เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริง!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 พฤษภาคม 2014.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หลังจาก "ชมภาพความเบียดเสียด...อย่างเว่อร์" แล้ว เห็นได้ว่า

    1. คน "ไหล" ไปตามความต้องการของจิต
    2. จิต "ไหล" ไปตามความที่ จิตเห็น
    3. จิตเห็น "ไหล" ไปตามที่จิตเข้าใจ
    4. จิตเข้าใจ "ไหล" ไปยังจุดมุ่งหมาย
    5. จุดมุ่งหมาย เป็นตายร้ายดีประการใด "จิตไม่รู้"

    +++ เป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องจำเป็น หรือ เป็นเรื่อง "โดนจิตบังคับ" จึงทำให้ต้อง เดือดร้อน ทุรนทุราย เบียดเสียดยัดเยียด ประดุจ รถบันทุกขนสัตว์ส่ง "โรงฆ่า" ฉันนั้น (ทางไปนรกนั้น เบียดเสียดยัดเยียดอย่างยิ่ง)
    +++ หากสิ่ง ๆ นี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไร ให้เห็นเป็น "มหันต์ภัย" ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น "ระบบ หรือ ความเชื่อ" ทำให้เป็นก็ตาม มันคือ "มหันต์ภัย" อย่างแท้จริง ตัวหนึ่งทีเดียว
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อมีความจำเป็นต้องอพยพหลบภัย
    จากธรรมชาติ มวลมนุษย์เหล่านี้
    จะไม่รู้สึกลำบาก ยากเย็น เพราะเขาได้
    ใช้ชีวิตแนวนี้อยู่เป็นปกติแล้ว

    แต่จะเป็นเรื่องโกลาหลและน่าวิตก
    สำหรับเหล่ามวล
    มนุษย์ที่เคยคุ้นเคยกับการถูกจัดระเบียบให้เคยชิน
    กับความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีลำดับก่อนหลัง
    เพราะต้องมัวคำนึงในด้านความปลอดภัย
    ดังนั้น มนุษย์ที่เคร่งครัดต่อกฎระเบียบจึงตกอยู่ใน
    สถานะที่ไม่ไปก็ไม่พ้นภัย หรือไปก็ไม่
    พ้นภัยต้องร่วงหล่นจากรถจากเรือ
    ไปตลอดทาง
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    มาดูภาพชัดๆ ขณะเวลาที่เราจามกัน สภาพเป็นยังไง (deejai)

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8EwBce6BG9I]คนจาม.flv - YouTube[/ame]


    การจาม (sneeze ) เป็นกลไกกึ่งอัตโนมัติของการขับลมออกจากปอดผ่านทางจมูกและปากอย่างรวดเร็ว มักเกิดจากการระคายเคืองเยื่อเมือกของจมูก หน้าที่ของการจามเป็นการขับเมือกซึ่งมีอนุภาคแปลกปลอมหรือสารระคายออกมาและช่วยทำความสะอาดโพรงจมูก ขณะจามร่ายกายจะหยุดทำงานชั่วขณะรวมทั้งหัวใจ การกลั้นจามโดยวิธีใดๆก็ตาม ไม่ควรทำ เพราะเป็นการฝืนกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย อัตราความเร็วในการจามแต่ละครั้งสูงประมาณ160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การยื้อหรือกลั้นไม่ให้จามนั้นจึงอาจก่อให้เกิดแรงอัดอากาศภายในซึ่งอาจส่งผลให้เยื่อแก้วหูแตกได้

    อย่างไรก็ตามการที่คนเป็นหวัด จามออกมาในบริเวณคนแออัด เช่น ในลิฟท์ ในรถสาธารณะ ในโรงภาพยนตร์ ฯลฯ ไวรัสของเชื้อหวัดจะแพร่กระจายออกมาพร้อมกับละอองเมือกทางจมูกและปากได้ จึงควรจะใช้ผ้าปิดปากก่อนจาม หากไม่มีผ้าหรือหยิบไม่ทัน ก็อาจจะใช้แขนหรือใช้ฝ่ามือช่วยกั้นรวมทั้งหันใบหน้าไปจามทางด้านที่มีคนน้อยหรืออาจจะจามลงสู่พื้น สำหรับคนที่เป็นหวัดง่ายก็อาจจะหลีกเลี่ยงที่ที่มีคนแออัดและอาจจะมีแผ่นกรองปิดปากและจมูกตนเอง



    ข้อมูลจาก www.bloggang.com
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    อุทาหรณ์...ถอดรองเท้าผ้าใบทิ้งไว้นอกบ้าน

    เรื่องมีอยู่ว่า ตอนเช้าคุณแม่ก็ไปส่งลูกไปโรงเรียนตามปกติ แต่แปลกที่ว่าพอลูกสาวขึ้นรถมาก็บ่นว่าหนูง่วงนอน แม่ก็ไม่คิดอะไรมาก เลยให้นอนหลับไป พอถึง รร. แม่ก็ปลุก ปรากฎว่าลูกตัวแข็ง ปากเขียวคล้ำ ไม่รู้สึกตัว แม่ตกใจมากรีบพาส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกเสียชีวิตแล้ว

    จากการสันนิษฐานน่าจะเกิดจาก "งูกัด" คุณแม่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเดินออกมาจากบ้านด้วยกัน ขึ้นรถมาก็ไม่เห็นมีงูเลย เชื่อไหม...คุณหมอลองถอดถุงเท้่าและรองเท้าดู ขนลุกเลย " ลูกงูเห่านอนตายอยู่ในรองเท้านักเรียน " คาดว่ามันคงไปนอนขดอยู่ในรองเท้าแล้วน้องเขาก็ใส่เข้าไป มันเลยฉก แต่ด้วยความที่ใส่ถุงเท้าอยู่ เด็กเลยไม่เจ็บมาก แต่พิษมันมีมาก


    อยากฝากไว้บ้านใครมีต้นไม้เยอะๆ หรือวางรองเท้าไว้นอกบ้าน ก่อนใส่เคาะๆสักนิด โอกาสแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้

    เมื่อไม่กี่วันนี้จะไปปลูกต้นไม้ลงกระถาง พอยกกระถางขึ้น โห...ลูกงูเขียวตัวเล็กๆ เลื้อยออกมาหลายตัว กระโจนหนีแทบไม่ทัน บรื๊ออ...
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    พระราชวังแวร์ซายส์ไม่มีห้องน้ำ

    กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต !!

    เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น

    เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง

    การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้


    [​IMG]

    [​IMG]


    ห้องกระจก(Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็น ห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนาม ในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายส์อันสวยงาม

    [​IMG]


    น่าประหลาดใจที่พระราชวังแวร์ซายส์มีห้องจำนวนมหาศาลเพื่อความโอ่อ่า ความมีหน้ามีตาของพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีน้ำใช้เพื่อล้างหน้าล้างตาหรือเพื่อการอนามัยที่ดีของบุคคล เรื่องห้องน้ำในพระราชวังแวร์ซายส์ ดร.โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ คณะวัฒนธรรมนานาชาติศึกษา มหาวิทยาลัยเทนรี ญี่ปุ่น เขียนไว้ตอนหนึ่งในบทความเรื่อง "จาก "น้ำ" สู่ปฏิวัติฝรั่งเศส" ตีพิมพ์ในวารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฉบับกันยายน 2542 สรุปความดังนี้

    มีเอกสารระบุว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 กษัตริย์ฝรั่งเศส (1601-1643) เมื่อทรงประสูติและทรงรับการล้างบาปและรับศีลจุ่มแล้ว ไม่เคยลงสรงน้ำอีกเลยจนเมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา และมีผู้เริ่มล้างพระบาทให้พระองค์ก็เมื่อพระชนม์ได้ 6 พรรษาแล้ว ความกลัวการลงแช่ในน้ำก็ยังคงมีต่อไปในจิตสำนึกของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17


    [​IMG]

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 14



    ครั้งเดียวที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (1643-1715) ทรงสรงน้ำในห้องประทับในพระราชวังแวร์ซายส์ คือเมื่อปี 1655 กลิ่นตัวของพระองค์รุนแรงขนาดผู้จงรักภักดีที่สุดของพระองค์พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าเฝ้า

    และแม้ว่าแพทย์หลวงจะทูลแนะนำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ตลอดชีวิตของพระองค์ทรงพอพระทัยกับการให้เช็ดพระพักตร์และโกนหนวดเคราสองวันครั้งด้วยการใช้สำลีจุ่มลงในแอลกอฮอล์เช็ดเท่านั้น

    ในสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (1774-1791) จึงเริ่มมีการจัดทำห้องส้วมจริงๆ หนึ่งห้อง แยกออกจากห้องอื่นๆ รายละเอียดที่น่าสนใจยิ่งอีกอย่างหนึ่งที่มีในพระราชฐาน


    คือมีเก้าอี้นั่งอุจจาระทั้งหมด 274 ตัว เก้าอี้นี้เจาะเป็นรูใหญ่ตรงกลางแผ่นที่นั่ง เป็นรูปทรงแบบแรกก่อนที่จะมีการผลิตโถส้วมแบบนั่งในสมัยต่อมา มื่อจะทำธุระจะวางกระโถนรองรับไว้ใต้ที่นั่งตรงรูนั้น มีผ้ากองมหึมาที่ใช้สำหรับเช็ดตัวเช็ดก้น

    [​IMG]

    ห้องนอนของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14


    [​IMG]

    เก้าอี้สำหรับนั่งขับถ่าย


    สำหรับคำถาม ถึงเหตุไม่มีห้องน้ำในแวร์ซายส์

    มีคนว่าไว้หลายทาง บ้างว่าเพราะทรงมัวแต่สนใจห้องหรูหราสวยงามทั่วพระราชวัง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เลยทรงลืมห้องน้ำซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ไป

    บ้างว่าทรงเคยประสบเหตุอับอายขายพระพักตร์ครั้งไปเข้าห้องน้ำปราสาทคนอื่น จึงทรงฝังใจไม่ทำห้องน้ำรู้แล้วรู้รอดอย่างไรก็ตาม ยังพออนุมานได้อีกทางว่า จากพระนิสัยไม่ทรงชอบอาบน้ำ อันสืบเนื่องมาจากความกลัวการลงแช่ในน้ำ จากความเชื่อว่าการลงแช่อาบน้ำร้อนเป็นภัยต่อร่างกายและทำให้ประสาทเสื่อม

    ทั้งในศตวรรษที่ 16-17 ราคาน้ำใช้สูงขึ้นมาก การอาบการแช่น้ำยุติลง พร้อมการระบาดของกาฬโรค

    โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดสำหรับยุโรปทั้งทวีป เกิดขึ้นในปี 1346-1353 หยุดชะงักไปแล้วกลับระบาดขึ้นใหม่อีกในศตวรรษที่ 16 และ 17 บวกกับเมื่อทรงแก้ปัญหาขับถ่ายได้แล้วด้วยเก้าอี้นั่งอุจจาระ จึงไม่ทรงเห็นความจำเป็นของห้องน้ำ


    ข้อมูลจาก board.postjung.com
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    "เกาะน่ากลัว" จากทั่วทุกมุมโลกที่ไม่น่าไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง

    [​IMG]

    Ilha de Queimada Grande
    สถานที่ตั้ง : ใกล้ชายฝั่งเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล


    เกาะที่ได้ชื่อเล่นว่า เกาะอสรพิษ (Snake Island) นี้ มีงูอาศัยอยู่บนเกาะเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นคือ พันธุ์ Golden Lancehead ซึ่งเป็นหนึ่งในงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกและหาที่อื่นไม่ได้นอกจากบนเกาะนี้เท่านั้น ทำให้มันเป็นงูที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แล้วเกาะนี้น่ากลัวยังไง? ก็แค่มีงูพิษอยู่แถมเป็นแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้นเอง ปัญหาก็คือบนเกาะมีงูพันธุ์นี้อาศัยอยู่เยอะมาก เยอะขนาดที่คนท้องถิ่นแถวนั้นบอกไว้ว่า พื้นที่ขนาด 1 ตารางเมตร จะมีงูอยู่ 5 ตัวเลยทีเดียว ก็คือถ้าไปเดินเล่นอยู่บนเกาะก็จะเจอกับงูทุกๆ ก้าวที่เดิน


    [​IMG]

    งูพันธุ์ Golden Lancehead


    อย่างไรก็ตาม จำนวนที่แท้จริงของงูทั้งหมดมีเท่าไหร่ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดเพราะไม่ได้มีการเข้าไปสำรวจกันจริงๆ จังๆ เนื่องมาจากปัจจุบันกองทัพเรือประจำประเทศบราซิลประกาศให้เกาะนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไป ไม่ใช่เพื่อป้องกันงูที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้ แต่เพื่อป้องกันคนที่อาจหลงเข้าไปเจอกับดงงูพิษ แต่บางครั้งก็มีการยกเว้นให้กับนักวิทยาศาสตร์ให้เข้าไปทำการศึกษาได้อยู่บ้างเป็นบางครั้ง


    Poveglia Island
    สถานที่ตั้ง : เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี


    [​IMG]

    ดูจากภาพแล้วเกาะนี้ก็เหมือนเกาะธรรมดา มีตึกโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นดูสวยงามจนน่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า แต่ความจริงแล้วเกาะนี้มีประวัติศาสตร์สยองขวัญมาอย่างยาวนาน

    เริ่มตั้งแต่ในสมัยโรมัน เกิดกาฬโรคระบาดขึ้นครั้งใหญ่ ชาวโรมันในสมัยนั้นจึงได้ทำการแยกผู้ป่วยออกมาและส่งไปอยู่บนเกาะ Poveglia เพื่อไม่ให้โรคระบาดไปยังคนอื่น ผู้ป่วยบนเกาะค่อยๆ เสียชีวิตลงและถูกฝังเอาไว้บนเกาะ แต่ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เกิดกาฬโรคระบาดในยุโรป เกาะนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่ติดเชื้ออีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ผู้ป่วยไม่ได้ถูกนำมาปล่อยไว้บนเกาะเฉยๆ ใครที่มีอาการหนักมากๆ จะถูกโยนลงไปในหลุม (ที่มีแต่ศพของคนที่เสียชีวิตแล้ว) และถูกเผาทั้งเป็น จากทั้งสองเหตุการณ์นี้ ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตบนเกาะ 160,000 คน


