เรื่องนี้น่าเชื่อแค่ไหน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 11 มีนาคม 2012.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    การทำสมถะ ต้องมีสิ่งให้จิต เกาะ และต่อเนื่อง เช่นการนั่งพิจารณะอสุภะ
    การกำหนดภาพ การดูลมหายใจ หรือการ บริกรรม

    หากเรานั่งโดยไม่มีอะไร ให้จิตเกาะ พอทำเรื่อยๆ จิตมันจะหดหู่ เลื่อนลอย
    และ จำอะไร ไม่ค่อยได้ จะเป็นแบบนี้สักระยะนึง แบบนี้เขาเรียกการตั้งต้นผิด
    แม้เราจะทำทุกอย่าง แต่สติเราเอาจิตเกาะไม่ต่อเนื่อง ก็เป็นเหมือนกัน

     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ในตอนที่ฝันกลางวันอยู่ 6 วัน นะ มีอยู่วันหนึ่ง มันผุดขึ้นมาในใจให้เลือก ว่าจะเอากิริยาไหน

    จะพูด หรือ จะนิ่ง

    เราเลือก นิ่ง ซะงั้น แล้วก็ นิ่ง จนจบ จนหลับได้ พอตื่นมา เหมือนหนังคนละม้วนแล้ว
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ที่เข้ามาตอบกระทู้ เพราะเห็นการคุยเรื่องความรู้ที่ผุดขึ้นมา
    คนที่มาทางสายปัญญา จะให้เขาไปทำกายานุปัสสนา หรือเวทนานุปัสสนา บางทีก็แนบแน่นไม่เท่าการพิจารณาธรรม ซึ่งตรงนี้ต้องผ่านด่านการคิด การผุดรู้ การกำหนดรู้ ... หลายอย่าง...
    บางครั้งบางคราว จิตสงบก็ใช้กายใช้เวทนาเป็นฐานสติได้ เพราะถ้าจิตเขาไม่อยากคิด เขาก็สงบ.. แต่ถ้าอยากจะคิดขึ้นมา ก็ต้องเข้าไปกำหนดรู้สภาพจิตตามที่เขาเป็นไป



    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปราบเทวดา [​IMG]
    มอนิ่ง มอนิ่งครับ
    ถ้าเป็นนิมิตทางรูป จากอศุภะ มันก็ต่อเนื่อง(กระแสที่สืบทอด) ไม่ย้ายนิมิต นอกจากสมาธิไม่ถึงจริง(จึงไม่แนบแน่นพอ) ถ้าแนบแน่นมากจะมีแต่รู้ๆในนิมิตนั้น แม้นความพอใจไม่พอใจก็ไม่ปรากฏ ...เช่นกัน
    ตรงนี้ไม่จริงหรอกครับ หากผู้ที่มี สติรู้พร้อมอยู่ ย่อมเห็น ยินดี ยินร้ายปรากฎ
    แทบไม่ขาดสาย แต่ไม่หวั่นไหวในความยินดี ยินร้ายนั้น อันนี้จึงเรียกว่า เป็นการเดิน สัมมาสมาธิ เป็นการควบ สมถะวิปัสนา
    แต่หากจะเป็นการที่เจ่ปุณฑ์กล่าวตามสีน้ำเงิน
    ผู้ที่ตั้งรูปนิมิตร แต่ไม่เห็นความยินดียินร้าย อันนี้คือผู้ทำฌานเข้าไปในความแนบแน่น เป็นฌานของฤษี แต่หากผู้ใดทำได้ก็ทำไปก่อนในเบื้องต้น
    จะต่างจากผู้ที่มีสติรู้พร้อม ในฌานในอริยะมรรค
    ...
    ฌานของฤาษี ก็คงอีกกรณี แต่เป็นเรื่องสมาธิเช่นกัน
    เพราะเป็นการนำสมาธินั้นมาเจริญวิปัสนา ในสัมมาสมาธิของผู้ที่มีกำลังฌานสูง ไม่ใช่พวกสมาธิสมังคีทีหลังหรือสุขวิปัสโก เขาก็มีสมาธิหนุนอยู่ โดยไม่ขาดสติ บางท่านแนบแน่นกับลมหายใจอยู่เวลาสมควรก่อนดับไป บางท่านแนบแน่นอยู่กับอสุภะนิมิตนั้นอยู่พอควรก่อนดับไป.. เรียกว่าได้เห็นกำลังของฌานในขั้นแยกรูปแยกนามด้วย ถ้ายังมียินดียินร้าย สมาธิจะตกลงมา แต่ถ้าตามรู้โดยไม่แทรกแซง ก็อาจโชคดีไม่พลาดวินาทีที่พละห้ากำลังจะเสมอกันได้ เพราะเจริญสติดีอยู่ (เห็นขันธ์ห้าดับลง)


