปเป็นการชั่วคราว เหมือนคนอื่นๆ เขา ทำให้ผมพอจะมีคนคุยด้วยบ้าง และไม่จำเป็นต้องกล่าวขอโทษกัน เพราะว่าคุณ Supop ไม่ได้ทำอะไรผิด ต้องขอขอบคุณที่ได้ตอบให้ทราบ พอจะทราบแนวของเจ้าของกระทู้แล้วว่าเป็นยังงัย ดีแล้วครับ ที่จะมุ่งตัดทางตรงไปเลย เพราะว่าเวลาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้วนี่ครับ

    ในบางเรื่อง เช่นเรื่องการตามดูเวทนา ถ้าทำอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากเรื่อง ก็ต้องตั้งสติติดตามดูความรู้สึกรสของผัสสะ ที่เรียกว่าเวทนาให้ครบถ้วนทั้ง 3 อาการ คือ สุข ทุกข์ และไม่ทุกข์ไม่สุข จากนั้นให้รู้ทันทุกอาการ คือเวทนาที่เกิดจากกามคุณก็รู้ทัน และแม้แต่เวทนาที่ไม่ได้เกิดจากกามคุณ ก็สามารถรู้ทันได้ด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมองให้เห็นความเป็นธรรมดาสามัญของเวทนา คือความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จนเกิดความเข้าใจในเวทนาและไม่ยึดติดกับสิ่งที่เข้ามากระทบกับจิตใจในเวลานั้นๆ


    ด้วยกาล เทศะ แล้ว บางอย่างจะหนักเกินไปไหม? ถ้าวางได้ มันจะเบาขึ้นไหม? จะได้ไม่ต้องคอยสรรค์หา นู่น นี่ นั่น ที่เป็นของตรงกันข้าม มาคอยคานกันไปมา กล่าวว่ามันก็หนัก ก็เพราะว่าอาจทำให้เกิดอันตรายอย่างที่คุณว่ามานั่นล่ะ

    ในการออกมายืนดูสิ่งที่ไหลไปกับน้ำก็เข้าที ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเรายอมที่จะเคลื่อนที่คู่ขนานไปกับน้ำ แต่เราทำตัวให้อยู่เหนือน้ำ ไม่ยอมไปเป็นพวกเดียวกับสิ่งที่ไหลไปตามน้ำ หรือว่าไปเป็นพวกเดียวกับมวลของน้ำนั่น แล้วดูเสียให้เข้าใจในความเป็นสามัญธรรมดา อย่างนี้ เป็นงัยบ้างครับ? เคยทำบ้างไหมครับ?

    ท้ายสุด สุดท้าย เรื่องการแยกธาตุ แยกขันธ์ โดยอาศัยการพิจารณาธาตุเป็นที่ตั้ง แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ เพื่อให้เกิดการรู้แจ้ง แทงตลอดในมรรคมีองค์แปด และละวางสังโยชน์ 10 ที่จะนำไปสู่การอยู่เหนือโลก ตรงนี้น่าสนใจ หากมีเวลา รบกวน คุณ Supop ช่วยเล่าให้ฟังสักที ก็จะดีมั่กๆๆๆ ครับ
     
  8. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ
    เมื่อพิจารณาเห็นถึงกิเลสอย่างหยาบ เช่นความโกรธ เมื่อสังเกตอาการทางกายจะเป็นร้อน มีความแน่นเหมือนคลื่นลมแปรปรวน มีความอื้ออึงในหัว หายใจแรง เมื่อสังเกตสภาวะที่จิตแสดงออกมาหรือที่เรารับรู้ได้ จิตจะมีความร้อนแผ่ออกมา มีการพองใหญ่ มีความอึดอัด มีความรุนแรง และเราจะสังเกตเห็นการยึดในตัวตนและเป็นวิญญาณอาฆาตอย่างชัดเจน โดยมีความแปรปรวนทาง รูปบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง

    การยึดติดหรือติดเพลินนั้น พอเทียบได้กับสิ่งที่เราสังเกตได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นประจำ โดยรู้ตัวก็ดีไม่รู้ตัวก็ดี ตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี เช่น คนที่ชอบแทะเล็บ แทะไปแทะมาจนเพลิน พอคิดได้ว่าจะทำสิ่งอื่นก็หยุดไม่ได้ ต้องรวบรวมกำลังสติเพื่อจะหยุดแทะเล็บได้ อย่างนี้คงพอเข้าใจ

    เรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โปรดพิจารณาตามคำสอนเถิด อยากรู้ในรูปพิจารณาในรูป อยากรู้ในเวทนาพิจารณาในเวทนา อยากรู้ในสัญญาพิจารณาในสัญญา อยากรู้ในสังขารพิจารณาในสังขาร อยากรู้ในวิญญาณพิจารณาในวิญญาณ หรือเมื่อมีสติรู้ทันในขันธ์ใดก็ให้สังเกตพิจารณาในขันธ์นั้น เมื่อรู้ทันที่รูป หยุดรู้อยู่ที่รูปจะเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่อไปไหมอย่างไร เมื่อรู้ทันที่เวทนา หยุดรู้อยู่ที่เวทนาจะเกิด สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่อไปไหมอย่างไร เมื่อรู้ทันที่สัญญา หยุดรู้อยู่ที่สัญญา จะเกิด สังขาร วิญญาณ ต่อไปไหมอย่างไร หรือ เมื่อรู้ทันที่สัญญา ลองไล่ไปดู เวทนาใดทำให้เกิดสัญญานี้ รูปใดที่กระทบให้เกิดเวทนานี้ ลองพิจารณากลับไปกลับมา หรืออาจจะเกิดจากรูปกระทบก่อน หรืออาจจะเกิดจากเวทนาก่อน หรืออาจจะเกิดจากสัญญาก่อน โปรดพิจารณาตามสมควร ขออนุโมทนา

    ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้ว ดูอยู่เฉยบ้าง วิ่งเข้าไปหาบ้าง ถอยออกมาบ้าง เราก็จะรู้ชัดในสภาวะการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ชัดในการเกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่เอง ดับไปเอง รู้ชัดในการทำให้เกิดขึ้น ทำให้ตั้งอยู่ ทำให้ดับไป อันมีอริยมรรคเป็นบาทฐาน มีสัมมาทิษฐิเป็นเบื้องต้น จนถึงมีสัมมาสมาธิเป็นที่สุด เราจะแจ้งในสัจธรรมอันสมควรแก่เราเอง นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าทำมา และทำอยู่ และจะทำต่อไป

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  9. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    ที่คุณกล่าวเล่าแสดงว่าคุณเห็น
    ที่มันเป็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปรู้ทันนั่น
    แค่การมีสติบอกให้รู้อยู่ใครอยู่มัน
    ไม่จำเป็นจะต้องหยุดที่ขั้นตอนอะไร

    แค่คุณรู้ทันทุกขั้นตอนคุณถึงเห็น
    ที่มันเป็นแต่เริ่มต้นจนดับนั่น
    ให้ดูให้รู้อย่าเข้าไปขัดมัน
    ดูอย่างนั้นจะเกิดปัญญาขึ่นมาเอง

    อย่าเข้าไปก้าวก่ายอย่างเด็ดขาด ให้ระวังตนในฐานะของผู้ดูให้ตลอด อย่าสนใจใฝ่รู้
    เพราะที่ดูมันรู้อยู่แล้ว แค่ยังไม่ลึกพอ
     
  10. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    จากความโกรธมีประโยชน์เหมือนกันนี่
    ดูดีดีทุกสิ่งอย่างเหมือนความโกรธนั่น
    อยู่ที่ว่าตัวเราฝึกรู้ทันหรือไม่ทัน
    ทุกอย่างนั้น อารมณ์ ความคิด ถ้าดูไม่ผิดมันมีการแสดงตนเหมือนกัน
    แค่ละเอียดกว่า หรือชัดเจนไม่ชัดเจนอยู่ที่สติคุณ
     
  11. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    อ่านข้อความจบขอแนะนำไม่ต้องคิด
    ปัสสนาของจิตมันเดินเองอย่าคิดหลง
    เมื่อคุณสงบถึงเข้าใจโพสที่ลง
    ฝึดดูต่อเมื่อไม่หลงจะรู้เอง
     
  12. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    การยึดติดหรือติดเพลินนั้นเขาเรียกว่าหลงหรือเผลอ
    ลืมพะวงสติมั่นว่าดูเห็น
    พอรู้ตัวทันเขาเรียกว่าไม่ได้เข้าไปเป็น
    ถ้าดูเห็นก็คือไม่ได้ร่วมในทันที
     
