เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    คนทั่วไป...คิดว่าตนเองกำลังตื่น หารู้ไม่ว่า...กำลังหลงละเมอเพ้อไปกับความฝัน

    เมื่อใจ...สลายรวมเข้ากับธรรมชาติ จึงรู้ว่าที่๋ผ่านมานั้น ตนเองฝันไป

    คนที่ตื่นจากฝัน แล้วพยายามพาผู้อื่นให้ตื่นตามนั้น น่าสรรเสริฐยิ่งนัก

    ขออนุโมทนา...ครับ
     
  2. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    อ่านแล้วแล้วได้ความรู้ และความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น

    บางเรื่องก็เหนือความคาดหมาย บางเรื่องก็สงสัยมานานแล้ว

    แต่หาคำตอบไม่ได้ ไม่ทราบจะถามใคร อ่านแล้วกระจ่างเลย

    ขออนุโมทนากับความตั้งใจเป็นอย่างสูงครับ

    สมแล้วกับ ความปรารถนาพุทธภูมิ

    ผมใจไม่ถึงขอแค่หลุดพ้นอย่างเดียว(เห็นแก่ตัว นิดๆ)

    กลัวการเวียนว่ายตายเกิด...อนุโมทนาครับ
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาน้องสมาปัญญาแวะมาเยี่ยมเยียนที่เขาค้อนะครับ
    ส้มโอของฝากรับแล้วด้วยความยินดี
    โอกาสหน้าถ้ามาพักผ่อนยินดีต้อนรับนะครับ
    แฟนพี่บอกทามไมไม่ชวนทานน้ำทของว่างด้วยล่ะ^^
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    แก่นแท้แห่งการอนุโมทนา

    ขอแทรกคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า...
    "เราไม่พักอยู่(บนโลก)เราไม่เพียรอยู่(สวรรค์สมบัติ์)...เราจึงก้าวข้ามโอฆะ"

    เสบียงบุญอย่างไรก็หมด มีสิ่งหนึ่งที่ไม่หมดคืออริยทรัพย์๗ ทรัพย์ที่ใครก็แย่งไม่ได้ มีแต่เจริญขึ้น

    ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ของพระอริยเจ้า มี ๗ ข้อคือ

    1. ๑. ศรัทธา ทรัพย์คือศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
    2. ๒. ศีล ทรัพย์คือศีล การสำรวมกายและวาจาให้เรียบร้อยไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น พร้อมทั้งตัวเอง
    3. ๓. หิริ ทรัพย์คือความละอายต่อบาป
    4. ๔. โอตตัปปะ ทรัพย์คือความเกรงกลัวต่อบาป
    5. ๕. พาหุสัจจะ ทรัพย์คือการได้ยินได้ฟังได้ศึกษาธรรมมามาก
    6. ๖. จาคะ ทรัพย์คือการสละ การให้
    7. ๗. ปัญญา ทรัพย์คือการมีปัญญารู้เท่าทันความจริงของสังขารทั้งปวง


    อนึ่งบุญแห่งการอนุโมทนานั้นขอให้ทำความเข้าใจว่าควร...
    โน้มเพื่อเข้าถึงจิต ถึงใจ

    เพื่อเข้าถึงความร่มเย็น ความสะอาด อันเนื่องมาจากคนๆนั้นได้มีศีล

    จิตคนนั้นสะอาดแท้ จิตคนนั้นประกอบด้วย
    พาหุสัจจะการได้ยินได้ฟังในธรรมและซาบซึ้งเข้าถึงจิตถึงใจ
    จาคะคือการให้การเสียสละ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่คับแคบ การที่เราโน้มเข้าไปนั้นก็เพื่อสภาวะธรรมชนิดหนึ่ง...

    คือการอนุโมทนาที่เข้าถึงจิตถึงใจ เพื่อจดจำสภาวะของศีล ความสะอาด การยกให้ การละอารมณ์ที่ไปยึด

    บุญจึงเป็นความสะอาดของคนๆหนึ่งที่ได้กระทำอันเนื่องมาจาก กาย วาจา ใจ ที่สะอาดพร้อม
    เราจึงโน้มไปถึงจิต ถึงใจผู้ที่ที่ได้ทำบุญ ทำทาน อันเป็นสิ่งสะอาดแล้วด้วยดี
    เราจะเห็นคนที่อนุโมทนาด้วยความเต็มใจเสมอๆ เราจะรับรู้ถึงจิตถึงใจของเค้าในเวลานั้น

    อีกอนุโมทนาคือเอาบุญไปฝากแล้วอนุโมทนาแบบขอไปที หรือเหมือนรับฝากคำพูด ตรงนี้ไม่ถึงจิตถึงใจ ได้แค่เปลือกอนุโมทนา
    กาย วาจา ใจ ไม่รับในบุญ ในทานนั้นๆ เพียงแค่คำพูดจึงได้แค่เปลือก...(เวลาที่เพื่อนๆ กดคริ๊ก อนุโมทนา ดูให้ทันนะ บุญแห่งการอนุโมทนานั้น ไม่ใช่การคริ๊ก การกดนะครับ)

    เวลาที่อ้องอนุโมทนา อ้องจะเห็นสภาวะของจิตชนิดหนึ่งที่เราจดจำได้ว่าเราระลึกได้บ่อยๆ
    เพราะเหตุจากเราอนุุโมทนาและเราโน้มเข้าถึงสภาวะนั้นๆ
    สภาวธรรมนั้นๆเป็นสิ่งที่อ้องไปสร้างขึ้นมาแม้จะเป็นอุปทานอันละเอียด
    แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ เพราะสมาธิต้องพึ่งการสละอารมณ์ ต้องพึ่งความสะอาดของจิต


    เมื่ออนุโมทนาบ่อยๆแม้การอนุโมทนาคราวต่อมาที่เริ่มชินกับสภาวะอันละเอียดของความสะอาด ร่มเย็น ผ่องใส
    เราก็จะเกิดปัญญาตามความเป็นจริงของแก่นแท้ในการอนุโมทนาบุญนั้นๆว่า..

