แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    โมทนาด้วยครับพี่หนุ่ม....ตระกรุดทองคำสวยงามมาก...(^^)
     
  2. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เก็บเข้ามาเทาไหร่ครับ เพราะงบประมาณมีน้อย ต้องรออีกสักระยะ ค่อยว่ากันใหม่ ประมาณว่าต้องทำแผนงบประมาณขออนุมัติจาก ผบทบ. ก่อน หากเธอไม่อนุมัติ อะไรก็ไ่ม่ได้ 555
    แต่ผมก็เห็นคุณเชน ไปลุย ๆ กับเวปประมูลบ่อย ๆ นะครับ ไม่รู้ว่างช่วงนี้ปิดอะไรไปบ้างครับ
     
  3. nott17

    nott17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,429
    ค่าพลัง:
    +20,616
    อีกเสียงหนึ่งครับสวนทั้งพระและภาพครับ..
     
  4. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    หนี้กรรม โดย แว่นทิพย์


    เรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับลุงของข้าพเจ้าเอง และท่านก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน โดยจากการสรุปของญาติพี่น้องว่าแกคงจะเสียชีวิตเพราะหนี้กรรม

    ลุงของข้าพเจ้านั้น พอเริ่มมีอายุมากขึ้น วัยห้าสิบกว่าปี แกก็เริ่มมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยเฉพาะโรคปวดหัว จากอาการที่เริ่มต้นที่จะมีอาการปวดเป็นบางครั้ง ก็กลายเป็นว่าเริ่มปวดถี่ขึ้น หนักขึ้น และจะปวดทุกวัน โดยเฉพาะในตอนเช้า ลุงแกจะปวดมาก ลุงจะบ่นเสมอๆ ว่าปวดหัวเหมือนโดนอะไรทุบ

    ลุงเคยหาทางที่จะรักษาโรคปวดหัวนี้ให้หาย กินยาฝรั่งก็แล้ว ยาไทยก็แล้ว ก็ยังไม่ยอมหาย ยาอะไรที่คนแนะนำว่าดี ลุงจะไปทดลองหมด แต่แล้วก็ไม่มียาเทวดาที่ไหนที่รักษาอาการโรคปวดหัวของลุงให้หายขาดได้เลย


    ในเมื่อไม่มียาอะไรที่จะเยียวยารักษาให้หายได้ ลุงก็เข้าใจว่าอาจจะถูกคนแกล้งทางคุณไสย เพระปวดหัวไม่ธรรมดา ปวดเหมือนโดนอะไรทุบ แถมยังรักษาไม่หาย ลุงจึงไปหาเจ้าเข้าทรง เพื่อขับไล่คุณไสยออก ทั้งทำพิธีกรรม ทั้งสะเดาะเคราะห์ เอาน้ำทิพย์จากเจ้าเข้าทรงมากินทุกวันก็ยังไม่หาย ลุงหมดเงินค่ารักษาตัวไปเยอะ มีเพื่อนบ้านมาแนะนำลุงให้ลองไปขอน้ำมนต์พระที่วัดมากิน เพื่อจะชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่ก็ไม่ได้ผลอีกเช่นเคย ซ้ำยังทวีความเจ็บปวดขึ้นมาทุกวัน

    ในที่สุดลุงก็ต้องยอมรับความจริง ทนทุกข์ทรมาน อดทนต่อการเจ็บปวดหัวจนลุงเริ่มมีอาการป่วยทางโรคประสาท มักจะหงุดหงิด ชอบทำร้ายตัวเองบ่อยๆ โดยการใช้มือทุบหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งญาติๆก็ช่วยกันห้ามไว้ได้ บางครั้งก็ห้ามไม่ได้ เพราะเวลาลุงคลั่งมากๆถ้ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แกจะเอามือทุบหัวตัวเองหนักขึ้นกว่าเดิม

    วันหนึ่งโรคประสาทของลุงกำเริบหนักขึ้น คงจะเป็นเพราะแกปวดหัวมาก ถึงขนาดเห็นวัตถุอะไรที่แข็งๆเป็นต้องหยิบมาทุบตีหัวตัวเองจนแตกเลือดไหล ญาติๆจึงต้องช่วยกันจับมัดมือลุงเอาไว้ แล้วช่วยกันปฐมพยาบาล น้าสาวของข้าพเจ้านั้นออกความเห็นว่า ถ้าปล่อยลุงทิ้งไว้อย่างนี้ อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องส่งตัวลุงไปรักษาอาการทางโรคจิตโรคประสาท

    จวบจนลุงมีการดีขึ้น จึงได้รับตัวลุงกลับมาอยู่บ้านอย่างเดิม อาการป่วยเป็นโรคประสาทของลุงหายแล้ว แต่อาหารเจ็บปวดที่หัวของลุงยังไม่หาย ลุงบ่นว่าปวดเจ็บหัวกะโหลก ระบมเหมือนกะโหลกร้าว จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ข้าพเจ้าถามแม่ว่า ทำไมถึงรักษาโรคปวดหัวของลุงไม่หาย ก็ได้รับคำตอบจากแม่ว่า นี่คงเป็นเพราะโรคเวรโรคกรรม

    แม่ของข้าพเจ้าเล่าว่า เมื่อสมัยที่ลุงยังเป็นหนุ่ม ลุงเป็นพ่อค้าขายปลาสดๆเป็นๆ โดยเฉพาะพวกปลาดุก ปลาช่อน ลุงจะฆ่าโดยการตีหัวให้ตาย ถึงจะทำการชำแหละมันได้ ลุงทำอย่างนี้ทุกวัน แม้วันพระก็ไม่หยุดละเว้น

    ข้าพเจ้ามีความคิดว่าน่าจะบอกให้ลุงทราบในเรื่องนี้ เพื่อที่จะให้ลุงไปทำบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ลุงก็เชื่อข้าพเจ้า โดยไปถวายสังฆทานจำนวน ๙ ชุด ที่วัดใกล้บ้าน พระที่วัดที่ลุงไปทำสังฆทานแนะนำมาว่า ให้ลุงหัดสวดมนต์ ภาวนา นั่งสมาธิ แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วก็ให้ตั้งจิตนึกถึงพวกปลาที่ลุงเคยทำ ให้อโหสิกรรมต่อกัน

    ลุงก็นำมาปฏิบัติตามพระแนะนำทุกอย่าง และยังถือศีลกินเจทุกวันพระ จากนั้นลุงก็ทุเลาจากอาการเจ็บปวดหัวมาได้ปีเศษ ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ลื่นหกล้มหัวฟาดกับแง่ปูนที่ลานซักผ้า ลุงร้องครวญคราง ก่อนสิ้นใจตาย

    ข้าพเจ้าเชื่อว่า ใครที่ทำกรรมอันใดไว้ ก็ต้องได้รับผลกรรมนั้นตามสนอง ไม่ช้าก็เร็ว คนเราย่อมหนีเวรกรรมไปไม่พ้น ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
     
  5. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ลูกเกิดมาเพื่อใคร ?

    จากการบรรยายธรรมะวันอาทิตย์ ของแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม
    [​IMG]





    สองสามีภรรยาแต่งงานอยู่กินกันมานาน ก็อยากได้ลูกไว้เชยชม แล้วการเกิดของลูกก็เริ่มขึ้น เมื่อแม่ขาดรอบเดือนไปสองเดือน เสียงความปิติยินดีเกิดขึ้นในบ้าน

    สามีบอกเพื่อนฝูงให้ร่วมยินดีในการที่จะมีลูกคนแรก ภรรยาต้องเป็นผู้บริการอาหารเครื่องดื่ม อาหารถูกลำเลียงจานแล้วจานเล่า ความเหนื่อยล้าจากการบริการ ทำให้ภรรยาฉุกคิดว่า

    " นี่เพิ่งเริ่มต้น..ก็ทำให้แม่เหนื่อยขนาดนี้ นี่เพิ่งเริ่มต้น..ทำให้พ่อเมามายขนาดนี้ แล้วลูกจะเกิดมาเพื่อใคร ? "


    เวลาผ่านไปครบห้าเดือน ภรรยาเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในร่างกาย เรียกสามีมาดูท้องที่ตุงไปตุงมาด้วยความตื่นเต้น

    ภรรยา : " พี่จ๋ามาดูอะไรนี่ "
    สามี : " ไหนจ๊ะน้อง ดูอะไร "
    ภรรยา : " ดูที่ท้องน้องสิ ลูกดิ้นไปมา "
    สามี : " โอ้โห ลูกพ่อแข็งแรงจัง น้องอยากได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ "
    ภรรยา : " น้องอยากได้ลูกผู้ชายไว้บวชเรียนนะพี่ "
    สามี : " แต่พี่อยากได้ลูกผู้หญิงนะ ลูกผู้หญิงมันน่ารัก "

    บทสนทนาของพ่อกับแม่ ที่มีความอยากได้ก็สัมฤทธิ์ผล ลูกเกิดมาเป็นชายน่าตาน่ารัก สมใจแม่ เมื่อลูกเริ่มโต ลูกก็ใช้แป้งแต่งหน้า ลิปสติกทาปาก สมใจพ่อ

    ลูกเกิดมาเพื่อใคร ?
     
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วิธีทำสมาธิแบบง่ายๆ โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
    วัดอัมพวัน ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี


    ทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ มีพลัง มีประโยชน์ในปัจจุบัน คือทำให้ใจสบาย คลายทุกข์ หนักแน่นมั่นคง อารมณ์แจ่มใส ความจำทำงานมีประสิทธิภาพ สุขภาพดี นอนหลับสบาย เรียนหนังสือเก่ง ที่สำคัญคือได้บุญ


    วิธีนั่งสมาธิ

    ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สะดือ ที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ ใจนึกกับท้องที่พอง ต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบ ต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน ข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้อง ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

    เมื่อมีเวทนา เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว ในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนา ความเจ็บ ปวด เมื่อย คัน เกิดขึ้น ให้หยุดเดิน หรือกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆ เมื่อยๆ คันหนอๆๆ เป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป

    จิตเวลานั่งหรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอๆๆๆ เสียใจหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ เป็นต้น
     
  7. ebee

    ebee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +763
    ถ้ามีพิมพ์นิยมไปแลก....ท่านประธานฯโต้งอาจใจอ่อนนะครับคุณนำทาง....(^_^)...