  13. bornstut

    bornstut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +217
    การรู้ตัวเขาเรียกว่าฝึกสติ
    แบบนี้สิถึงถูกต้องสติปัฏฐานนั่น
    ฝึกรู้ตัวเพื่อไม่หลงไปกับความคืดหรืออารมณ์มัน
    รู้ตัวทันคือไม่ร่วมเข้าไปปรุงแต่งไง

    ที่ปรุงแต่งอยากให้ดูลึกๆใครปรุงแต่ง
    เรารู้ทันเราแยกออกมาดูเราเกี่ยวใหม
    เมื่อแยกออกให้ดูต่อใครปรุงแต่งยังไง
    ดูต่อไปจนเห็นผู้ปรุงแต่งจะ สวดยวด เลย
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆๆๆ

    น้าจรคร้าบ Mod ยังไม่แบน เหรอคร้าบ ร่ำกลอนอยู่หลายวัน ทนมะไหวอะดิ

    ....

    คนอื่นเขา ธรรมานุปัสสนา+มหาสติปัฏฐาน เกือบลงรอยเดียวกันกับ พระสูตร อยู่แว้ว
    พระสูตรเกือบกระจ่างใส อีกครั้งหนึ่งอยู่แล้ว น้าจร กลับไปสารวน วุ่นวาย การมีสติ
    เข้าระลึก ระงับ ไล่งับ ไปวุ่นวาย ธรรมฐีติ ตั้งตรงไหน ดับตรงนั้น จนเละเทะไปหมด

    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    ฮิวววววววววส์
     
  15. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคุณ bornstut(หรือคุณ ขจร) และ คุณ นิวรณ์ ด้วยครับ

    ข้าพเจ้าขออนุญาติกล่าวสิ่งหนึ่ง

    อันทุกดวงจิตนั้น ต่างก็มีความต้องการพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น และความต้องการเหล่านั้นก็มีกันมานานแล้ว แต่ไม่รู้วิธีที่จะออกจากทุกข์ หรือเมื่อรู้แล้วก็ทำบ้างไม่ทำบ้างด้วยยังหลงอยู่ในกิเลส จึงยังวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ แต่ละภพชาติที่เกิดมาเราก็เสพและยึดเอาสิ่งที่ชอบสิ่งที่ทำประจำในแต่ละภพนั้นมา จนทำให้ลืมความอยากพ้นทุกข์ไปบ้าง ลืมความตั้งใจที่จะทำไปบ้าง เมื่อระลึกได้ว่าเราควรจะทำสิ่งใด กว่าจะทำได้สำเร็จก็อาจจะหมดไปอีกชาติหนึ่ง เพราะกิเลสที่สะสมมาหลายชาติกว่าจะขัดเกลากันได้ กว่าจะลงตัวในสถานะได้
    เปรียบเหมือนกับ คนไทยที่อยู่ประเทศไทยมาแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ได้ย้ายไปอยู่อังกฤษ ทีนี้ไปอยู่อังกฤษนานกว่าที่อยู่ประเทศไทยเสียแล้ว และบางคนมัวแต่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยที่ไม่ได้เจอคนไทยเลย เลยไม่ได้ทบทวนภาษาบ้านเกิดตัวเอง ชักจะหลงจะลืมภาษาไทยเสียแล้ว บางคนได้พบปะพูดคุยกับคนไทยอยู่บ้าง หรือมีการทบทวนภาษาบ้านเกิดตัวเองอยู่บ้าง เมื่อแก่ชรา เริ่มหลงๆลืมๆ บางครั้งก็หวนนึกถึงบ้านเกิดตัวเองบ้าง จำภาษาไทยขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็เป็นแบบหลงๆลืมๆ ถ้าถ้ามีจิตยึดมั่นอยู่ที่บ้านเกิดและมีกำลังพอก็อาจจะกลับมาตายที่บ้านเกิดของตน บางคนจำอะไรไม่ได้นึกแต่ว่าตนเองเป็นคนสัญชาติอังกฤษไปเสีย เลยตายอยู่ที่อังกฤษ

