แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 1 พฤศจิกายน 2010.

  1. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258

    ย่องมาดูอีกที จะรวมไว้ปริ้นอ่าน เพราะเดี๋ยวอาจมี

    ตอนที่ 17: แถมอีกนิดครับ
    ตอนที่ 18: อ่ะแถมอีกหน่อยครับ :p อิ อิ
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก็เป็นไปได้ครับ..แต่คงไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับ
    เพราะ "แรงบันดาลใจ" มันหายไปหมดแล้วครับ

    คือคล้ายๆกับว่า พอได้ไปอ่านอะไรมา
    ก็จะมานั่งสำรวจแรงบันดาลใจดูก่อน
    ว่ามีใครเขาอยากให้เราเผยแพร่ไหม๊

    ถ้ามี มันก็จะหลั่งไหลมาดั่งห่าฝนเลยครับ
    แต่ถ้าไม่มี มันก็จะเงียบๆไป

    ซึ่งถ้ามีมาแล้ว โพสต์ไปแล้ว แต่ยังแอบขี้เกียจโพสต์ไม่หมด
    ก็จะมาเลยหละ คำถามที่เกี่ยวเนื่องด้วยข้อความที่เหลือนั้นๆ
    ซึ่งอันนี้เป็นบ่อยๆ จนสังเกตได้ครับ

    คือกำลังคิดว่า พอดีกว่า ขี้เกียจแล้ว อะไรแบบนั้นหนะครับ
    แต่ก็ต้องมาโพสต์ต่อให้จบข้อความ หรือเนื้อหาของเขาจริงๆโน่นแหละครับ
    พวกถึงจะเลิกส่งแรงบันดาลใจมาให้หนะครับ

    อืม..ก็เป็นไปได้นะ..เรื่องแบบนี้

    เรื่องต่อไปที่จะโพสต์..ผมเองก็ยังไม่รู้ล่วงหน้าเหมือนกันแหละครับ
    แต่เชื่อเถอะว่ามีแน่ๆ..มันจะมีทางมาของมันเสมอๆ
    และก็เชื่อเถอะว่า..มันจะสอดรับกับเหตุการณ์
    หรือสถานการณ์บางอย่างที่สำคัญเสมอ

    จนผมก็อดคิดไม่ได้ว่า..จิตสำนึกร่วมของพวกเรา เป็นตัวดึงมันมา
    เพราะความที่กำลังอยากรู้เรื่องนั้นๆอยู่พอดีหรืออย่างไร
    หรือเป็นต่างมิติเขาผลักดันเข้ามา..อันนี้ผมก้มิอาจรู้ได้หรอกนะครับ

    ..........................................
     
  3. kengvtc

    kengvtc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +12
    สุดยอดจริงๆ เรื่องนี้
     
  4. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866
    คนอ่านถ้าไม่ได้เข้ามาสัก 2 วัน ก็จะตามอ่านไม่ค่อยจะทันแล้ว แล้วลองนึกดูว่าคนที่แปล จะใช้ความพยายามขนาดไหน

    ทำต่อไปเถอะครับ เพื่อคนหยิบมือเดียวที่รู้เรื่องก็พอ อาจจะมีสิ่งมากระทบบ้างเพราะว่าเขาไม่รู้นั่นเอง

    คนที่อ่านกระทู้ของคุณ Chayutt สามารถยกระดับจิตได้จริง มันสัมผัสได้ คุณ Chayutt ก็สัมผัสได้เช่นกัน
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มันจะเกิดอะไรขึ้น..ถ้าตอนนี้พวกเรากำลังฝันอยู่จริงๆ
    แต่ชีวิตจริงของเรา..และตัวตนที่แท้จริงของเรา..ไม่ใช่ตัวตนนี้..ไม่ใช่ร่างกายนี้

    เหมือนอย่างที่ต่างมิติทั้งหลาย และเหล่าคุรุ หรือครูบาอาจารย์ด้านจิตวิญญาณทั้งหลาย
    พร่ำบอกเรามาตลอดว่า


    “เธอไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ..
    แต่เธอคือจิตวิญญาณที่กำลังมีประสบการณ์ในร่างกายมนุษย์”

    ผมอยากจะรู้จริงๆว่า ถ้าวันไหน เราประจักษ์แจ้งอย่างนี้ได้จริงๆ
    มันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ..มันคงน่าใจหายน่าดู

    ที่แต่ก่อนแต่ไร..ก็หลงยึดหลงติดว่ามันเป็นความจริง ว่ามันเป็นโลกแห่งความเป็นจริง
    แล้วถ้าสมมุติว่าวันหนึ่ง ตื่นขึ้นมาจาก “โลกแห่งมายา” นี้ได้จริงๆ

    …มันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ...มันคงใจหายน่าดูเลยทีเดียว...