    สิ่งนี้ปรากฏเกิดขึ้นเพราะระลึกได้ สิ่งนี้ตามความเป็นจริงคือสะอาด ร่มเย็น ผ่องใส สว่าง
    สิ่งนี้เป็นอุปทานที่จิตไปยึด ไปหมายเอามา ไปสร้างไว้

    สิ่งนี้เป็นอารมณ์ที่จิตเข้าไปหมายเอาไว้
    ไปจดจำ ไประบุความหมายเอาไว้

    สิ่งนี้ปรากฏเกิดขึ้นเพราะเหตุเก่าอดีตอารมณ์ที่หมายเอาวัตถุรูปที่ปรากฏ
    ที่เรารู้ว่าดี ว่าละเอียด ว่าเย็น สบาย ร่มเย็นนั้น
    เป็นเพราะการปรุงแต่งอุปทานอันละเอียด
    แม้ดีที่สุดละเอียดที่สุดก็เป็นของโลกที่เราไปสร้างขึ้นมา

    สติ สมาธิ ปัญญา ที่สมดุลย์กันและกันคือตื่นกับความเป็นจริง ตามความจริง ของโลก
    ที่ดีและเลวเสมอภาคกัน

    การเริ่มต้นเข้าสู่... ความเป็นกลางจะรู้ถึงความเป็นจริงของธรรมชาติิ
    ท่ามกลางเข้าใจ
    ท้ายสุดละทิ้ง

    สิ่งนี้ขอให้อ่านแบบเป็นความเข้าใจในธรรมของอ้องเองนะครับ
    ผิดพลาดขออภัยมาด้วย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2010
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เพียงแค่คริ๊กเดียวที่เรากดอนุโมทนานั้น
    ถ้าเราระลึกได้เพราะเคยโน้มเข้าถึงความเย็น ความสะอาดของการทำความดี
    บุคคลอื่นนั้น เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
    จิตย่อมกระเพื่อมสั่นไหวในความสะอาดนั้น
    ปิติย่อมปรากฏ ความเย็นกายเย็นจิตย่อมปรากฏ
    เหมือนขนลุกซู่ เหมือนไฟที่กระพริบสว่างแวบ

    แล้วสิ่งเหล่านี้จะจางหายไปเมื่อหมดเหตุอันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ

    แค่เพียงนี้ เราจะเกิดการย้อนทวนกระแสโลก...
    ว่าเราแท้จริงมันอยู่ตรงไหนกันอย่าว่าแต่กายแม้จิตที่ปรากฏเข้าไปรู้นั้นๆ

    มันหายไปไหน ห้ามให้เกิดไม่ได้ บังคับมันก็ไม่ได้...
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตายแล้วฟื้น ตื่นในฝัน กายหลับแต่จิตตื่น

    :99: ตายแล้วฟื้น ตื่นในฝัน กายหลับแต่จิตตื่น

    ตายแล้วฟื้น...

    ทางการแพทย์ถือว่าบุคคลเสียชีวิตแล้วโดยวัดจากคลื่นสมอง แม้ว่ายังมีการหายใจ หรือหัวใจยังเต้นอยู่
    ผู้ป่วยจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง หากว่าเนื้อเยื่อสมองและเนื้อเยื่อหัวใจ เสียหายอย่างหนักอันเนื่องมาจาก
    การขาดออกซิเจนประมาณ 4-5 นาที และยังไม่ได้รับการกู้ชีวิตคืนในช่วงเวลานั้น หรือทำให้หัวใจเต้นอีกครั้งในช่วงเวลาถัดมาเล็กน้อย

    ที่เราเห็นตายแล้วฟื้นโดยมากหมดลมหายใจ หัวใจไม่เต้น สมองหยุดสั่งงาน(ไม่มีกระแสไฟฟ้าสถิตย์วิ่งภายในสมองอีก)นี่ตายแน่แต่ดันฟื้นแม้ผ่านไป2-3วันก็มี

    ตื่นในฝัน...
    ถ้าถามว่าตื่นในฝันมีจริงหรือ ตอบว่ามีจริง เพราะมีคนทั่วโลกมีสภาวะ ของLucid dreaming การตื่นในฝันชนิดเต็มตัว
    ลักษณะของการตื่นในฝันคือ... มันเหมือนเราอยู่ดีๆก็เห็นแสงสว่างที่ไม่ชัดแล้วก็ชัดมากขึ้น ภาพที่เบลอๆ เหมือนละอองฝัน เหมือนคิดกลับกลายมารวมกัน
    แล้วตัวตนเราจะปรากฏขึ้นมาท่ามกลางสถานที่ๆหนึ่ง

    เราสามารถมองไปได้รอบตัว รู้สึกถึงผัสสะกระทบได้ทุกอย่าง
    บอกตัวเองได้ว่า...นี่เรากำลังตื่นในฝัน

    บ่อยครั้ง... ผมมักจะถามว่าแล้วกายหยาบ ตัวตนของเราหล่ะ โลกหล่ะ มันอยู่ที่ไหนกัน

    ตื่นในฝันจึงเหมือนกับว่าเราตายไปเป็นวิญญาณในช่วงเวลาหนึ่ง
    ผมถามว่า มันอยู่ในหัวสมองของเราหรือตื่นในฝัน :99:
    รายละเอียดของตื่นในฝันเยอะมากจนเขียนหนังสือมาเป็นเล่มๆทำเป็นไฟล์PDFแจกเพื่อนๆอยู่เช่นกัน

    กายหลับแต่จิตตื่น..
    โดยมากถ้าเราทำสมาธิในท่านั่ง เราจะไม่ค่อยพบเห็นว่ากายหลับแต่จริงๆ

    สมาธินั้น...กายที่ปรากฏปัสสัทธิคือกายสงบจิตสงบนั้น
    มีเครื่องสังเกตที่ลมนั้นๆไม่มีการกดข่มอีก

    ไม่มีฝืนเข้าฝืนออกเหมือนบังคับลม

    ลมเป็นสภาพของธรรมชาติ กายมันต้องการลมอย่างไร
    มันจะหายใจเข้าออกไปตามกาย จิตไม่ได้เข้าไปยุ่งกับลมธรรมชาติอีกเพียงแต่สำเหนียกรู้

    เครื่องสังเกตุคนทำสมาธิ
    ที่วางจิตเอาไว้ในจุดตำแหน่งจะเริ่มรวมเข้าหาจุดตำแหน่งแบบไม่ละสายตาคือเหตุใกล้ที่ทำให้เกิดสมาธิ

    กายสงบจิตเบาทิ้งคิด สงบจากนิวรณ์ จิตที่ซัดส่ายไหลเข้าหาจุดที่วางจิตเอาไว้(จิตรวม)เพื่อพบใจ จิตตั้งมั่น เอกัคคตาจิต สัมมาสมาธิ
    (สิ่งนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัว ในเวลาปฎิบัติสมาธิ บางท่านอาจจะมีเครื่องสังเกตอย่างอื่น ผิดพลาดขออภัย)

    ท่านั่งจึงทำให้เราเห็นว่ากายหลับไปนั้นสังเกตลำบากเพราะอยู่ในจุดที่ไม่สบายจนเกินไป กายไม่เบาจิตไม่เบาจนเกินไป
    เพราะถ้าสบายเกินจิตจะตกภวังค์ได้ง่ายจนกลายเป็นฌาน(เครื่องสังเกตฌานคือภวังค์..หลวงปู่เทสก์ :09: )

    ในท่านอนนั้นจะเห็นกายหลับแต่จิตตื่นได้ง่าย ถ้าผู้ฝึกมีสติที่มีกำลัง ไม่ตกภวังค์เป็นเครื่องสังเกตคือวูบเข้าไป หายไปในช่วงเวลาหนึ่งแล้วรู้สึกตัว(ภวังค์)
    ถ้ามีนิมิต ความรู้ ภาพ แสง สี และไปยึดเอาจนโน้มเอามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกสมมุติได้แสดงว่าตกภวังค์ลึกจนเชื่อมั่นมีในภวังค์ทั้ง3