    การจะพ้นจากทุกข์ได้จริงจึงอยู่ที่เราเพียงเท่านั้น เมื่อได้รู้หนทางที่ถูกต้องแล้ว เราจะทำหรือไม่ เราจะยังมัวหวังว่าจะมีใครคอยช่วยเหลือเราอยู่หรือเปล่า เรายังมัวคิดว่าเราคงยังมีกำลังไม่พอจะทำแน่ เรายังอยากช่วยเหลือคนอื่นอยู่อีก อย่างนั้นเรายังไม่พ้นแน่นอน เมื่อเราตั้งใจที่จะเอาแน่ เอาจริงแล้ว เราจะต้องออกจากโลก เราต้องเอาเลย มัวรออยู่ก็กลับไปวนเหมือนเดิม ทำอยู่กับโลกก็เป็นได้แค่คนดีของโลกเพียงแค่นั้น แต่ไม่พ้นไปจากโลก
    ตามที่กล่าว ขอให้ท่านระลึกไว้ว่า ถ้าท่านยังรอความช่วยเหลือ ยังคิดว่าเอาไว้ก่อน ยังคิดว่ามีสิ่งที่ต้องทำอีก ท่านก็จะยังคงวนอยู่ในกองทุกข์ต่อไป จนกว่าจะระลึกได้อีกว่าท่านต้องการจะพ้นทุกข์

    ข้าพเจ้าเข้าใจลึกเข้าไปอีกครั้งหนึ่งแล้วในสิ่งที่ครูบาอาจารย์เคยบอกกับข้าพเจ้าครั้งหนึ่งว่า "อยากพ้นทุกข์หรือ แล้วจะเอาจริงหรือยังหล่ะ"

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  16. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขออนุญาตเล่าต่อ เมื่อคืนลูกของข้าพเจ้าได้มาเล่าให้ฟัง ว่า

    ช่วงนี้เขาอยากจะบวช จิตใจกระวนกระวายระหว่างทางโลกกับทางธรรม ใจนึงเบื่อโลกใจนึงก็ติดโลก แต่ความอยากบวชมันมีมากขึ้นมาเรื่อยๆ
    แล้วใน วันนั้นระหว่างที่เขานั่งสมาธิ ก็มีบางสิ่งมาสอนเขาว่า

    การบวชเพื่อเข้าครองสมณะเพศนั้น ให้ใตร่ตรองให้ดี เราต้องเบื่อโลก เบื่อการเกิด การตาย เบื่อความทุกข์ เบื่อภพชาติ แล้วจริงๆ ไม่ใช่บวชเพราะชื่อเสียงเกีรติยศ ไม่ใช่บวชเพราะไม่อยากทำงานแต่มีเงินใช้สบายๆ ไม่ใช่บวชเพื่อหนีปัญหา ไม่ใช่บวชเพราะต้องการหนีทุกข์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว พอหายทุกข์ก็สึกกลับมาหาโลกต่อ มันจะมีผลกรรมแก่ตนเอง คือความโลเลความไม่แน่นอนในใจ และถ้าบวชโดยไม่ใช่ความต้องการพ้นทุกข์โดยแท้จริงแล้ว มักจะเผลอกระทำผิดในระหว่างที่ครองสมณะเพศ จนเป็นผลกรรมติดตัวออกมา

    เมื่อครั้งอดีตที่ศาสนาพุทธก่อกำเนิดขึ้น โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศธรรมนั้น ผู้ที่เข้ามาบวชเพื่ออยู่ภายใต้ร่มเงาของพุทธศาสนา ล้วนมาด้วยศรัทธาที่แรงกล้า มาด้วยใจที่ต้องการพ้นทุกข์โดยแท้จริง การปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสก็เข้มข้นจริงจังกว่ายุคสมัยนี้มาก ในสมัยนั้นจึงมีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมากกว่าในปัจจุบัน

    ปัจจุบันนี้ ถือครองในสมณะเพศกันอย่างหละหลวม เหลวไหล ไม่มีความตั้งใจที่จะพ้นจากทุกข์จริงๆ เราจึงเห็นผู้ที่ครองผ้าเหลืองเพียงกายเป็นจำนวนมาก ศีล ข้อวัตร หลักปฏิบัติที่มีไว้ เราก็ต้องจริงจัง และพิจารณาจนเข้าใจใน ศีล ข้อวัตร ปฏิบัตินั้นๆ ว่าท่านกำหนดขึ้นมาเพื่ออะไร เราจึงจะปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ไม่ปฏิบัติผิดกฏเพียงเพราะกลัวว่าจะทำผิดศีลเพียงแค่นั้น ผู้ถือครองสมณะเพศในปัจจุบันไม่มีความเข้าใจในเรื่องของ ศีล เรื่องกฏ เรื่องข้อวัตรปฏิบัติกันมาก เราต้องไตร่ตรอง เราต้องพิจารณาโดยรอบคอบและละเอียดลึกซึ้งในธรรม ในฐานะของสมณะเพศ

