/// เอาสติมาระลึกที่ลมหายใจ แค่นี้เพียงพอไหม? ///

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย comxeoo, 6 พฤษภาคม 2014.

  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขออภัยถ้าข้าพเจ้าได้ล่วงเกินไป ความไม่พอใจยังแรงอยู่หนอ

    และขออนุโมทนาในความตั้งใจ
    ผู้ใดใฝ่ธรรมย่อมเจริญในธรรม

    การปฏิบัติของข้าพเจ้าที่ผ่านมาถ้ามีเวลาและอยากรู้ลองค้นดูกระทู้เก่าๆของข้าพเจ้าได้หนอ

    ข้าพเจ้ายังเป็นแค่ผู้ค้นหาสัจธรรม ธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้วิเศษวิโสอันใดเลยหนอ แต่อยากขอเล่าผลจากการปฏิบัติบ้างหนอ พอสังเขป

    เริ่มที่ฌาณสองเลยหนอ ที่ตำราว่ามาว่าคำภาวนาหายนั้น. ข้าพเจ้ารู้แล้วว่ามันไม่ได้หายไปอย่างแปลกประหลาดอะไร แต่จิตมันขาดการติดต่อกับความนึกคิดในขั้นนี้เราจะนึกอะไรไม่ออกเลยหนอ
    ฌาณสามนั้น ที่ตำราว่าลมหายใจหายหรือเบาจนเราจับไม่ได้นั้น. การหายไปของลมนี้เราจะยังรู้สึกสบายไม่อึดอัดหนอ ถ้าอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกนั่นไม่ใช่แต่เป็นการกลั้นลมหายใจจากการยึดที่อะไรสักอย่างหนอ
    ฌาณสี่หนอ ที่ว่ากายหายไปนั้น เพราะความรู้สึกทุกอย่างของเรามารวมกันอยู่ตรงจุดที่เรากำหนดนั้นเอง. มันมาชัดเจนเด่นสว่างอยู่ตรงนี้เองหนอ. จริงๆแล้วมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆที่จุดที่เรากำหนดตามกำลังของสมาธินั่นหล่ะหนอ

    ตรงนี้เองหนอที่ผู้ปฏิบัติจะรู้ตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้ว่า. ที่ท่านกล่าวว่าแม้ในฌาณก็ยังมีตัวตนอยู่ เพราะเราจะรู้ได้เลยว่า แม้มันจะไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ยินดียินร้ายไม่มีอะไร แต่มันยังมีเราอยู่
    และเมื่อย้อนสมาธิกลับมา สิ่งที่เรารู้ได้ชัดที่จิตพยายามจะจับไว้คืออะไรรู้ไหม. คืออุปทานนั่นไง มันยังห่วงตัวตนของมันอยู่หนอ

    นี่เป็นภาคสมาธิแบบคร่าวๆหนอ ต่อไปจะเอาเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. มาเล่าหนอ. จากผลที่เห็นจากการปฏิบัติเลยหนอ

    สุดท้ายนี้อย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นต่อสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลยหนอ. ทำใจให้เป็นกลางด้วยหนอ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    คุณ xeforce คุณ comxeoo ครับอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง
    พอเข้าใจครับว่าคุณเจตนาดี..และที่อ่านดูที่แนะนำมาใน
    กระทู้นี้ไม่มีใครเค้าว่าคุณคิดเอาเองหรอกครับ.
    การที่คุณสรุปอย่างนั้นนั่นหละครับที่เค้าเรียกว่าความคิดที่เกิดจากจิต
    ของคุณเอง.คุณตีเจนตารมย์ของผู้มาตอบคาดเคลื่อน..
    แต่ละคนที่มากล่าวเตือนเค้าไม่ได้มีอะไรแอบแฝงด้วยครับ
    เป็นการแนะนำกันฉันมิตร...เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้ว
    คุณยังไม่ทันความคิดที่เกิดจากจิตเฉยๆครับ.

    .ซึ่งคุณต้องเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นที่ต่างๆมุมมอง
    ด้วยครับ.การที่คุณเข้าใจว่าคุณเข้าใจธรรมอย่างท่องแท้ได้
    หน้าที่คุณคือการอธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจในสิ่งที่เค้าสงสัย
    เน้นประเด็นนี้มากกว่าจะให้คนอื่นๆมาเข้าใจในสิ่งที่
    คุณกำลังถ่ายทอดหรือจะพยามยามให้คนอื่นๆเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น..

    เรื่องการบรรลุธรรมอะไรเนี่ยระยะเวลา
    ในการกลั่นกรองอะไรเนี่ยมันไม่ใช่ประเด็นหลักครับ.
    ประเด็นมันคือว่าคุณ รู้ เข้าใจ และเข้าถึงจริงๆหรือเปล่า
    คุณเข้าใจทุกมุมมองแล้วหรือยัง..หรือว่าจะต้องมาทางคุณฝ่ายเดียว
    แล้วเอะอ๊ะ อะไรก็อ้างว่าตนปฏิบัติหรือทำแนวทางของพระพุทธฯครับ
    หรือคิดว่าตัวเองเข้าถึงแล้ว..ทำไมเพียงการถ่ายทอดเพียงบางมุม
    มันถึงมีปัญหาในการถ่ายทอดอย่างนี้ครับ.....
    เราควรมองตัวเองครับ..ว่าเราถ่ายทอดอะไรแล้วเค้าไม่รู้เรื่อง
    ควรจะต้องมาย้อนดูตัวเองว่า.การถ่ายทอดของตนเองเป็นอย่างไร.
    ไมใช่จะย้อนให้คนอื่นมาอธิบายปฏิปทาคืนครับ.
    คุณแค่ย้อนมองตัวเองแล้วอธิบายให้เค้าเข้าใจ
    ถ้าคุณบรรลุธรรมอะไรของคุณจริงๆ.
    เชื่อว่าบุคคลที่เข้ามาอ่านสามารถพิจารณาเองได้ครับ...