    เสียดายที่ผมมีอยู่องค์เดียวครับ ..
    ช่วง แรกๆแขวนองค์นี้แล้วปวดหัวเลยเต็มๆ1วัน...จากนั้นไม่แขวนอีก..เอ๊ย..ไม่ใช่ๆ จากนั้นก็แขวนมาเรื่อยๆจนหายปวดหัวครับ..(^_^)..และที่ผ่ามาเคยถูกเลขท้าย สองตัวจากเหรียญนี้อ่ะครับ..น่าจะเมื่อต้นปี53ครับ..

    [​IMG]


    [​IMG]

    คุณนอร์ถ่ายรูปได้สวยมากๆเลยครับ...
    ของผม compact ตัวเดียว เที่ยวรอบบ้านครับ....
     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วิธีแก้คำหยาบ ในหัวสมอง โดยดังตฤณ

    ถาม – วันก่อนอ่านเจอคำด่ากันในอินเตอร์เน็ตแล้วคำด่านั้นติดมาในหัว แกะอย่างไรก็ไม่ออก พอดีเป็นจังหวะที่เอื้อให้คำนั้นเข้ามาประทับแน่นในใจด้วยน่ะค่ะ และเดือดร้อนที่สุด ก็ตอนมองใครต่อใครหรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ในรูปภาพ ก็เหมือนพลอยคิดอกุศลเพราะคำนั้นไปด้วย ปกติไม่ใช่คนพูดหยาบคาย อยากทราบวิธีแก้จริงๆ เป็นทุกข์จนมึนหัวทุกที แม้สวดมนต์ไหว้พระ ขนาดขอขมาพระรัตนตรัยวันละหลายรอบก็ไม่หายขาด


    ตอบ-โลกเรากำลังเต็มไปด้วยเชื้อร้ายครับ ทั้งโรคระบาดทางกายและโรคระบาดทางวิญญาณ และนับวันวิธีการแพร่เชื้อก็ยิ่งง่ายขึ้นทุกที

    อินเตอร์เน็ตจัดเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ร้ายทางวิญญาณชั้นดี ขอเพียงได้เหลี่ยมได้มุมเหมาะ ก็เหมือนจะมีเชื้อระบาดเข้ามาสู่ใจเรารวดเร็วในพริบตา แต่กว่าจะบำบัดรักษาหายได้ก็อาจต้องใช้เวลายืดเยื้อยาวนานนัก แถมก่อนเชื่อมต่อเข้าสู่มิติโกลาหลบนอินเตอร์เน็ต ไม่มีป้ายบอกเตือนเสียด้วยว่าให้ ‘ระวังเชื้อร้าย!!’

    กรณีนี้ทางที่จะแก้นั้น ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจว่าที่คำหยาบไม่หายไปจากหัวเรา รวมทั้งที่มันมาปรากฏบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะจิตใจฝักใฝ่ถ้อยคำอันเป็นของต่ำ แต่เพราะความทรมานใจกลัวบาปเล่นงานต่างหาก สรุปคือความกังวลตัวเดียวนั่นเองครับเป็นเหตุ ความกังวลนั่นแหละอาหารชั้นดีที่เลี้ยงดูคำพูดหยาบๆไว้ไม่ให้ตายไปจากหัวเรา เพราะฉะนั้นถ้ากำจัดความกังวลได้ ทำใจไม่ให้รู้สึกผิดเสียได้ ในที่สุดมันก็ล่องหนหายตัวอย่างเด็ดขาดไปเอง จะนานช้าแค่ไหนก็ช่างเถอะ

    ผมมีอุบายวิธีแก้ให้สองข้อ

    ๑) คุณต้องบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความจงใจด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา เมื่อไม่ได้จงใจ ไม่ได้เจตนา ก็เท่ากับขาดประธานในการก่อบาป เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา เมื่อไม่ได้เริ่มต้นที่เจตนา แม้เป็นกรรมก็มีกำลังอ่อน และจะไม่ก่อให้เกิดการติดนิสัยในทางชั่วร้ายกับเราแต่อย่างใด ขอให้สบายใจได้

    ๒) คราวหลังคิดทีก็ไหว้ที แล้วนึกเงียบๆ หรือเปล่งวาจาออกเสียงชัดถ้อยชัดคำยิ่งดี ว่า ใจจริงของเราคือไหว้อย่างนี้ ไม่ได้ยินดีตามเสียงด่าในหัวเลย แต่ละครั้งคุณจะรู้สึกแน่ใจ มั่นใจในตัวเองว่าเป็นฝ่ายดี ไม่ใช่ฝ่ายร้าย เมื่อนั้นก็จะสบายใจยิ่งๆขึ้น พอสบายใจร้อยครั้ง พันครั้ง ในที่สุดก็จะค่อยๆลบความกังวลไปเอง พอความกังวลหายไปอย่างเด็ดขาด ในที่สุดคำหยาบก็จะหายไปจากหัวด้วย หรือถึงแม้จะมีแวบๆเข้ามาบ้าง ก็จะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกผิดอีกต่อไปแล้วครับ


    ถาม – คนที่ไม่สงบจริง แต่แกล้งพูดให้นุ่มนวลเหมือนพ่อพระหรือแม่พระนั้น จะมีผลกรรมอย่างไรครับ?


    ตอบ-ก็มีจิตเป็นมายา เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนนักแสดงครับ แต่นักแสดงเพียงตั้งใจหลอกคนดูตามกติกา (คือคนดูตกลงเต็มใจให้หลอก) ส่วนพ่อพระแม่พระเก๊ๆนั้น หลอกทั้งคนดู ตลอดจนกระทั่งหลอกทั้งตัวเองเป็นเวลายาวนาน กระทั่งปักใจเชื่อว่าตนเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยไม่รู้เท่าทันว่าที่แท้ยังมีระเบิดโทสะซุกซ่อนอยู่มากมายก่ายกอง พร้อมจะตูมตามขึ้นมาเสมอเมื่อเกิดการสั่งสมแรงดันมากพอ

    การขัดเกลาให้ตนเป็นผู้มีความเยือกเย็นอย่างแท้จริง กับการเสแสร้งแกล้งทำเป็นผู้เยือกเย็นนั้น ผลจะต่างกันลิบลับ เมตตาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่ออนุเคราะห์คนฟังให้สบายใจ แต่มายาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่อลวงให้คนอื่นนิยม ของ พวกนี้ผิดกันนิดเดียว และบางทีก็ไม่ใช่รู้ตัวกันง่ายๆนะครับ หากหลอกตัวเองจนแม้ตัวเองนึกยังนึกว่าดีจริงแล้ว ก็ยากมากที่จะชี้ว่าตรงไหนเรียกมายา ตรงไหนเรียกใจจริง

    หลังจากหลอกตัวเองว่าตนเป็นพ่อพระ แม่พระเสียงนุ่มไประยะหนึ่ง ผลกรรมที่เห็นได้ชัดทันตาคือจะมีจิตที่เคลิบเคลิ้ม หลงตัวว่าดีแล้ว ทั้งที่ใจในส่วนลึกรู้อยู่ว่ายังไม่ดีจริง ยังเต็มไปด้วยโทสะ จึงเกิดความขัดแย้ง บางทีปฏิเสธตนเองจนเหนื่อย คิดบอกว่าไม่คิด พูดบอกว่าไม่พูด ทำบอกว่าไม่ทำ ขอให้เป็นเรื่องร้ายๆเถอะ ฉันต้องไม่มีแน่ๆ ทำไปทำมาเลยเกลียดตัวเอง มีความกระสับกระส่าย มีความไม่พอใจเป็นอาจิณ

    เท่า ที่ผมเห็น บางคนดูภายนอกสงบลึกซึ้งอยู่ทั้งวัน แต่พอได้ฤกษ์เหมาะ พูดจากันอยู่ดีๆก็ออกอาการหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ หรือเรื่องไม่มีก็สร้างเรื่องเพื่อแสดงความโกรธ หรือแสดงวาจาเชือดเฉือนคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าใครๆ

    โทษของการเป็นผู้มีมายานั้น ต่อให้แนบเนียนสมจริงปานใด หรือกระทั่งทำประโยชน์ให้ใครต่อใครมากมายเพียงไหน ในที่สุดจะย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าตัว คือกระทำจิตให้บิดเบี้ยว ไม่อาจเห็นอะไรแจ่มแจ้งตามจริงตลอดสาย การต้องประคับประคองให้ตนเองอยู่ในระดับที่สูงส่งนั้น นับว่าต้องใช้แรงมาก ต้องเหนื่อยมาก ต้องสะสมแรงกดดันมาก ยิ่งหลอกสายตาคนไว้มากเท่าไหร่ ยาวนานเพียงใด ความเก็บกดก็จะทวีแรงอัดไว้มากขึ้นเท่านั้น

    เมื่อใดคุยเป็นส่วนตัวกับคนสนิทหรือ ผู้น้อยแบบที่ไม่ต้องระวังตัว จึงออกอาการชัดเป็นพิเศษ พูดง่ายๆนิยมเพ่งโทษผู้อื่น จ้องจะหาทางระบายความเครียดเอากับคนไม่มีทางสู้ หรือคนไม่มีทางไปป่าวร้องให้ตนเองเสียหาย

    อีกประการหนึ่ง สำหรับพ่อพระแม่พระปลอมๆนั้น ในอนาคตเมื่อมีโอกาสเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีก หน้าตาจะออกแนวไม่ใสซื่อ ดูไม่จริงใจ ถึงแม้ศีลจะปั้นให้รูปร่างหน้าตาดูดีอยู่บ้าง ก็จะสวยหล่อแบบเบี้ยวๆ ขาดๆเกินๆ ดูสวยไม่เสร็จ หล่อไม่เสร็จ เลี่ยนๆเอียนๆอย่างที่คนเห็นอธิบายไม่ถูก นี่ก็เพราะตอนก่อวจีกรรมดีๆนั้นไม่ดีจริง ใจมีอาการขาดๆเกินๆนั่นเอง