    ฉะนั้นที่กล่าวมาตามสี น้ำเงิน เป็นการกล่าว ที่ไม่เคยสัมผัส
    ความรู้ที่ผุดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ และมีสติรู้พร้อมอยู่
    ..
    อันนี้ปัจจัตตัง จะมีเจโตหรือกล่าวหาก็ไม่ว่ากัน (เพราะเห็นทำบ่อยอยู่แล้ว)
    ปกติคนเรา มีจิตฟุ้งซ่านคิดเรื่องนี้ไปเรื่องนั้นไปเรื่องโน้น คนที่มีสมาธิย่อมแนบแน่นกับความคิดที่กำหนดอยู่ ซึ่งไม่ใช่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่เป็นความคิดเรื่องเดียว ถึงมีการฝึกสมถะเพื่อนำขึ้นวิปัสสนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว
    หากเจ่ปุณฑ์เข้าใจ ในความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดแต่มีสติรู้อยู่พร้อม
    มันไม่ขัดกันหรอกครับ แต่เจ่ปุณฑ์ไม่เข้าใจตั่งหาก
    ผมก็ยืนยันการกล่าวไม่ใช่เอาเจโตไปรู้ไปดูหรอก
    แต่เทียบเคียงให้เห็นความต่างจากที่ผมเห็นในการปฏิบัติ
    ..
    ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ถึงจะถูกถึงไม่ขัดหรือ การผุดรู้อย่างไม่ตั้งใจ คิดว่ามันไม่เคยมีความตั้งใจมาก่อนจริงๆหรือ
    ..เห็นน้าปราบ มาตั้งกระทู้สัญญาการเจริญอศุภนิมิตไปสู่วิปัสสนา นิมิตมีทั้งกำหนดขึ้นหากจิตมีกำลังถึงสภาวธรรมนั้นๆเขาก็จะดำเนินเอง ..และสามารถเกิดขึ้นเมื่อจิตถึงสภาวธรรมนั้น ตามกำลัง