    บางคนเค้าสะสมวาสนาบารมีมาดี.วาระเค้ามาถึงเค้าก็ไปได้
    ทะลุปุโปร่งได้ทั้งนั้นหละครับเรื่องการบรรลุธรรมอะไรเนี่ย
    ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า..เค้าหรือคุณจำเป็นต้องมาประกาศ
    บอกคนอื่นๆหรือไม่ครับ.หรือถ้าต้องบอกต้องตอบตัวเองให้ได้
    ว่าเพื่ออะไร..เราแน่ใจหรือยังว่าเราพ้นแล้ว.หรือเรายังต้องศึกษาอยู่
    ณ ที่นี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ด้วยกันทั้งนั้นครับ..
    ไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อะไรก็ตาม
    และเรื่องพวกนี้มันก็ไม่เกี่ยวกับการศีกษาอะไรด้วยครับ.
    ประเด็นนี้เป็นเรื่องธรรมดาไม่เห็น
    ต้องมากล่าวเสริมอะไรให้มากเพื่อมาเสริมอะไรหรอกครับ.

    .ประเด็นมันอยู่ที่สิ่งที่คุณถ่ายทอดครับ.
    .ที่จะเป็นตัวบอกถึงระดับปัญญาทางธรรมของคุณได้.
    .คุณไม่ต้องไปย้อนอดีตอะไรเพื่อยืนยันสิ่งที่คุณถ่ายทอด
    ให้เสียเวลาหรอกครับ.เรื่องทำนองนี้สิ่งที่คุณถ่ายทอด
    ณ ปัจจุบันมันบอกได้เองนั้นหละครับ..เอางี้ครับ.
    เห็นคุณเน้นเรื่องอาปานสตินะครับ..ถ้าทำได้จริงๆ
    เวลาผ่านมานานลมหายใจคุณคงละเอียดมากแล้วครับ.
    และยังพูดไปถึงเรื่องวิปัสสนาด้วย.
    แสดงว่าคงรู้กิริยาทางจิตหลายๆอย่าง.ลองตอบคำถาม
    ของคนที่จะเริ่มต้นเดินปัญญาทางธรรมได้.ย้ำว่าเริ่มต้นนะครับ
    หรือคนที่จะขึ้นบ้านได้.แต่ต้องไม่ลืมว่าบ้านมันก็มีฝุ่นถ้าไม่ทำ
    ความสะอาดมันก็จะสกปรกและก็จะอยู่ไม่ได้นะครับ.ก่อนที่จะ
    ไปพูดถึงเรื่องบรรลุธรรมนะครับ..ขออนุญาตถามหน่อยนะครับว่า..


    ๑.ความคิดที่เกิดจากจิตฐานหรือจุดกำเนิดเค้าอยู่ตรงไหนครับ..
    กิริยาที่เป็นนามธรรมของความคิดตัวนี้เป็นอย่างไร
    ในลักษณะที่อธิบายให้คนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจง่ายๆ.และถ้าจิต
    คุณมาทางสัมผัสพิเศษก็จะถามว่า..หน้าตาความคิดที่เกิดจากจิต
    ตรงนี้เป็นอย่างไรครับ.ตอนที่มันปรากฏขึ้นมาหน้าตามันเป็นแยกไร..

    ๒.ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมกิริยาของเค้าเป็นอย่างไรครับ.จุดกำเนิด
    หรือฐานของเค้ามันอยู่ตรงไหนครับ..ถ้าคุณมาทางสัมผัสพิเศษ
    ก็จะถามว่าเค้ามาจากทางด้านไหนครับ..ลักษณะเด่นอะไรที่จะบอก
    ได้ว่าความคิดตัวนี้เป็นขันธ์ ๕ นามธรรม..

    ๓.ถ้าหากความคิดที่เกิดจากจิต กับ จิตมันแยกกันได้ครั้งแรก
    ลักษณะกิริยาที่เกิดขึ้นทางกายมันเป็นอย่างไรครับ..
    และถามต่ออีกว่าถ้าคุณไปแยกมันในระดับกำลังสมาธิระดับสูง
    กิริยาทางจิตมันจะเป็นอย่างไรครับ..

    ๔.จิตกระเพื่อมกิริยามันเป็นอย่างไรครับ..และมันกระเพื่อมเพราะอะไร
    และเวลาจิตมันเกิดกิริยาหน้าตามันเป็นอย่างไรครับถ้าถึงขั้นมันจะรวม
    กันเป็นวงกลมได้..มันมีกี่ขั้นตอน แต่ถ้าคุณผ่านเรื่องราวในอดีตผ่าน
    ชีวิตมาพอสมควรไม่ต้องตอบในกิริยาที่ ๑ กับ ๒ ก็ได้ครับ...

    ๕.คุณเข้าใจคำว่า ปิ๋งแว๊บ ไหมครับว่าเป็นอย่างไร..
    เอาแค่นี้ก่อนครับ..เอาแค่ระดับเด็กหัดคลานเพื่อเริ่มเดินปัญญา
    ลองตอบให้ได้ก่อน..ยังไม่ต้องไปถึงขั้นมีปัญญาทางธรรมมากมาย
    ถึงขั้นระดับบรรลุธรรมอะไรครับ..ลองตอบด้วยปัญญาทางธรรม
    ของคุณที่มีด้วยครับ..เอาจากการปฏิบัติเลยครับ.ที่ถามเนี่ย
    ว่ากันแบบสายสุขวิปัสสโกเลยครับ..ยกเว้นคุณจะตอบในประเด็น
    ถ้าคุณมีความสามารถทางจิตร่วมด้วยก็ไม่ว่ากันครับ..

    ปล.ไม่ได้มาเพื่อที่จะทดสอบนะครับ..มาแบบมิตรทางธรรม
    ขอบคุณมากครับ..
     