    อย่าง นี้มิแปลว่าควรพูดจาโผงผางขวานผ่าซากแบบไม่แคร์ใครกระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพื่อความสุขความเย็นใจในปัจจุบัน และเพื่อมีหน้าตาผิวพรรณงามในอนาคต ทุกคนควรฝึกตนให้นุ่มนวลเป็นกันทั้งสิ้น

    อย่างไรก็ตาม ที่ก้าวแรกควรเป็นเจตนาใช้คำที่ไม่ระคายโสต อย่าเพิ่งพยายามดัดท่าที หรือตกแต่งน้ำเสียงให้ละมุนละไมเกินเหตุ พูดแบบเป็นตัวของตัวเอง พูดแบบไม่รู้สึกว่าต้องใส่หน้ากากไปซื้อใจคนอื่น พูดแบบไม่ต้องเหนื่อยสร้างภาพที่ไม่มีอยู่ในตน คุณจะพบว่าเพียงด้วยใจที่คิดงดเว้นถ้อยคำอันระคายโสตนั้น จะสวนทางกับตัวตนด้านร้าย ยิ่งพูดจะยิ่งลิดรอนอำนาจของโทสะลงเอง ยิ่งฝึกหัดเลือกใช้คำดีๆมากขึ้นเพียงใด ใจคุณจะยิ่งนุ่มนวลอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น

    เช่นแทนที่จะพูดลุ่นๆด้วยอำนาจความ เคยชินว่า ‘เฮ้ย! ทำไมชุ่ยอย่างนี้วะ?’ ก็อาจลดลงมาเป็น ‘นี่! ช่วยระวังหน่อยเถอะ’ อาการทางใจของทั้งคนพูดและคนฟังจะแตกต่างกันลิบลับ ยิ่งถ้าลดลงมาอีกเป็น ‘คุณครับ/คุณคะ ช่วยระวังนิดหนึ่งเถอะนะ’ ผลก็จะยิ่งต่างไปอีก แม้ไม่ดัดเสียงหรือแต่งสีหน้าให้ดูดี ไฟโทสะที่เกิดแล้วในใจคุณก็จะลดลง ไฟโทสะที่ยังไม่เกิดในใจคนอื่นก็จะไม่เกิด

    ใจที่เยือกเย็นลงอย่างเป็นธรรมชาตินั้น จะปรุงแต่งให้กิริยาของคุณนุ่มนวลลงอย่างเป็นธรรมชาติไปด้วย คุณจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหน็ดเหนื่อยกับกิริยาวาจาที่นุ่มนวลเลย ตรงข้าม จะยิ่งพึงใจในรูปแบบชีวิตใหม่ ไม่ฝืดฝืน ไม่ต้องออกแรงบังคับตัวเองแต่อย่างใด ถึงเดิมทีเคยสะใจกับการเป็นผู้ร้ายทางวาจา ต่อมาจึงได้ข้อเปรียบเทียบว่าการเป็นพระเอกนางเอกทางการเลือกใช้คำนั้น หยาบประณีตแตกต่างห่างชั้นกันเพียงใด

    ใครบอกว่าฝึกเมตตาไม่เป็น เจริญเมตตาไม่ได้ผลเสียที ลองนับหนึ่งด้วยการใช้วิธีควบคุมการพูดจาในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ คุณจะรู้ชัดอยู่ข้างใน ว่านุ่มนวลแบบเมตตาจริงกับนุ่มนวลแบบแอบแฝงนั้น แตกต่างกันอย่างไร น่าพึงใจกว่ากันขนาดไหน และถ้าหากต้องเกิดใหม่เป็นมนุษย์ คุณจะสวยหล่อน่าชม ไม่ขาดไม่เกิน เรียกว่างดงามชวนชมอย่างเป็นธรรมชาติ มองดูไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว

    ถาม – บางทีพอได้ยินว่าแค่ยินดี หรืออนุโมทนากับบุญของคนอื่น ก็เป็นผู้ได้ส่วนของบุญแล้ว อย่างนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันง่ายนัก

    ตอบ-ต้องเปรียบเทียบกับฝ่ายตรง ข้ามแล้วจะเข้าใจครับ คือมีอยู่มาก ที่เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดความหมั่นไส้ หรือเกิดความขบขัน เห็นเป็นเรื่องงมงาย เสียแรง เสียเวลา เสียทรัพย์เปล่า อย่างนี้นอกจากไม่มีจิตอนุโมทนา ยังมีความคิด คำพูด หรือการกระทำในเชิงเบียดเบียนตามมา เช่นอย่างเบาสุดคือคิดค่อนขอดไปต่างๆนานา อย่างกลางคือพูดกระทบกระเทียบเหน็บแนมบั่นทอนกำลังใจคนทำบุญ อย่างหนักสุดคือเข้ากระทำการกีดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ผู้อื่นทำบุญ สำเร็จ

    คงมองง่ายขึ้นแล้วนะครับ คนเราอยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำบาปได้สารพัด แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจ หรืออาศัยทุนเดิมเป็นกุศลจิตที่หนักแน่นพอ จึงสามารถยินดีตามในกระแสบุญของคนอื่นได้ไหว พูดง่ายๆถ้าทุนเก่าไม่พอก็ต่อบุญใหม่ไม่ได้ ชาตินี้คุณต้องเป็นผู้ทำบุญมาพอสมควร จนเข้าใจได้ว่าบุญน่ายินดีอย่างไร จึงจะสามารถคล้อยตามกระแสความสว่างอบอุ่นของกุศลจิตผู้อื่นไหว

    หากไม่เชื่อเรื่องอานิสงส์อันลี้ลับ ของการอนุโมทนาบุญ ก็ขอให้เชื่อสิ่งที่เห็นประจักษ์ชัดง่ายสุด นั่นคือทันทีที่อนุโมทนา คุณจะเกิดความเบาโล่งสบายหัวอก เหมือนจิตสว่างขึ้น อบอุ่นขึ้น และโน้มน้อมไปสู่การคิดอ่านทำบุญทำกุศลด้วยกาย วาจา ใจด้วยตนเองบ้าง

    แต่ถ้าอนุโมทนาแบบแห้งๆ อนุโมทนาไปสงสัยไป อย่างนี้คุณจะไม่เห็นผลทันใจ แล้วก็อาจจะถึงขั้นทำกุศลไม่ครบองค์ คือใจขาดโสมนัส ขาดความหนักแน่น ขาดความสว่างเป็นกุศลจิตเต็มดวงครับ
     
  9. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    อนุโมทนาครับ พระองค์นี้แท้ล้านเปอร์เซนต์เป็นหนึ่งในตะกรุดทองคำ 333 องค์ ที่บิดงอเล็กน้อยเนื่องจากแก่ผงพรายนะครับ ตะกรุดทองเป็นชุดที่เข้าครบทุกพิธี และพี่วุธใส่ผงพรายไม่ยั้งเลย ข้อมูลต้องให้พี่ภูนอนยันอีกทีครับ ฮ่าๆๆ

    ข้อมูลครับ
    [​IMG] ขุนแผนระฆังทอง.doc
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2010
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ความลี้ลับของจิต (หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม)
    วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

    *******************************************************************

    ในคราวที่พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ได้อยู่ปรนนิบัติ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดธรรมสามัคคีนั้น หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโปได้รับการสั่งสอนแนะนำถึงความลี้ลับของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั่งภาวนา เมื่อเกิดเห็นนิมิตบางอย่างขึ้น แม้จะออกจากสมาธิมาแล้ว ขณะเมื่อเดินบิณฑบาต ก็ยังมองเห็น “สิ่งประหลาดๆ” อยู่เนืองๆ
    หลวงปู่ตื้อ ท่านสอนสั่งในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้น ว่านิมิตนั้นจำแนกไปหลายประการ จิตของนักปฏิบัติมีหลายขั้นตอนตามนิสัยบารมีของแต่ละคน
    พูดถึงผู้มีสมาธิดี จิตใจบริสุทธิ์สะอาด ก็จะปรากฏนิมิตที่แจ่มใส เป็นไปด้วยอำนาจฌาน และอำนาจแห่งญาณ
    ตอนที่หลวงพ่อเปลี่ยน ออกเดินบิณฑบาตตามหลังหลวงปู่ตื้อ และพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านมองเห็นผู้คนในลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับที่ตาเราเห็น ตอนแรกๆ ก็คิดว่าเราไปสร้างนิมิตเอาเอง พอนานๆ ไปก็เห็นว่าเราพบเรื่องจริงเข้าแล้ว จึงได้นำมากราบเรียนปรึกษากับหลวงปู่ตื้อ แล้วท่านให้ข้อคิด ดังนี้
    ๑. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มผ้าสีเหลืองเดินเข้ามาหา แสดงว่าจิตของบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติ มีสมาธิ มีการปฏิบัติศีลอย่างสม่ำเสมอ ละเว้นจากการทำชั่ว มีใจเป็นพระ เป็นธรรม
    ๒. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มด้วยผ้าขาว แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นมีศีล ๕ เป็นปกติ และมีใจเป็นเทพเทวดา
    ๓. ถ้านิมิตเห็นบุคคลธรรมดานุ่งห่มเสื้อผ้าขาด ผิวคล้ำไม่มี สง่าราศี แสดงว่าจิตของบุคคลนั้นตกต่ำลงไปกว่าความเป็นคน คือ มีความคิดแต่จะทำความชั่ว
    ๔. ถ้านิมิตเห็นบุคคลที่ใส่เสื้อผ้าดำสนิท จิตของเขามีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใจหยาบ
    ที่ต่ำไปกว่านั้น คือ จะเห็นเป็นลักษณะของเดรัจฉาน เช่น ควาย ต่ำลงไปก็เป็นสุนัข ต่ำลงไปก็เป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลาน เช่น งู เป็นต้น
    หลวงพ่อเปลี่ยนได้รับการบอกเล่าเช่นนี้จากหลวงปู่ตื้อ นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก


    1.
    หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
    อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า


    “หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

    “อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

    “อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

    หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

    “อีตอแหล!”

    สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน

    เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

    นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ


    2.
    วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อ ท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่ กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของ หลวงปู่ จึงบอกกับศิษย์ของหลวงปู่ว่า

    “ตุ๊เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”

    หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า

    “อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ ”

    คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึง ไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน

    พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้ว จึงออกมา สนทนากับญาติโยม

    คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “ อะไรดีๆ ” จาก หลวงปู่

    “ หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ “

    หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

    “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ”

    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

    “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูป จะต้องถือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ

    ถ้าพระรูปไหนไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น เป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิเลย ”

    นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น

    3.
    มีบางคนคิดพิเรนเล่นแปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถึงกับเอาเส้นเกศา ของหลวงปู่ตื้อ ที่ท่านโกนทิ้งแล้ว เอาไปลองยิงดู

    ปรากฏว่า ยิงไม่ออก !

    พอลงมือยิง ปืนไม่ลั่น ก็รีบมาบอกหลวงปู่ตื้อ อีกเช่นกัน เพื่อหวังว่า จะให้หลวงปู่ชม ที่ตนเองค้นพบความมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นคุณความดี เกิดขึ้นกับตัว

    " หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ผมลองเอาปืนยิงเส้นเกศาของหลวงปู่ดู มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่ "

    หลวงปู่ตื้อ ย้อนถามเสียงดังว่า

    " ผมกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ มึงเอาผมกูไปยิงทำไม ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อกันนะสิ "

    แม้หลวงปู่ท่านจนจะกล่าวด้วยคำพูดที่ดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ แสดงชัดว่า การดุด่าของท่านมิได้เป็นไปด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็น การเตือนสติ ให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร

    4.
    เส้นทางเชียงใหม่ - แม่แตง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเอามากๆ แต่ก็มี รถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งผู้คนบนเส้นทางสายนี้แล้ว

    ในปีที่หลวงปู่ตื้อ กำลังบุกเบิกสร้างวัดป่า ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระในการก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมาอยู่บ่อยๆ

    พวกรถโดยสารจะชินตากับ "หลวงตา พระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขา ผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่าม เดินตามต้อยๆ "

    พวกรถโดยสารคงรำคาญ และหมั่นไส้หลวงตา พระป่ารูปนั้น เอาการอยู่ เพราะว่า "พอขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บ พระหลวงตาก็เอาเท้า ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะปั๊บ แล้วก็นั่งหลับตาปี๋ หลับเฉยโดยไม่สนใจใคร"

    ช่างน่าเบื่อหน่าย และน่ารำคาญจริง ผู้โดยสางคนอื่นๆ นั่งห้อยขา เบาะเดียวนั่งได้ ๓-๔ คน แต่หลวงตาแก่รูปนั้นนั่งเอ้เต้อยู่คนเดียว

    เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูดกึ่งขอร้อง กึ่งไม่พอใจ

    " ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น...ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ "

    " ลงบ่ได้ " หลวงปู่ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

    กระเป๋ารถเริ่มโมโห เลือดขึ้นหน้า ขณะนั้นรถกำลังตระเวนรับส่ง ผู้โดยสารตามรายทาง

    กระเป๋าหนุ่มกล่าวสบถเสียงดัง

    " มันเป็นอะหยังหือ...จึงเอาตีนลงบ่ได้ "

    พร้อมกันนั้นก็เอามือกระชากขาของหลวงปู่ เพื่อเอาลงจากเบาะ

    ทันใด ครืด...ครืด...ครืด...ฉึก !

    เครื่องยนต์ดับสนิท รถโดยสารหยุดกึกอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งคัน หัวคะมำไปตามๆ กัน

    หลวงปู่พูดขึ้น " หลวงตาบอกแล้ว...ลงบ่ได้...ลงบ่ได้ ! "

    คนขับพยายามติดเครื่องรถอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ไม่ติด ผู้โดยสารก็ส่งใจไปลุ้น แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที

    หลวงปู่พูดขึ้นว่า

    " ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ "

    กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่

    เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน จากการเล่าขาน ปากต่อปาก นับจากนั้นมา หลวงตาพระป่าแก่ๆ อยู่ในอำเภอแม่แตง จึงดังระเบิด !

    รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่ นั่งรถของตน แม้นั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี
     
  11. ถิรวุษิ

    ถิรวุษิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,685
    ค่าพลัง:
    +7,520
    ขอบคุณมากๆครับ เพราะตอนนี้ผมก็กำลังป่วยทางจิตด้วยโรคร้ายนี้อยู่ :cool:
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    การแผ่เมตตา โดย ดังตฤณ

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตานั้น มีจุดประสงค์เพื่อละพยาบาท เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระราหุลในราหุโลวาทสูตรมีความว่า…

    ดูกร ราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้

    และเมื่อเข้าใจแล้วว่าเราต้องการละพยาบาท ก็ต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดต่อไปอีกชั้นหนึ่ง ว่า "ความโกรธ" กับ "ความพยาบาท" นั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร สำหรับความโกรธนั้นคือตัวโกธะ ซึ่งอาจหมายถึงความขุ่นเคืองที่เกิดจากผัสสะกระทบใดๆ อาการทางจิตโดยทั่วไปจะเหมือนไฟไหม้ฟาง คือวูบหนึ่ง หรือระยะหนึ่งแล้วดับหายไป ส่วนความพยาบาทนั้นจะหมายเอาความแค้นใจ ความเจ็บใจ ความคิดร้าย ซึ่งเป็นตรงข้ามกับเมตตาโดยตรง พฤติของจิตจะเป็นไปในทางผูกใจคิดแก้แค้นเอาคืน หรือแม้ไม่ถึงขั้นลงมือเอาคืน ก็มีอาการขัดเคือง ขุ่นข้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

    เมื่อเข้าใจตรงนี้ ก็จะเห็นว่าตัวความโกรธอาจพัฒนาเป็นความพยาบาท หรืออาจจะหายไปเสียเฉยๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายต่อหลายประการ ดังนั้นเราเอาจแผ่เมตตาเพื่อระงับความโกรธ ตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ลุกลามเป็นพยาบาทก็ได้ หรืออาจแผ่เมตตาเพื่อทำความพยาบาทที่ครอบงำจิตอยู่แล้วให้สูญไปก็ดี ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตามิใช่การทำเชื้อแห่งความโกรธให้ดับลงสนิท เพราะนั่นเป็นงานวิปัสสนา เราแผ่เมตตาเป็นงานสมถะ เพื่อทำจิตให้มีคุณภาพพอจะต่อยอดเป็นวิปัสสนาในภายหลัง

    และเมื่อทำความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าจุดประสงค์ของการแผ่เมตตาเป็นไป เพื่อละพยาบาท อันเป็นของครอบงำจิตระยะยาว ก็ต้องเห็นซึ้งยิ่งขึ้นไป ว่าการแผ่เมตตาเป็นเรื่องของการ "เปลี่ยนนิสัย" คือต้อง "ละพยาบาท" ให้ขาดจากจิต แม้โกรธขึ้นก็เหมือนจุดไฟดวงน้อย เรามีน้ำกลุ่มใหญ่ไว้สาดให้ดับพร้อมอยู่แล้ว

    เมื่อแผ่เมตตาเป็น จะเกิดกระแสจิตอีกแบบหนึ่งที่ทำให้รู้ว่ากรรมฐานข้อนี้ต่างกับข้ออื่น คือถึงจุดหนึ่งแล้วเหมือนจิตฉายรัศมีเมตตาออกมาเองโดยไม่ต้องกำหนด เนื่องจากเมตตาเป็นธรรมชาติของจิตที่เปล่งประกายได้โดยปราศจากเจตจำนงบังคับ ตรงนั้นจะเห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตาตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเมตตาสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการคือ ย่อมหลับเป็นสุข, ย่อมตื่นเป็นสุข, ย่อมไม่ฝันลามก, ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย, ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย, เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา, ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกรายได้, จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว, สีหน้าย่อมผ่องใส, เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ, เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

    สำหรับงานภาวนาในสติปัฏฐาน 4 คงหวังผลเด่นประการหนึ่งจากบรรดาอานิสงส์ทั้ง 11 ข้อข้างต้นนี้ นั่นคือ "จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว" ซึ่งสำหรับอานิสงส์ดังกล่าวย่อมรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสียก่อน ใช้เหตุผลตามจริงที่ว่าเมื่อจิตสงบ อ่อนโยน มีความสุข ปราศจากการคุมแค้นอาฆาตใคร ไม่คิดจองเวรใคร ก็ย่อมปราศจากคลื่นความฟุ้งในหัว และพร้อมพอใจะเข้าสู่ความตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ต้องการได้ง่ายๆ แน่นอน

    การเจริญเมตตาภาวนานั้นแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะใหญ่ๆตามวิธีดำเนินจิต แบบแรกคือใช้จิตที่ยังคิดนึกส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้บุคคล สัตว์ หรือสิ่งของอันเป็นเป้าหมายมีความสุข แบบที่สองคือกำหนดจิตอันตั้งมั่นแล้ว แผ่กระแสเมตตาออกตามรัศมีจิต เริ่มต้นอาจจะเพียงในระยะสั้นเพียงสองสามเมตร ต่อมาเมื่อล็อกไว้ได้นาน ก็อาศัยกำลังอันคงตัวนั้น ยืดขยายระยะ หรือตั้งขอบเขตออกไปไกลๆ กระทั่งถึงความไม่มีประมาณ ทิศเดียวบ้าง หลายทิศพร้อมกันบ้าง ตลอดจนครอบโลกโดยปราศจากทิศคั่นแบ่งบ้าง เป็นผลพิสดารในภายในอันรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อสามารถทำสำเร็จ

    เมื่อทราบว่าการเจริญเมตตาภาวนาแบ่งออกเป็นสองวิถีทางอย่างนี้ ก็พึงทราบว่าการเจริญเมตตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับจริตนิสัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีปัจจัยใดๆหนุนหลังหรือถ่วงรั้งเอาไว้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสมควรฝึก สมควรทำให้เกิดขึ้นในตน เพื่อขจัดวัชพืชออกไปจากพื้นที่เพาะพันธุ์มรรคผลในจิตเรา

