แก้วมณีโชติ สิ่งวิเศษสูงสุดในโลกิยภูมิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jets-one, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เครื่องลางของขลังต่างๆ ใครเป็นผู้ทำขึ้นก่อน - พุทธาคมกับไสยเวทย์

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/QqwoZ7-jRzg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/-d66Te5pABo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  2. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คลิปเสียง อ.เสถียร โพธินันทะ

    "พุทธาคมกับไสยเวทย์" นาทีที่ 38 เป็นต้นไป มันส์zzzz (ก่อนๆก็มันส์)

    ฟังให้ได้คติ นะ แต่อย่ามองเพื่ออคติ ไม่มัน
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ฤทธิ์ อภิญญาญาณ ไสยเวทย์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

    ขออนุญาตครับ

    การพิจารณา ต้องดูที่ว่า

    ๑ ท่านผู้นั้น เป็นที่พึ่งของผู้คนได้ หรือไม่?

    ๒ ท่านผู้นั้น ยกย่องครูบาอาจารย์ของตน ที่ท่านได้สอน ไสยเวทย์ หรือไม่?
    ๓ ท่านผู้นั้น เหยียบย่ำ ไสยเวทย์ หรือไม่?
    ๔ ท่านผู้นั้น ผ่าน ไสยเวทย์ ไปสู่ อภิญญาณ ได้หรือไม่?
    ๕ ท่านผู้นั้น มี ของวิเศษ ประจำตัว อะไรบ้าง?

    ครูบาอาจารย์สายพุทธภูมิระดับสูงๆนั้น ท่านได้ผ่าน ไสยเวทย์มาตั้งไกลแล้ว
    ท่านผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ท่านจะทำอะไร ท่านก็แค่ อธิฐานเอาเท่านั้นเอง

    แต่ครูบาอาจารย์สายพระหลายๆองค์ หลายๆท่านๆเรียนไสยเวทย์

    มาตั้งแต่ ก่อนออกบวช บ้าง
    เรียนมาตั้งแต่ บวชใหม่ๆ บ้าง
    หรือแม้แต่เรียนมาตั้งแต่ท่านยังไม่ได้ อริยะ บ้าง
    หรือแม้แต่เรียนมาตั้งแต่ท่านยังไม่ได้ อภิญญาญาณ บ้าง

    เมื่อองค์ท่านสำเร็จ ธรรมชั้นสูง แล้ว
    เมื่อองค์ท่านได้ อภิญญาญาณ แล้ว

    ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านก็สามารถปรับเปลี่ยน ผสมผสาน ให้เข้ากันได้

    ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
    ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้

    ท่านเหล่านั้น ต่างก็เป็นที่พึ่งของคนรุ่นหลัง ได้อย่างครอบคลุม ได้อย่างกว้างขวาง

    ท่านเหล่านั้นต่างก็ไม่ปฏิเสธ อดีตครูบาอาจารย์ของท่าน
    ท่านเหล่านั้นต่างก็ไม่ปฏิเสธ อดีต ที่ท่านเคยเรียน ไสยเวทย์มา
    ท่านเหล่านั้นต่างก็ไม่ปฏิเสธ ศิษย์รุ่นหลังๆของอดีตอาจารย์ของตน ที่ยังไปมาหาสู่

    อยากหาครูบาอาจารย์ระดับสุดยอดเหล่านี้ ง่ายนิดเดียว ให้ดูที่

    ๑ ท่านจะใส่เสื้อกล้ามสีดำ ซ้อนอยู่ข้างใน สบง จีวร ของท่าน
    ๒ ท่านมักจะสักลาย อยู่ภายในตัวของท่าน โดยเฉพาะด้านแผ่นหลัง
    ๓ มีแต่ศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้นที่รู้ความเป็นไป ความเป็นมาขององค์ท่าน
    ๔ บางท่านสูงส่งขนาด อยู่ดีๆ เอาเหล็กไหล มาแจกลูกศิษย์ ก็ยังพอมี

    แม้ท่านจะผ่าน ไสยเวทย์ ไปสู่ อริยะ ไปสู่ อภิญญาญาณ แล้วก็ตาม
    ท่านเหล่านั้น ไม่เคยปกปิด ไม่เคยเหยียบย่ำ เรื่อง ไสยเวทย์
    ที่สุดยอดก็คือว่า ท่านสามารถช่วยเหลือผู้คน หรือ แม้แต่พระด้วยกันเอง
    ที่โดยไสยเวทย์เล่นงาน ได้อย่างง่ายดาย
    เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่า ท่านเคยเจนจบ เรื่อง ไสยเวทย์ มาแล้ว
    เมื่อท่านก้าวเข้าสู่ อริยะ เมื่อท่านก้าวเข้าสู่ อภิญญาญาณ
    ท่านจึงมีความช่ำชองอย่างยิ่ง