  3. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    อย่าไปตามตัวรู้ ใช้ สติ พิจารณาดูตัวรู้ให้ละเอียด ก็จะ เห็น ธรรม เอง

    สาธุเจริญธรรม
     
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สาวกโลกอุดร การที่กล่าวต่อไปนี้ว่าตามที่หลวงปู่แสดงประกอบกับผลที่ผมปฏิบัติตามบางส่วน มิได้มีเจตนาจาบจ้วงหรือลบหลู่คณาจารย์ผู้ใด ดังนี้ครับ
    หลวงปู่แสดงไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ด้วยการเพ่งลมหายใจ แต่ตรัสรู้โดยการเพ่งที่ความคิดที่จุดมโนทวาร เรื่องลมหายใจนั้นพระพุทธองค์ได้กระทำแล้วเมื่อครั้งบำเพ็ญทุกข์จนร่างกายผอมโซก็ไม่สำเร็จ พระองค์สำเร็จเมื่อความคิดดับ ทุกสิ่งอย่างทั้งกุศล อกุศล หรือกิเลสทั้งหลายก็ล้วนอาศัยความคิดเกิดมาทั้งสิ้น ความคิดนี้ละคือสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล
    คำแปล "นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" หลวงปู่ว่าสูญจากความคิดนิมิตรพร้อมกับอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ในระหว่างทรงฌานสมาบัติ เรียกอย่างหนึ่งว่า "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"
    พระอรหันต์ออกจากฌานนิโรธสมาบัติ อยู่กับวัดกับวา เดินไปมาทั่วๆไปก็เป็นนิพพานอีกอย่างเรียกกว่า "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"
    ตามคำถามขอตอบว่ายังไม่พอครับ
     
  5. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    อ้างอิง

    "ยังไม่รู้แจ้ง ยังเป็นความรู้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถึงฝั่ง ก็อย่าเพิ่งประกาศตน
    อย่าเอาความคิดจินตนาการ คาดเดาเพิ่มเติม ในส่วนที่ตนยังปฏิบัติไม่ถึง
    รู้แค่ไหน แนะนำต่อเพียงเท่านั้น อย่าให้มันเลยภูมิของตนเอง"

    "ความรู้แจ้งในการปฏิบัติ มาจากภายใน ไม่ใช่มาจากภายนอก
    กลับไปเจริญสติให้ต่อเนื่อง และให้เลิกคิดเรื่องสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะความคิดตัวนั้นมันปิดบังความจริง
    เมื่อไหร่ ที่จับตัวผู้ที่มันกำลังคิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ ก็เห็นความจริงเมื่อนั้น"

    "อย่าพึงเอาความคิดหรือทิฐิมานะ ของตนเองเข้ามาคิดวิเคราะห์หรือตัดสินครับให้วางไว้ก่อน"

    "เป็นแค่ความฟุ้งซ่านเป็นแค่การคิดนึกไม่ได้เกิดจากการรู้ชัด จุดเกิดมันอยู่ที่สมองจะต่างจากความคิดที่เกิดจากการรู้ชัดซึ่ง
    จะเกิดจากจุดที่เรากำหนดจิตไว"


    คุณนพกานต์กล่าวว่า"กระทู้นี้ไม่มีใครเค้าว่าคุณคิดเอาเองหรอกครับ. การที่คุณสรุปอย่างนั้นนั่นหละครับที่เค้าเรียกว่าความคิดที่เกิดจากจิตของคุณเอง"
    .......................................
    ลองอ่านในกระทู้ดีๆนะครับ เชื่อว่าคุณก็น่าจะรู้ เอาตามความเป็นจริงนะครับ แล้วช่วยแปลความหมายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


    ผมก็เพียงบอกให้ไปอ่านสิ่งที่ผมโพสให้จบก่อน.. เป็นอย่างนี้จริงๆ บางคนไม่เคยอ่านด้วยซ้ำ
    ถ้าอย่างคุณ chura ที่เห็นแย้งนั้น เค้าอธิบายว่า ไม่เห็นด้วยกับผมยังไง.. ผมก็ชี้แจงไปตามควร
    อย่างนี้เรียกว่าอ่านแล้ว เจอจุดที่เห็นไม่ตรงกัน ก็ได้กล่าวมา.. อย่างนี้เกิดประโยชน์ และผมน้อมที่จะแก้ไข
    เห็นการกระทำผมไหมครับว่า มีคนพอโจทย์มา.. ผมก็ชี้แจงกลับไปเกือบจะทุกครั้ง เพราะผมเห็น
    ว่าเค้าเป็น "บัณฑิต" วิสัยที่ยังสามารถชี้แจงทำความเข้าใจกันได้


    ส่วนเรื่องการ "บรรลุธรรม" อ่านดูดีๆนะครับว่าผมไม่ได้กล่าวถึงแล้ว แล้วนี่เป็นเหตุให้เปลี่ยน id
    เพราะใน id ชื่อ xeforce ผมกล่าวแต่เรื่องบรรลุธรรม แล้วชี้แจง อธิบายไปหมดแล้ว ส่วนเหตุผล
    ที่ประกาศ ผมก็บอกไปแล้วว่าเพราะอะไร ก็ต้องย้อนกลับไปคำถามที่ผมถามกลับข้างบนนั่นแหละครับ
    ว่าอ่านที่ผมโพสหรือเปล่า .... ถ้าเป็นตัวผมเองถ้าไม่อ่านของใคร ผมจะไม่คอมเม้นท์ ไม่โจทย์ใครนะครับ
    ผมไม่ได้สำคัญว่าคนจะต้องมองผมเป็นอะไร ก็เลยเปลี่ยน id จะได้ไม่ติดภาพว่า ผมเป็นอะไร
    ส่วนจะบรรลุจริงหรือไม่จริง ผมย่อมรู้ตนเองดี และทุกอย่างก็ได้เขียนไว้เกือบจะทั้งหมดจริงๆ จะให้อธิบาย
    ขณะนั้นก็ยินดีครับ แต่ผมกล่าวไปจะเชื่อหรือเปล่าแค่นั้น.. ถ้าคุณเคยเกิดขึ้นเหมือนกัน คงไม่มาถามผมตั้งแต่
    ผมชี้ให้ดูอะไรแล้ว
    ส่วนเรื่องการถ่ายทอด ตรงนี้เป็นปัญหาของผมจริงๆ มันพยายามบอกอธิบายสิ่งที่อยู่ข้างใน แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย
    ทุกกระทู้ไม่ได้กางตำรามาเขียน ถ้าใช้คำผิด หรือความหมายไม่ตรง... อย่างนี้ผมพยายามแก้ไขอยู่
    แต่ก่อนผมจะแก้ไขตนเองเรื่องการใช้คำ ที่ต้องตั้งกระทู้ก่อน ไม่รอเวลาให้ผมเขียนได้ดีก่อน เพราะบางคน
    อาจได้ประโยชน์ อาจได้เป็นจุดเปลี่ยนของเค้าก็ได้