    จะอธิบายตรงนี้
    ปกติคนเรา มีจิตฟุ้งซ่านคิดเรื่องนี้ไปเรื่องนั้นไปเรื่องโน้น คนที่มีสมาธิย่อมแนบแน่นกับความคิดที่กำหนดอยู่ ซึ่งไม่ใช่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่เป็นความคิดเรื่องเดียว ถึงมีการฝึกสมถะเพื่อนำขึ้นวิปัสสนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว
    อันนี้ก็กล่าวถูกต้อง แต่มาดูตรงที่ผมอธิบาย
    ตรงที่ มีความคิดหลายอย่างแต่มีสติรู้พร้อม ไม่ได้เรียกว่าความฟุ้งซ่าน
    ในขณะทำในรูปแบบ ที่ตั้งสมถะเป็นฐาน
    เมื่อเกิดสภาวะความคิดที่เกิดมาแบบผุดๆ จิตจะมีกำลังจากสมถะที่ตั้งไว้
    สติก็จะทำหน้าที่ระลึกในสิ่งที่ผุดออกมาโดยไม่ทำให้จิตหวั่นไหว
    ด้วยจิตมีกำลังจากสมถะในรูปแบบเป็นกำลัง
    ความคิดนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวแต่มีหลายอย่าง
    แต่จิตก็สงบนิ่งในความมีหลายอย่าง
    ยิ่งความคิดมา จิตยิ่งแจ่มใส มีปีติ มีสุข วนไปอยู่อย่างนี้
    ตามแต่กำลัง ที่ทำมาไว้เป็นฐานจะเอื้ออำนวย
    การเห็นในลักษณะนี้ จิตจะรู้เห็นแต่ สิ่งที่เกิด เกิดดับ
    เห็นแต่ สิ่งที่เกิดดับ เกิดดับ เป็นอารมณ์ นี่เกิดแล้วก็ดับ
    นี่เกิดแล้วก็ดับ นี่เกิดแล้วก็ดับ อยู่อย่างนี้
    จะแตกต่างจากการขึ้นสมถะตอนแรก
    ตอนที่จดจ่อในอารมณ์เดียวหรือ ทำให้อยู่ในความคิดอันเดียว
    ..
    สติ4 นี่มี กาย เวทนา จิต ธรรม
    ถ้ามีความคิดอะไรก็ปล่อย โดยเฉพาะความคิดที่ไม่มีประโยชน์ โดยจิตเกาะกับกาย ลมหายใจ ฯลฯ และก็มีความแนบแน่นอยู่กับกาย กายลม หรือเวทนาได้ ลักษณะนี้สติจะชัดอยู่ที่ฐานที่กำหนด ไม่ใช่คิดแต่เป็นรู้ในสิ่งที่กำหนดอยู่ กายลมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็มีสติรู้ชัดอยู่ หรือมีนิมิตรูป ก็รู้ชัดในสิ่งที่เห็น
    แต่บางกรรมฐาน การคิดจะเกิดแบบไม่ขาดสาย คนที่คิดนั่นนี่โน่นแบบนี้ไม่ใช่หรอก เพราะไม่มีกำลังสมาธิในการพิจารณาธรรมเรื่องที่ต้องการ แบบนี้จะเป็นการรู้ในคิด พวกจินตมยะปัญญา หรือภาวนารู้ในสิ่งที่คิด ก็รู้ในคิดนั้น นิมิตทางนาม เห็นกระแสที่สืบต่อของความคิด และการเปลี่ยนแปลงของความคิดที่ดำเนินการเข้าไปรู้ลึกขึ้นละเอียดขึ้นมีเหตุมีผลมาอย่างไรฯลฯ แต่หากมีการยึดมั่น ก็เกิดวิปัสสนูได้


    จะอธิบายตรงนี้อีกหน่อย
    จะหมายถึงว่า นิมิตทางนามนี่ไม่มี แต่เป็นเรื่องวิตกวิจารณ์ เรื่องความยินดียินร้ายใช่ไหม ถึงแนะนำให้ลองศึกษานิมิตทางนามดู ถ้ามียินดียินร้ายนี่ สมาธิยังไม่ตั้งมั่นพอ
    นิมิตรทางนาม มีหลายอย่างเช่น
    พุทโธ ที่เอามาเป็นคำบริกรรมก็เป็น นิมิตทางนาม
    หรือคำภาวนาที่เอามาขึ้นก็เรียกนิมิตทางนาม
    ความคิด ความรู้ที่ผุดขึ้นก็เรียกนิมิตทางนาม
    หรือเอาง่ายๆ หากยังมีรู้อยู่ที่ไหน ก็ยังมีนิมิตอยู่ที่นั่น
    หากจะบอกว่า มียินดี ยินร้าย สมาธิยังไม่ตั้งมั่นพอ
    ในเสต็บที่ทำฌานเข้าไปอัปนา มันจะกลบเพิกอารมณ์แม้กระทั้ง ยินดียินร้ายจนไปอยู่ในอารมณ์เดียว นี่ก็เรียกว่าทำให้จิตตั่งมั่น
    แต่ มันไปตั่งมั่นในอารมณ์เดียว ตรงนี้ หากเจ่ปุณฑ์ จะกล่าวว่า
    ถ้ามียินดี ยินร้ายนี่สมาธิยังไม่ตั่งมั่นพอ
    อันนี้ก็กล่าวถูกเพราะหมายเอาในอารมณ์เดียว (ฌานฤษี)
    แต่ สมาธิในสัมมาสมาธิ จะเห็น ยินดี ยินร้ายแต่จิตตั่งมั่นไม่หวั่นไหว มีสติรู้พร้อม นำยินดียินร้าย มาเป็นเครื่องรู้เครื่องระลึกของสติ
    ยินดี ยินร้าย มันจะซ้อนมาเรื่อยๆ ในระหว่าง ที่มีสติรู้พร้อมปั๊บ ดับปุ๊บ แล้วก็เกิดมาใหม่ เกิดดับ เกิดดับ เรื่อย ๆ ซ้อน มาแทบไม่ขาดสาย
    ..
    อันนี้อธิบายไปแล้ว เรื่องของสติ4
    ส่วนการกำหนดรู้ ผุดรู้ ไม่ใช่เรื่องความยินดียินร้าย ถ้ายังมีอารมณ์ยินดียินร้ายแทรกเข้ามา ก็จะวางอารมณ์นั้นดับไปเหมือนฐานอื่น หากสมาธิยังไม่ตั้งมั่น สติยังไม่แก่กล้า ย่อมมีความคิดปรุง ทั้งสงสัย แทรกเข้ามาได้
    คนที่เจริญสติสมาธิแก่กล้า แม้นในอิริยาบถย่อย บางครั้งความคิดจะเกิดแบบไม่ชัดเจนเป็นกลุ่มคล้ายหมอกความคิด ไม่ชัดเจนก็ดับไปทันที บางทีเป็นคลื่นซ่านไป คือพออายตนะกระทบสิ่งใด เช่นเห็นหน้าใครขณะเดินสวนกัน เขาจะเป็นคลื่นซ่านขึ้นมา เรียกว่าตัดขบวนการปรุงแต่งที่จะแตกกอออกไปไม่สิ้นสุด แต่หากเป็นการพิจารณาธรรม คนไม่เข้าใจ คิดอะไรก็พยามยามหยุดคิด เรียกว่าจะเป็นการปรุงแต่งซ้อนการปรุงไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ถามให้ชัด จะให้พี่หลงอธิบายตรงนี้ครับ
    พี่หลงกล่าวถึงการละนิมิต คลายความยึดมั่น ด้วยปัญญา
     