    ท่านเหล่านี้ ท่านจึงสามารถสร้างศรัทธามหาชนได้อย่างง่ายดาย
    ขอยกตัวอย่างเช่น

    ๑ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
    ๒ หลวงปู่คูณ ปริสุทโธ
    ๓ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นต้น

    ส่วนพวกที่เคยเรียน ไสยเวทย์มาแล้ว กลับมา เหยียบย่ำ ไสยเวทย์
    ส่วนพวกที่เคยเรียน ไสยเวทย์มาแล้ว กลับมา เหยียบย่ำ ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนไสยเวทย์ของตน
    พวกที่อวดเด่น พวกที่อวดดัง พวกที่เจื้อยแจ้ว อยู่ตามยูทูป

    ก็เพราะว่าพวกนี้ นึกไม่ถึงว่า จะมีคนรู้เท่า รู้ทันพวกตน

    ก็เพราะว่าพวกนี้ นึกไม่ถึงว่า ครูบาอาจรย์ที่เคยสอนตน จะได้มาดู ยูทูปด้วย

    แม้กระทั่งพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์ก็ไม่เคยปฏิเสธว่าพระองค์เคยเรียนกับ ท่านอาราฬดาบถ ท่านอุทกดาบถ
    แถมพระองค์ท่านยังรำลึกนึกถึง อดีตครูบาอาจารย์เป็นลำดับแรก เมื่อพระองค์ท่าน สำเร็จโพธิ์ญาณแล้ว

    สรุป เมื่อครูบาอาจารย์ ที่ท่านเคยเรียน ไสยเวทย์ มา
    แล้วท่านมาผ่าน อริยะ แล้วท่านมาผ่าน อภิญญาญาณ

    ท่านจึงสามารถ ตั้งหลักสูตรใหม่อันเหมาะสม ออกมาได้
    ท่านจึงสามารถ ตั้งหลักสูตรใหม่อันเหมาะสม ที่ฝึกง่าย ที่ให้ผลเร็ว ออกมาได้

    เพียงแต่ว่า จะตามหาท่านเจอ ได้อย่างไร?
    เพียงแต่ว่า จะมีบุญวาสนา ให้ท่านรับเป็นศิษย์ ได้หรือไม่?
    เพียงแต่ว่า จะมีคุณสมบัติ ครบถ้วน ตามที่ท่านกำหนด เอาไว้หรือไม่?

    เคยได้ยินองค์ท่านบ่นดังๆออกมาว่า


    "ฆ่ามดตายตัวเดียวยังกลัวบาป แล้วจะเรียนมาฝึกทางฤทธิ์ได้อย่างไร?"
    "แล้วรู้กันหรือไม่ว่า ฤทธิ์มันคืออะไร?"


    สรุป ไม่มีพราหม พระพุทธเจ้า จะไปเริ่มต้นที่ไหน?
    สรุป ไม่มีไสยเวทย์ ฤทธิ์ จะไปเริ่มต้นที่ไหน?
    สรุป จะมีซักกี่ท่าน ที่ได้ฤทธิ์มาด้วย อภิญญาญาณ โดยไม่ผ่าน ไสยเวทย์มาก่อน ไม่ว่าชาตินี้ หรือ ชาติไหน?

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  4. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ที่พิมพ์มาทั้งหมด

    ลุงมหา ผู้เข้าใจว่าตนผ่านการปฏิบัติอยู่ในภูมิอนาคา เป็นสาวกของพระศาสดาองค์ปัจจุบัน(ไม่ใช่สาวกของโพธิสัตว์ใดๆ)

    ฟังในยูทูบ ที่นำมาลง จบแล้ว หรือยังครับ ?
     
  5. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ถ้าหากลุงมหา ผ่านภูมิอริยะ จริง เป็นสาวกสังโฆ ของพระผู้พระภาคเจ้า จริง ย่อมชี้คุณและโทษได้

    ควรจะแนะนำให้ปุถุชน มีหลักมีที่พึ่งอันแท้จริง มีสุปุพพัณหะ ประจำใจ

    ดีกว่าที่จะไปพึ่ง ในสิ่งที่ทำให้เนิ่นช้า ไม่ดีกว่าหรือ

    ประวัติครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ อีกท่านหนึ่ง คือ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ เป็นตัวอย่าง ในพระสาวกองค์ปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2014
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ยกมาให้ดูกันอีกที