    ส่วนในเรื่องคำถาม 1-5 ก็ต้องย้อนกลับไปว่าเคยอ่านที่ผมแสดงความคิดเห็นไว้ในที่ต่างๆไหม อ่านกระทู้ผมหรือเปล่า
    ก็ต้องกลับไปคำถามที่ผมถามกลับ ใน#19... และในคำว่า "ปิ๊งแว๊บ" ถ้าหมายถึงขณะบรรลุธรรม ก็ต้องบอกว่าย้อนกลับ
    ไปอ่านที่ผมเคยเขียนไว้อีกนั่นแหละ .. ที่หยิบของเก่ามา ก็เพราะผมไม่อยากพิมพ์แล้ว จะวันนี้วันไหนก็ตอบเหมือนเดิม และ
    เป็นสิ่งที่เคยกล่าวไปแล้ว ...


    "หรือว่าจะต้องมาทางคุณฝ่ายเดียว แล้วเอะอ๊ะ อะไรก็อ้างว่าตนปฏิบัติหรือทำแนวทางของพระพุทธฯครับ หรือคิดว่า
    ตัวเองเข้าถึงแล้ว..ทำไมเพียงการถ่ายทอดเพียงบางมุม "



    ก็เพราะผมผ่านมาทางนี้ จะบอกคนไปทางอื่นหรือครับ ซึ่งเหตุผลนี้ก็เคยบอกไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายใจให้ใครทุกคน
    ก็ปฏิบัติแบบนี้ มีตรงไหนไหมครับที่ผมกล่าวว่า "ต้องปฏิบัติอานาปานสติเท่านั้น อย่าไปปฏิบัติอย่างอื่น"
    แต่จะตรงตามคำสอนพระพุทธองค์หรือไม่ ก็ต้องถามว่า คุณเข้าใจหรือเปล่าว่า พระพุทธองค์ สอนอะไร ถ้าทราบก็ไม่สงสัย
    สิ่งที่ผมกล่าว แม้ผมจะหยิบ "พุทธพจน์" มาให้เทียบในกระทู้เลย ไม่ต้องไปหาเปิดเอง ถ้าจะดูว่าใช่หรือไม่ ก็กระทู้นี้ผมรวม
    ไว้ไห้แล้ว ///// เชิญน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปปฏิบัติกัน ///// ถึงจะไม่มากแต่ก็จะพอทราบว่า พระพุทธองค์
    ให้ปฏิบัติอย่างไร เพื่ออะไรครับ




    ...........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2014
  6. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    เรื่องลมหายใจนี่ก็สนุกดีนะครับท่านอาจารย์ทั้งหลาย เพราะเป็นการบำเพ็ญโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเรย ลงแรงอย่างเดียว หนุกหนานเฮฮากันไป อย่าตึงมากเครียดมากเกินไป:cool:

    อยากแชร์ประสบการณ์ให้อ่านเล่นๆนะครับ อย่าเพิ่งเครียดกันเสียก่อน เผื่ออนาคตผู้มาใหม่ผ่านมาอ่านเจอเดี๋ยวจะสับสนและมัวพะวงกับคำว่า "บรรลุธรรม" ทำให้เข้าใจผิดว่า การปฏิบัติธรรมมันยุ่งยาก ซับซ้อน มีติดยศ มี ฯลฯ...อาจทำให้เสียเวลา และท้อถอยในการบำเพ็ญเพียรได้ ส่วนท่านผู้เจนจัดในวงการก็ปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน เท่าที่เคยเจอในการกำหนดลมหายใจนี่ บางครั้งแม้แต่ลมหายใจจิตมันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นนะ เพราะแม้แต่ลมที่เข้ามาสู่ร่างกายนี้ มันก็เต็มไปด้วยฝุ่นผง สิ่งสกปรกโสโครกเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมดจิตมันจะอ้วกใส่ด้วยซ้ำไป จิตมันจะวิ่งตามลมเข้าไปถึงในร่างกาย ถ้าแม้แต่ลมหายใจยังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ร่างกายเรานี่ไม่ต้องพูดถึงเลย คงดูไม่ได้ล่ะ...หลังจากนั้นจิตมันก็จะละจากลมหายใจไปดูลมที่มาปะทะกับปลายจมูกแทนเพราะลมหายใจมันแผ่วเบาจนรับรู้ไม่ได้แล้ว...ช่วงนี้ถ้าอยากจะเล่นกสิณก็สามารถทำได้ เหมือนลมเป็นเพื่อนรัก เรียกปุ๊บก็มาปั๊บ ย่อให้เล็ก ขยายให้ใหญ่เต็มหน้าก็ได้เหมือนกัน...นี่คือความไม่แน่นอนและไม่น่ายึดมั่นถือมั่นของกองลมทั้งปวง...เลยจากนั้นแล้วก็อาจจะเข้าสู่ความวางเฉยไป...ท้ายที่สุดสิ่งที่พอจะยึดมั่นถือมั่นได้เท่าที่ฝึกหัดมาด้วยตัวเองก็คือ "สติ" นี่แหละ...เลยจาก "สติ" นี้ไม่รู้เพราะยังไม่ถึง :p ...ส่วนทางทฤษฎีไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ เน้นปฏิบัติอย่างเดียว มีภารกิจที่ต้องตามหาคือ จิตเดิมแท้ที่ปราศจากกิเลสเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้นจิตไม่สน กิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้นในจิตก่อน ก็ตามดู ตามรู้ ตามเห็นตามความเป็นจริง สอนจิตไปเรื่อยๆ แพ้บ้าง ชนะบ้างจะเป็นไรไป ทำมันเรื่อยๆหมดลมหายใจเมื่อไหร่ก็จบสิ้นกันเท่านั้นเอง...ไม่รู้ว่าเดินจิตแบบนี้ ชาตินี้จะได้มีโอกาส "บรรลุธรรม" หรือได้ติดยศเหมือนพวกท่านบ้างรึเปล่าหนอ ส่วนเรื่องใครดี บรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ผมโมทนาก่อนเลย:p ใครไม่ดีตักเตือนแนะนำได้ก็ทำ ถ้าเกินความสามารถก็ยึดแบบตามโครงการหลวง "ชั่งหัวมัน" ไม่เอาเข้ามาให้จิตเดือดร้อน...:p ผิดพลาดประการใดอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายโปรดชี้แนะด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2014
  7. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    .......................