    พวกเราทุกๆคน ก็คงเคยฝันกันมาแล้วทั้งนั้น..ใช่ไหมครับ
    และก็ต้องมีบ้างแหละ ที่บางครั้งเราฝันได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมากๆ
    จนเราหลงคิดว่าเรากำลังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงตามปกติ
    จนกระทั่งแม้ว่า รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว ถึงรู้ว่าอ้อ..เมื่อสักครู่นี้หนะคือเราฝันไป

    จากนั้นพอรู้สึกว่าเราได้ตื่นขึ้นมาจากฝันแล้ว เราก็มาเล่าความฝันเมื่อกี๊ให้ใครต่อใครฟัง
    ...แต่แล้วก็พบว่า ตัวเองตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
    ..จึงมารู้อีกว่า

    ..อ้อ..เมื่อตะกี๊นี้ ก็ยังเป็นฝันอยู่เหมือนกัน..มันเป็นฝันซ้อนฝัน



    ตัวผมจะมีความฝันแบบคมชัดลึกบ่อยมากๆ และก็จะจำความฝันได้แทบจะทุกครั้ง

    มีหลายครั้งที่ผมแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเป็นความฝัน อันไหนเป็นความจริง
    เพราะว่าในฝันของผมบางครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังฝันอยู่ (แต่บางครั้งก็รู้)
    แม้ว่าในฝันนั้น ผมจะมีสติอยู่ครบถ้วนก็ตาม

    บางครั้งผมก็จะถามตัวเองในฝันว่า นี่มันความจริงหรือความฝัน
    จนบางทีผมก็จำได้ว่า ผมลองหยิกตัวเอง หรือตบตัวเองในฝันดู
    เพื่อทดสอบดูว่ามันจะเจ็บหรือเปล่า อันนี้เรื่องจริงนะครับ ผมเคยทำอย่างนั้นในฝันแล้วจริงๆ
    เพราะเข้าใจว่าถ้ามันเป็นความฝัน มันจะต้องไม่เจ็บ

    แต่ปรากฏว่ามันเจ็บเหมือนปกติครับ ถ้าไม่เชื่อคืนนี้ลองกลับไปฝัน แล้วตบตัวเองดูนะครับ

    ในความฝันของผม มันจะมีชีวิตชีวามากๆ แล้วก็ดูเป็นจริงเป็นจังมากๆ ด้วย
    และบางทีตัวผมก็พูด-ทำและคิด โดยใช้เหตุใช้ผล และข้อมูลเดียวกันกับที่ผมใช้ยามตื่นนี่เลย

    แต่พอตื่นขึ้นมาโน่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเมื่อตะกี๊นี้มันคือความฝัน
    จนบางครั้งผมอดนึกหวั่นใจไม่ได้ว่า..

    ...จะเกิดอะไรขึ้น..ถ้าผมแยกแยะไม่ออก ว่าอันไหนคือความฝัน อันไหนคือความจริง
    เพราะว่ามันก็ดูจริงจังเหมือนๆกันหมด..แม้แต่ฝันซ้อนฝันก็ตาม

    ปกติในฝัน เราจะไม่รู้หรอกว่าตัวเราจริงๆ กำลังนอนหลับอยู่ที่ไหนซักแห่ง
    เพราะว่าตัวตนที่เราใช้แสดงในฝันนั้น มันกำลังแสดงบทบาทของมันอยู่อย่างออกรสออกชาติ
    แล้วถ้าในกรณีเดียวกันนี้ กำลังเกิดขึ้นกับพวกเราที่เป็นมนุษย์โลกอยู่นี้หละ

    ..มันจะเกิดอะไรขึ้น..มันจะเป็นยังไงกันนะ..