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    แบบนั้นเขาเรียกว่าสติอัตโมมัติได้ แต่เราไปเลือกมันเลยไม่อัตโนมัติเท่าไร
    อนุโลมได้ คือการสัมรวม ค่ะพี่ นับว่าน้อยคนจะเห็นในการสัมรวมแบบนี้
    พี่หลง ยังทำไม่ได้เลย หุหุหุ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310

    นี่แหละ ชัดเลย อาการแบบนี้แหละ

    แต่เป็น โลภะนำ โมหะเป็นประธาน(เพราะหลงขาดสติ แต่ดันรู้อีกนะ ว่าหลงอยู่)

    โทสะ ก็มีนะ แต่ไม่เด่น(เป็นตัวประกอบมีเป็นพักๆไม่ต่อเนื่อง) ไม่งั้นไม่ชวนสามีทะเลาะเล่น ไป 1 วัน

    รู้ตัวว่า กวนทีน เขาสุดๆ (แต่ละวัน มีเรื่องบ้าไม่ซ้ำกันเลย นะ 6 วันเนี่ย หุหุ)

    รู้ว่าชวนเขาทะเลาะ แต่ห้ามตัวเองไม่ได้ (โชดดีที่มีสามีฉลาดนะเนี่ยไม่เกิดโทสะมาร่วมทะเลาะกับเรา :'()

    จบเรื่อง สามีไม่โกรธซักแอะ อิฉัน ละงง เป็นคนอื่น คงจับอิฉันไปอยู่ศาลาแดง

    แล้วหาเมียใหม่แร้ว!!! แหะ แหะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    แก่หรือเปล่าเค คนแก่มันผ่านอะไรมามาก มันขี้เกียจคิดก็ได้นะ
    แบบว่า ก็เป็นอยู่ไง..
     
  8. paderm

    paderm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    จากหัวข้อกระทู้ได้กล่าวถึงเรือ่ง วิญญาณ ก็ควรเข้าใจ วิญญาณให้ถูกต้อง

    ตรงตามพระพุทธศาสนานะครับ

    ก่อนอื่น เราก็จะต้องเข้าใจธรรมทีละคำ อย่างถูกต้องก็จะเข้าใจประเด็นปัญหาทั้งหมด

    ครับ คำว่า วิญญาณ ผี และ สัมภเวสี

    คำว่า วิญญาณ

    วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่เข้าใจกัน

    แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณ

    คือ จิตนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือ

    จิตจึงมีหลายประเภทเช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน

    ดังนั้นเมื่อวิญญาณหรือจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น(จักขุ