    ขออนุญาตครับ

    ขอยกมาให้ดูกันอีกที

    ท่านที่เข้ามาอ่าน ถ้าท่านมีสัมมาทิจฐิ ถ้าท่านมี สติปัญญาพอ

    คงจะสามารถหาประโยชน์ได้

    ส่วนบางท่าน อธิบายกันขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ

    ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ


     
  7. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ขออนุญาต

    หากผู้เข้าถึงธรรม เข้าถึงสัมมาทิฏฐิ เข้าถึงอริยสัจจ์ โดยโลกุตระ

    แต่เหตุไฉน เผยแผ่ชักนำ ในสิ่งที่ขัดกับโลกุตระธรรม

    หรือว่าสัตว์เหล่าใด ในโลกียะ ยังมีธุลีมืดมิดปิดปัง ไม่มีอำนาจวาสนาพอ ที่จะเห็นแสงสว่าง

    เห็นหนทางความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด กับกองสังขาร ในกามโภคี
     
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ทำไมมนุษย์ จึงแก้ปัญหาของตนไม่ได้


    ขออนุญาตครับ

    คนทั่วไปมักจะมีความแตกต่าง
    คนทั่วไปมักจะมีความกล้าไม่พอ
    คนทั่วไปมักจะมีความอดทนไม่พอ
    คนทั่วไปมักจะมีความพยายามไม่พอ

    มองดูรอบๆตัวคุณซิครับ คุณเห็นอะไรบ้าง

    คุณเห็นคนที่เขารวยกว่าคุณไหม?
    คุณเห็นคนที่เขาเก่งกว่าคุณไหม?
    คุณเห็นคนที่เขาขยันกว่าคุณไหม?
    คุณเห็นคนที่เขาอดทนกว่าคุณไหม?

    แล้วคุณคิดบ้างไหมว่า

    เขารวยกว่าคุณได้อย่างไร?
    เขาเก่งกว่าคุณได้อย่างไร?
    เขาขยันกว่้าคุณได้อย่างไร?
    เขาอดทนกว่าคุณได้อย่างไร?

    คนส่วนมากก็ไม่เคยคิด เพราะอะไรน่ะหรือ
    ก็เพราะว่า เขาเกิดมาเพื่อที่จะเป็นคนธรรมดาๆ

    แล้วไอ้คนธรรมดาๆ นี่มันคืออะไรกันหรือ?

    ก็คือคนส่วนใหญ่ชองประเทศ ที่เรียนรู้มากมาย
    แต่ไม่เคยประสบกับคำว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

    เป็นคนธรรมดา เป็นคนพื้นๆ ถ้าพูดกันตรงๆ ค่อนข้างโง่ซะด้วยซ้ำ

    เพราะไม่เคยแม้แต่จะสังเกตุสิ่งต่างๆรอบๆตัวเอง
    เพราะไม่เคยแม้แต่จะตั้งคำถามอะไรขึ้นมา
    เพราะไม่เคยแม้แต่จะสะสม องค์ความรู้รอบๆตัวเรานี่เอง

    บางคนเคยเรียนหนังสือเก่ง อยู่ดีๆ ก็เกิดโง่ขึ้นมาเฉยๆ
    บางคนเคยรวยมีทรัพย์สินมากมาย อยู่ดีๆ ก็จนขึ้นมาเฉยๆ
    บางคนเคยขยันขันแข็ง อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนขี้เกียจ

    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นกันเล่า

    ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เขาไม่ฉลาดพอ ที่สะสมสติปัญญา ที่สะสมองค์ความรู้ว่า

    เขาเก่งมาได้อย่างไร?
    เขารวยมาได้อย่างไร?
    เขาขยันมาได้อย่างไร?

    เหมือนกับใครบางคนที่พยายามจะคุยกับผมในเว็บนี้?

    แค่อ่านเรื่องที่ผมเขียนก็ยังไม่เข้าใจ?
    แค่ที่ถามกลับมา ผมก็รู้อยู่แล้วว่า คนถามนั้นระดับไหน?

    ก็เพราะว่ามนุษย์นั้นมันมีกายหยาบ จิตเขาก็เลยผูกพันกับตนเองมากจนเกินไป

    ส่วนเหล่าเทวดา เหล่าเทพ เหล่าพรหม นั้น ท่านไม่ค่อยมีกายหยาบ
    ท่านจึง มีสติมากกว่ามนุษย์ทั่วๆไป

    เมื่อท่านไม่ค่อยจะมีกายหยาบ ท่านก็มักจะมีแต่จิต
    เมื่อท่านมีแต่จิต ท่านจึงเห็นจิตของมนุษย์ ได้ง่ายกว่าตัวมนุษย์เอง