    ท่านอนที่เห็นว่ากายหลับคือในขณะที่เราเฝ้าดูลม ดำรงค์สติเฉพาะหน้าอยู่ กำหนดรู้สำเหนียกลมนั้น กายอยู่ดีๆก็กรนออกมา
    เครื่องสังเกตคือลมหายใจเวลานั้นเป็นธรรมชาติของกายไม่ใช่ของจิตที่เข้าไปบังคับเหมือนช่วงแรก
    ความรู้สึกคือเสียงกรนแม้เพียงแผ่วเบาเราก็รู้มันมาเป็นระยะตลอดเวลาแต่ผู้รู้ที่อยู่ภายในนั้นกลับมาอยู่ตรงฐานที่เอาสติวางเอาไว้

    ที่ดำรงค์สติเฉพาะหน้าจิตไม่ตกภวังค์ไม่มีอาการของภวังค์คือวูบหายไป
    นี่คือกายหลับแต่จิตตื่นถ้าทำสมาธิในท่านอนได้มีอะไรที่รักษาสภาวะของฐานจิตได้อีกเยอะ
    ท่าปราบเซียนขี้เกียจแหะๆ :10: เพราะกายเบามากขึ้น จิตเบามากขึ้นจะมีอำนาจของการดูดเข้าไปในภวังค์ที่แปลกๆ
    เพียงแต่ตรงนี้อ้องใช้ฝึกการปล่อยวางเพื่อเตรียมตัวตายก่อนตายจริงก็แค่นั้น

    วันนี้เอาแค่นี้นะครับ :99: ผิดพลาดก็ขอเป็นเพียงแค่ความรู้ของคนที่ยังมีอุปทานสมมุติอยู่นะครับ ขออภัยครับ :12: :09:
     
  7. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    สวัสดีครับอาจารย์อ้อง

    ผมกลับถึงบ้านแล้วครับ บ้านผมอยู่สามพราน ของฝากก็ไปจากสามพรานเช่นเดียวกันครับ ไปนอนค้างคืนอยู่เขาค้อมา 2 คืน อากาศเย็นสบาย สดชื่นมากครับ เรื่องที่พักไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ

    ต้องขออภัยอาจารย์อ้องด้วยนะครับ ที่ไปมาโดยไม่ได้บอกกล่าวครับ คิดอยู่ในใจมานานแล้วครับ ถ้ามีโอกาสต้องพบให้ได้สักครั้ง จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ อยู่ดีๆ แฟนผมก็มาชวนไปส่งญาติผู้ใหญ่ที่พิจิตร แถมบอกด้วยว่า ถ้าไม่อยากนอนค้างที่พิจิตร ก็ไปนอนค้างคืนที่เขาค้อกัน

    ทุกอย่างผมเลยให้เขาจัดกันครับ ผมรู้อย่างเดียวว่า ถ้ามีโชควาสนาพอที่จะได้พบอาจารย์ทำยังไงก็ต้องได้พบ ไปแบบไม่มีข้อมูล รู้อย่างเดียวว่า บ้านสวนหมอกตั้งอยู่ ต.ทุ่งสมอ สุดท้ายก็ได้พบอาจารย์ ดีใจมากครับจนลืมไปหมดเลยว่าจะถามอะไรบ้าง ได้พบเพียงเท่านี้ก็พอใจแล้วครับ

    "เขาค้อในอดีตคงจะยิงถล่มกันมากอยู่นะครับ"
    สมาปัญญา
     
  8. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ติดตามอ่านมานานแล้วค่ะ

    ยังตั้งธงไว้ในใจเลยว่า มีโอกาสไปเขาค้อเมื่อไหร่ จะแวะไปค้างที่ รีสอร์ท คุณชัชวาล

    ไปขอคำแนะนำ ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคน

    อนุโมทนา ในจิตที่ดีของคุณและ ยินดีที่ได้เจอบทความนี้ สาธุ

    หากมีวาสนาร่วมกัน คงมีโอกาสเจอกันนะคะ
     
  9. panyanutta

    panyanutta สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณมากเลย

    อนุโมทนากับสิ่งที่คุณได้เพียรปฏิบัตินะคะ... อ่านแล้วก็มีความสุขดี..ทยอยอ่านยาวมาก
     
  10. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    สวัสดีคับอาอ้อง! สบายดีมั้ยคับเบนซ์ไม่ได้เข้ามาขอความรู้อาอ้องตั้งนาน..เบนซ์มีเรื่องอยากจะขอคำปรึกษาในเรื่องเกี่ยวกับการอธิฐานในเรื่องของการทำบุญอะคับ ...
    คือว่า..เบนซ์กับเพื่อนเวลาช่วงของวันหยุดมักจะชวนกันไปล้างห้องน้ำที่วัดเป็นประจำ จึงรบกวนถามอาอ้องว่าพวกเราควรจะอธิษฐานแบบไหนกันดีเพื่อที่จะให้ตรงเหตุที่เราทำให้มากที่สุด เท่าที่เบนซ์ทราบมาจากอาจารย์ที่ท่านสอนกรรมฐาน(ฆราวาส) ท่านมักสอนเสมอว่าเวลาที่นั่งสมาธิไม่สงบจิตใจฟุ้งซ่านให้ไปล้างห้องน้ำวัด แล้วจะทำให้จิตสว่าง สงบ นั่งสมาธิก็จะก้าวหน้ามากขึ้น...
    ปล..เรื่องของการล้างห้องน้ำวัดนี้อานิสงแบบนี้สามารถนำมาอธิฐานในเรื่องของการเรียนการสอบและหรือเรื่องราวในชีวิตประจำวัดได้มั้ยคับอาอ้อง......
    ด้วยความเคารพอย่างสูง...
     
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเบนซ์

    จิตมีสภาพของธรรมชาติคือต้องซัดส่ายไปยังวิญญาณอายตนะทั้ง๖
    เป็นธรรมดาของเค้า บังคับจิตไม่ได้ พระพุทธองค์สอนว่า จิตฟุ้งซ่านก็รู้
    คำว่ารู้เพื่อเตือนตนในการพิจารณาธรรมว่าเวลานั้น

    จิตไม่มีกำลัง สติจึงไม่สามารถพิจารณาไตร่ตรองในความรู้สัจธรรมอย่างถูกต้องตามจริง จึงควรหยุดพิจารณาและหันมาสร้างกำลังสติเพื่อพินิจในผู้รู้คือจิตใหม่ นั่นก็คือทำสมาธิให้เป็นเหตุใกล้เพื่อสร้างกำลัง

    ให้จิตที่ฟุ้งซ่านสงบลง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่ช้าไม่นานพอจิตตั้งมั่นและพิจารณาสิ่งใดก็รู้แจ้งชัดแล้ว

    สติก็จะอ่อนแรงลงไปอีก เราก็ต้องรู้ว่าจิตนี้ฟุ้งไปแล้วกำลังสติอ่อนแล้ว
    และหันมาทำสมาธิเพื่อให้จิตตั้งมั่นคง สลับเป็นเช่นดั่งนี้

    พระพุทธองค์จึงสอนในเรื่องของสมาธิที่ต้องเจริญตลอดสม่ำเสมอในตลอดเวลาเมื่อรู้ว่าจิตไม่มีกำลังของสติปกครองจิต จิตจึงฟุ้ง...