    แต่สังเกตุนะครับ ผมตั้งกระทู้ขึ้นทีไร ต้องมีความขัดแย้งขึ้นทุกที
    มีซักกระทู้ไหมครับที่ผมไปเพ่งโทษผู้อื่น ลองย้อนไปอ่านได้เลยครับ

    "ขาใหญ่"ในนี้เป็นอะไรกันครับ หรือกลัวอะไร
    ผมเพียงประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น นะครับ


    .......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2014
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เข้าใจว่า เพียงพอ ต่อการบรรลุธรรม ทำนิพพานให้แจ้ง :cool:
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็มัวแต่เป็นเสียแบบนี้แหละนะ จึงไม่ได้เห็นของจริงสักที

    ผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆ ที่เข้ามาคุยด้วยในกระทู้นี้ เขาก็ไม่ได้แย้งกันเอง กลับเห็นเป็นในแนวทางเดียวกันไปเสียอีก น่าจะลองมองย้อนกลับดูสักนิดนึงนะ ว่า ที่เขาเห็นเป็นแนวทางเดียวกัน เพราะเขาผ่านจุดนี้ไปแล้วหรือเปล่า?

    แก่นแท้ของธรรมะ มีแค่ ขันธ์ กับ ผู้เข้าไปรู้ขันธ์

    ไอ้ที่ไปเห็นเกิด ดับ นั่นหนะ คือไปเห็นสภาวะของขันธ์

    แต่ยังไม่ทันได้เห็นผู้ที่เข้าไปรู้ขันธ์เลย

    ไอ้ผู้ที่เข้าไปรู้ขันธ์ นี่แหละ ตัวตนที่แท้จริง หากยังไม่เห็นมัน หรือยังไม่เห็นอาการของมัน ก็ยังไม่ได้รู้จักกับคำว่า สักกายทิฏฐิ ที่แท้จริงหรอก
    เห็นแต่สิ่งที่ถูกยึด แต่ไม่เห็นผู้ที่เข้าไปยึดถือ ที่เป็นผู้ที่ก่อชาติภพ ไม่เห็นอาการของการเข้าไปยึดถือ ที่เป็นอาการของการก่อชาติภพ
     
  10. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    แก่นแท้ ของธรรมะ คือ การเจริญสติ จนจิตตั้งมั่น เป็นกลาง น้อมไปเพื่อเห็น สภาวะของขันธ์
    ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน .. จนจิตเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติ ของรูปและนาม
    การที่เพียรเจริญสติ เป็นเพียงอุบาย ให้จิตตั่งมั่น เพื่อไปเห็นสภาวะไตรลักษณ์ จนเห็นเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย
    ไม่ยินดี จนจิตสลัดคืน จากอุปาทานทั้งหลาย จิตจึงหลุดพ้น




    แต่ที่จริงเรื่องนี้ก็เคยคุยกับคุณ อินทรบุตร ไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะครับ เรื่องเดิมเลย
    คุณอินทรบุตร บอกแต่ว่า "ให้เข้าไปรู้" แต่ต้องบอกให้หมดนะครับว่า พระพุทธองค์ ให้ปฏิบัติแค่นั้นหรือครับ


    "อานาปานสติ" นั่นแหละครับ คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ และยิงตรงไปถึงเหตุ ได้แบบอัศจรรย์ที่สุด
    เข้าไปถอนอนุสัยที่ฝักรากอยู่ในจิต ละตัณหา เป็นต้นตอขออุปาทาน ดับมันที่เหตุเลย
    ไม่ต้องเข้าไปรู้มันหรอกครับ "อาการของการเข้าไปยึดถือ หรือตัวเข้าไปยึด"... หมดความยึดถือ ก็จบเหมือนกัน

    จะมาทำของง่ายให้เป็นของยากทำไมครับ... พระพุทธองค์ ตรัสสอนไว้แล้ว เรื่องอานาปาสติที่ทุกคนทำได้
    มีลมหายใจกันทุกคน และเจริญได้ทุกเวลา ตรัสทางง่ายแล้ว เข้าไปดับที่เหตุเลย ไม่ยุ่งยาก คนธรรมดาหยิบวิธีมาทำ
    ได้เลย คือ เพียรมีสติมาระลึกที่ลมหายใจ ถ้าไปสอนเค้าว่า ไปดูที่ "อาการเข้าไปยึดขันธ์ซิ" คนปฏิบัติใหม่เค้าจะปฏิบัติ
    อย่างไร


    ที่ผมมาโพสในที่นี้ก็ช่วยแก้ความเห็นผิด ไม่แปลกหรอกครับที่จะแย้ง เพราะถ้าวางจิตถูก โฟกัสสิ่งที่ต้องทำให้ถูก
    เห็นธรรมกันไปแล้ว ไม่มาแย้งคำที่ผมกล่าว ที่เป็นคำเดียวกับพระพุทธองค์หรอกครับ
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผมไม่มีเหตุอะไรจะมาพูดแย้งพระพุทธองค์หรอกนะ ไอ้ทั้งหมดที่ผมปฏิบัติมานี่ ก็ยังไม่เจออะไรที่แย้งกับพระพุทธองค์แม้แต่อย่างเดียว