    เมื่อฟังลูกของข้าพเจ้าพูดจบ ข้าพเจ้าจึงนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง

    เมื่อการบวชครั้งล่าสุดที่ข้าพเจ้าพึ่งสึกออกมา ตอนแรกนั้นข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะบวชตลอดชีวิต โดยมีความเป็นห่วงมารดาอยู่บ้าง แต่ก็มีพี่น้องอีก 2 คน ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเขาคงจะดูแลกันได้
    ในคืนหนึ่งก่อนบวชไม่กี่วัน. ข้าพเจ้าฝันว่า ข้าพเจ้ากำลังเข้าพิธีบวชอยู่ในโบสถ์ ในขณะที่พระอุปัชฌาย์ มาถึงท่านก็บอกว่า พระประธานไม่มี เราบวชให้ไม่ได้หรอก เลื่อนออกไปก่อนแล้วกัน ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็หันไปทางที่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ จริงๆด้วย พระประธานองค์ใหญ่ไม่มี พระประธานหายไปไหน ข้าพเจ้าหันมาทางพระอุปัชฌาย์ ท่านเดินออกจากโบสถ์ไปแล้ว แล้วข้าพเจ้าก็ร้องโวยวายว่า ทำไมถึงไม่ให้ข้าพเจ้าบวชในเมื่อข้าพเจ้าอยากบวช. จนข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา
    แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิจารณาในความหมายของนิมิตฝันนั้น จึงไม่เข้าใจ แล้วก็เลยไม่ได้สนใจอะไร เพราะใจของข้าพเจ้านั้นต้องการจะบวช
    แล้วข้าพเจ้าก็ได้บวชดังตั้งใจ. แต่เป็นการบวชที่ทุลักทุเลและติดขัดในหลายๆด้านอย่างมาก. แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจอะไร เมื่อบวชมาแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้คิดไว้ ตั้งใจไว้ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันไม่ค่อยสงบ แถมมารดาของข้าพเจ้าก็ไม่มีใครมาดูแลอย่างที่คิดไว้ ลูกก็จะสึกออกจากเณรที่บวชมาถึง 2 พรรษา ผ้าเหลืองของข้าพเจ้าชักร้อน. สุดท้ายจึงได้สึกมาเพื่อดูแลมารดาและลูก ต่อมาข้าพเจ้าเกิดระลึกหวนไปถึงความฝันนั้นและจึงได้เข้าใจในคำเตือนนั้น

    และตอนนี้ลูกของข้าพเจ้าก็กำลังได้รับคำเตือนนั้นเช่นกัน

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2015
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มีอานิสงค์ของอานาปานสติข้อหนึ่ง. หากประกอบให้มากๆได้ซึ่งอานาปานสติ

    ความหวังที่จะสละเรือน. ออกบวช. ถึงจะสามารถทำได้. ถ้าฝึกอานาปานสติไม่ได้
    สละ. ตัวอารมณ์. สลัดคืนจิตไม่เปน

    การเบื่อนั้น. จะเปนอารมณ์ส่งออกของ. กรรมฐานอื่น. ที่ฝึกผิด. ฝึกเปนมิจฉาสมาธิอยู่

    หรือถ้ากล้าพอ. มีปัญญากล้าพอ. ลองแย๊บถามไปเลย. เห็นเวทนากล้า. ที่ปักแน่นทุก
    ครั้งที่ออกจากสมาธิหรือเปล่า. มีความยินดีในสมาธิ. ผลสมาธิที่ฝึกอยู่ใช่ไหม

    ถ้าเยาทำหน้า. งง ไม่ตอบ. อันนี้ติดชัวร. แต่ไม่ต้องรอคำตอบ ให้เปลี่ยนเรื่องพูดไปเลย

    ถ้าเขาทำหน้า. เหมือนรื้อค้นจิต. ก้. หมั่นถามบ่อยๆ. เราจะหลอกให้ยกวิปัสสนาได้
    เขาติบอะไรมา. เราก้อือ ออ. ไม่ต้องแก้. เดี๋ยวเขาจะทราบ. อินทรียในการบวชเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2015
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สำหรับขุ่นพ่อขา. ก็ลองทบทวนใหม่. คล้ายๆกัน