    เมื่อท่านเห็นจิต ท่านก็เห็น บุญ วาสนา บารมี ของผู้คนนั้นๆ
    เมื่อท่านเห็นจิต ท่านก็เห็น บุญ วาสนา บารมี ของผู้คนนั้นๆ
    ท่านย่อมสามารถเห็น จุดเด่น จุดด้อย ของผู้คนนั้นๆ

    เมื่อท่านเห็นจิต ท่านก็เห็น บุญ วา่สนา บารมี ของผู้คนนั้นๆ
    ท่านก็ย่อมทราบได้ว่า คนผู้นั้น มีกรรมอะไรบ้าง?
    ท่านก็ย่อมทราบได้ว่า คนผู้นั้น มีกรรมอะไร กำลังจะให้ผลบ้าง?
    ท่านก็ย่อมทราบได้ว่า คนผู้นั้น จะแก้ไขได้ อย่างไรบ้าง?

    เมื่อ ท่านเป็นเทวดา เมื่อท่านเป็นเทพ เมื่อท่านเป็นพรหม
    ท่านก็ย่อมจะมีฤทธิ์ของท่าน

    ดังนั้น เราจึงต้องพึ่งท่าน เพื่อแก้ไขปัญหาของเรา เช่น

    เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย
    เรื่องการทำมาหากิน ที่ถูกโฉลก ที่ทำให้ร่ำรวยอย่างง่ายดาย
    เรื่องปัญหาภายในครอบครัว, ๙ล๙

    เรื่องอย่างนี้จะให้ไปถามพระ หรือครับ
    มีพระวัดไหนตอบได้บ้าง?

    ส่วนมากท่านก็จะให้ศีล ให้พร

    เรื่องศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา พระส่วนมาก ก็ยังเอาตัวแทบจะไม่รอด

    ก็เห็นท่านพากันสอนว่า ปฏิบัติ สมาธิภาวนากันนะ อย่าให้ขาด กันทั้งนั้น

    ส่วนเขาไปทำมาหากินอะไร พระท่านไม่ไปรับรู้ด้วย
    ส่วนเขาจะเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร พระท่านไม่ไปรับรู้ด้วย

    แต่องค์เทพซิครับ ท่านกลับสอนว่า

    "สร้า่งตัวเองให้ร่ำรวย ให้ครอบครัวมั่นคงก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องการปฏิบัติ"

    ไม่ใช่ ทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัว ให้มั่นคงยังไม่ได้
    แล้วยังจะไป ฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนา ก็จนต่อไปซิครับท่าน

    ไม่ใช่เรียนหนังสือ จะตกมิตกแหล่ กลับนึกอยากปฏิบัติสมาธิ ภาวนา

    จะทำมาหากินอะไร
    จะสร้างตน จะสร้างครอบครัวให้มั่นคงได้อย่างไร?
    จะรักษาตนให้สุขภาพแข็งแรงได้อย่างไร?

    นี่ต่างหากจึงเป็นทางเดินที่ถูกต้อง?

    เพราะการเรียนก็ดี เพราะการทำมาหากินก็ดี ก็เป็นการฝึกสมาธิ ฝึกสติ ไปในตัวอยู่แล้ว

    ขอโมทนาบุญร่วมกับท่านที่มีสติ มีปัญญาทุกๆท่าน

    ลุงมหา

     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    พระศาสดา ไม่ได้สอนแบบองค์เทพ เพราะองค์เทพ ยังมีตัวโง่อยู่ คือ อวิชชา ยังไม่สิ้น

    ธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ปิดกั้นทั้งคนรวย และคนไม่รวย

    ธรรมของพระพุทธองค์ สอนให้ออกจากโลก รู้จักสันโดษ

    ผู้ที่มีฐานะไม่รวย ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักทุกข์ เห็นทุกข์ อย่างนั้นหรือ

    เห็นแต่คนรวยทรัพย์สิน ในผู้ที่ไม่รู้จักพอ

    ทะยานอยากด้วยตัณหา เพื่อต้องการประสบผลสำเร็จ ในทางโลกยิ่งๆขึ้นไป

    ได้หนึ่งจะเอาสอง ได้สองจะเอาฉี่ จะมีเวลาคิดเรื่องปฏิบัติธรรมได้ยังไง คนรวย!! ตัณหามันกรอกหู ตา จมูก ...มโน ในบางคน

    ดังนั้น จนหรือมี ไม่เป็นที่สำคัญ อยู่ที่อินทรีย์บารมีธรรม ที่เคยสั่งสมอบรมเห็นทุกข์ รู้จักไตรลักษณ์ ของคนๆนั้น

    คิดดูดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2014
  10. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า "มีเท่าไหร่"
    แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรา "พอเมื่อไหร่"

    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    เครดิต : kennek
     
  11. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขออนุญาติออกความเห็นด้วยคนครับ