    การฝึกเจริญเมตตาโดยอาศัยจิตสามัญ

    ก่อนอื่นต้องสำรวจด้วยความตระหนักแบบไม่เข้าข้างตนเอง ว่าเป็นคนมักโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟง่าย กับผูกโกรธไว้เผาเราเผาเขาได้นานหรือเปล่า หากรู้ตามจริงว่าเป็นบุคคลเคราะห์ร้าย คือจัดอยู่ในพวกโกรธง่ายหายช้า ก็ให้ทราบว่าอย่างนั้นเป็นคนเมตตาอ่อน มีทุนน้อย จะเอามาใช้เจริญเมตตาเป็นภาวนาทันทีทันใดคงยาก

    หลายคนได้รับคำแนะนำให้ภาวนา สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ ขอสัตว์โลกทั้งหลายอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย ภาวนาอยู่เกือบสิบปี ยังหน้าตาเหี้ยมเกรียมอยู่เหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะตั้งความเข้าใจไว้ผิดพลาด ว่าแค่ท่องบ่นไปก็คือการเจริญเมตตาภาวนาแล้ว หรือหนักกว่านั้นคือนับเป็นการแผ่เมตตาแล้ว ขอให้เข้าใจว่าการเจริญเมตตานั้น เป็นอาการของจิตที่ส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วยใจจริง การท่องบ่นสาธยายมนต์นั้น ไม่ต่างกับนกแก้วนกขุนทองที่พูดได้คำสองคำ แต่หามีความเข้าใจหรือรับรู้ในภาษาที่ตนพูดไม่

    ในมหาสีหนาทสูตรท่านตรัสกะชีเปลือยชื่อกัสสปะว่าเมตตาจิตนั้นคือจิตอัน ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ซึ่งหมายถึงการคิด การพูด และการทำอันไม่มีเวรกับใคร ไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ดังนั้นการ "สร้างทุน" คือเมตตาจิตนั้น ก็ต้องอาศัยการหมั่นสำรวจอย่างเข้มงวด ว่าชีวิตเราล่วงไปวันต่อวัน ขณะต่อขณะอยู่อย่างนี้ ด้วยอาการผูกเวร ด้วยอาการเบียดเบียนใครหรือไม่

    หากสำรวจตามจริง พบในขณะแห่งการคิด การพูด หรือการทำ ว่าเราเอาแล้ว ก่อเวรแล้ว เบียดเบียนใครเข้าแล้ว ก็ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีให้เป็นตรงข้าม คือไม่แม้คิดก่อเวร ไม่แม้คิดเบียดเบียนใครๆด้วยประการใดๆเลย พูดง่ายๆคือถ้าถามตัวเองว่าตอนนี้คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า รู้ตัวแล้วก็เปลี่ยนให้เป็นตรงข้ามเสีย ด้วยความระลึกว่าการคิดไม่ดีย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อเมตตาจิต ระลึกไว้เพียงเท่านี้ก็จะเป็นบาทฐานอันมั่นคงไว้รองรับเมตตาจิตอันจะมาถึง เองข้างหน้าแล้ว

    แรกๆเมื่อทำให้เมตตาจิตเกิดขึ้นในเรานั้น จะเป็นเรื่องของการฝืนใจ อาจไม่เห็นผลเป็นความสุขความเย็นทันใด บางทีถึงกับต้องสู้กับความรู้สึกได้เปรียบเสียเปรียบ อันนี้ถ้าเห็นว่ายากหรือเหลือบ่ากว่าแรงนัก ก็อาจเอาแค่ถือศีล 5 ให้ครบ ให้จิตใจสะอาด นั่นก็เรียกว่าสร้างเมตตาจิตอยู่กลายๆแล้ว เพราะเมื่อตีกรอบไว้ กำหนดเจตนาไว้ว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร ไม่มุสา และไม่ร่ำสุรา ก็คือระงับเหตุแห่งเวรและการเบียดเบียนทั้งปวงนั่นเอง สำรวจใจที่สะอาดด้วยรั้วคือศีล พอเห็นผลตามจริงก็จะเกิดโสมนัสขึ้นมา

    หลังจากเจริญเมตตาจิตด้วยการคิด การพูด การทำเป็นร้อยครั้งพันหน กระทั่งรู้สึกถึงกระแสฝ่ายดี กระแสเย็นใจชุ่มชื่นอันเกิดจากการระงับเวรทั้งปวงแล้ว ชนิดที่สามารถระบายยิ้มอ่อนๆออกมาได้เองโดยไม่ต้องฝืน พอกระแสนั้นเอ่อขึ้นมาเมื่อใดขณะไหนก็ตาม อยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม ให้ฝึกล็อกอยู่กับความรู้สึกภายในชนิดนั้นไว้ คือรู้ว่าเป็นสุขเย็น และความสุขไม่เคลื่อน ไม่เลื่อนไหลแปรปรวนเป็นอื่นง่าย กระทั่งชัดเต็มอยู่ในอกในใจ มีความตั้งมั่นไม่ต่างกับขณะแห่งการจ่อจิตไว้ที่ลมหายใจหรืออารมณ์ภาวนา อื่นๆ ถึงขั้นนี้เรียกว่ามีทุนไว้ต่อทุนในระดับต่อไปแล้ว

    ยิ่งถ้าหากมีพื้นนิสัยอ่อนโยน มีลักษณะแห่งเมตตาอยู่ในตัว คือนอกจากไม่ก่อเวรแล้ว ยังเป็นผู้ชอบสร้างสุขผูกไมตรีกับคนอื่น และนอกจากไม่เบียดเบียนแล้ว ยังเป็นผู้ชอบเอื้อเฟื้อเจือจานให้คนอื่นมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ก็อาจใช้ทุนประจำตัวได้เลยทันที คือสังเกตว่าขณะที่ไม่ฟุ้งคิด จิตใจสงบสุขอยู่กับตนเอง บอกตนเองว่านี่เพราะเราไม่มีเวร ก็ไม่มีใครเบียดเบียนตอบ ให้ล็อกเอาความรู้สึกนั้นไว้ในใจ เป็นองค์ภาวนาเดี๋ยวนั้น

    หากใครนึกเถียงอยู่ในใจว่าเมตตาแล้ว แต่ยังถูกเบียดเบียนอยู่ดี ก็ให้ตัดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบทิ้ง ยิ่งต้นเหตุยั่วยุให้เหมือนคลั่ง ก็ยิ่งเป็นแบบฝึกชั้นสูง เราจะเอาเป้าหมายเดียวคือเมตตาจิต ฉะนั้นต้องละจากการจองเวร ให้อภัยเป็นทานเสีย ผ่านขั้นยากได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นอภัยทานชั้นเลิศขึ้นเท่านั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าเราให้ทานเป็นการอภัยออกมาจากแก่นแท้ภายในแล้วมีความสุข ความสงบเย็นทันตาเห็น ก็ดูตามจริงว่านี่ก็คือลักษณะของเมตตาจิต ล็อกไว้อย่างนั้นเป็นองค์ภาวนาได้เช่นกัน

    สรุปคือใช้ชีวิตประจำวันนั่นแหละ ในการเจริญเมตตาภาวนาเบื้องต้น ตราบใดเรายังต้องคิด ต้องเจรจา ต้องมีกิจกรรมตอบโต้กับชาวโลก ตราบนั้นคือโอกาสในการเจริญเมตตาภาวนาของเราทั้งหมด ลองระลึกในทุกขณะว่าเมตตาเป็นด้านหัวของเหรียญ พยาบาทเป็นด้านก้อยของเหรียญ เราพลิกด้านหนึ่งขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็หายไปทันที ตัวที่พลิกจากคิดไม่ดีเป็นคิดดีกับผู้อื่นนั่นแหละตัวเมตตาอันเป็นที่รู้สึก ได้ชัด ระลึกไว้ง่ายๆอย่างนี้จะสำรวจความคิด คำพูด และการกระทำของตนเองถนัดขึ้น

    การเจริญเมตตาโดยอาศัยสมาธิจิต

    ในเตวิชชสูตร พระพุทธองค์ตรัสกะวาเสฏฐะตอนหนึ่งมีความว่านิวรณ์เป็นทุกข์ เป็นโทษ และอุบายลัดทางอย่างง่ายที่สุดคือให้ "รู้" เข้ามาตรงๆถึงภาวะของนิวรณ์ อย่างเช่นเมื่อตระหนักว่าพยาบาทกำลังครอบงำจิต ก็ให้พิจารณาเปรียบเทียบว่า…

    ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนผู้ป่วยหนัก บริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมาเขาพึงหายจากความป่วยไข้นั้น บริโภคอาหารได้ และมีกำลังวังชากลับคืนมา เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้ป่วย ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส โดยความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

    เพียงคิดเทียบเสียได้ด้วยใจอันซื่อ ว่าความพยาบาทนั้นเหมือนโรค เหมือนความป่วย จิตก็เห็นโทษแห่งพยาบาทอย่างแจ่มชัด ถ้าเลิกพยาบาทได้ก็จะปลอดโปร่งโล่งสบาย กินอิ่มนอนหลับเหมือนหายป่วย พอเห็นข้อดีชัดเจนเข้า จิตก็ละพยาบาทอย่างไม่เสียดายเหมือนถ่มเสลดทิ้งจากปากคอ เมื่อทิ้งได้ ก็บังเกิดโสมนัสอันพร้อมน้อมมาใช้แผ่เมตตาขั้นสูงต่อไป

    อีกนัยหนึ่ง เมื่อภาวนาจนจิตตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเพียงพอแล้ว ก็อาจพิจารณาว่าจิตมีลักษณะเช่นนั้นอยู่ได้ก็ด้วยเพราะปราศจากความพยาบาท หากมีความพยาบาทครอบงำจิตอยู่ ก็คงถึงซึ่งลักษณะตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเช่นนี้ไม่ได้ นี่ก็จะเป็นชนวนให้เกิดความโสมนัสในผลอันเป็นปัจจุบันเช่นกัน พระพุทธองค์ตรัสว่าเมื่อสำรวจได้เช่นนั้น พึงแผ่เมตตาออกดังนี้

    เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอมีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่าในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่

    กล่าวโดยวิเคราะห์เพื่อดำเนินจิตเข้าสู่การแผ่เมตตาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้ดังนี้