    การเจริญสติ ผลที่สุดแล้ว ก็คือการแยกส่วนที่ ไม่เกิด ไม่ดับ ออกจากส่วนที่เกิดดับ การจะแยกส่วนที่ไม่เกิด ไม่ดับ ออกจากส่วนที่เกิด ดับ ก็ต้องเห็นมัน และ อาการของการเข้าไปผสมกันระหว่างสองส่วนนี้ให้ได้เสียก่อน

    เรื่องนี้ ไม่มีอะไรยาก ของมันมีอยู่ของมันยังงั้นอยู่แล้วมาตั้งแต่แรก เลิกเอาความคิดเข้าไปปิดบังมัน ก็เห็นมันได้เลย

    ถ้าพูดไปแล้ว คุณยังยืนยันแบบนั้นต่อไป ก็เป็นเรื่องของคุณเอง กรรมของคุณเอง ไม่กระทบอะไรกับผมอยู่แล้ว

    แต่จะให้ผู้ที่ไม่รู้แจ้ง เอาความรู้ครึ่งๆ กลางๆ มาบอกว่าเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ อันนี้จะทำให้นักปฏิบัติท่านอื่นที่อ่านแล้วใช้ความคิดสัญญาเข้าจำ มีโอกาสหลงทางไปได้
     
  12. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    กำหนดรู้ลมหายใจไม่สำเร็จ ไม่สมหวังก้ทุกข์
    กำหนดรู้ความทำยานอยากที่จะรู้ลมหายใจก็ได้
    กำหนดรู้ที่ฟุ้งในลมหายใจก็ได้
    ฟุ้งในรู้ รู้ในฟุ้ง
    มีอานิสงค์
    ถ้าไม่อุทิศกุศลให้กุศลเดิน

    ภาวนาดีแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะอวิชชาได้
    อวิชชาจะเอาชนะต้องอาศัยกุศล ที่แปลว่าฉลาดดล

    ขาดการโมทนา การอุทิศกุศลไม่ได้ห้ามขาด

    ฟุ้ง สงสัยยังมีกุศล
    แค่กำหนดรู้ในสงสัย สงสัยในรู้ เป็นทุกข์ให้หมด อุทิศกุศล
    กุศลแปลว่าฉลาด ทำให้อวิชชาอดอาหาร
     
  13. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ฟุ้งในกุศล กุศลในฟุ้ง
    ธรรมในธรรมทั้งสิ้น
    มีอานิสงค์
    จำเป็นต้องอุทิศ อุทิศเลยไฟท์บังคับ
    กุศลไม่เดิน ไม่มีทางเอาชนะอวิชชาได้
    อวิชชาร้ายกาจมาก
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    ไม่เป็นไรครับ คุณ xeforce ส่วนตัวอ่านแล้วครับ..และปกติก่อนจะตอบ
    คำถามก็มักจะอ่านเกือบทุกคำตอบก่อนที่จะตอบเป็นปกติครับ..
    ส่วนตัวมองว่า..ประโยค ที่คุณ อินทบุตร กล่าวที่คุณอ้างอิงมาให้อ่านอีกรอบ
    เป็นการกล่าวเตือนคุณ นะครับ หรือแม้แต่ที่ผมเขียนบอกคุณก็ตาม..
    คือ ถ้าเป็นผมนะครับ..ถ้ามีคนเค้ามาเตือนมาว่าเราเนี่ย..แสดงว่าเค้ายังเห็น
    ว่าเรายังมีความดีนะครับ..ถ้าเราเปิดใจรับฟังบ้าง ผิดถูกมันอีกประเด็น.หากเราเป็นอย่างที่เค้าว่า
    มาจริงๆมันยังมีโอกาสที่เราจะพัฒนาตัวเราเองได้นะครับ..
    ถ้าเมื่อไรที่ไม่มีใครสนใจคุณเลย.นั่นหละครับหายนะมาถึงทันทีครับ..

    และถ้าคุณเห็นว่าคนที่แนะนำคุณเค้าเข้าใจคลาดเคลื่อน
    คุณก็แสดงภูมิธรรมให้เค้าเห็น ให้เค้าประจักษ์ซิครับ..
    ยกเว้นบุคคลประเภทดำน้ำหรือพูดจาไม่มีเหตุผล
    แก้ตัวอ้างโน้นอ้างนี่.หรือประเภทอยากดีอยากเด่น
    พูดเอาหน้าสร้างภาพ.ประเภทนี้ก็ปล่อยๆไม่ต้องไปเสวนา
    ว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าแนะนำ..ถ้าคนปฏิบัติเค้ามอง
    ไม่เห็นมุมที่คุณมองไม่เห็นหากไม่มีเจตนาที่ดี เค้าจะมากล่าว
    เตือนคุณให้เสียเวลาทำไมหละครับสหายทางธรรมกันทั้งนั้น
    เห็นต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาปกติครับ....

    เราอยู่ข้างในเราจะมองไม่เห็นข้างนอกครับ.วางใจเป็นกลางหน่อยหนึ่ง
    ออกมายืนข้างนอกบ้างครับ..ดูในมุมที่คนอื่นๆเค้ามองเราบ้าง..ยืนดูด้วย
    กันหากเราดูแล้วเค้ามองคาดเคลื่อน..เราก็อธิบายให้เค้าฟัง.แค่นี้ง่ายๆเองครับ
    ไม่มีอะไรหรอกครับ..