    อานาปานสติ. พระประทาน. กรรมฐานที่อยู่ในภูมิจิตมนุษย์ตลอดสาย. ฝึกเปนยัง

    หรือเอาแต่. ระลึกปั๊ป. ไปโน้น. ฌาณ แฌณ. (พระประทานหาย)
     
  19. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณในคำแนะนำของคุณ นิวรณ์ ครับ

    เรื่องลูกของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเองก็เห็นอยู่ครับ ว่าเขาติดในรสสมาธิติดในเรื่องของฤทธิ์อยู่ แต่ความต้องการในใจลึกๆของเขานั้นก็มีความไม่อยากเกิดอยู่ด้วย เขามีความต้องการไม่อยากเกิดมานานแล้ว(น่าจะตั้งแต่ประมาณอายุ 10 ปีได้) และดูเหมือนว่าเค้าต้องการหาความจริงอะไรบางอย่างอีก ข้าพเจ้าเองก็คอยบอกเขาอยู่เสมอว่าควรค้นหาด้วยตัวเองในความหมายเหล่านั้น แต่เนื่องด้วยที่เขาไม่ได้อยู่กับข้าพเจ้า มีแต่โทรคุยกันนานๆครั้งเขาถึงจะมีโอกาสมาหาข้าพเจ้าสักที และที่เขาอยู่กับทางแม่ของเขานั้น เขาก็มีภาระต้องเลี้ยงดูน้องเล็กๆถึง 3-4 คน ข้าพเจ้าจึงทำได้เพียงแต่คอยบอกเขาเท่านั้น.

    ส่วนเรื่องของข้าพเจ้านั้น. เมื่อก่อนข้าพเจ้าเน้นเอาแต่กำลังสมาธิและเรื่องฤทธิ์ ตอนบวชก็สนใจหาฝึกแต่เรื่องฤทธิ์อีก แต่พอสึกออกมาและเจอเรื่องราวต่างๆอีกมากมายหลังจากสึกออกมา การทำให้ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติ เมื่อนั้นเองข้าพเจ้าจึงเข้าใจในนิมิตฝันเมื่อก่อนบวช ว่าข้าพเจ้าได้ผิดพลาดอะไรไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าสนใจแต่เปลีอกแต่ไม่ได้มุ่งค้นหาที่แก่นของธรรม ข้าพเจ้าสนใจแต่อวิชชาไม่ได้สนใจวิชชา จิตใจของข้าพเจ้าไม่ได้ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพียงพอ ทั้งหลายนั่นคือความผิดพลาดของข้าพเจ้า จนทำให้มีผลกรรมติดตัวออกมาต้องแก้ไขอยู่นาน แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้เข้าใจเสียแล้ว.

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2015
  20. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขออนุญาตเล่าต่อครับ

    เมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว ลูกชายของข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็พาเขาปฏิบัติธรรมทุกวัน ก็ทำกันไป เรียนรู้กันไป

    เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดบางอย่างกับลูกข้าพเจ้า

    เขาวางปิติได้

    เมื่อเขานั่งสมาธิในครั้งหนึ่งเมื่อก่อน ตอนนั้นข้าพเจ้าเคยสอนเขาในเรื่องการดูจิต เราดูกันเอง แล้วเขาก็ติดอาการปิติสุขจากข้าพเจ้าไป แล้วไม่หาย ปฏิบัติธรรมทุกครั้งเขาก็จะมีปิติแบบนั้นทุกครั้ง จนวันนั้นเอง

    เขาได้เข้าสมาธิไปในระดับที่ลึกกว่าเดิม แล้วจิตมันพิจารณาในปิตินั้น จนกระทั่งเห็นเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระอะไร แล้วภายในของเขาเองก็เหมือนกับกล่าวออกมาเองว่า (คือเหมือนพิจารณาแล้วมันจะวางหน่ะครับ)

    ปิตินี้ไม่มีสาระอะไรให้เราต้องยึดติดเอาเสียเลย ปล่อยมันไปดีกว่า

    แล้วอาการปิตินั้นก็หายไป มีแต่ความสุขที่ละเอียดกว่าเข้ามาแทนที่ หลังจากนั้นอาการปิตินั้นก็ไม่เกิดขึ้นกับเขาอีกเลย

    ข้าพเจ้าก็รอดูการพัฒนาของเขาต่อไป

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...