    ........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมอยากจะขออนุญาตเล่าทิ้งท้ายกระทู้นี้ไว้สักหน่อย

    คือเพราะความที่ได้อ่านและแปลเนื้อหาของกระทู้นี้แหละครับ
    จึงทำให้ผมครุ่นคิดอยู่กับมันมาสักพักหนึ่งแล้ว

    มันเป็นความทรงจำเก่าๆของผมเอง ที่พักนี้ชักจะผุดขึ้นมาบ่อยๆ
    เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวผมเองครับ

    เพราะว่ามันมี “สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง” ที่ผมอยากจะ “สะกิด”
    ให้ท่านระลึกถึงด้วยเช่นกันหนะครับ



    ในวัยเด็ก ผมจะผอมแห้งแรงน้อย และขี้โรคมากๆ ป่วยบ่อยมากๆ

    ซึ่งก็มีหลายครั้ง ที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด

    เช่น เมื่อตอนอายุ 2 – 3 ขวบ ผมโดนปี๊บน้ำร้อนเดือดๆ ที่คุณยายกำลังต้มไว้เพื่อย้อมผือ (หรือต้นกก)
    คว่ำใส่ ลวกไปครึ่งตัว ตลอดท่อนล่าง หมดสติทันที จนหนังลอกออกมาติดแขนคุณแม่ของผม

    ที่กำลังอุ้มผมวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านด้วยความสติแตก เพื่อร้องหาคนช่วย


    ก่อนหน้านั้นสักไม่นาน น่าจะซักขวบกว่าๆ เพิ่งเดินได้ คุณแม่พาผมไปตักน้ำที่บ่อด้วย
    เผอิญไม้ที่คุณแม่ผมใช้เกี่ยวกระป๋องน้ำเพื่อยื่นลงไปตักน้ำในบ่อ เกิดตวัดผมตกลงไปในบ่อน้ำเข้า
    ซึ่งบ่อน้ำก็ลึกซะด้วยสิ ทีแรกคุณแม่ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่ร้องตะโกนเรียกให้คุณพ่อมาช่วย
    แต่พอเห็นท่าว่าผมจะต้องจมน้ำตายแน่ๆ รอไม่ไหวแล้ว เลยกระโดดลงไปในบ่อเองเลย
    แล้วคุณพ่อผมก็กระโดดลงตามไปด้วย


    ตอนอายุประมาณ 8 - 9 ขวบผมป่วยเป็นไข้เลือกออก เกือบตาย

    นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลใหญ่อยู่ตั้งเป็นอาทิตย์ และเพราะความเสียเลือดมากๆ
    คุณแม่ของผมเลยต้องบริจาคเลือดให้ผมถึงสองครั้ง เพราะเลือดกรุ๊ปเดียวกัน


    ประเด็นก็คือว่า ส่วนหนึ่งของการเจ็บป่วยครั้งสำคัญๆ
    และครั้งย่อยๆอื่นๆอีก
    แทบจะตลอดชีวิตที่ผมไม่ได้กล่าวถึงนั้น
    ผมคาดว่า ถ้าตามนัยยะของกระทู้นี้
    ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก “ทัศนคติ” ของผมเองด้วย


    เพราะว่าในช่วงที่เป็นเด็กนั้น ผมจะมีความคิดไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ

    คือผมจะ “ผมไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่” ผมกลัวการเป็นผู้ใหญ่
    ผม “ถูกสอน” ว่ามนุษย์เรามีแต่ความชั่วร้าย มีแต่บาป มีแต่กรรมที่จะต้องชดใช้
    ดังนั้น ถ้าให้ผมเลือก ผมก็จะขอเลือกที่จะเป็นเด็กอยู่แบบนั้นตลอดไปดีกว่า

    เพราะว่าเมื่อใดที่ผมโตขึ้นมา กิเลสและตัณหาของผมก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
    ผมรังเกียจที่จะมีอวัยวะเพศเหมือนผู้ใหญ่ ผมรังเกียจที่จะมีกิเลสตัณหาเหมือนผู้ใหญ่
    และผมก็รังเกียจที่จะมีวิถีชีวิตเหมือนผู้ใหญ่ด้วย

    เพราะว่าผมมองไม่เห็นสาระของวิถีชีวิตของมนุษย์อยู่เลย
    ผมไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์เราจึงจะต้องเกิดกันขึ้นมาด้วย เกิดกันมาทำไมก็ไม่รู้