    วิญญาณจิต) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี เป็นต้น

    วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่วิญญาณหมายถึง สภาพธรรมที

    เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ครับ

    ส่วนชีวิตหลังความตายนั้น โดยมากเข้าใจว่า ตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่

    จุติ คือจิตขณะสุดท้ายทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้นดับ ปฏิสนธิจิต คือ จิต

    ขณะแรกของชาติต่อไป ก็เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่าปฏิสนธินั้นเป็น

    ผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็น

    สัตว์นรกก็กล่าวว่าไม่เห็นผี แต่ถ้าเกิดในภูมิที่สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือ

    ขณะที่เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วปรากฏร่างเหมือน ที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็น

    ผี ความจริงเทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า

    หรือจะเรียกว่า ผีฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรตและอสุรกายเท่านั้น ดังนั้น ตายแล้ว

    เกิดทันที และยังเห็นบุคคลที่ตายอยู่ ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน แต่เกิดในภพภูมิที่เป็นเปรต

    หรือ อสุรกายก็ไ้ด้ครับ

    วิญญาณ หมายถึงอะไร และชีวิตหลังความตายมีสภาพเป็นอย่างไร
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอนนั้น มันไม่ได้ตั้งท่า มีอะไรมาก็ตามน้ำไป

    เหมือนคายพิษออกจากตัว มี่อะไรคั่งค้าง ก็ระบายหมดเปลือก แหะ แหะ

    มีแต่สงสารลูก ลูกมันพูดอยู่อย่างเดียว จะอยู่กับแม่ :'(

    ตอนนั้นคิดอย่างเดียว ตัวเองเดือดร้อนไม่เป็นไร ไม่อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์เพราะเรา
     
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    หากฝัน ต้องระวังอารมณ์ที่ติดมากับฝัน

    ต้องพิจารณา อะไรจริง อะไรฝัน ขณะนี้จริง ส่วนฝันเป็นอดีต ดับไปแล้ว

    ที่นึกถึงฝันขณะนี้จริงที่จิตอาลัย ยึดในความพอใจ ความคิด ความพอใจมีอยู่จริงขณะนี้ ส่วนฝันก็ไม่ใข่เรา มันดับไปแล้ว


    ก่อนตื่น จะมีอยู่ช่วงนึงคือรู้ตัวว่าตื่น แต่ยังไม่ลืมตา ขณะนั้นรู้สึกตัวแต่ยังไม่มีสติ

    ให้ใส่ใจไปเลยว่ารู้ตัวอยู่ ไม่คิด ไม่ยึดฝัน ความรู้สึก หรือนี่กายของเรา

    ลืมตามา ตากระทบแสง สติรู้ รูปทางตาเกิดแล้ว
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อืม น่าจะใช่ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ตอนเลือกเอานิ่ง ก็ไม่ได้คิดเอง

    สงสัย คนแก่มันเลือก เพราะมันขี้เกียจคิด ขี้เกียจทำ แหงมๆ :'(

    ตอนที่เป็นนั้นเหมือนเขาจะให้ รู้อย่างเดียว แต่เราดันต่อต้าน

    ไปดิ้นรน ไปคิดสวน ไปต่อเรื่องต่อราว บานตะไท มันเลยยาว

    นี่ถ้าทำเป็น แค่ รู้เฉยๆ ไม่ไปดิ้นรน ก็คงไม่ต้องมีเรื่อง ถึง 6 วัน หรอก

    นิวรณ์ฟุ้งซ่านเอาไปกิน พอรู้เฉยๆ ตอนท้าย มันเลยจบตอนให้ออกจากภวังค์ได้ :'(
     
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพี่ เพราะพี่ทำสติปัฏฐาน คือรู้ตัวทุกอริบท ใช่ไหม
    พอทำไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้ทันก่อนอริบท แต่ว่า พี่ขวัญไปคว้ามันซะก่อน
    เลยเกิดอาการโทสะ เคยเป็น แบบนี้ลองเดินจงกรมก็ได้
     
  13. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เมื่อคืน ผมตอบน้าปราบไปแล้ว อยู่ หน้า ๓ หน้า ๔