    ส่วนตัวที่กล่าวกับคุณคงไม่มีอะไรแล้วครับ..สุดแต่จะเข้าใจครับ.ได้แค่ไหน
    ก็แค่นั้นครับ..ไม่ได้ซีเรียสและถือเป็นเรื่องสำคัญอะไรมากมายครับ.
    เราต้องทันความคิดที่เกิดจากจิตเราให้ได้ก่อนครับ..
    อย่างน้อยถ้าคิดอะไรไม่ออกนะครับเอาแค่ ๒ ประเด็นหลักว่า ความคิดเราตอนนี้มันเป็น กุศลหรืออกุศล ก็พอครับ.ค่อยๆพูด.ค่อยๆจากันนะครับ..ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ที่กำลัง
    แสวงหาทางหลุดพ้นเหมือนกัน.

    ขอบคุณครับ.;).
     
  15. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    พักเรื่องร้อนดีกว่า ข้าพเจ้าขอรบกวนกระทู้นี้หน่อยนะครับ

    ถ้าคุณ nopphakan ยังแวะมาดูอยู่ข้าพเจ้าขอรบกวนช่วยตอบคำถามสักหน่อยนะครับ

    วันหนึ่งมีเทวดาที่เป็นยักษ์เข้ามาคุยกับข้าพเจ้า เขาเคยเข้ามาทักบ้างแล้วแต่ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่ดูภายในและเอาสงบอยู่ แต่วันนั้นข้าพเจ้าได้ทบทวน มโนมยิทธิที่เคยฝึกมา แล้วยักษ์นั้นก็เข้ามาคุย พร้อมกับบอกว่า อย่าปัดนิมิตของเขาทิ้ง เขาจะคุยด้วย

    แล้วเขาก็บอกว่า เขาได้รับบุญกุศลจากข้าพเจ้าอยู่เสมอ (พร้อมชื่นชมอีกเล็กน้อย) เขาบอกว่า เขาถูกส่งมาให้มาเฝ้า ณ.บริเวณนี้เพราะมีวิญญาณผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำ (ข้าพเจ้าทำงานอยู่โรงพยาบาล) (ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดไปว่าไม่ใช่นายนิรยบาลหรือยมบาลหรอกหรือที่ต้องมาเฝ้า) เขาก็ตอบทันทีว่า พวกนั้นเขามีหน้าที่มารับไปยังภพนรกเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่มาเฝ้า พวกยักษ์จะมีหน้าที่เฝ้าตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และบริเวณที่มีวิญญาณผ่านเข้าออกเป็นประจำ ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจจะคุยต่อ ยักษ์จึงจากไป

    ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือเปล่าหนอ หรือใครพอจะรู้บ้างหนอ

    เราคุยกันสบายๆหนอ คลายเครียด

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    สวัสดีครับ..คริ คริ บังเอิญๆพอมีประสบการณ์บ้างเล็กน้อย.
    มันเป็นเช่นอย่างที่เค้าบอกนั่นหละครับ.เฝ้ากลุ่มวิญญานที่ยังเสวยวาระ
    ของตนเองอยู่แต่ไม่ใช่กลุ่มที่ต้องลงล่าง.เช่น กลุ่มที่พอมีบุญแต่ว่ายังติดสมบัติบางอย่าง
    กลุ่มที่ขึ้นมาจากภูมิสัตว์แล้วกลายเป็นภูตหรืออสูรกายบางกลุ่มก็ใช่
    หรือกลุ่มที่ยังไม่มีแรงบุญหนุนให้เปลี่ยนภพภูมิก็ใช่ ฯลฯ
    นอกจากว่าเฝ้าที่ไหนบ้าง
    ตามที่เค้าเล่ามายังมีที่เฝ้าสมบัติเก่าที่เกี่ยวข้องกับราชวงค์และพวกบุคคล
    สนิทที่เกี่ยวเนื่องกันด้วยครับ.เคยเจอทางภาคเหนือจำไม่ได้ว่าเชียงใหม่
    หรือเชียงรายนี่หละครับ.ที่พบโดยสหายสนิทของครูบาร์มีชื่อท่านหนึ่ง
    ทางภาคเหนือที่ว่าเข้านิโรธแล้วออกจากถ้ำมา...เป็นการเฝ้าใน
    ลักษณะที่รอเจ้าของเดิม และรอการนำสมบัติขึ้นมาแปรเป็นศาสนสถานเพื่อการบำรุงทำนุ
    พื้นฟูพระพุทธศาสนาหรือสืบทอดพระพุทธศาสนาครับ...
    เรียกว่าสหายสนิทท่านนี้สามารถเรียกขึ้นมาให้เราเห็นต่อหน้า
    แบบเต็มสองตาเลยครับ..


    และการปรากฏเป็นยักษ์นั้นเท่าทีพอทราบ
    ตอนนี้มี ๒ กรณีครับคือปรากฏ
    ๑.ในแบบชุดของการปฏิบัติหน้าที่แต่ของคุณพูดคุยด้วยไม่น่ามีปัญอะไรกัน
    ประเด็นนี้ก็แล้วแต่เราครับ.ว่าจะวางตัวอย่างไร.
    ไว้ถ้าว่าผมจะทำอย่างไรจะเล่าให้ฟังครับ..
    อ่อๆ..การปรากฏเป็นยักษ์ยังมีกรณีที่พันธมิตรหรือเทวดาประจำตัว
    เราปรากฏให้กลุ่มที่ชอบแอบดูจิตเราด้วยนะครับ..ถ้าใครเห็นว่าเรา
    มียักษ์เฝ้า..๕๕๕ (คงพอเข้าใจนะครับ)..

    ..และ ๒.การปรากฏให้เห็นสำหรับบุคคลที่มีความ
    สามารถทางจิตและล่วงรู้ว่าเค้ากำลังเฝ้าอะไรอยู่พูดง่ายๆ
    พวกสายตาดีทั้งหลายไม่ว่าจะดีแบบชั่วคราวหรือดีถาวร.
    แต่ว่าบุคคลนั้นยังไม่ได้รับความเกรงใจจากยักษ์ที่เฝ้าเท่าไรหรือบุคคล
    นั้นอาจจะยังมีเมตตาที่ออกจากจิตยังไม่พอสำหรับทางนั้น..
    ก็จะปรากฏเป็นในรูปแบบยักษ์นี่หละครับ.ยักษ์จริงๆเลยครับ
    แบบตัวใหญ่มากพร้อมอาวุธครบมือ.พร้อมรบครับ
    เพราะเค้าจะดูออกถึงเจตนาในการนำสมบัติขึ้นมาใช้ครับ..
    .แต่ถ้าใครเมตตาผ่านเกณฑ์
    หรือองค์ประกอบด้านต่างๆผ่านเกณฑ์ในระดับที่เค้าเกรงใจจะปรากฏ
    ในอีกรูปแบบหนึ่ง.เรียกว่าหนังคนละม้วนเลยครับ..