    1) สำรวจว่าจิตยังมีพยาบาทอันเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่งหรือไม่ หากรู้แก่ใจว่ายังมีพยาบาท ให้ละเสียด้วยความคิดเปรียบเทียบพยาบาทเหมือนโรค คิดว่าถ้าจิตเป็นอิสระจากพยาบาท ก็เหมือนหายจากโรค คิดให้น้อย แต่รู้ตามจริงให้มาก

    2) หากผ่านข้อก่อนได้สำเร็จ ก็จะมีกระแสสุขแบบที่เป็นเมตตาเกิดขึ้นทันที ดังกล่าวแล้วว่าของแบบนี้มีแต่ด้านหัวกับด้านก้อย คว่ำพยาบาทลงได้ก็เท่ากับหงายเอาเมตตาขึ้นแทน ให้ประคองรู้จิตอัน "ประกอบด้วยเมตตา" นั้นไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มแผ่เมตตาออก เริ่มจากทิศหนึ่งคือเบื้องหน้า ทิศสองคือเบื้องขวา ทิศสามคือเบื้องซ้าย ทิศสี่คือเบื้องหลัง แล้วจึงแผ่ไปยังเบื้องบน เบื้องล่าง ด้านทะแยง จากนั้นเมื่อชำนาญแล้ว จึงกำหนดจิตแผ่ครอบไปทุกทิศพร้อมกัน คือแผ่ไปตลอดโลก เป็นการแผ่สุขให้อย่างไม่เลือกหน้า ไม่เลือกภพเลือกภูมิว่าเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดา หรืออื่นๆ ลิ้มรสความวิเวกอันเกิดจากความไร้เวรภัย ตั้งมั่นในระดับที่เรียกว่า "อัปปมัญญาสมาบัติ"

    บางคนอาจสงสัยว่าอุบายวิธีแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้าคงต้องรอให้โกรธหรือคิด พยาบาทมาดร้ายใครเสียก่อนกระมัง จึงจะถือเอามาใช้เป็นบทเริ่มต้นได้ ความจริงแล้วก็เหมือนคนเริ่มทำสมาธิด้วยวิธีสำรวจศีลของตนเองทีละข้อ วันไหนทราบชัดว่าศีลของตนสะอาดบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ก็ย่อมเกิดปราโมทย์ เกิดปีติ สงบสุขอยู่กับความผ่องแผ้วอันเป็นคุณลักษณ์ขณะนั้นแห่งจิตตน ทำนองเดียวกันนั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าจิตเราปราศจากความดำริก่อเวร ปราศจากการคิดเบียดเบียนใคร เมื่อนั้นกระแสเมตตาย่อมรินรสอยู่ในภายในให้สำเหนียกได้ กำหนดเป็นตัวตั้งเพื่อใช้แผ่ออกตามทิศต่างๆได้

    ว่าสำหรับการกำหนดจิตเพื่อแผ่ออกนั้น อาศัยปัจจัยหลักเพียง 3 ประการเป็นฐานเริ่ม ได้แก่

    1. จิตอันประกอบด้วยเมตตา ดังกล่าวถึงวิธีก่อแล้วข้างต้น

    2. ทิศทาง ขอให้กำหนดเป็นเบื้องหน้าก่อน เพราะเป็นไปตามธรรมชาติการมองออกด้วยสายตามาทั้งชีวิต จึงง่ายกว่าทิศอื่นทั้งหมด

    3. ระยะ เริ่มต้นควรมีระยะที่แน่นอน เพื่อให้จิตรู้ว่าควรกำหนดไว้แค่ไหน แรกทีเดียวควรเป็นสัก 2-5 เมตร คือระยะระหว่างสายตากับผนังห้องนอนทั่วไปก็ดี

    ด้วยองค์ประกอบทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้ พอจะลำดับขั้นตอนได้ง่ายๆ คือให้นั่งตัวตรงสบายๆ สำรวจแน่ใจแล้วว่าจิตประกอบด้วยเมตตาชัดอยู่ในกระแสรู้สึกตรงกลางๆ ทอดตาตรงไปยังเป้าหมายใกล้ตาเบื้องหน้า อาจเป็นเสา อาจเป็นจุดใดจุดหนึ่งบนผนัง ขอให้ตาจับได้โดยไม่ก่อความคิดอันเป็นนิวรณ์ใดๆขึ้นก็แล้วกัน

    มองเป้าหมายนิ่งๆสัก 2-3 วินาทีแล้วปิดเปลือกตาลง โดยที่ยังรักษาอาการทอดตาจับนิ่งๆแบบไม่เพ่งจนเกินไป ขณะเดียวกันโฟกัสก็ไม่เลื่อนไหลไปมาให้นัยน์ตาหลุกหลิก แล้วกำหนดความรู้สึกมาที่กระแสเมตตากลางอกอันไม่คับแคบเป็นจุดเล็ก แต่คลุมๆอยู่ในความรู้สึกตัวทั่วถึง จากนั้นแนบกระแสเมตตาเป็นอันเดียวกับอาการทอดสายตาตรง จะเห็นคล้ายตัดความผูกโยงกับประสาทตามาที่กลางอก เสมือนเปิดแผ่นอกโล่งและฉายรัศมีสุขออกไปตรงๆ

    ขอให้รักษาทิศทางและระยะไว้ดีๆ เพียงตั้งมั่นไม่นานจะสำเหนียกถึงอาการที่จิตล็อกอยู่กับกระแสสุขอย่าง ชัดเจน หาไม่แล้ว จิตที่ขาดทิศทางและระยะย่อมกระจายออก หรือวนๆอยู่ในตัว ทำให้ขาดความตั้งมั่นอย่างรวดเร็ว

    ขอให้สังเกตการแผ่ที่ผิดพลาดให้ทันตั้งแต่เบื้องแรก คือถ้ารู้สึกดันๆออกไป ตึงขมับ หรือเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่นอาจเป็นเพราะเราเพ่งมากเกิน ที่ถูกต้องมีเพียงกระแสสุขที่สาดตรงออกไปโดยปราศจากความเครียด และมีสติรู้ตั้งมั่นอยู่ที่กลางๆ

    เมื่อจิตเริ่มทรงอยู่ในกระแสสุข ประกอบพร้อมด้วยทิศเบื้องหน้าและระยะใกล้จนชำนาญแล้ว จะเหมือนจิตแสวงความโล่งเป็นระยะไกลขึ้นเอง เพียงกำหนดรู้ตามว่ารัศมีสุขเริ่มขยายออกไป สติก็จะดำเนินตามพัฒนาการของการแผ่เมตตา ที่มีแต่ทิศเบื้องหน้าเป็นกำหนด แต่ขอบเขตจำกัดไม่มี คล้ายมองขอบฟ้าลิบโลก หรือไปไกลถึงอนันต์ เพียงประคองไว้ได้สักนาทีเดียว จิตจะดึงดูดเข้าสู่ความมั่นคงระดับอุปจารสมาธิ มีปีติเย็นวิเวกแปลกกว่าสุขแม้ในสมาธิทั่วไป

    ขอให้ฝึกจนกระแสมั่นคงในทิศเบื้องหน้าแล้ว จิตรู้กระแสเมตตาอันเป็นนามธรรมว่าต่างหากจากกายแล้ว ไม่ผูกกับสายตาแล้ว จึงค่อยย้ายมาฝึกแผ่ไปทางทิศเบื้องขวา คล้ายนึกในใจถึงวัตถุที่อยู่ด้านขวาโดยไม่ต้องเหลือบแลสายตาตามอาการนึก และมีระยะทางที่แน่นอนใกล้ตัวก่อน เมื่อสามารถตามกระแสเมตตาได้จนเหมือนไกลถึงขอบฟ้าด้านขวา จึงเป็นอันใช้ได้ หากทำทางทิศเบื้องหน้าชำนาญแล้วจะเห็นการกำหนดทิศด้านข้างง่ายดายและรวดเร็ว มาก

    เมื่อได้ด้านขวาชำนาญก็ฝึกกำหนด้านซ้าย เมื่อฝึกด้านซ้ายชำนาญก็ให้ลองกำหนดแผ่ซ้ายขวาพร้อมกัน จะมีกระแสแผ่ออกเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ

    เมื่อสามารถแผ่สามทิศได้พร้อมกันแล้ว จะเหมือนมีกระแสสุขเป็นตัวเป็นตนเด่นชัดขึ้นให้รู้สึกได้ และจิตจะรักความไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียน คือไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับใคร และเหตุการณ์ในชีวิตก็เหมือนจะเริ่มเข้าข้างกระแสเมตตาภายในเรา

    สำหรับการแผ่ทางทิศเบื้องหลังนั้นจะยากกว่าสามทิศแรก เหตุเพราะมนุษย์เรามีอายตนะส่งจิตออกกระทบวัตถุเป็นสายตา ซึ่งเล็งไปเบื้องหน้า และเป็นแก้วหู ซึ่งเล็งหนักไปทางซ้ายขวา

    การที่จะกำหนดแผ่เมตตาทางทิศเบื้องหลัง จำเป็นต้องอาศัยความรู้สึกในแผ่นหลัง ประกอบกับจิตนึกทวนทิศของอายตนะหยาบ ขอให้ลองนึกถึงแผ่นหลังก่อน แล้วนึกถึงวัตถุสักชิ้น อาจเป็นผนังระยะใกล้ซึ่งอยู่ด้านหลัง นึกเฉยๆโดยไม่ต้องกำหนดกระแสเมตตาก่อนก็ได้ เมื่อแน่ใจแล้วว่านึกเป็น จึงค่อยกำหนดกระแสเมตตาประกอบการนึกย้อนหลังดังกล่าว หากเป็นไปตามลำดับก็จะพบว่าไม่ยากเย็นนัก

    หากกำหนดแผ่เมตตาได้ถึงขอบฟ้าเบื้องหลังสำเร็จ จะเหมือนเปิดจิตโล่งออกไปได้ทุกทิศทุกทางไม่จำกัด ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องเฉียงทั้งหมด ก็ไม่เหลือวิสัยอีกเลย จะเหมือนมีกระแสเมตตาหลั่งรินออกมาตลอดเวลาโดยไม่ต้องกำหนด พฤติกรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคิด พูด หรือทำ ก็ถูกล้อมไว้ด้วยทะเลเมตตาจากจิตนั่นเอง อานิสงส์ทั้ง 11 ประการตามพระพุทธองค์ตรัสแสดงจะปรากฏชัดให้ทราบได้อย่างปราศจากกังขา