    ธรรมของพระพุทธองค์นั้น ท่านเริ่มสอนคนที่พร้อมจะศึกษาก่อน

    ก็คือ ผู้ที่อยู่ในอันดับสูงสุดในบัวสี่เหล่า

    ดังนั้น ยังเหลือบัวอีกสามเหล่าครับ ที่พยายามจะค้นหาหนทางการหลุดพ้นของตน

    ซึ่งจะผิดทางบ้าง ถูกทางบ้าง ไม่มีใครตัดสินได้หรอกครับ

    เพราะจริงๆแล้ว ทางที่ผิดก็เป็นหนทางแห่งการเรียนรู้ ซึ่งก็เป็นส่วนนึงของทางที่ถูกเช่นกัน คือสุดท้ายการเรียนรู้สิ่งผิดก็จะนำไปสู่ทางที่ถูกได้ครับ

    ไม่มีผิด ไม่มีถูก ที่แท้จริงครับ มีแต่ช้า หรือเร็ว เท่านั้นเอง


    คนเรามีหลายจริตครับ หนทางสู่การหลุดพ้นไม่ได้มีสายเดียว

    หลายท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในนี้ มักเอาธรรมที่ตนยึดถือ มาบอกกล่าวให้ผู้อื่นยึดถือตาม คอยบอกว่าแนวทางอื่นเป็นสิ่งผิด ผมว่าการพิจารณาผู้อื่น และพยายามให้ผู้อื่นยึดถือตามตัวเอง จนลืมพิจารณาตัวเอง อาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ตัวเองช้าลงก็ได้นะครับ


    ผู้ที่เข้ามาเรียนรู้อะไรหลายอย่างในนี้ ต่างก็มีธรรมในระดับที่ต่างกัน

    บางคนถึงจุดที่อยู่เหนือโลกทางวัตถุไปแล้ว มองธรรมที่แยกออกจากวัตถุชัดเจน


    แต่ก็ยังมีอีกหลายคนนะครับ ที่ยังไม่เข้าใจมิติที่อยู่เหนือวัตถุ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของเค้านะครับ เพราะระดับธรรมเค้ายังไม่ถึง เค้าแค่รอที่จะเรียนรู้อยู่เท่านั้นเอง

    แต่ระหว่างที่รอ ระหว่างที่ยังไม่เข้าใจ เนี้ยจะให้คนพวกนี้เค้ามายึดถือแบบคนที่เข้าใจแล้ว มันเป็นไปได้ยากครับ


    แล้วระหว่างที่รอจะให้เค้าทำยังไง พวกเค้าก็ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเช่นกัน ก็คงต้องหนีไม่พ้นการใช้วัตถุเป็นตัวแทน เพื่อให้พวกเค้าได้ยึดเหนี่ยว เพราะเค้ายังใช้ชีวิตอยู่ในโลกของวัตถุ มองไม่เห็นมิติที่อยู่เหนือวัตถุ


    สรุปว่า คนที่พ้นวัตถุแล้วก็ยึดถือในธรรมที่เหนือวัตถุไป ส่วนคนที่ยังไม่พ้นวัตถุ ก็ใช้วัตถุเป็นเครื่องเหนี่ยวนำจิตไปสู่ธรรมได้ เช่นกัน


    ผมคิดว่า การจะทำให้คนที่ยังไม่พ้นวัตถุ มองพ้นวัตถุไป ต้องทำให้พวกเค้าเห็นจิตครับ

    สนับสนุนให้เค้าปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิค้นหาจิต ค้นหาตัวเองให้เจอ เค้าก็จะรู้เองว่าแท้จริง คืออะไร วัตถุ หรือ จิต

    ไม่ใช่แค่ คอยบอกว่าวัตถุมันไม่ใช่ เลิกยึดถือซะ บอกไปยังไงเค้าก็มองไม่เห็นครับ

    กลายเป็นการเหยียบย่ำสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อื่นไป การทำแบบนี้ถ้ามองให้ดี ไม่ต่างอะไรกับการทำผิดศีลนะครับ ลองตรึกตรองดูให้ดี


    ที่น่าเห็นใจ คือ ผู้ที่่พ้นวัตถุแล้ว แต่กับไม่ไปต่อ มัวมาห่วงทิฐิในตัวตน

    ไปพ้นวัตถุแล้ว แต่ไปไม่พ้นใจตัวเอง

    สิ่งที่ต้องระวังที่สุดของผู้ศึกษาธรรม คือ การหลงดีครับ

    ฝากไว้พิจารณาด้วย


    ปล. ไม่ได้เข้ามาขัดแย้งอะไร กับใคร นะครับ แต่อยากแสดงความคิดเห็นส่วนตัว

    เผื่อจะมีประโยชน์กับใครหลายคน ถ้าทำให้ใครไม่พอใจ ผมขออภัย และขออโหสิกรรมด้วยนะครับ
     