    การกระทำทางกายกับการกระทำทางใจนั้นต่างกันมาก
    เหตุเกิดจากจิตจะให้ไปนั่งขัดส้วมก็กระไรอยู่ จะเอาบุญแห่งการล้างห้องน้ำวัดมาเพื่อทำให้จิตมีกำลังจึงเป็นคนละส่วนกัน

    ถ้าหากว่าเราทำงานอันใด มีสติ สำรวมในอินทรีย์ การล้างห้องน้ำนั้นๆก็ทำให้จิตตั้งมั่นได้เสมอเพราะเป็นการงานชอบคือททำโดยมีสติที่รู้สึกตัวทั่วพร้อม

    เราจึงควรแยกเรื่องบุญกับเรื่องของสติให้ดีด้วยการพิจารณา

    การอธิษฐานคือการตอกย้ำในการกระทำว่า การที่เราทำสิ่งนี้ทางกาย วาจา ใจ แล้วขอให้ผลแห่งการอธิษฐานนี้ปรากฏผลจึงควรแยกเรื่องบุญและเรื่องของจิต สติ

    เช่นพระเวสสันดรอธิษฐานเพราะปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณนั่นเพราะมีเหตุคือการสละออกด้วยทานในสิ่งที่ยึดมากที่สุด

    เมื่อเป็นเหตุแล้วผลก็จะตามมา

    การเรียน การสอบอันใด ตนเป็นที่พึ่ง บุญ ทาน ไม่สามารถอธิษฐานเพื่อทำให้จิตมีปัญญาหรือมองทะลุข้อสอบได้

    เราจึงควรแยกระหว่างวัตถุทานกับจิตสติ
    ให้วัตถุได้วัตถุ ให้จิตเข้าถึงจิตมีผลถึงจิต

    อนุโมทนาเบนซ์
     
  12. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ขอบคุณคับอาอ้อง...

    สาธุ!~ ขอบคุณคับอาอ้อง !


    แล้วถ้าอย่างเวลาที่เรานั่งสามธิแล้วจิตเริ่มฟุ้งซ่านสติเริ่มเหลือน้อย เราควรทำอย่างไรดีคับให้สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนั้นดำรงค์อยู่ มิให้หลุดลอยออกจากกาย หากจะเปลี่ยนอริยาบถก็เกรงว่าสมาธิจะขาดช่วง! หรือว่าการเปลี่ยนอริยบถโดยดำรงค์สติให้ตั้งมั่น! ลุกก็ให้รู้ว่าลุก แบบนี้ใช้ได้มั้ยคับอาอ้อง ความหมายก็คือ ถึงอาการทางกายที่เราเปลี่ยนอริยาบถนั้นจะทำให้สมาธิขาดช่วงหากแต่สติอันเป็นตัวรู้กำกับกายนั้นยังคงดำรงค์ก็ยังถือว่าใช้ได้ผลของการกระทำจึงเท่ากับเราเสมอตัวมั้ยคับ...
    ด้วยความเคารพอย่างสูง...
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเบนซ์

    จิตฟุ้งซ่านและทำสมาธิก็ยังฟุ้งอยู่นั่นแสดงถึงการสะสมกามคุณทั้ง๕ระหว่าง วันมามากและไม่ปล่อยวางอารมณ์นั้นๆ สมาธิถ้าไม่ปล่อยวาง นิ่งสงบเพื่อสยบ ไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุม

    แต่กลายเป็นทำสมาธิเพื่อเข้าไปกดข่มไม่ให้ปรากฏ จิตก็จะยิ่งดิ้นรนหนีสภาพบีบคั้นคือยิ่งทำก็ยิ่งฟุ้ง จิตฟุ้งซ่านจึงมีสภาพธรรมชาติเราห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ ต้องปล่อยเค้าไปแล้วเราก็เอาสติเข้าไปปกครองจิตฟุ้งซ่านเสีย

    โดยการวางอารมณ์ไว้ในจุด ตำแหน่ง เรียกว่าวางจิต จิตถึงฐาน จิตตั้งมั่น จากความฟุ้งซ่านที่วิ่งไปทั่ววิญญาณทั้ง๖ให้มาอยู่ในจุดเดียว เรียกว่าจุดวางจิต เพื่อให้จิตที่วิ่งวุ่นวายไหลมารวมเข้าหาในจุดตำแหน่งอย่างมั่นคง จึงต้องมีตัวหลอกล่อคือบริกรรมภาวนาเอามาช่วยสำหรับบางคน

    คำว่าสติปกครอง พินิจในผู้รู้(จิต) ต่างกับการกดข่มมาก
    เปรียบดั่งคนยิงปืนเข้าจุด ตำแหน่ง ที่ตั้งเอาไว้ ต้องนิ่ง สงบ จดจ่อแต่จุดแต่ตำแหน่ง ไม่คลาดเคลื่อน ใจต้องอยู่ในสภาพไม่บีบคั้น ไม่ต้องการชนะ

    ปล่อยวางตนเองเพื่อไม่บีบคั้น สบายๆอันเป็นหลักของสมาธิที่ต้องอิงอาศัยสุขเป็นเหตุใกล้ คนที่เป็นนักยิงปืนระดับโลกจึงเป็นคนนิ่งในเวลาที่ต้องนิ่ง ไม่หวั่นไหวในเวลาที่ต้องไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุมในเวลาที่ต้องไม่เกาะกุม

    เบนซ์ต้องเข้าใจว่าเราทำสมาธิเพื่ออะไรก่อนคือเพื่อให้จิตรวมในจุดที่วางจิต เพื่อจิตตั้งมั่น นี่คือหัวใจหลัก เมื่อจิตตั้งมั่นจะมีสภาพของใจคือ
    สบายๆ เฉยๆ เที่ยงธรรม และเอาใจนี่หล่ะมาพิจารณา ขันธ์ตามจริง
    สิ่งนี้คือหัวใจหลักที่เราทำเพื่อพบใจ

    เมื่อเบนซ์จะไปบังคับให้สติที่เหลืออยู่ไม่ให้หาย มันก็ยิ่งหาย เพราะจิตพลิกกลายเป็นมีโลภะจิตปรากฏคือเข้าไปแทรกแทรง บังคับ เมื่อจิตมีอกุศลปรากฏ นิวรณ์ก็ปรากฏ จิตก็เหมือนถูกกวนให้ขุ่น ให้ฟุ้งแทนที่จิตจะทิ้งตะกอนให้กลายเป็นน้ำใสก็ไปกวนให้ขุ้นเพราะอยากนำ