    ถึงตรงนั้น ของแถมที่ตามมาอันรู้ได้เองอาจเป็นการรู้ว่าเมตตาอันเป็นรัศมีจิตของเรามี กำลังใหญ่ โทสะและพยาบาทของคนรอบข้างมีกำลังน้อย ถูกกลบกลืนด้วยสนามพลังเมตตาของเราโดยง่าย ก็จะเป็นการช่วยผู้อื่นให้พ้นนรกในอกได้อ้อมๆ และอาจเป็นสื่อโน้มนำเขามาเข้ากระแสที่ถูกต้องต่อไป หากใครมีไฟร้อนอยู่ในเรือน ก็อาจดับร้อนด้วยจิตตนนี้เอง

    ปกติจิตคนเราชอบคิดกักตัวเองไว้ในหัวเหมือนมีกรงขังเล็กๆในโพรงกะโหลก เมื่อเริ่มแผ่เมตตาจึงอาจรู้สึกว่ายาก แต่เมื่อแผ่เป็น ก็จะเห็นความเคยชินเก่าๆเริ่มแปรไป คือจิตเหมือนเป็นอิสระออกมาจากกรงขังเป็นมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม นับเป็นการเกื้อกูลต่อการปฏิบัติสติปัฏฐานได้อีกทางหนึ่ง

    นักภาวนาที่ประสบปัญหานอนไม่หลับเพราะตาแข็งจากสมาธิอาจชื่นชมอานิสงส์ ของการแผ่เมตตาเป็นพิเศษ เมื่อนอนหงายปิดตา กำหนดสุขในอก แผ่ออกไปยังทิศเบื้องบน อาจจับแค่ระยะเพดานห้องนอนก่อน หรือจะเป็นด้านข้างก็ได้ แล้วแต่ถนัด ถ้าจิตล็อกนิ่งแล้วหลับลงในอาการนั้น จะมีแต่ความสุขสบาย และเหมือนเข้าสมาธิอยู่แบบกึ่งเคลิ้มกึ่งรู้ตัว ถึงจะตื่นเร็วเกินเหตุก็เป็นการนอนหลับเต็มตา ไม่เหนื่อยล้าภายหลัง

    อย่างไรก็ตาม ความสุข ความสว่างแจ้งในเมตตาเป็นรสอันยากจะเปรียบ ตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูวิธีพิจารณาสุขเวทนาในหมวดเวทนานุปัสสนาดีๆ เพื่อความไม่ยึดติดจนเกินไป ขอให้ระลึกว่าเราแผ่เมตตาเพื่อผลคือละพยาบาทเป็นหลัก มิใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์อันจะพาออกนอกทางสติปัฏฐานเพื่อพ้นทุกข์ พ้นความยึดติดแม้สุขอันเลิศรสใดๆ
     
  13. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เปลี่ยนได้ด้วยไมตรี โดย พระไพศาล วิสาโล


    ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ คนผิวดำในสหรัฐอเมริกาไม่สามารถกินอาหาร
    ใช้ห้องน้ำหรือเรียนร่วมกับคนผิวขาวได้
    แต่ต่อมาการแบ่งผิวได้กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    แม้กระนั้นความรังเกียจเหยียดผิวก็ยังคงดำรงอยู่
    คอเร็ตตา เป็นนักศึกษาผิวดำคนแรกและคนเดียว
    ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของสหรัฐ
    เธอถูกกำหนดให้นั่งหน้าห้อง
    จึงกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับคนขาวที่รังเกียจเธอ
    ผลไม้เช่นมะเขือเทศขว้างมาถูกเธอเป็นประจำจนโดนเต็มหน้าก็มี
    ที่ร้ายกว่านั้นบางครั้งผลไม้ที่โยนมายังมีเหล็กยัดไว้ข้างใน
    ทำให้เธอเจ็บปวดมาก เวลานักเรียนทั้งชั้นหัวเราะ
    ขณะที่เธอเช็คคราบผลไม้ตามใบหน้า
    เธออยากจะคลานออกจากห้องแล้วไม่กลับมาอีก แต่เธอก็กลับมา

    เธอตั้งใจมั่นที่จะไม่ยอมแพ้แม้จะถูกกระทำเพียงใดก็ตาม
    ขณะเดียวกันก็พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ตามที่ได้รับการฝึกฝนมา
    แต่เธอก็เกรงว่าการอยู่นิ่งๆ จะทำให้วัยรุ่นคนขาวคิดว่า
    เธอไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนพวกเขา
    หรือคิดไปว่าเธอกลัวคนเหล่านั้น

    แล้ววันหนึ่งเธอก็โดนผลไม้ขว้างใส่อีก
    คราวนี้เธอไม่ยอมนิ่งเฉยแล้ว เธอก้มลงเก็บผลไม้ที่ตกอยู่บนพื้น
    เดินเข้าไปหาคนที่ขว้างเธอแล้ววางมันต่อหน้าเขา
    ด้วยท่าทีที่มั่นคงหนักแน่น
    เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “นี่ของคุณใช่ไหม ?”
    จากนั้นเธอก็กลับไปนั่งที่เดิม
    คราวนี้ทั้งชั้นมีเสียงโห่ฮาขึ้นมาทันที
    แต่มิใช่โห่เธอ หากโห่คนที่ขว้างเธอ
    ซึ่งรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง
    นับแต่วันนั้นก็ไม่มีใครขว้างอะไรใส่เธออีกต่อไป

    คนทั่วไปเมื่อถูกรังแกอย่างในเรื่องข้างต้น
    มักจะนึกถึงทางออกเพียงสองทาง
    คือยอมจำนน หรือไม่ก็ใช้ความรุนแรงตอบโต้
    ถ้าไม่ด่ากลับไปก็หาของที่หนักกว่าเช่นก้อนหินขว้างกลับไป
    แต่ที่จริงยังมีทางเลือกที่สาม นั่นคือสันติวิธี
    คอเร็ตตาเลือกใช้วิธีนี้และสามารถสยบผู้ที่รังแกเธอได้ในที่สุด

    สันติวิธีนั้นมีพลัง แต่ไม่ใช่พลังที่เกิดจากอาวุธหรือพลกำลังที่เหนือกว่า
    หากเป็นพลังทางใจ ความกล้าหาญและใจที่ให้อภัยนั้น
    มีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่งได้
    ทำให้ผู้ที่คิดประทุษร้ายเกิดความละอายใจหรืออับอายในการกระทำของตน
    หรืออย่างน้อยก็ขาดความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงต่อไป
    คนเรามักมีข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น
    เช่น เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนเลว เป็นมนุษย์ชั้นต่ำ
    หรือมีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าตัว
    แต่เมื่ออีกฝ่ายแสดงออกซึ่งคุณธรรมที่เหนือกว่า
    สถานการณ์ก็พลิกกลับ
    นอกจากข้ออ้างหรือความชอบธรรมในการทำร้ายเขาจะหมดไปแล้ว
    การไปทำร้ายเขายังเท่ากับเป็นประจานตัวเองว่าเป็นคนเลวและต่ำทราม

    สันติวิธีนั้นมีพลังที่สามารถชนะใจคู่กรณีได้
    โดยเฉพาะเมื่อมีความปรารถนาดีและน้ำใจไมตรีเป็นพี้นฐาน
    ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณธรรมดังกล่าว
    สามารถดึงเอาความดีในจิตใจของคู่กรณีออกมาจากส่วนลึก
    ความดีดังกล่าวหากถูกดึงออกมาได้มากพอ
    ย่อมสามารถสยบความโกรธ หรือความชั่วร้ายในใจเขา
    จนไม่มีพลังพอที่จะแสดงความรุนแรงออกมาได้
    กล่าวอีกนัยหนึ่งสันติวิธีช่วยให้ความดีในจิตใจของคู่กรณี
    สามารถเอาชนะความชั่วในใจเขาได้
    ยิ่งเราทำดีกับใครมากเท่าไร
    เราก็ช่วยเสริมสร้างพลังความดีในจิตใจของเขา
    ให้เข้มแข็งมากขึ้น จนปิดโอกาสไม่ให้ความเลวร้ายครอบงำใจเขาได้
    จากจุดนี้เองที่ความก้าวร้าวและความเป็นปฏิปักษ์
    จะเปลี่ยนมาเป็นความเอื้อเฟื้อและความเป็นมิตร
    ด้วยเหตุนี้การใช้สันติวิธีจึงไม่เพียงสามารถทำให้อีกฝ่ายยุติความรุนแรงได้เท่านั้น

    หากยังทำให้เขากลับมาเป็นมิตรกับผู้ใช้สันติวิธีได้ด้วย

    ความก้าวร้าวรุนแรงนั้นแม้จะเป็นการใช้พลกำลังที่เหนือกว่า
    แต่มักออกมาจากจิตใจที่อ่อนแอ
    อ่อนแอทั้งในแง่ที่ไม่สามารถต้านทานอารมณ์ดำมืด
    หรือความเลวร้ายภายในจิตใจได้
    เช่น ความโกรธเกลียด เคียดแค้น หรือความโลภ
    อีกด้านหนึ่งก็อ่อนแอเพราะถูกความทุกข์ทับถมกดดัน
    หรืออ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม
    ก็ล้วนเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและควรให้ความช่วยเหลือ

    บนรถไฟขบวนหนึ่งชานกรุงโตเกียว
    เมื่อประตูรถเปิดรับผู้โดยสาร ก็มีชายร่างใหญ่เดินโซซัดโซเซเข้ามา
    พร้อมกับส่งเสียงดังลั่น หญิงแม่ลูกอ่อนเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมจะหลบ
    แต่กลับถูกผลักกระเด็นไปปะทะผัวเมียวัยชราที่กำลังนั่งอยู่
    พอผู้เฒ่าทั้งสองลุกขึ้นด้วยความตระหนก
    ชายผู้นั้นก็ยกเท้าเตะหลังหญิงแก่ แต่เธอเอี้ยวหลบ
    เมื่อเขาเดินตรงเข้าไปในกลุ่มผู้โดยสาร ผู้คนก็แตกฮือ
    ในระหว่างนั้นเองก็มีชายแก่วัยเจ็ดสิบ
    กวักมือเรียกเขาพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร
    ชายร่างใหญ่เดินไปหาชายแก่พร้อมกับตวาดใส่
    แต่ชายแก่ไม่สนใจกลับถามว่า “ไปดื่มอะไรมาเหรอ”
    “ฉันไปกินสาเกมา” ชายขี้เมาตอบ
    แล้วกระแทกเสียงกลับไปว่า “แล้วมันเรื่องอะไรของแกล่ะ”