  12. โคกผักหวาน

    โคกผักหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +1,041
    ผมไม่เห็นด้วยก้บลุงมหา ที่ว่าต้นกำเนิดของพุทธคือพราหม คุณลุงพูดเหมือนวิวัฒนาการ ผมว่าไม่ถูกต้องครับ พุทธส่วนพุทธ พราหมส่วนพราหม มีบางส่วนคล้ายกันแค่นั้นเช่นกล่าวถึงเทวดา อินทร์พรหมยมยักษ์ แต่การบำเพ็ญและคำสอนที่ต่างกัน
     
  13. โคกผักหวาน

    โคกผักหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +1,041
    สมัยก่อนเขามีตักศิลา เขามีปราชญ์ผู้รู้ มีพราหม ผู้แสวงหาความหลุดพ้นต้องก็เสาะแสวงหาความรู้ต่างๆ จากแนวคิดและปรัชญาที่ต่างกัน แต่ศาสตร์ต่างๆมิใช่บาทฐานในการชำระใจให้บริสุทธิ์จึงทรงเลิกปฏิบัติ มิใช่จุดเริ่มความรู้เพื่อการหลุดพ้น ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องสร้างบารมีถึง 4อสงไขยแสนมหากัปล์ ผมว่าคำพูดที่ไม่เป็นตรรกะคือถ้าไม่มีพราหมพระพุทธเจ้าเริ่มต้นที่ไหน นั้น ไม่ถูกต้องครับ
     
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ที่พิมพ์มาก็ถูกต้อง

    หากตนรู้สิ่งเหล่านั้น มันคืออุบาย เพื่อสู่กระแสธรรม แต่ใช่ว่าจะต้องกระท่อนกระแท่น ควานหาเพื่อเห็นจิต เสียก่อน

    เอาง่ายๆ วัตถุใกล้ตัว เห็นมันให้ได้ก่อน นั่นคือ สังขารร่างกายที่แหละครับ คือ วัตถุ
    ใช่ว่าต้องไปส่องกระจก หรือต้องก้มหน้ามอง แล้วบอกว่าเห็นทุกขสัจ ไม่ใช่

    วัตถุแท้ไม่ใช่ไม้แหย่แย้ นั่นสิ่งไกลตัว มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ ที่เข้าไปคว้าอาจเอื้อมมาเป็นเจ้าของ

    มัวแต่จะแหย่ล่อเล่นกับแย้ จนกลายเป็นหลงลงรู ไปกับกระแส อาการของจิตในโลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ นะครับ

    จนลืมไปว่า ก้านบัว สามารถทะลึ่งชูช่อ เพื่อรอรับแสงต่อไปได้

    และเมื่อเห็นวัตถุสรรพสิ่งสังขารทั้งหลาย ตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง

    อนิจจสัญญา เสมือนเป็นรากหล่อเลี้ยงกอบัว บุคคลใดหมั่นเจริญแล้วทำให้มากแล้ว

    เมื่อรู้ว่าตนเป็นบัวระดับใด รากหล่อเลี้ยง ที่หมั่นสดับ หมั่นรู้เห็นตามจริง

    เพื่อคลายความยึดมั่น นั่นแหละ คืออาหารของใจ ย่อมสามารถเป็นบัวในระดับสูงขึ้นไปได้

    กระทั่ง จนกว่าจะรู้ว่าธรรมนั้น ไม่ใช่ทั้งวัตถุ และไม่ใช่จิต

    ฝากไว้พิจารณาเช่นกันครับ เป็นไม้แหย่ยก ชูช่อ

    ไม่ต้องรอ อนาคตกาล จนถึงสิบ เอามันปัจจุบันนี้แหละ

    มันจะเป็นอุปนิสัยของรากเหง้า เพื่อชูก้าน ชูช่อ ทิ้งทัสสนะเดิมๆ ที่จมอยู่กับอดีต ได้ :cool:

    ใครจะรู้ว่า ตนมีทัสสนะอย่างในปัจจุบัน โดยเอามาจากอดีตกาล เดิมๆ เดิมๆ

    และไม่แน่ว่า อนาคตก็จะเดิมๆ ไอโอเดิ๊มม..!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บอร์ดนี้เป็นบอร์ดวิทยาศาสตร์และยังลึกลับด้วย...ดังนั้นจึงไม่ใช่บอร์ดธรรมะอย่างที่คุณสุรินทร์เข้าใจ...ผมเองก็แวะเวียนมาอ่าน หาความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นครั้งคราว...
    ผมไม่ได้ไปตำหนิอะไรที่ลุงมหา๑ จะกราบไหว้ร่างทรงองค์ญาณ 16 หรือจะนับถือเอาเหล็กไหลว่าเป็นแก้วมณีโชติ แต่อย่างใด...ทั้งนี้เพราะว่าเป็นความชอบ ความพอใจ ของลุงมหา๑ เป็นการส่วนตัวครับ...
    เว้นเสียแต่ว่า ถ้ามีการพาดพิงถึงครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพในทางที่ผิด ผมก็ต้องออกมาแสดงตัวบ้าง เพื่อให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านในภายหลัง ได้เข้าใจในทางที่ถูก เช่นเรื่องที่อ้างหลวงพ่อฤษีเป็นต้น ซึ่งจะมีงอนไปบ้าง เหน็บมาบ้าง อันนี้ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอกครับ ผมคิดเอาเองว่าผมมีหน้าที่ชี้แจงในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา เพื่อปกป้องครูบาอาจารย์ไว้ ในฐานะที่เป็นศิษย์ ผมถือว่าเป็นหน้าที่ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการเนรคุณต่อครูบาอาจารย์เท่านั้นเอง...

    เรื่องแก้วมณีโชติในความเห็นของลุงมหา๑คือเหล็กไหล...ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่ครับ
    สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ก็จะบอกว่า แก้วมณีโชตินี้คือ ลูกแก้วจักรพรรดิ์..ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเช่นกัน...
    สำหรับผู้ปรารถนาการดับไม่มีเชื้อก็บอกว่าแก้วมณีโชตินี้คือ รัตนตรัย แก้วสามประการนี้ต่างหาก เมื่อบุคคลเข้าถึงแล้ว ย่อมเกิดปัญญา ในการตัดกิเลสให้เป็นสมุเฉจประหารเสียสิ้น จึงเป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ลงเสียได้...ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเช่นกัน...

    ธรรมจักรนั้นประกอบด้วยซี่จำนวนหลายๆซี่ เช่นเดียวกับฑิฐิความเห็นของแต่ละเหล่านรชนต่างๆกัน จึงมีวิถีทางต่างๆที่แตกต่างกัน ตามอุปนิสสัย วาสนา บารมี แต่ในท้ายที่สุดของซี่ธรรมจักรจะพุ่งไปหาที่จุดศูนย์กลางจุดเดียวกัน ในวันใดวันหนึ่งนั่นเอง...

    บางคนวันนี้ยึดไม้แหย่แย้เป็นที่พึ่งที่อาศัย วันหน้าใครจะบอกได้ว่าเมื่อได้ตาทิพย์มาแล้ว กลับมองเห็นแย้ทั้ง 5 รูว่าเป็นอายตนะทั้ง5 เห็นแย้ว่าผลุบเข้าโผล่ออกเหมือนอาการของจิตที่กระทบเข้ากับอารมณ์ เมื่อนั้นเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา จะพากันทิ้งทั้งไม้แหย่แย้ ทั้งแย้ ทั้งอายตนะ ทิ้งการเกิดขึ้นมาในที่สุดก็ได้...อันนี้ใครจะไปรู้ได้..ใช่ไหมล่ะ...

    จะปีนบันไดมันก็ต้องเริ่มปีนทีละขั้น จะขึ้นต้นไม้ก็ค่อยปีนจากโคน จะกระโดดทีเดียวถึงชั้นบน หรือถึงยอดไม้เลย มันจะได้หรือ...มันอาจจะได้เหมือนกัน แบบนารุโตะ ก็คงได้...

    บางคนยึดเอาพระพุทธรูปโลหะบ้าง ปูนปั้นบ้าง เห็นแล้วก็กราบก็ไหว้ อิ่มเอิบใจในสิ่งที่ยึดไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า...คนพวกนี้แม้ไม่รู้อะไรเลย...นึกถึงพระพุทธรูปโลหะว่าเป็นพระพุทธเจ้า ใจก็มีความสุข...คนพวกนี้ตายไป จะไปไหนดี อันนี้ไม่ทราบ ท่านใดทราบก็ช่วยบอกที...
    ส่วนบางคนยึดเอาการไม่มีพระพุทธรูปโลหะบ้าง ปูนปั้นบ้าง เห็นเข้าแล้วต้องเอาไปหลอมบ้าง เอาไปทุบทำลาย ฝังดินบ้าง ... คนพวกนี้รู้ดีว่าพระธรรมต่างหากที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า หาใช่โลหะรูปปั้นแต่อย่างใด...ครั้นเห็นใครกราบไหว้พระพุทธรูปต่อหน้าก็รู้สึกขัดใจ เวลาจะตายถ้าได้เห็นพระพุทธรูปก็ดี ผ้ายันต์ก็ดี ใจมันปฏิเสธทันทีว่าไม่ใช่...เมื่อใจเป็นแบบนี้แล้ว คนผู้นั้นตายไป จะไปทางไหนดี...อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน...ใครพอจะรู้ลองช่วยตอบที....