    เครื่องสังเกตุที่เบนซ์ลืมคือ เวลานั้นเบนซ์ใช้คิดเข้ามาแทรกแทรงสมาธิซึ้งหลักสมาธิ ถ้าจิตรวมเข้าไปเริ่มมั่นคงแล้ว จิตมักทิ้งคิดและรู้สึกตัวตื่นภายใน จิตแจ่มใส กายหลับจิตตื่น จิตมีสภาพสงบ ปราศจากนิวรณ์
    ปราศจากโลกธรรมดีเลว เวทนาจืดชืด จิตมีสภาพเที่ยงธรรม

    สิ่งที่เบนซ์บอกมาคือการต่อเนื่อง การกลัวการขาดช่วง การเปลี่ยนอิริยาบท ตรงนี้คงไม่ใช่เรื่องของสมาธิแต่เป็นเรื่องของสติสำรวมในอินทรีย์ที่รู้สึกตัวทั่วพร้อม ถ้าสติรู้สึกระลึกได้ในอิริยาบทและตื่นขึ้นไม่เป็นผู้หลง จิตขณะนั้นจัดเป็นขณิกสมาธิคือรู้สึกและก็เผลออยู่สลับไป

    แต่ถ้ารวมเข้าไปและส่ายภายใน สงบนิ่ง และส่ายแต่ธัมมะวิจยะ ทวารทั้ง๕ตาหูจมูกลิ้นกาย มีสภาพถูกปิดทวาร จิตไม่ซัดส่ายไป เหลือเพียงธัมมารมณ์และใจ ตรงนี้ สติ สมาธิ ปัญญาจะสมดุลย์เพื่อก่อเกิดอริยมรรคคือทางเอกที่พิจารณาขันธ์จนคลายออกจากเครื่องผูกมัดลง

    ก็ขอสรุปว่าเบนซ์ยังแทรกแทรงเข้าไป ส่วนจิตเข้าสู่ขณิกสมาธิสลับเผลอ ปล่อวางมันนะ สบายๆ ไม่ต้องให้ความสำคัญว่าจิตต้องมีสมาธิ
    สมาธิจะขาดช่วง สติเหลือน้อยนิด ตรงนี้ทิ้งมันลงไปเลย บังคับไม่ได้

    อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หน้าที่เราคือ มองไปที่จุด เข้าถึงจุด นี่คือเวลาที่เราจะทำสมาธิ ถ้าฟุ้งก็แก้ไขมาเดินจงกรมเพื่อให้กายมันสงบระงับบ้าง
    เวลาเบนซ์จะหลับไม่เห็นฟุ้งเลยตั้งท่าหลับลูกเดียว นั่นหละคือการปล่อยวาง

    แยกสมาธิ แยกวิปัสสนา ช่วงไหนจะทำสมาธิก็จี้เข้าไปที่จุดวางจิต
    เมื่อรู้สึกจิตมีกำลัง สติมีกำลัง ก็ยกธรรมมาพิจารณา หรือมารู้สกตัวทั่วพร้อมในอิริยาบทในรูปนามที่ปรากฏตามจริง

    ยากไม๊เบนซ์พี่อ้องพยายามอธิบายให้เราเข้าใจได้มากที่สุดแล้วขออนุโมทนาในกุศลที่พยายามอบรมตนนะ
    เจริญในธรรมครับ
     
  14. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    สาธุในธรรมคับอาอ้อง ..พอเข้าใจครับอา เบนซ์จะรับมาแล้วนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการปฏิบัติให้มากที่สุดครับคุณอา...
     
  15. clearwanted

    clearwanted เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +260
    สวัสดีค่ะ เพิ่งอ่านได้ 3 หน้าค่ะแต่ชอบมากเลย กำลังเริ่มปฏิบัติอยู่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ หวังว่าวันหนึ่งจะได้เห็นอย่างที่คุณอ้องเห็นและรู้ในสิ่งที่คุณอ้องรู้ จะได้เห็นด้วยตัวเองว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง จะได้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป ไม่หวังมากค่ะ แค่ไม่ต้องไปตกนรกอีกก็พอ ไม่รู้จะทันมั้ย ตอนนี้ก็อายุ 27 ปีแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย อิอิ
     
  16. clearwanted

    clearwanted เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +260
    ขอถามมหน่อยนะคะ สงสัยมานาน คืออยู่ต่างประเทศน่ะค่ะ ไม่ทราบว่ามีเทวดารึเปล่าแล้วถ้ามีจะน้อยกว่าที่เมืองไทยมั้ยคะ แล้วมีเจ้าที่ที่บ้านหรือตามสถานที่ต่างต่างรึเปล่า แล้วเค้าจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องมั้ยคะ อย่างถ้าเรานั่งสมาธิสวดมนต์เค้าจะเข้าใจมั้ยว่าเราทำอะไร แล้วถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เค้า เค้าจะรับได้มั้ยคะ หรือว่าไม่รู้เรื่องว่าเราทำบ้าอะไร เพราะมันไม่ปกติของคนที่นี่ที่จะทำอย่างนี้นี่คะ อยู่นอร์เวย์ค่ะ ช่วยกรุณาไขข้อข้องใจให้ด้วยนะคะ จะได้ทำตัวถูก ขอบคุณค่ะ :)
     
  17. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    น่ารักครับ ทําไปเหอะ ผีมีทุกที่เทวดาก็มีทุกที่เหมือนกันนั่นหล่ะ
    เรื่องฟังรู้เรื่องมั้ยอาจจะไม่รู้เรื่อง
    แต่สาระสําคัญมันไม่ได้อยู่ที่พระคาถาที่สวดมากนักหรอกถ้าคนท่องเองยังไม่เข้าใจความหมายเช่นกัน

    แต่มันจะมีผลเมื่อสมาธิเกิด เพราะมันเป็นพลังงานสากล เค้าสามารถรับรู้ได้ภาษาที่เปล่งออกมาจากปากมันไม่ใช่สาระ หลับตาภาวนาก็ขลังได้ คุณเห็นคนนั่งทําตาปรอยๆ แม้เค้าจะไม่บอกว่าทุกข์ คุณก็ยังรู้ได้ถึงความทุกข์เลย
    ถูกมั้ยครับ การที่คุณนั่งพนมมือหน้าพระ หรือสมาธิบริกรรม

    ในส่วนเค้าจะรับได้หรือไม่ได้มองข้ามไปเลยครับ คุณได้เต็มๆ คนรอบข้างคุณก็ได้ เทวดารักษาคุณเค้าก็ได้ เจ้ากรรมนายเวรคุณก็ได้ ครูอาจารย์ก็ได้ พ่อแม่ก็ได้ ไม่ว่าคุณจะไปถึงนอเวย์ หรือยอดเอเวอเรส มันถึงหมด ถ้าคุณให้เค้า นอกเสียใจคุณลืมแผ่ให้เค้าเท่านั้นเองส่วนนอกจากนั้นวิญญาณต่างๆจะได้หรือไม่ได้จะน้อยหรือมาก ก็อยู่ที่กําลังในการปฏิบัติของตัวคุณและวาสนาของวิญญาณดวงนั้นๆแค่นั้นหล่ะ