    ชายแก่ชวนคุยต่อว่า “ฉันก็ชอบสาเกเหมือนกัน”
    แล้วก็เล่าว่าทุกๆ เย็นเขากับภรรยาจะไปนั่งดื่มสาเกในสวน
    ชื่นชมธรรมชาติ ระหว่างที่พูดชายขี้เมาก็มีท่าท่าอ่อนลง
    กำปั้นเริ่มคลายออก ถึงตรงนี้ชายแก่ก็ถามถึงภรรยาของเขา

    “เมียฉันตายไปแล้ว” ชายขี้เมาตอบ แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้น
    “ฉันไม่มีเมีย ไม่มีบ้าน ไม่มีอาชีพอะไรเลย รู้สึกอับอายเหลือเกิน”
    ชายแก่ชวนเขานั่งลง เขาก็ทำตามอย่างคนว่าง่าย
    ชายแก่พูดปลอบใจเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    สักพักเขาก็เอาหัวซุกกับตักของชายชรา
    ไม่มีพิษสงใดๆ เหลืออยู่อีกเลย
    จากอันธพาลเกเรกลับกลายเป็นลูกแมวที่แสนเชื่อง

    สาเหตุที่คนเราสร้างความทุกข์ให้แก่กันและกัน
    ส่วนใหญ่ก็เพราะแต่ละคนมีความทุกข์ท่วมท้นใจ
    จึงอดไม่ได้ที่จะระบายใส่คนอื่น
    เมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักถึงความจริงข้อนี้
    ความเห็นใจก็จะเกิดขึ้นตามมา เราจะมองเขาอย่างเป็นมนุษย์มากขึ้น
    พร้อมกับปฏิบัติกับเขาอย่างมนุษย์ด้วย
    คือ มีน้ำใจไมตรี มีความปรารถนาดี
    และเชื่อว่าเขามีคุณงามความดีอยู่ในจิตใจ
    การที่เขามีพฤติกรรมที่เลวร้าย นั่น
    ก็เพราะคุณงามความดีดังกล่าวอ่อนแรง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนชั่ว
    โดยเราสามารถช่วยเขาได้ด้วยการเสริมสร้างความดีในใจเขา
    ให้มีพลังจนสามารถเอาชนะความชั่วได้

    สันติวิธีไม่เพียงแต่ช่วยให้ความดีเอาชนะความชั่วได้ในใจเขาเท่านั้น
    หากยังช่วยให้ความดีในจิตใจของเรางอกงามด้วย
    ในทางตรงกันข้ามยิ่งเราใช้ความรุนแรงมากเท่าไร
    ความดีและความเป็นมนุษย์ของเราก็จะเสื่อมถอยลง
    จนความชั่วร้ายและภาวะอมนุษย์ครอบงำในที่สุด

    กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วเราจะเป็นมนุษย์แค่ไหน
    ขึ้นอยู่ว่าเราเลือกวิธีอะไรในการแก้ปัญหา
     
  14. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ความลับของ "อนุโมทนา"
    คัดจากหนังสือ "พัฒนาจิต เพื่อชีวิตเป็นสุข" ของ ดร.สนอง วงอุไร

    [​IMG]



    Q : การอนุโมทนานั้นทำให้เราได้บุญด้วยได้อย่างไร

    A : การอนุโมทนาเป็นหนึ่งในบุญกริยาวัตถุ ๑๐ จึงถือว่าเป็นการกระทำความดี เป็นการบำเพ็ญกุศลอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเราเห็นใครทำดี เพียงแค่น้อมใจไปอนุโมทนาด้วย ก็นับว่าได้ทำบุญ ได้ประกอบกุศลกรรมแล้ว แต่ว่าอานิสงส์ที่ได้นั้นไม่เหมือนกัน เช่น หากเราเห็นคนถวายยาพระ แล้วอนุโมทนาด้วย ผู้ถวายจะได้อานิสงส์คือ มีเงินไปซื้อยาได้ไม่ขาด ส่วนผู้ที่เพียงแต่อนุโมทนา ได้กุศลต่างกัน ตรงที่ไม่มีเงินไปซื้อยา แต่มียารักษาโรคให้ใช้ เช่นเดียวกับการอนุโมทนาเมื่อเห็นคนนำอาหารไปใส่บาตร อานิสงส์ของคนใส่บาตรคือ มีเงินไปซื้ออาหารได้ไม่ขาด ส่วนอานิสงส์ของคนอนุโมทนาคือ มีอาหารกินไม่ขาด แต่ว่าไม่มีเงิน ดังนั้นจึงควรทำบุญไว้ให้หลากหลาย โดยไม่ต้องทำทีละมาก ๆ เพียงแค่มีศรัทธาเต็มที่จะทำบุญก็พอ



    Q : ทำอย่างไรจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ด้วยดี หากพ่อแม่ไม่อนุโมทนาด้วย

    A : พ่อแม่ไม่อนุโมทนาก็เป็นเรื่องของพ่อแม่ ท่านย่อมไม่ได้บุญในส่วนนี้ (บุญจากการอนุโมทนา) ส่วนลูกเมื่อไปปฏิบัติธรรมย่อมได้บุญในส่วนของภาวนาบุญ ซึ่งมีอานิสงส์มากกว่า ใครทำบุญส่วนไหน ผู้ทำย่อมได้บุญส่วนนั้น บุญเป็นของเฉพาะตน (ปัจจัตตัง) ไม่ข้องเกี่ยวกัน



    Q : เวลาที่เราอนุโมทนาบุญอยู่ในใจเงียบ ๆ จะได้ผลต่างกับการกล่าวออกมาดัง ๆ หรือไม่

    A : ได้บุญทางด้านมโนกรรมอย่างเดียว แต่ถ้ากล่าวคำอนุโมทนาด้วย จะได้บุญทั้งในส่วนของมโนกรรม และวจีกรรมด้วย
     
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    มีคนตาบอดคนหนึ่ง ทุกๆค่ำคืนจะถือตะเกียงสว่างดวงหนึ่ง

    คนอื่นเห็นเข้า รู้สึกประหลาดใจ จึงถามเขาว่า คุณตามองไม่เห็น เหตุใดใยต้องเดินถือตะเกียงอีก

    คนตาบอดตอบอย่างไม่อ้อมค้อม เหตุผลนั้นง่ายมาก ที่ฉันถือตะเกียง ไม่ได้เพื่อส่องทางให้ตัวเอง

    แต่เพื่อส่องทางให้คนอื่น ให้เขาเห็นฉัน จึงไม่เดินมากระทบฉัน

    ด้วยเหตุอย่างนี้ การช่วยเหลือคนอื่น ย่อมช่วยรักษาตัวเราเองด้วย
     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ธรรมะ คืออะไร โดย ลป.เทสก์ เทสรังสี

    พูดเรื่อง ธรรม มันกว้างมาก ธรรม คือ ธรรมดา

    สภาพอันหนึ่งซึ่งเป็นของจริงเรียกว่า ธรรมะ มันกว้าง
    แต่เมื่อเรามาพูดกันเรื่อง ธรรมมะที่เราปฏิบัติ
    โดยเฉพาะคือ ปฏิบัติสุจริต ทำชอบ ทำดี นั่นเรียกว่า ธรรมะ
    ทำชั่ว ก็เรียกว่า ธรรม เหมือนกัน

    แต่เราไม่นิยมจะเอาคำนั้นมาพูด
    คำว่า ธรรม กว้างมาก

    ดีก็เรียกว่า ธรรม
    ชั่วก็เรียกว่า ธรรม
    ไม่ดีไม่ชั่วก็เรียกว่า ธรรม

    ในตัวของเราทั้งหมด คือ รูปธรรม นามธรรม ก็เรียก ธรรม
    ถ้าพูดเฉพาะทางปฏิบัติเรียกว่า ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เราดี เพื่อเราจะได้รับความสุข
     
  17. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    พุทโธเป็นอย่างไร โดย ลป.ดุลย์ อตุโล

    หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพเมื่อ 31 มีนาคม 2521
    ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า
    พุทโธเป็นอย่างไร หลวงปู่เมตตาตอบว่า

    เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออก
    ความรู้อะไรทั้งหลายทั่งปวงอย่าไปยึด
    ความรู้ที่เราเรียนกับตำราหรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
    ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาให้มันรู้

    รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบจะรู้เอง
    ต้องภาวนาให้มากๆ เข้า
    เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
    ความอะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

    ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนี่แหละเป็นความรู้ลึกซึ้งที่สุด
    ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี
    คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว

    อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ที่จิต
    แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง
    ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธอยู่นั่แหละ

    แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
    เราจะได้รู้จักว่าพุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง
    ...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย
     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ถูกจริต
    โ ด ย : พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

    อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรา มันก็ไม่สลด ไม่สังเวช
    อันใดที่ถูกกับจริต อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ
    แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกต จึงควรสังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์
    เปรียบเหมือนกับอาหาร ที่เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง
    เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่าง

    นั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ
    อย่างไหนที่เราไม่ชอบอย่างไหนชอบ
    ก็ว่ามีรสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น
    นี่พูดถึงอาหารนี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา
    กรรมฐานที่ถูกกับจริต มันก็สบาย
     
  19. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    สองอย่างที่ควรรีบทำในโลก ก่อนตายจากไป

    ๑. ความกตัญญู ควรรีบทำต่อพ่อแม่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

    ๒. ความดี ควรรีบทำเดี๋ยวนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ
     
  20. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สงสัยต้องเปลี่ยนจากสหายเชน...เป็นเสี่ยเชนแทนซ่ะแล้วสิท่านประธานฯ ...(^_^)... เสือซุ่มตัวจริงอยู่นี่เอง อิอิ

    ขอบคุณครับ...(^_^)...
     

แชร์หน้านี้

Loading...