    ประมาณนี้ครับ ขำๆ คลายเครียดครับ.;).
     
  17. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    .....................

    ขอบคุณ คุณนพกานต์ นะครับที่เลือกจะรดน้ำให้กระทู้ ไม่สาดน้ำมันลงในกองไฟ
    และ สำหรับคำแนะนำที่คุณ นพกานต์ ได้เตือน จะน้อมมาพิจารณาตนครับ และผมก็เห็นว่าทุกคนเป็นกัลยาณมิตรกัน
    ที่เว็บพลังจิตนี้ ผมเห็นว่าเป็นที่ที่ดี ให้ผมได้มีโอกาสได้ทบทวน ใคร่ครวญธรรม ครับ


    .....................
     
  18. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ไม่มีใคร ขาใหญ่ หลอกครับ คุณเข้าใจ สภาวะธรรม ผิดแค่นั้นเอง มีแต่คนบอกแผนที่ให้กลับมาถูกทางครับ

    อย่าไปตามตัวรู้ครับ ถ้าตามตัวรู้มันก็ เป็นความคิด จิต มันจะเพิ่ม กิเลส ตัณหา อุปาทาน เข้ามายึดใน จิต อีก จิต มันชอบหลอกมันชอบเที่ยว ต้องเอา สติ พิจารณา ให้ละเอียดครับ จะเห็น ไตรลักษณ์ เองครับ

    สาธุเจริญธรรม
     
  19. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอขอบคุณ คุณ nopphakan มากครับ ผมเองโดยมากจะเน้นเรื่องปัญญา และสมาธิ เรื่องภพภูมินี่ไม่ค่อยรู้และไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แต่มักจะมีการมาบอกกล่าวจากทางภพภูมิอยู่เรื่อยๆ

    ขอเสริมต่ออีกนิดนะครับ ลักษณะจิตของยักษ์ที่เปล่งออกมาที่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ คือเหมือนกับเป็นมิตรและอยากคุยด้วยหน่ะครับ ไม่มีอารมณ์อื่น และที่เค้าโผล่มาตอนแรก โผล่มาเต็มแบบที่คุณบอกครับ ตัวใหญ่สีเขียวเป็นยักษ์มาเลย แต่เครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดแบบเหมือนเรื่องรามเกียรติ์หน่ะครับ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นกายเทวดาที่งดงามภายหลัง (กายนี่รู้สึกจะเป็นเหมือนแก้วนะครับ) ผมคิดว่าที่เค้าโผล่เป็นยักษ์มาก่อนเพื่อจะบอกว่าภพของเขาคือยักษ์นะ ประมาณนั้นครับ (ไอ้ตอนที่มีนิมิตเป็นยักษ์มานั้นผมยังประครองสมาธิอยู่เฉยๆ แต่พอภาพนิมิตเปลี่ยนมาเป็นอีกกายหนึ่งผมจึงคิดว่า เราอาจจะเลอะเลือนจึงจะปัดภาพนิมิตทิ้ง ตอนนี้เองที่เขาบอกว่า อย่าปัดนิมิตทิ้ง)

    ส่วนคุณ xeforce เอง ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ค่อยๆพูดค่อยๆคุย คุยไปพิจารณาตามไป แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กันไป เหมือนน้ำไม่เต็มแก้วหนอ

    เหนื่อยนักก็พักหน่อย ร้อนนักก็พักกินน้ำหนอ

    วันนี้คงพอแค่นี้ครับ

    สุดท้ายนี้ขอจงอย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2014
  20. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    เป็นโอกาสที่ได้สนทนาธรรม กับคุณWorkgroup นะครับ แต่ที่กล่าวมาส่วนตรงไหนเป็นการบอกว่าผม "ให้ตามตัวรู้" เท่าที่กล่าวมาไม่มีนะครับ ผมเพียงให้หมั่นเจริญสติ มาอยู่ที่ลมหายใจ เพื่อ ให้จิตตั้งมั่นเป็นกลาง เพื่อจะเห็นธรรมชาติ ของรูป-นาม ขันธ์5 ที่มันเป็นของไม่เที่ยง ... ที่ผมแนะนำคือ ให้หมั่นเอาสติมา อยู่กับลมหายใจ เป็นการละอารมณ์ ที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล ตัดได้ตั้งแต่ เวทนา>>ก่อนจะเกิดตัณหาด้วยซ้ำ และไม่ทำให้ อุปทานเกิดแน่นอนครับ ... ที่จริงเรื่อง "ตามตัวดู" เป็นเรื่องที่ผมคุยกับคุณ "อินทรบุตร" นะครับ ผมกล่าวว่าไม่ต้องดูที่ตัวผู้รู้ หรือ ตัวดูทั้งสิ้น ตัดอาหารของตัณหา อุปาทานไปเลย ไม่ทำให้อวิชาแข็งแรงด้วยครับ รบกวนอ่านดูอีกครั้งครับ โพสที่ 29 ,30 หรือกระทู้อื่นๆที่ผมเคยกล่าวไว้

    และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหลัก เลยนะครับที่ผมเน้นย้ำ เพราะจะทำให้จิตไปผูกติดกับอารมณ์ได้ง่ายถ้าคนอินทรีย์ไม่มากจริง และตรงกับพระสูตร "เธอย่อมยุบ ย่อมไม่ก่อ" ที่ผมชอบยกขึ้นมาบ่อยๆด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...