    ในส่วนของคน
    คนที่นั่นก็ทราบว่าคุณปฎิบัติทํามัยถึงคิดว่าเค้าไม่ทราบ เพียงแค่เค้าอาจจะไม่ศรัทธาและไม่เข้าใจเท่านั้นเองหล่ะ คุณก็อย่าไปประเจิดประเจ้อในที่สาธรณะก็พอแล้ว

    ผมอยากจะบอกว่า การนําพระศาสนาไปเผยแผ่ในต่างถิ่นทําได้ยาก กําลังใจคุณต้องแข็งพอ ผมขอขอเอาใจช่วย
    ชุมพร จุติ อิทธิ กะระนัง สุโข ขอเสด็จเตี่ยคุ้มครองทั้งครอบครัวครับ
    [​IMG]
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณดรีมมี่

    ยินดีในธรรมครับ...
    เราคงมาทำความเข้าใจกันในเรื่องของพลังงานของธรรมชาติและจิตก่อนนะครับจึงจะเข้าใจในสิ่งที่ถามมา

    จิตนั้นไม่ใช่พลังงานหรือสสาร จิตเป็นนามธรรมเป็นเพียงธรรมชาติรู้อารมณ์ชนิดหนึ่ง แต่จิตนั้นกลับสามารถสะสมพลังงานได้ถ้าจิตได้จดจ่อกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานเข้าเรียกว่าการสัมปยุตต์กับอารมณ์

    เอาแบบง่ายๆที่เห็นๆกันเช่นคนที่จดจ่อกับราคะจิตหรือโลภะจิต กลางอกจะเกิดสภาพวาบหวาม มีอดีตอารมณ์ที่ชวนเคลิบฝันคือมีลักษณะยั่วยวน เรียกร้องให้ติดตรึง ให้คะนึงหา
    สิ่งนี้คืออาการของกายเพราะเกิดสภาวะธาตุภายในมันเปลี่ยนแปลงและจิตจะเข้าไปรู้และยึดเอามาเป็นอารมณ์ นี่คือสภาพกายหยาบที่เราจะรู้สึก

    คราวนี้ถ้าจับเอาคนราคะจิตมานั่งกับเครื่องออร่าหรือที่เรียกว่าตรวจจับพลังงานซึ้งเป็นคลื่นรังสีที่เปล่งออกมาจากกายมนุษย์เราจะเห็นสีที่บ่งบอกว่าคนๆนี้กำลังคิดอะไรอยู่กับอารมณ์ใดๆ ซึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ชนิดนี้อ้องขอบอกว่าทำได้จริงๆไม่ถึงครึ่งเพราะมีอะไรที่แอบแฝงซ่อนลึกที่เครื่องมือเข้าไม่ถึงคือนามธรรมของจิตได้

    คนที่ทำเครื่องมือชนิดนี้จึงยังเรียกว่าไม่ประสพผลสำเร็จอย่างแท้จริงเป็นการคาดคำนวนเรื่องสีอารมณ์ด้วยการสุ่มจากสถิติ

    ถ้ามองกันที่ราคะจิตจิตจะแผ่คลื่นรังสีขนิดหนึ่งออกมาคืออารมณ์ที่จิตเข้าไปจดจ่อพอมากเข้าก็จะแผ่ออกไปยังคนรอบข้างหรือส่งไปหาใครอืื่นๆก็ทำได้ถ้าคนๆนั้นมีสภาพการเรียกร้องและส่งจิตออกนอกที่เต็มไปด้วยการเรียกร้องโหยหาและจิตมีพลัง สีที่เปล่งออกไปจะมีสีแดงเข้มข้น สีออกเหลืองปนส้มจัดแต่แทรกไปด้วยความหม่นหมองของสีและกลุ่มควันที่ไม่ใช่รัศมีสีสรรเพราะเจือไปด้วยหมอกควันดำหรือสีเทาเข้ม

    นี่ก็เพราะจิตนั้นเป็นอกุศลประกอบไปด้วยราคะมีสภาพที่อึดอัด โหยหา มัวหมอง ไม่มีสภาพที่สว่างไสว ไม่มีศีล ไม่มีสภาพที่สะอาดสดใส ไม่มีสมาธิจึงไม่มีสภาพของรัศมีที่ส่องกระจายน่าเคารพบูชา

    คราวนี้คุณดรีมมี่เริ่มมองออกยังว่า...
    ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่มาจากเทวดา แต่มาจากตนเป็นที่พึ่งตามหลักของเหตุและผลคือคุณธรรมที่เราสร้างขึ้นมาอันมีทาน ศีล
    สมาธิ ภาวนา หลักแห่งพุทธศาสนาของเราจึงเป็นความจริงไม่ใช่งมงายการอ้อนวอนการขอแต่เป็นการสร้างเหตุสร้างผลด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    ว่าโดยรวมของภพที่มี31ภพภูมิคือโลก ที่ใดมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    สิ่งทั้ง5นี้เรียกว่าโลก โลกมนุษย์และโลกของสัตว์นรก เทวดา พรหม
    และทุกภพภูมิคือหนีทุกข์ทั้งสิ้น

    คงต้องขอบอกว่าคนไทยเราถูกสอนให้งมงายไร้สาระในความมักง่ายในการสวดอ้อนวอน ร้องขอ ดั่งคนขี้แพ้ บูชาในสิ่งที่ควรบูชา ยึดในสิ่งที่ควรยึดเป็นที่พึ่งและโน้มไปเพื่อกระทำตามเพื่อความมุ่งมั่นในการพ้นไปไม่กลับมาดีกว่านะครับ

    เวลาคุณดรีมมี่สำรวมในศีลจิตย่อมร่มเย็น มีความผ่องใส คุณธรรมภายในก็ปรากฏ รัศมีแห่งคุณธรรมจะมีสีสรรไปตามจิตที่เข้าไปสร้างเค้าขึ้นมาเองล้วนๆ ศีล คุณธรรมของพรหมวิหาร คุณธรรมเครื่องตรัสรู้แจ้ง สมาธิและทานที่ได้สละออกจากอารมณ์หรือสสละวัตถุทาน

    สิ่งเหล่านี้คุณดรีมมี่สร้างขึ้นมาด้วยเหตุจึงมีผลที่ต้องไปรับนี่เป็นเหตุดีและเราก็เอาเหตุดีนี่หล่ะครับ ทำการอุทิศในทานนั้นหรือการแผ่เจตนาที่หวังดีด้วยพรหมวิหารทั้ง2กรณีเป็นการยกให้

    ในโลกวิญญาณทุกๆที่แม้พรหมก็ต้องอนุโมทนาในเวลาจิตเรามีคุณธรรมแห่งพรหม เวลาจิตเรามีปิติ สุขจากการให้หรือจากสมาธิ เราก็นำเอาความยินดีนั้นๆเผื่อแผ่แก่สิ่งที่มองไม่เห็น แก่เพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งนี้คือการให้แต่มีผลเข้าถึงจิตบริสุทธิ์เพิ่มเข้าไปอีกคือไม่เอาอะไรในสิ่งนั้นๆคือให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ทาน การอุทิศ การแผ่
    จึงไม่ใช่การเก็งกำไร การค้า

    ความดีจึงไม่ใช่การค้าขายหวังผล คนทำดีชนิดนี้จะไม่เรียกร้องว่าทำไม
    ทำดีไม่ได้ดี...