    เรื่องความรู้ผุดดุจสายน้ำ

    ว่าขณะนั้นหลงรู้ แต่เข้าใจว่าวางรู้ หรือ จะเข้าใจสิ่งที่รู้เป็นสิ่งที่ถูกรู้
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อนุโมทนาครับ ^^
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ถ้าต่อไปมีสติในวัน มันจะยากอีกนะ ใครที่เคยมีสติในฝันรู้สึกตัว
    ก็จะเริ่มเข้าใจในการเปลี่ยนอริบท
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    บางคิด ยิ่งคิด ยิ่งมีสติ รู้จักคิด
    บางคิด ยิ่งคิด ยิ่งเป็น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมิจฉาสมาธิไป ก็ได้

    เวลาโกรธใคร หรือหลงอะไร จิตมันรวมด้วยอารมณ์นั้นได้อยู่
    ต้องรักษาสติให้มาก สติจะช่วยให้รู้จักคิด ระลึกได้ในกุศลอกุศล

    น่าเสียดายเหมือนกัน
    ตอนนี้ตัวเองเป็นโรคขี้เกียจคิด....

    แต่เวลาเกิดอกุศล ก็พอทันอยู
    ก็ต้องพุทธานุสสติ ระลึกคุณในความมีเมตตากรุณาที่มีต่อสรรพสัตว์ของพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ ดึงจิตกลับมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยังไม่ถึงขั้น อาหลง ง่ะ

    แค่รู้ตัวว่าฝันอยู่ แต่มันไม่ยอมตื่นออกมาจากฝัน

    ตอนนั้นรู้อย่างเดียว ถ้าหลับได้ลึก ก็ตื่นแล้ว แต่ทำไม่ได้ มันไม่ยอมหลับ ไม่ยอมตัด

    ถ้าให้ประเมินตัวเองนะ คือ ออกรบ รู้ภาคสนามแล้ว แต่สอบตกต้องถอนสมอ ออกมาก่อน

    อินทรีย์ยังไม่พร้อม แต่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น เห็นจิตตัวเองวิปลาส

    ถอย มา ตั้งรับก่อน สะสมเสบียง สะสมสติปัญญา รอโอกาสครั้งต่อไป

    แต่ว่าตอนนั้น ไม่ได้เห็นผีนะ เห็นทุกอย่างเหมือนจริง จับต้องได้ แต่สับสนเรื่องวัน

    ต้องถามแฟนทุกวัน ว่าวันนี้วันอะไร วันที่เท่าไร

    แล้วก็เช็คบางสิ่งบางอย่างของเราว่ายังเพี้ยนอยู่ หรือเป็นปกติแล้ว
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาจจะเป็นยังงั้นก็ได้
    แต่พี่ขวัญ มีวิธีแก้ไข ของตัวเองแล้ว ถ้าเป็นแบบเดิม ก็ช่วยตัวเองได้แล้ว
    แต่ถ้ามาแบบใหม่ อันนี้ก็ต้องลองดูความจริงกันอีกที ว่าเป็นไง :'(

    เล่าให้ฟังหนุกๆ นะ ว่าเรื่องเหลือเชื่อของเรามันก็เป็นปัจจัตตังของเรา
    คนที่ไม่เคยเจออาการแบบเรา เล่าไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอก
    แต่คนที่เคยผ่านมาแล้ว ก็คงจะเข้าใจ :cool:
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สงสัย เค ว่างมาก เลยเอาไม้ไปแหย่ตูดเต่า เล่นๆ แต่เต่ามันดันออกมาจริงๆ
    เต่ามันออกมาเล่นด้วย ตั้ง 6 วัน :'( หายบ้าเลย แหะ แหะ
    ตอนนี้ไม่อยากยุ่งกับเต่าแล้ว ปล่อยมันตามสะดวก
    ระวังแต่ไม่ให้เต่ามันเดินออกนอกลู่นอกทาง เท่านั้น
     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ค่ะ ต่างคนก็มีวิธีแก้ของตัวเอง จึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องพึ่งครู ที่เรานับถือ
    เขาหาครู บ่อยๆ สนทนาธรรมกับท่าน สิ่งที่ได้รับคือ ความรู้และความปิติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...