    [​IMG]

    เศษโครงกระดูกของคนที่ป่วยและเสียชีวิตอยู่บนเกาะ


    ถ้าแค่นี้ยังสยองไม่พอ ต่อมาในปี ค.ศ.1922 โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางประสาทก็ถูกสร้างขึ้นบนเกาะแห่งนี้อีก ในช่วงนี้เองที่มีเรื่องเล่าและข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการทดลองและทรมานคนไข้ รวมถึงเรื่องเล่าว่ามีคนพบเจอกับวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตบนเกาะที่ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหนคอยตามหลอกหลอน

    จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1968 โรงพยาบาลก็ปิดตัวลง และเกาะก็ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ จนถึงทุกวันนี้ก็มีนักเที่ยวเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมชมกันบ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะอยู่ดี


    [​IMG]

    ภาพถ่ายภายในตึกโรงพยาบาล


    Ramree Island
    สถานที่ตั้ัง : รัฐคะฉิ่น ประเทศพม่า


    เหตุเกิดที่ประเทศพม่า เพื่อนบ้านใกล้ๆ กันกับประเทศเรานี่เอง เมื่อปี ค.ศ.1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารชาวญี่ปุ่นประมาณ 900 คน ที่ประจำการอยู่บนเกาะถูกกองทัพของศัตรูเข้าล้อม ทำให้เหลือทางออกเพียงทางเดียวคือ ทางบึงขนาดใหญ่ ทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินลุยฝ่าบึงเพื่อไปขอความความช่วยเหลือจากกองกำลังสนับสนุน และตอนนั้นเองที่ตำนานความสยองของเกาะนี้เริ่มต้นขึ้น

    บึงที่ทหารญี่ปุ่นพากันหนีลงไปนั้น ความจริงแล้วเป็นที่อยู่ของจระเข้น้ำเค็มขนาดใหญ่ที่ดุร้ายนับพันตัว เมื่อมีอาหารมาให้ถึงที่แบบนี้จระเข้ก็พากันโจมตีเหล่าทหารที่กำลังวิ่งหนีตายกันอย่างไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ในบรรดาทหารทั้งหมด 900 คนนั้น เหลือรอดมาจากบึงไม่ถึงครึ่งและที่รอดมาส่วนใหญ่ก็ถูกจระเข้ทำร้ายบาดเจ็บกันถ้วนหน้า และเชื่อกันว่ามีคนถูกจระเข้กินไปประมาณ 400 คน เหตุการณ์นี้สยดสยองมากเสียจนถูกบันทึกเอาไว้ในสถิติกินเนสบุ๊คว่าเป็น หายนะครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดจากการโจมตีของสัตว์

    [​IMG]

    ภาพถ่ายทหารญี่ปุ่น


    [​IMG]

    จระเข้น้ำเค็มบนเกาะ


    Fiji
    สถานที่ : หมู่เกาะประเทศฟิจิ


    [​IMG]

    ทุกวันนี้ ประเทศฟิจิคือหมู่เกาะกลางทะเลที่มีหาดสวย น้ำใส ผู้คนเป็นมิตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่ใครๆ ก็พากันไปเยี่ยมชม แต่เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนหน้านี้ ฟิจิเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะสุดสยองที่ใครๆ ก็ไม่อยากจะไปเหยียบ เพราะสมัยก่อนเกาะนี้คือที่อยู่ของเผ่ามนุษย์กินคน

    มีการบันทึกไว้โดยเหล่ามิชชันนารีที่เดินทางมาเผยแพร่ศาสนาที่เกาะฟิจิว่า ชาวเผ่าบนเกาะชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ทั้งมนุษย์ที่ตายแล้ว (ขุดขึ้นมาจากหลุมศพเอามากิน) หรือมนุษย์เป็นๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นนักเดินทางที่หลงไปยังบนเกาะ หรือแม้แต่กินคนในเผ่าด้วยกันเอง จนเกาะนี้มีชื่อเสียงในเหล่านักเดินเรือว่าเป็นเกาะของเผ่ากินคน และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้โดยไม่จำเป็น เหยื่อคนสุดท้ายที่ถูกกินคือ Thomas Baker มิชชันนารีชาวอังกฤษผู้โชคร้าย

    [​IMG]

    Thomas Baker มิชชันนารีชาวอังกฤษผู้เป็นเหยื่อคนสุดท้าย


    Izu Islands
    สถานที่ตั้ง : ทางตอนใต้ของเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น


    [​IMG]

    หมู่เกาะ Izu ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 9 เกาะ เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับหลายลูก (ตัวเกาะ Izu เองก็เกิดมาจากภูเขาไฟ) แต่ที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ภูเขาไฟที่อาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อเท่านั้น แต่เป็นเพราะภูเขาไฟเหล่านี้พ่นแก๊สพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือกำมะถันออกมาอยู่ตลอดเวลา

    ในปี ค.ศ.2000 ชาวเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะต้องอพยพออกไปจนหมด เนื่องมาจากการระเบิดอย่างต่อเนื่องของภูเขาไฟบนเกาะทำให้ปริมาณแก๊สพิษมีสูงเกินไปจนคนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.2005 ชาวเมืองทั้งหมดก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ตามเดิม แต่ทุกคนจะต้องพกหน้ากากกันแก๊สพิษติดตัวไว้ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน เผื่อกรณีฉุกเฉินที่เกิดระดับแก๊สพิษสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเสี่ยงต่อการเจอแก๊สพิษ การท่องเที่ยวของเกาะนี้ก็ค่อนข้างเฟื่องฟูมากทีเดียว เพราะเกาะนี้มีจุดดำน้ำดูปะการังและปลาโลมาที่สวยงามมาก และคนมาเที่ยวก็ไม่ต้องห่วงเพราะบนเกาะนี้สามารถหาซื้อหน้ากากกันแก๊สพิษได้ตามร้านขายของทั่วไป


    [​IMG]

    ภาพถ่ายงานแต่งงานสวมหน้ากากกันแก๊สพิษของคนบนเกาะ


    ข้อมูลจาก เกาะน่ากลัวจากทั่วทุกมุมโลกที่ไม่น่าไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง | EverydayReaders
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2014
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ความรักข้ามสายพันธ์ุ

    [​IMG]

    "ฉังเหมา" กับ "ฉุนจื่อ" ผู้สร้างตำนานรักข้ามสายพันธุ์อันลือลั่น


    โดยแกะหนุ่มพ่อพันธุ์ผู้สร้างตำนานรักข้ามสายพันธุ์อันลือลั่นกับกวางสาวตัวนี้ มีชื่อว่า ฉังเหมา อายุ 2 ปี เมื่อปี 2009