    ทุกสิ่งคือการให้ ให้ด้วยใจ เช่นแม่ที่รักลูก ไม่จำเป็นต้องสื่อด้วยภาษาปาก เราสื่อกันที่ภาษาใจ ออกมาจากใจ แม่และลูกจะมองหน้ากันและกอดกันอย่างมีความสุขและอบอุ่น เทวดาต่างๆที่มาอนุโมทนาก็เช่นกัน

    เมื่อใจเรายกให้เค้าจะเหมือนว่าเราได้ให้น้ำหล่อเลี้ยงจิตที่อบอุ่น ร่มเย็น
    เป็นที่พึ่ง ท่านก็จะอนุโมทนาในภาษาใจที่ยกให้โดยไม่ต้องไปแปลค่าความหมายเพราะความหมายมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว

    การสวดมนต์อย่าสวดตามกันๆมา สวดตามความเชื่อ สวดเพราะหวังผลในการสวด สวดแล้วรวย สวดแล้วป้องกันภัย การสวดเช่นนี้ทำให้ไม่เข้าถึงมหากุศลญานสัมปยุตต์ในบทสวด

    เราจงสวดเพื่อระลึกในคุณแห่งพระรัตน์ตรัย เป็นธรรมานุสติ โน้มเข้าถึงที่พึ่งอันประเสริฐ การสวดมนต์เช่นนี้แลเป็นการสวดที่จะเข้าถึงแก่นแท้คือบูชาและกระทำตามและยึดท่านเป็นที่พึ่งเพื่อหนทางที่แสวงหาสัจธรรมในการพ้นจากทุกข์

    คนไทยทุกวันนี้สวดมนต์แบบงมงายเพราะโดนถูกสอนให้เชื่อ เอาโลกธรรมดีเลวมาปะปนเพื่อแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์

    ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิื์ทั้งปวงคือวิบาก
    และวิบากก็มาจากเราอันเป็นเหตุและผล เราสร้างมาจากเหตุดีเราก็ได้รับวิบากนั้นๆ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้งมงาย พระพุทธองค์ท่านสอนความจริงแท้ สัจธรรม เพื่อให้พวกเราเข้าถึง เพื่อพ้นไปจากกรรมทั้งหลาย การแก้กรรมจึงไร้สาระสิ้นดี(กิเลสหมด กรรมก็สิ้น เพราะภพชาติไม่มี) เรามาหาเหตุ หาผล เรามาแก้ที่เหตุและที่ผล เรามาบูชาในสิ่งที่ควรบูชากันดีกว่าเป็นมงคลชีวติเน๊อะ

    อนุโมทนาในกุศลที่ทำมาดีแล้วครับ
    ชัชวาล...
     
  19. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    คุณชัชวาลอธิบายได้แจ่มแจ้ง และชัดมากในเรื่องนี้

    อยากให้ท่านที่ยังบวงสรวง บูชา และหวังพึ่งพาสิ่งภายนอก

    จนละเลยของดีๆ สิ่งดีๆ ในตัวเรา ได้อ่านกันเยอะๆ

    พระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา เป็นที่พึ่งได้จริงๆ


    อนุโมทนาครับ..
     