    อ่านกระทู้ในบอร์ดนี้แล้วก็อย่าไปซีเรียสอะไรมากเลยครับ...คิดเสียว่าเป็นเรื่องราวของคนอีกแง่มุมนึงบนโลกใบนี้ก็แล้วกัน อย่าไปเคี่ยวเข็ญให้ทุกคนต้องมาเหมือนอย่างเราเลยนะ...มันจะทุกข์ใจไปเสียเปล่าๆ...มันเป็นไปไม่ได้หรอก...สิ่งต่างๆมันเกิดขึ้น มีอยู่ ดำเนินไปก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่ของมันอย่างนั้นเอง...เอาว่าผมขอเป็นผู้ดูผู้อ่านเฉยๆละกันครับ...
     
  16. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ขอโทษนะครับ ขอออกความเห็นหน่อย ตั้งแต่ผมติดตามอ่านเรื่องไม้แหย่แย้มา ผมไม่
    รู้สึกเลยว่าผู้ค้นหาจะเอาไปจับแย้จริง ๆ เอ..รึว่าจริง เท่าที่ประมวลจากประสบการณ์
    ผมว่ามันมีประโยชน์มากกว่านั้นเยอะ ผมก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกันแต่ มีประสบการณ์
    เกี่ยวกับพระบูชาเสียมากกว่าแต่ก็ไม่มากมายอะไร พอเป็นสีสรรค์แห่งชีวิต
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอาน่า ผมเองไม่ได้มีทิฏฐิความเห็น ถึงขนาดต้องทำลายวัตถุ ในอุบายวิธี ต่างๆนาๆ ตามที่เข้าใจ

    ผมไม่ได้เห็นแต่เพียงเลข5 โดยรู้ว่าเลข5 จะต้องมีบวก5 เพื่อไปถึง 10

    อย่าได้เข้าใจอะไรผิด จนสาวไปถึงเรื่องในเวลาตาย ถึงขนาดไม่ไหว้พระพุทธรูป ขาดการระลึก

    คุณraming2555 อย่าได้ซีเรียส ง่ายๆก็คือ 5+5 = 10

    เป็นผู้ดูผู้อ่านเฉยๆ สิ้นความปรุงแต่ง ทำได้ก็ดีแล้วครับ

    เพราะเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่า ธรรมและกิเลส คือ สิ่งรอบตัว ไม่กำจัดกาล สถานที่

    เป็นสิ่งควบคู่กันเสมอๆ แม้จะลึกลับ ขนาดไหนก็ตาม

    เรื่องอุปนิสสัย วาสนา บารมี ของแต่ละคน มันถูกต้องอยู่แล้ว

    ผมเองก็ลองแหย่คนๆนั้น ใครคนใดคนหนึ่ง ในเลนท์ทัสนะ เผื่อจะมีอุปนิสัย วาสนา สูงส่ง ข้ามฟาก ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  18. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570

    ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำ

    ผมฝากไว้นิดเดียวครับ

    1. รู้ใคร ไม่สู้รู้ตัวเอง (ไม่ได้บอกว่าคนเราไม่รู้ตัวเองนะครับ แต่หมายถึงยังรู้ได้อีก)

    2. ความดีมีหลายระดับ ระวังหลงดี (ถ้าหลงว่ารู้แล้ว ดีแล้ว ก็จะหยุดอยู่กับที่ และรอวันเสื่อมครับ)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ และขอโมทนาบุญด้วย
     
  19. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    คุณโลโป อย่าไปซีเรียสกับเรื่องไม้แหยแย้เลยครับ คนที่หากันหนักหนาเค้าไม่เอาไปจับแย้กิน จับแย้ขายกันหรอกครับ

    แล้วก็มันเป็นเรื่องทางโลก เรื่องของคนที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางธรรมครับ

    อย่าไปใส่ใจเลย


    ลองศึกษาธรรมข้อนี้ดีกว่าครับ

    อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น

    ด้วยความหวังดีนะครับ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอาเป็นว่า จะดูคุณ กับทั้งสองข้อที่กล่าวมา

    ดูสิว่า โลกในรอยน้ำตาของหมู่สัตว์

    ที่ประกอบไปด้วยความลุ่มหลงในอวิชชา จะช่วยอะไรคุณได้

    ที่ขอมายังไม่ให้ นะ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...