    ตอนที่ฉังเหมาเกิดได้เดือนเศษ ก็มีอันต้องถูกย้ายไปอาศัยอยู่ในเขตเลี้ยงกวางแห่งอุทยานสัตว์ป่าหยุนหนัน จนได้พบรักกับกวางสาวสวยนามว่าฉุนจื่อ ผู้ดูแลสวนสัตว์มักจะเห็นทั้งสองอยู่เคียงข้างกันเสมอๆ แม้ว่าในเวลาต่อมา กวางหนุ่มผู้เป็นจ่าฝูงจะให้ความสนใจในตัวกวางสาวฉุนจื่อ แต่เธอไม่เล่นด้วย เพียงคบหากับแกะหนุ่มที่พูดคนละภาษา อีกทั้งรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเหล่ากวางที่เธอคุ้นเคยแม้แต่น้อย

    ต่อมา กวางจ่าฝูงและแกะฉังเหมาต่อสู้กัน โดยที่ฉังเหมาเป็นฝ่ายชนะ และกลายเป็นจ่าฝูงตัวใหม่ กวางหนุ่มที่ได้กลายเป็นอดีตจ่าฝูงก็เลิกตอแยฉุนจื่อไปในที่สุด

    [​IMG]

    กวางหนุ่มที่พ่ายแพ้ในเกมรักให้แกะอย่างฉังเหมา


    ทว่าชีวิตมิได้เรียบง่ายถึงเพียงนั้น เพราะในเขตเลี้ยงกวางแห่งนี้ นอกจากฉังเหมาแล้วยังมีแกะแม่พันธุ์อีกตัวหนึ่งที่เข้ามาอยู่พร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นคู่กับแกะหนุ่มฉังเหมา

    แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉังเหมากลับไม่มีท่าทีสนใจแม่พันธุ์แกะแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่สุงสิงด้วย จนกระทั่งถึงฤดูผสมพันธุ์ แม่พันธุ์แกะเป็นสัด จึงค่อยได้เสียกับฉังเหมาหนึ่งครั้ง และตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกแกะน้อยออกมา ทว่าชีวิตในหมู่กวางของลูกแกะน้อยค่อนข้างยากลำบาก เพราะมันมักจะถูกเหล่ากวางทำร้ายเอาบ่อยๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวแกะอันประกอบด้วยฉังเหมา แม่พันธุ์ และแกะน้อย ไปอยู่เป็นสัดส่วนข้างๆ เขตเลี้ยงกวาง โดยมีไม้ตีคั่นไว้ ทำให้แกะฉังเหมาต้องพรากจากกับกวางฉุนจื่ออันเป็นที่รักไปในลักษณะนี้


    [​IMG]

    แม่พันธุ์แกะที่น่าสงสาร เธอไม่ผิด แต่เธอไม่ใช่


    [​IMG]

    ลูกแกะน้อยผู้อาภัพ



    แต่ความรักมิอาจกั้นด้วยปราการใด ฉุนจื่อก็มิอาจพรากจากฉังเหมาเช่นกัน เมื่อฉังเหมาย้ายไปอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นาน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อฉุนจื่อและเหล่ากวางที่เคยคลุกคลีกับฉังเหมาพากันยกพวกไปพังที่กั้นระหว่างเขตเลี้ยงกวางกับเขตเลี้ยงแกะ แม้จะไม่สำเร็จ แต่ฉุนจื่อกลับอาศัยช่องว่างของรั้วกระโดดข้ามไปหาแกะหนุ่มอันเป็นที่รัก จนสร้างความซาบซึ้ง ประทับใจให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง

    ประกอบกับความร้าวฉานในครอบครัวแกะเอง เมื่อลูกแกะน้อยมักจะถูกฉังเหมาผู้เป็นพ่อไล่โจมตีแม้ว่าจะย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะฉังเหมาคุ้นเคยกับกวางมากกว่าเพราะคลุกคลีกันมาตั้งแต่เล็ก ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ก็ยอมแพ้ให้กับความรักข้ามสายพันธุ์ ตัดสินใจย้ายพ่อพันธุ์แกะหนุ่มฉังเหมากลับไปอยู่ร่วมกับเหล่ากวางและฉุนจื่ออันเป็นที่รัก ขณะที่แม่พันธุ์แกะกับลูกแกะแยกตัวมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ใหม่

    ฉังเหมา (แกะ) กับ ฉุนจื่อ (กวาง) ได้สมรสกันในวันวาเลนไทน์ ปี 2555 ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปเที่ยวที่สวนสัตว์ของมณฑลยูนนาน
    เพื่อจะดูแกะเพศผู้ซึ่งมีชื่อว่า "ฉังเหมา" หมายถึงขนยาว
    กับเจ้ากวางตัวเมียชื่อ "ฉุนจื่อ" หมายถึงบริสุทธิ์
    แล้วทั้งคู่ก็ผสมข้ามสายพันธุ์ให้ดูด้วย โดยทางสวนสัตว์เปิดขายตั๋วพิเศษ
    จำกัดแค่ 500 ใบ คิดราคาใบละ 66 หยวน หรือราว 10 ดอลลาร์สหรัฐ

    [​IMG]

    เจ้าสาว ฉุนจื่อ วิ่งเหยาะๆ นำหน้า ฉังเหมา เจ้าบ่าว ลอดซุ้มประตูเข้าสู่พิธีวิวาห์ โดยเหนือซุ้มประตูมีตัวอักษรภาษาจีน เขียนคำว่า “ไอ ดู” ซึ่งเป็นคำตอบรับของเจ้าสาว ต่อหน้าบาทหลวง ในการยอมรับเจ้าบ่าวเป็นสามี ในพิธีสมรสของชาวตะวันตก


    [​IMG]

    ภาพฉังเหมาย่นริมฝีปาก คล้ายจะขอจุมพิต แต่ซุนซือเจ้าสาวมีท่าทีลังเล

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    พังหยกช้างแสนรู้วาดรูปพ่อหลวง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LVzGtgXcHH4]น่ารัก!! น้องช้าง พังหยก วาดภาพพ่อหลวง/ห่วงพ่อที่สุด - YouTube[/ame]

    พังหยกช้างแสนรู้วัย 8 ปี แสดงความสามารถโดยการวาดรูปในหลวง พร้อมทั้งเขียนข้อความ 'ห่วงพ่อที่สุด' เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 86 พรรษา 5 ธ.ค. 56


    [​IMG]

    ขอบคุณภาพจาก facebookของกองทุนวิจัยและอนุรักษ์ช้างไทย
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    อย่างเจ๋ง...ญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Wyl72Re5110]Kodomoroid and Otonaroid: Professor Ishiguro's new androids at Miraikan - YouTube[/ame]

    เว็บไซต์เจแปนไทม์ส รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์ตัวแรกของโลก และที่สำคัญยังสามารถพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับคน รวมถึงอ่านหนังสือได้เหมือนกับคนเลยทีเดียว สำหรับหุ่นยนต์มีทั้งหมด 2 ตัวคือ หุ่นยนต์ผู้ใหญ่ เรียกว่า โอโตนะรอยด์ และหุ่นยนต์เด็ก เรียกว่า โคโดโมะรอยด์