  20. clearwanted

    clearwanted เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +260
    กราบขอบพระคุณ คุณอ้อง คุณอาภากร และทุกท่านมากนะคะที่ให้คำตอบและข้อแนะนำที่อธิบายมาอย่างแจ่มแจ้ง รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง เหมือนมีครูบาอาจารย์ให้เราถามใด้เมื่อสงสัยหรือติดขัดในการปฏิบัติ ขอโมทนาบุญคุณทั้งสองที่ได้ช่วยเหลือผู้มีใจฝักใฝ่ธรรม แต่ไม่มีที่พึ่งอย่างดิฉันนะคะ มาอยู่ใกลถึงนอร์เวย์ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลบุญหรือบาป คืออยู่ดีมีสุข ไม่อดไม่อยาก อยากได้อะไรที่เป็นวัตถุทางโลกก็มักจะได้สมปรารถนาทุกประการ มีสามีที่รักเราและเรารักเขา เขามีจิตใจดีมากถ้าเทียบโดยใช้บรรทัดฐานของการเป็นคนดีทั่วไปในโลก ส่วนในเรื่องของศีลนั้นไม่ครบเพราะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม เช่นการดื่ม การตกปลา ล่าสัตว์ (แต่ตั้งแต่ท้องลูกคนแรกจนถึงปัจจุบันไม่เคยเห็นแฟนฆ่าสัตว์ได้อีกเลยค่ะ หลายครั้งเพื่อนเค้าชวนไปตกปลา ไอ้เราก็ห้ามไม่ได้เพราะเพื่อนเค้าคงไม่พอใจและอาจหาว่าเราไร้สาระ ก็เลยใช้วิธีตั้งจิตอธิฐานต่อท่านเจ้าที่ เทวดา นางฟ้า
    เหล่ารุขเทวดาทั้งหลายที่อยู่บริเวณที่สามีลูกจะไปตกปลา ขออย่าให้เขาได้ปลาเลยซักตัวเพราะไม่อยากให้เค้าสร้างบาปสร้างกรรมอีก อธิฐานด้วยผลบุญแห่งการตั้งใจรักษาศีลมาโดยตลอดและจะทำตลอดไปของข้าพเจ้า แล้วก็อุทิศบุญให้ท่านเหล่านั้น ทำอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อสามีต้องไปตกปลา แล้วเราห้ามไม่ได้ เชื่อมั้ยคะว่าได้ผล เพื่อนเค้าได้ปลาตัวใหญ่ติดมือมาทุกครั้งในขณะที่แฟนดิฉันไม่เคยได้มาเลยสักตัว แม้กระทั่งเห็นปลากระโดดเต็มไปหมดแต่เค้าตกไม่ได้ แปลกมั้ยคะ แต่อาจจะฟลุ้คก็ได้ อิอิ) แต่เรื่องของการให้สู้เขาไม่ได้จริงจริงนะคะ คนคนนี้เกิดมาเพื่อให้เลยจริงจริง ให้้ได้มาก โดยไม่เสียดายและไม่หวังผลอีกต่างหากอีกอย่าง ยังไม่เคยเห็นเค้าแสดงอาการโกรธหรือตะคอกใส่ใครเลยซักที คบกันมาตั้งแต่เค้าอายุ 25 จนป่านนี้ก็ 32 แล้ว ก็พยายามจะดีให้ได้เท่าเค้าอยู่ในส่วนเหล่านี้ โกรธได้แต่ต้องระงับให้เร็ว ไม่ให้เป็นกรรมวาจา คนที่นี่ถ้าไม่ดื่มเหล้าจะถูกมองว่าแปลก เวลาดิฉันไปงานสังสรรค์ หรือ party (ที่นี่จำเป็นค่ะ เป็นเรื่องของสังคม แต่เลือกที่จะไม่ดื่มได้) คนก็มักถามว่าทำไมไม่ดื่ม ชิมนิดหนึ่งน่า อะไรอย่างเนี้ย ไอ้เราก็เลยต้องมานั่งอธิบายว่าทำไม บางทีเบื่อเบื่อก็บอกไปว่าไม่ถูกกับแอลกอฮอลล์ หยดเดียวฉันก็ไม่กิน จบ อยู่ที่นี่ไม่มีวัดให้เข้ามากมายเหมือนเมืองไทย มีแห่งเดียวคือ Oslo และไม่สะดวกไปเพราะไกลมาก ดิฉันอยู่ทางเหนือของนอร์เวย์น่ะค่ะ Tromsø เกือบขั้วโลกเลยทีเดียว อาศัยทำบุญอย่างอื่นเอาเช่นพยายามทำใจตัวเองให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น รักษาศีลให้เป็นปกติ ไหว้พระ สวดมนต์ สมาธิแบบขี้เกียจบ้าง ทำงาน part time ตามสถานพยาบาลช่วยดูแลคนป่วยและคนแก่ สุดคุ้ม 6 in 1 มาแบบ package เลยค่ะอันนี้ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ ฝึกความอดทน แถมด้วยวิปัสนาญานอีกต่างหาก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เห็นอยู่ทุกวัน ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต คนไข้บางคนเมื่อวานเป็นนักกีฬาแข็งแรงสุดสุด ปั่นจักรยานตั้งแต่เหนือจดใต้ของนอร์เวย์ มาวันนี้ เดินไม่ได้ ทำอะไรเองไม่ได้เลย แม้แต่จะกินข้าวเอง เราต้องป้อน น่าสงสารมาก การทำบุญอีกอย่างของดิฉันคือให้ธรรมะกับแม่บ้าง แบบเสียงตามสายโทรศัพท์ พอได้ผลอยู่นะคะ แต่ยังไม่เริ่มกับพ่อเพราะยาก รายนี้ต้องลากไปทำสังฆทานด้วยกันเวลากลับมาไทย เขาขาดศรัทธาในพระสงฆ์ไทยอย่างแรง เพราะอะไรทุกท่านคงทราบ อยากพาพ่อไปเจอของจริงซักทีแต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนกัน อยากทำตัวเองให้เป็นพระอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยพ่อกับแม่คงได้บุญด้วย แต่มันไม่ง่ายเลยค่ะ มาเมืองไทยอยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดซัก 5 วัน 7 วัน แต่ทำไม่ได้เพราะอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน เลยอยากอยู่กับครอบครัวมากกว่าเพราะรู้ว่าเขาคิดถึงเรา อีกอย่าง ไม่เคยปฏิบัติธรรมที่วัดมาก่อนเลยในชีวิต กลัวอยู่ไม่ได้ ศีล 8 ก็ไม่รู้จะรักษาได้มั้ย ติดตรงที่ห่วงสวยอย่างเดียวนี่แหละ อิอิ ไม่รู้จะสวยไปไหนเหมือนกัน จะให้เจริญอสุภกรรมฐานก็คงไม่ไหว เพราะกลัวผีมาากมาก มีหวังไม่ต้องนอน เพราะภาพมันติดตา เห็นในเว็บนี้มีบางท่านใช้รูปน่ากลัวน่ากลัวเป็นรูปประจำตัว บางทีดิฉันอ่านในเว็บอยู่ดึกดึกต้องสะดุ้ง ขอเตือนด้วยความหวังดีนะคะว่าระวังบาป ข้อหาทำให้คนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมคนหนึ่งต้องสะดุ้งตกใจกลัว อิอิ บางวันต้องเปิดไฟนอนกันเลยนะเอ้า ดิฉันมีลูกที่น่ารัก 2 คน คนโตเป็นหญิง เกือบ 3 ขวบแล้ว คนเล็กเป็นชาย 9 เดือนค่ะ แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวเพราะย้ายมาเรียนหนังสือต่างเมือง ไกลกันมากเค้าจะมาเยี่ยมกันบ้างในบางโอกาส คิดถึงลูกมาก ตอนท้องลูกชายคนเล็กใหม่ใหม่ ฝันเห็นพระรูปหนึ่งท่านบอกว่าเด็กคนนี้จะต้องพลัดพราก เป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนแรกคิดว่าเค้าคงจะต้องย้ายไปอยู่ไกลไกลพอเค้าโตขึ้น แต่เปล่าเลย ไม่ต้องรอถึงโต แถมตัวเองยังเป็นฝ่ายที่ต้องย้ายจากเค้ามาอีกต่างหาก ถามพระท่านในฝันว่าถ้าเราเร่งทำดีจะแก้ตรงนี้ได้มั้ย ท่านก็ไม่ตอบ เอาแต่ยิ้ม ในชิวิตนี้เคยฝันเห็นพระสงฆ์แค่ 3 ครั้ง ทุกครั้งจะฝันตอนเช้ามืดและทุกครั้งเกิดขึ้นที่นอร์เวย์ค่ะ ครั้งแรกท่านมาถามว่าทำไมถึงเลิกนั่งสมาธิ เรื่องของเรื่องคือว่าเคยบ้านั่งสมาธิอยู่พักหนึ่ง พักหนึ่งนี่ไม่กี่วันนะคะ ไม่ใช่เป็นเดือน ไม่เกิน 7 วัน แต่ตั้งใจจริง อยู่มาวันหนึ่งทำเห็นแสงสว่างโพล่ง หลังจากวันนั้นก็ไม่ทำอีกเลย จนท่านมาถามในฝันนี่แหละ ไอ้เราก็ดื้อ ยังไม่ยอมทำอีก เวลาผ่านไปหลายเดือนก็ฝันเห็นพระอีกแต่เป็นอีกรูปหนึ่ง ก็เหมือนเดิม มาบอกให้นั่งสมาธิ ท่านว่าให้ทำต่อไปแล้วจะเห็นผล เลยถามท่านในฝันว่าอยากเป็นพระโสดาบันจะได้มั้ย ท่านว่าให้ทำไปเรื่อยเรื่อย ถึงชาตินี้ไม่ได้ก็ชาติต่อต่อไป แต่ด้วยความดื้อด้านบวกกับความขี้เกียจของดิฉันก็ยังไม่ยอมทำอีก ตอนนั้นกำลังท้องลูกสาวคนโตอยู่ด้วย ผลก็คือคลอดยากมากมาก เกือบตาย ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย อิอิ ป่านนี้พระท่านคงตัดหางปล่อยนอร์เวย์ไปแล้ว เพราะไม่เคยฝันถึงอีกเลย ตอนนี้รู้สำนึกอยากเร่งปฏิบัติค่ะ กลัวตายก่อน เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...