    [คลิป] อย่างเจ๋ง! ญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ พูดคุย-อ่านหนัง...
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    คลิปสุดซึ้ง หนุ่มป่วยหนักแต่งสาวก่อนตาย

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=eVocnNIgKwY]A Wedding That Will Move You: Rowden & Leizel - YouTube[/ame]

    เว็บไซต์ข่าวของฟิลิปปินส์ “ฟิลิปินส์ นิวส์”รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ว่า ชาวเน็ตฟิลิปปินส์ร่วมกันแชร์คลิปที่อัพโหลดบนเว็บไซต์ “ยูทูบ” โดย “Hasset Go” ที่มียอดผู้เข้าชมทั้งสิ้นราว 2 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศพิธีแต่งงานของนายโรวเดน โก ปังโคกา ชาวฟิลิปปินส์ วัยเพียง 29 ปี ที่แพทย์วินิจฉัยว่า เขาเป็นมะเร็งตับขั้นที่ 5 หรือระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ กับนางลีซล์ ภรรยาที่อยู่กินกันจนมีบุตรสาววัย 2 ขวบหนึ่งคน

    ในตอนแรกทั้งคู่วางแผนกันว่าจะเข้าพิธีสมรสกันในวันที่ 8 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่ 30 ของนายปังโคกา อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ผลการวินิจฉัยจากแพทย์พบว่า มะเร็งที่เขาเป็นอยู่นั้นได้ลามไปทั่วร่างกายและอยู่ในระยะสุดท้าย เขาจึงรู้ตัวว่าอาจไม่สามารถอยู่รอแต่งงานได้ถึงวันที่ 8 ก.ค.ตามแผน จึงขอร้องเพื่อนๆและครอบครัวจัดเตรียมงานแต่งงานขึ้นเร็วกว่ากำหนด พวกเขาจึงจัดการอย่างเร่งด่วนภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง โดยงานแต่งจะจัดขึ้นที่โรงพยาบาลที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อและที่ตั้ง

    ครอบครัวและคนรักได้ย้ายทุกอย่างที่ต้องใช้ในพิธีแต่งงานมาที่โรงพยาบาล นายปังโคกานั้นอยู่ในสภาพผอมแห้ง ไม่มีแรง ไม่สามารถลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าพิธีได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ได้สาบานรักกันทั้งน้ำตา รวมทั้งแขกเหรื่อที่มาร่วมเองก็ต่างเสียน้ำตาในภาพสุดซึ้งที่ได้เห็นเช่นกัน

    ในที่สุดนายปังโคกาก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ หลังพิธีแต่งงานที่เป็นความปรารถนาครั้งสุดท้ายของเขาเพียง 10 ชั่วโมง ในวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา



    ข้อมูลจากข่าวเดลินิวส์ ประจำวันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน 2557
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    มีใครรู้ข้อมูลนี้บ้างคะ ของจริงหรือเปล่า

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=PYihNALeb7A]มนุษย์ต่างดาว ufo - YouTube[/ame]
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    แม่น้ำคงคา..ศักดิ์สิทธิ์หรือสยอง

    สัจธรรมของชีวิต ดูเพื่อปลงค่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=eHbW0TPjTVw]แม่น้ำคงคา..ศักดิ์สิทธิ์หรือสยอง - YouTube[/ame]
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ธรรมะก่อนนอนค่ะ (f)

    คำสอน ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    " ล ม ห า ย ใจสำคัญ ไฉน !! "

    ผู้ถาม - "หลวงพ่อคะ หนูไม่ค่อยจะมีเวลาทำสมาธิค่ะ...?"
    หลวงพ่อ - คนที่ไม่มีเวลาไม่มี นอกจากขี้เกียจ
    ผู้ถาม - "ถ้ากลางวันทำงานและกลางคืนก็ติดธุระ บางทีจะนั่งสมาธิลูกก็กวน"
    หลวงพ่อ - จะไปนั่งทำไม ให้ลูกมันหลับเวลาเรานอนน่ะ สมาธิทำทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน เขาไม่ได้ห้ามต้องนั่งเสมอไปใช่ไหม จริงๆแล้วถ้าเรามีสมาธิก่อนหลับสัก ๒ นาทีก็พอใจแล้วสมาธิไม่ต้องการมาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า

    "สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง เราขอกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาณ"

    เห็นไหม ก็มัวเอาแต่เรื่องนั่งที่เขาว่า อีตอนนอนนั่นแหละ นอนสบาย หัวถึงหมอนปั๊บนึกถึง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และภาวนา "พุทโธ" หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" หายใจ ๒ ฟื้ดหลับไปเลยใช้ได้

    อย่าลืมนะตอนที่ภาวนาหลับเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีนะ ว่าถ้าจิตไม่ถึงฌานนี่มันจะไม่หลับ "ถ้าจิตถึงฌานปั๊บมันตัดหลับทันที ทีนี้ว่าถ้าภาวนาหรือว่านะโมอยู่ ถ้ามันหลับเวลานั้นมันจิตถึงฌาน ขณะที่หลับอยู่กี่ชั่วโมงเขาถือว่าทรงฌานนั้นอยู่ระหว่างหลับ" ถ้าตายระหว่างนั้นจะไปตามกำลังของฌานทันที เห็นไหม ที่ว่าไม่มีเวลาคนขี้เกียจนะ เวลามันมีใช่ไหม

    ถ้าให้ดีเวลาตื่นนอนเอาอีกนิด ไม่ต้องลุกถ้าไม่ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ พอตื่นปั๊บเอาอีกหน่อย จับลมหายใจ หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" ๒ - ๓ ครั้งก็พอแล้ว จิตไม่นึกถึงใคร แค่นี้ใช้ได้ทุกวัน ขอยืนยันว่าลงนรกไม่ได้

    ผู้ถาม - "แล้วถ้าจะไปนิพพานละค่ะ?"

    หลวงพ่อ - ง่ายนิดเดียว แบบนี้ แบบนี้ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วย ก่อนนอนปั๊บนึกว่าเกิดนี่มันเป็นทุกข์ งานทุกอย่างนี่มันเหนื่อย มันเป็นทุกข์ ไอ้การเกิดมีร่างกายมีทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกขอไปนิพพานชาตินี้ แล้วภาวนาว่า "พุทธโธ" นี่ง่ายนิดเดียว แล้วก็อย่าคิดว่าใช้เวลาเล็กน้อยไม่มีผลนะ

    ถ้าเวลาป่วย ป่วยมากๆ อาการเครียดจะตาย ถึงจะยังไม่ตายก็ตาม แต่ทำท่าจะตาย อารมณ์นี้ทั้งหมดมันจะรวมตัว และจิตจะเป็น "สังขารุเปกขาญาณ" จะวางเฉย

    ถ้าถามว่าตำราไหน อาตมาประสบมาแล้ว เพราะเคยตายหลายครั้ง ชิน ถ้าถึงวาระนั้นมันวางหมด เฉยๆ ไม่ต้องเอาอะไรไปบังคับมันหรอก มันจะเฉยหมด คนก็เฉย สัตว์ก็เฉย วัตถุธาตุสมบัติเฉยหมด ก็คิดว่าแม้ร่างกายมันจะตายจะสนใจอะไร มันเฉย มันเฉยจริงๆ และก็มีหลายคนมีสภาพแบบนี้นะ หลายๆคนมาหายแล้วก็มีภาระยุ่ง เขาเลยบอก แหม...มันไม่น่าหายเลย น่าจะป่วยอยู่เรื่อยๆ แล้วตายไปเลยใช่ไหม ไม่ต้องมาก แค่นี้พอ

    ดีกว่าคนไปนั่งเป๋งนานๆ แต่ตอนที่นั่งหลับตาไม่แน่นะ ภาวนาหรือนินทาใครก็ไม่รู้ ถ้าว่าจะเอากันให้ดีจริงๆ ภาวนาให้หลับจะดีมาก ก็ถือว่าเราเป็นผู้ทรงฌานทุกวัน ถ้าถามว่าภาวนาใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าพุท ไม่ทันโธ หลับ ยิ่งดีใหญ่ จิตเข้าถึงฌานเร็ว ไอ้นี่เขาต้องการนะ จิตเข้าถึงฌานเร็วะ

    ฉันว่าแล้ว คนที่ไม่มีเวลาคือคนขี้เกียจ(หัวเราะ) ว่าไงเวลามีตั้งเยอะไปใช่ไหม

    สำคัญที่คุณภาพ
    ผู้ถาม - "หลวงพ่อคะ ถ้าทำแบบหลวงพ่อว่า ก่อนนอนและเวลาตื่นเช้าอย่างเดียวจะได้ไหมคะ...?"
    หลวงพ่อ - ก็เหลือแหล่แล้ว จริงๆ แล้วมันเหลือแลห่จริงๆนะคือ จิตเวลานั้นให้มันบริสุทธิ์จริงๆ ใช่ไหม อีแค่ ๒ - ๓ นาทีก็ช่างปะไรและอย่าลืมว่าทุกอย่างที่เราทำได้แล้วจะรวมตัวไม่ไปไหนนี่ มันรวมเลย เข้าไปสะสมตัวเลย

    ถ้าเรานั่งครึ่งชั่วโมง ดีไม่ดีสมาธิไม่ได้ ๒ นาทีล่ะ เมื่อยบ้าง ปวดบ้าง ตอนภาวนาให้หลับนี่สมัยก่อนที่ยังฝึกอยู่ ที่หลวงพ่อปานท่านส่งไปหาอาจารย์ต่างๆ ทุกองค์สอนเหมือนกันหมดบอกว่ามันเป็นวิธีที่ได้กำไรมากที่สุด ภาวนาจนหลับนี่นะ และหลับกี่ชั่วโมงเขาถือว่าทรงฌานนั้นอยู่ และอารมณ์มันจะชินพอตื่นขึ้นมาปั๊บ

    ทีนี้การทรงสมาธิเป็นฌานมันมี ๓ ชั้น ฌาน ๑, ๒, ๓, มี ๓ อย่าง อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเราจะสังเกตได้เวลาตื่น พอเริ่มตื่นพั๊บเต็มที่บังคับให้ภาวนา แสดงว่าขณะที่หลับเราเข้าถึง ฌานหยาบ นะ

    ทีนี้พอตื่นพั๊บเราภาวนาเองทันทีเลยโดยไม่ต้องบังคับตื่นรู้สึกตัวเต็มที่นะ อย่างนี้เวลาจะหลับเข้าถึง ฌานอย่างกลาง

    ถ้าว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นมันภาวนาออกมาเลย อันนี้เข้าถึง ฌานละเอียด เป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องพิสูจน์ ง่ายดีสะดวกดีได้กำไรมาก

    สังเกตดูพระที่ได้แล้วท่านสอนไม่ยาก ที่ไปเรียนกับท่านล่ะนะ เหมือนกันหมด ถามว่าหลวงพ่อครับ ทำไมสอนไม่ยากเหมือนตำรา บอกกูไม่ได้ถือตำรามาสอนนี่หว่า กูถือความจริง สมัยก่อนท่านใช้ยังงี้นะ ตอนยังหนุ่ม กูไม่ถือตำรานี่หว่า ตำราอ่านไม่ออก ตาไม่เห็น สอนความจริง

    หมายถึงว่าสอนที่ท่านได้มาแล้ว ท่านทำได้แล้วใช่ไหม ท่านเข้าใจว่าอะไรมันถูกอะไรมันควร อย่างไหนมีประโยชน์มาก อย่างไหนมีประโยชน์น้อย นั่งตึ้งชั่วโมงไม่ใช่จะมีประโยชน์ทั้งชั่วโมงสังเกตดูเดี๋ยวมึงก็มากูก็มา แทรกเข้ามาเรื่อย อันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์จิตเข้าถึงฌานหรือไม่ถึงอีตอนหลับ

    ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "ความรู้ทั้งหมดที่ตถาคตนำมาสอนไม่ใช่ของใหม่ มันมีแล้วในโลก"

    คือคนนี่มีสมาธิอยู่แล้ว สมาธินี่มีทุกคนน่ะ ฌานนี่มีทุกคน เพราะคนหลับได้ คนไหนหลับได้คนนั้นมีฌาน ถ้าจิตไม่สงบถึงฌานก็จะไม่หลับ ขณะที่หลับนี่จิตต้องเข้าถึงฌาน ไอ้คำว่าสมาธิคือตั้งใจ เวลานี้เรากินข้าวรู้ว่ากินข้าว นี่เป็นสมาธิ


    จากหนังสือธรรมปฏิบัติเล่ม ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มิถุนายน 2014
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ผู้หญิงที่โหดที่สุดในโลกอันดับ 1

    [​IMG]

    เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ หญิงสาวตระกูลชนชั้นสูงในฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น

    เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป มีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน ถูกนำมากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาบต่างน้ำ เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ เคาน์เตสแดร็กคูล่า (Countess Dracula)

    เอลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย ความจริงแล้ว เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิชิเลียนที่ 2 เคยมาขอดูตัวด้วยซ้ำ เอลิซาเบธจึงมีทั้งความสวยทั้งหน้าตา รูปร่าง (เธอคิดเอาเอง) และชาติตระกูลสูงส่ง แต่มันเหมือนนรกจับยัดมาเกิด เพราะเธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง

    เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ ก็เช่นเดียวกัน นิสัยเพี้ยนๆ ของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ อยู่นั่นแหละ เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้ แต่เธอกลับใฝ่ต่ำ ทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาสติดที่ดิน เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13
    ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใคร รู้เด็ดขาดเลยว่าเจ้าสาวเคยมีลูกกับพวกไพร่ แต่ใครไม่รู้ว่า ทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด

    เมื่อเธอโตขึ้น เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา สาวใช้ร้องลั่น เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง น่าแปลกที่อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ

    ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี (หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม) ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่แต่มืดทะมึนดูน่าสยดสยองกลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส นายหญิงแห่งอาณาจักรอันไพศาล ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีมากนัก ออกจะจิตวิตถารเช่นเดียวกับอลิซาเบธเสียด้วยซ้ำ สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์ มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานทรกรรมเชลยชาวเติร์กอย่างโหด เหี้ยม และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง

    ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกัน ถึง 4 คน แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด

    แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเลยด้วยซ้ำ เอลิซาเบธ เริ่มหางานอดิเรกใหม่มาทดแทนชีวิตอันน่าเบื่อ ซึ่งก็คือมนต์ดำที่คนรับใช้เป็นผู้แนะนำนั่นเอง เธอมักจะลงไปหมกตัวอยู่ในห้องใต้ดินและประกอบพิธีกรรมประหลาดกับคนรับใช้ บ่อยครั้ง และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้ ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากไม่นานนักแม่ของฟีเรนซ์ก็ย้ายมาอยู่ด้วย จึงเป็นการเปิดสงครามเย็นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ในที่สุด

    เอลิซาเบธมักประพฤติตัวเป็นภรรยาผู้เรียบร้อยต่อหน้าสามี แต่พอลับหลัง เธอก็ทำกระทั่งการจับสาวใช้ของแม่สามีมาทรมานจนตาย จะอย่างไรก็ตาม เอลิซาเบธมีลูก 4 คน จึงทำให้สภาพครอบครัวยังไม่ถึงกับพังทลายลงในทีเดียว ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า ปี 1600 ในฤดูหนาว เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ

    ทีนี้ก็ไม่มีใครจะมาขวางทางเอลิซาเบธได้อีก เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ ชีวิตประชาชนก็เหมือนกับลูกไก่ในกำมือ จะบีบจะคลายก็ขึ้นอยู่กับใจเธออย่างเดียว จะมีก็แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการความสวย ความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล

    มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอก็ต้องชะงักเพ่งมองแล้วมองอีก นี่ความชราย่างกรายเข้ามาทำร้ายตัวเธอแล้วหรือจริงซินะ เธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้วนี่นา เอลิซาเบธใจหายวาบถึงจะไม่สวยแต่เธอก็ไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุด เธอรู้สึกเหมือนความแก่เฒ่านั้นมันมีตัวตน เอาปากครีมมาหนีบดึงถึ้งเนื้อที่เต่งตึงผุดผ่องของเธอทีละชิ้นๆ เมื่อเธอหงุดหงิด ขัดข้องก็ยิ่งต้องหาเรื่องระบายอารมณ์และความบันเทิงใดเล่า จะเท่ากับการลากคนมาทรมาน

    ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ คงเพราะเกร็งไปหน่อยจึงออกแรงมากไป ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ แล้วลงมือหวดแซ่หนังผูกปมโลหะใส่เนื้อหนังมังสาของทาสชะตาขาดนั้นอย่างเมา มัน ความรุนแรงของเธอทำเอาแซ้ตวัดเกี่ยวหนังของผู้เคราะห์ร้ายหลุดกระเต็นออกมา เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หยาดเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยมาติดตามตัวของเธอ การโบยหฤโหดจบลงพร้อมๆ กับชีวิตของทาสที่เละเป็นหมูบะช่อแต่ทว่าเรื่องที่ร้ายที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้นเคาน์เตส หอบเหนื่อยเกือบหมดแรงแต่ก็สนุกสมใจไม่น้อยเลย

    ความอัจฉริยะบังเกิดขึ้นอีกแล้ว เอลิซาเบธตาวาวโรจน์เปี่ยมสุขขึ้นมาทันใด คราวนี้เธอค้นพบสูตรใหม่แห่งยาอายุวัฒนะ เธอนั่งลงเห็นและเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า และแล้วความโหดเหี้ยมแปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อเคาน์เตสพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราว สาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม ละมุนละไม ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่นซินะ มันถึงจะได้ฤทธิ์ของน้ำแห้งชีวิตอย่างเต็มที่

    และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเองเธอต้องการเลือดของ เด็กสาวบริสุทธิ์ โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นที่แสนสวยมีอกอวบอิ่ม เธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กหญิงคนแล้วคนเล่าต้องตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างที่งดงาม หลายคนถูกแหวะอก ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุข

    เมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว เอริซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลก กับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าร่าเริงราวกับจะไปปิกนิค แต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้ พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าวถึง

    วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ ยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง

    มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย และทหารก็กรูกันเข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธออยู่ดี เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมา ใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ

    อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้ "ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"

    อย่างไรก็ตาม เครื่องทรมานดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมากเท่าที่เข้าใจกัน เนื่องจากเข็มพากันทื่อเสียหมดเพราะเป็นสนิมจากเลือด เอลิซาเบธ จึงออกคำสั่งใหม่ให้สร้างกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งมีเข็มแหลมอยู่ภายใน กรงดังกล่าวจะถูกเฟืองโซ่ยกขึ้นสูงจากพื้นโดยมีเด็กสาวอยู่ข้างใน และเมื่อเขย่ากรง เลือดก็จะกระจายลงมาสู่เอลิซาเบธ ที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นฝนเลือด

    จนเวลาผ่านไปเกือบห้าปี ลูกสาวชาวไร่ชาวนาหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น ความผิดพลาดเอลิซาเบธเกิดขึ้นเมื่อเธอไปเที่ยวที่เมืองวีน เหตุการณ์สยองจึงเริ่มเกิดต่อสาธารณชนรับรู้ครั้งแรก เมื่อมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังออกจากห้องพักของเอลิซาเบธ เอลิซาเบทหันไปหาพวกธิดาของพวกผู้ดีมีตระกูล บางรายเป็นลูกของเพื่อนๆผู้สูงศักดิ์ของเธอด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้บ่าวไพร่หมดปัญญาจะเอาศพไปทิ้งไม่ให้ใครเห็นเพราะมีเหยื่อมากมาย ก่ายกองจนต้องโยนออกมาในตอนกลางคืนเพื่อให้ฝูงหมาป่ารุมกินเป็นความเอร็ด อร่อยยามดึก แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อฝูงหมาป่าก็กินไม่หมด คราวนี้ละพวกญาติๆที่มาตามหาสาวน้อยของพวกเขาก็ได้เห็นภาพอันสยองขวัญ ตอนแรกมีชาวบ้านมาพบกองซากศพที่ซีดเผือกไม่มีเลือดอยู่เหลือเลยแม้แต่หยด เดียว เลยเกิดล่ำลือไปว่าในป่านี้มีผีดิบดูดเลือดอยู่

    คนเลี้ยงสัตว์ของเอลิซาเบธจึงรีบไปตรวจดูและพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของ นัก ร้องสาวของสมาคมแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ภาพที่เห็น หญิงสาวถูกตัดมือ ตัดเท้า และเสียชีวิต ตายตรงหน้าเอลิซาเบธ เธอบอกกับคนเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า นักร้องผู้นี้ทำความผิด จึงมีโทษต้องตาย และนี่คือความผิดพลาดของเอลิซาเบธเพราะคนเลี้ยงสัตว์คนนี้ก็ปากเปราะเสีย ด้วยสิ ว่าแล้วกิตติศัพท์นี้ย่อมต้องกลายเป็นที่เลื่องลือในไม่ช้า ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ

    และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่ เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอ ลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ

    เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูก ตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน

    หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะ เธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความ ทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี

    การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก

    21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง แต่มีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี่ ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม


    [​IMG]

    [​IMG]


    ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ภารกิจสุดโหดตามหา MH 370

    คลื่นน่ากลัวมากๆ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2HL2d7Nvcdk]คลิปภารกิจสุดโหด ฝ่าคลื่นลมแรงมหาสมุทรอินเดียตามหา MH370 - YouTube[/ame]
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    อุทาหรณ์...เที่ยวน้ำตกหน้าฝนระวังเจอน้ำป่า

    สัญญาณอันตราย เมื่อไปเที่ยวน้ำตก‏


    ถ้ามีสัญญาณต่อไปนี้ ให้รีบขึันจากน้ำตก

    1. ฟ้าฝนครึ้ม ลมเย็นพัดมาจากที่อื่น
    2. ฝน ลงเม็ด
    3. เสียงน้ำดังขึ้นกว่าเดิม จะดังมาแว่วๆไกลๆก่อน
    4. น้ำตกมีน้ำ เพิ่ม อุณหภูมิน้ำเปลี่ยน
    5. น้ำเป็นสี แดงโคลน
    รีบพาเด็กๆขึ้นจากน้ำโดยด่วน


    6-10-54 เรื่องจริงผ่านจอ เกือบเอาชีวิตไม่รอด เที่ยวน้ำตก หน้าฝน!


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1IRbbF_n6Wc]เกือบเอาชีวิตไม่รอด เที่ยวน้ำตก! - YouTube[/ame]


    เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2550 เวลาประมาณ 15.20 น.
    ได้เกิดน้ำป่าฉับพลันไหลหลากลงจากเทือกเขา­บรรทัด
    สู่น้ำตกสายรุ้ง น้ำตกไพรสวรรค์ และน้ำตกลำปลอก
    อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 38 คน
    และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=55CybMBlLSY]วินาทีน้ำป่าคร่าชีวิต น้ำตกสายรุ้ง น้ำตกไพรสวรรค์ น้ำตกลำปลอก จังหวัดตรัง - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2014
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    "Killer Karaoke"

    "Killer Karaoke" รายการประกวดร้องเพลงสุดพิเรนทร์ รูปแบบใหม่ สร้างความเสียว หวาดกลัว ตื่นเต้น ซึ่งกำลังนิยมมากในต่างประเทศ

    [​IMG]




    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OxhGJBeXw1A]Killer Karaoke | Swamp Swing #1 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pnHMyBfy4TA]Killer Karaoke..STEVE-0... Sharon Wilson Dipped in Snakes - YouTube[/ame]
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    น้องเจนนักพากย์สารพัดเสียง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WkTFHR442k8]เรื่องเล่าเช้านี้ ตัวจริงเสียงจริง! น้องเจน นักพากย์สารพัดเสียง ในเรื่องเล่าเช้านี้ - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=N2BE9Kg99Lk]ชาวเน็ตกด Like! คลิปน้องเจน จรัญ 13 พากย์เสียงเป๊ะเว่อร์มาก ๆ - YouTube[/ame]
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ปลามีฟันเหมือนคนชอบกัดอัณฑะของมนุษย์

    ยลโฉมชัดๆ ปลาฟันเหมือนคน ชอบกัดอัณฑะของมนุษย์

    [​IMG]

    ปลาปาคู Pacu ปลาประหลาด ปลาฟันเหมือนคน ชอบกัดอัณฑะของมนุษย์ จากข่าวสุดฮือฮา ที่ชาวมะกันผวา พบ! ปลากัดจู๋ หรือ ปลากินไข่ โผล่ทะเลสาบอิลลินอยส์ ปลาชนิดนี้มีนิสัยประหลาดคือชอบกัดกิน อัณฑะ ของคน ว่ากันว่า ปลากินจู๋ เป็นปลาสายพันธุ์เครือญาติกับ ปลาปิรันยา ปกติปลา Pacu มีถิ่นกำเนิดเดียวกับปลาปิรันยา นั่นคือแถบแม่น้ำอเมซอน เมื่อมีข่าวลือว่าปลาชนิดนี้มาโผล่ใน ทะเลสาบอิลลินอยส์ งานนี้เลยเล่นเอาคนฮือฮากลัวไม่กล้าไปเล่นน้ำกันใหญ่เลย เซตนี้เลยเอาเจ้า ปลาฟันเหมือนคน ชอบกัดอัณฑะของมนุษย์ ตัวนี้มาให้ยลโฉมกันแบบชัดๆ จ้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวประมงในแถบสแกนดิเนเวีย ได้พบปลาเปคู (Pacu) ในบริเวณช่องแคบเออร์เรซุนด์ ระหว่างเดนมาร์กและสวีเดน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนให้นักท่องเที่ยวชายที่ชอบเปลือยกายว่ายน้ำในบริเวณดังกล่าว ให้ระวังปลาชนิดนี้ เพราะเป็นปลาที่ชอบกัดลูกอัณฑะของผู้ชาย เนื่องจากอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลูกผลไม้ ที่ผ่านมาเคยมีประวัติกัดชาวประมงในปาปัวนิวกินีตายแล้ว 2 ราย เพราะสูญเสียเลือดมากหลังถูกกัดบริเวณเข้าถึงลำไส้มาแล้ว ขณะเดียวกันเมื่อปี 2004 หนังสือพิมพ์สกอตแลนด์ได้รายงานว่า เกิดเหตุเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน ต้องรับการผ่าตัดเพราะถูกปลาเปคูกัดนิ้วด้วย

    ปลาเปคู มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ เป็นปลาที่มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาปิรันยาซึ่งอยู่ในสปีชี่ส์เดียวกัน โดยปลาเปคูนั้นจะมีรูปร่างที่ใหญ่โตกว่าปลาปิรันยามาก โดยอาจยาวได้ถึง 80-110 เซนติเมตร และอาจหนักได้เกือบ 40 กิโลกรัม แต่มีพฤติกรรมที่ต่างกัน คือ ปลาเปคูจะกินได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยบางครั้งอาจจะขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อรอกินผลไม้หรือลูกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นได้เลย ขณะที่ปลาปิรันยาจะกินแต่เนื้อเพียงอย่างเดียว อีกประการหนึ่งที่แตกต่างกัน คือ ฟันและกรามของปลาเปคูแม้จะแข็งแรงและแหลมคม แต่ก็ไม่เป็นซี่แหลมเหมือนปลาปิรันยา และกรามล่างจะไม่ยื่นยาวออกมาจนเห็นได้ชัด ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญ ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงการปรากฎตัวของปลาชนิดนี้ในบริเวณดังกล่าว ทั้งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ (ข่าวจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า 13 สิงหาคม 2556)


    ยลโฉมชัดๆ ปลาฟันเหมือนคน ชอบกัดอัณฑะของมนุษย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2014
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    มะขวิดสุนัขแสนรู้
    รู้จักพยักหน้าด้วยอ่ะ อิอิ น่ารัก...

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HUR0_Le3PgU]น้องมะขวิด หมาแสนรู้ :) - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...