    ในช่วงอายุไม่ถึง 10 ขวบ ผมนั่งอยู่หน้าบ้านซึ่งอยู่ในชนบท
    แถบภาคอีสาน

    ผมเห็นผู้คนไล่ต้อนวัวต้อนควาย ออกไปทำไร่ไถนา ผมก็ถามคุณแม่ผมว่า
    ตัวผมเอง ถ้าโตขึ้นมา ผมก็จะต้องมีครอบครัว มีลูก แล้วก็ต้องพากันไปทำไร่ไถนา
    เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนกับพวกเขานี่หรือเปล่า


    แล้วพอลูกผมโตขึ้นมา เขาก็จะต้องทำเหมือนกันนี่อีกใช่ไหม๊


    คุณแม่ตอบผมว่าใช่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนั้นผมจึงรู้สึกผิดหวังมาก

    ผมจึงมองไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในแบบนั้นอีกเลย

    แต่ผมกลับรู้สึกอยู่ลึกๆว่า ชีวิตคนเราไม่น่าจะเกิดมาเพื่อมาทำ เพียงแค่เท่านั้น
    มันน่าจะมีความหมายอย่างอื่นอยู่อีก ผมจึงค่อนข้างที่จะเป็นเด็กที่ขี้สงสัยและจริงจังกับชีวิตมาก
    มากกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน



    ตอนนี้ ขอมาที่ประเด็นสำคัญถัดมา และสำคัญมากๆด้วยต่อนะครับ

    ที่ผมเล่าให้ท่านฟังมายืดยาวนี่ ก็เพื่อดึงความรู้สึกของท่านให้คล้อยตาม
    เพื่อเอามาใช้ตรงจุดนี้นั่นเองครับ


    ผมจำได้ว่าตอนที่ผมกำลังนอนป่วยหนักอยู่นั้น สติผมก็จะสะลึมสะลือ

    แต่อาจจะเป็นเพราะว่าในใจลึกๆผม ไม่ค่อยอยากหายป่วยเอง หรือว่า
    ไม่ค่อยอยากจะตื่นขึ้นมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ต่อเอง ก็เป็นได้
    จึงทำให้ผมป่วยนานและป่วยหนักเสมอมา

    แต่เวลาผมป่วยทีไร คุณแม่ของผมก็จะมานอนเฝ้าไข้ผม
    ท่านจะเทียวมาพูดกับผม ในขณะที่ผมนอนอยู่นั้น
    ไม่ว่าจะกำลังตื่นอยู่หรือหลับอยู่ก็ตาม ท่านจะเอามือลูบหัวผมแล้วพูดว่า

    “เซาซะเด้ออีพ่อเอย...เซาซะเด้อลูกหล้า”

    อันนี้ภาษาอีสานนะครับ ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้ว่า

    “หายป่วยซะเถอะนะ..พ่อเอย..หายป่วยซะเถอะนะ..ลูกสุดที่รักของแม่”

    ซึ่งจริงๆแล้วบางครั้งท่านก็พูดอย่างอื่นอีกด้วย ยาวกว่านี้
    ซึ่งล้วนแต่เป็นถ้อยคำที่แสดงความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อผมทั้งสิ้น

    นี่กระมัง ที่ทำให้ผมมีกำลังใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้
    นี่กระมัง ที่ทำให้ผมยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้..เพราะความรักจากคุณแม่ของผมนี่กระมัง



    และผมก็บังเอิญนึกถึงคำพูดนี้ของคุณแม่ของผมขึ้นมาได้ เมื่อคืนนี้และเมื่อเช้านี้เอง
    ผมเลยลองนึกถึงมันซ้ำๆๆ มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปหมดเลยครับ

    และผมก็รู้สึกถึงพลังแห่งความรักของคุณแม่ของผม

    ที่โอบล้อมรอบกายผมอยู่ตลอดเวลา..ไม่ว่าผมจะกำลังอยู่ที่ไหนก็ตาม
    มันบรรยายไม่ถูกครับ..แต่ผมรู้ว่า ทุกๆท่านก็พอจะเข้าใจแล้ว..ใช่ไหมครับ

    หรือไม่ก็..พอพูดถึงเรื่องแม่เท่านั้นแหละ หลายคนอาจจะน้ำตาร่วงไปแล้วก็ได้


    และเผอิญว่าช่วงนี้ผมกำลังมีอาการปวดท้องอยู่ด้วย

    แต่พอนึกถึงคำพูดของคุณแม่ที่ว่านี้แล้ว ผมรู้สึกว่าอาการผมดีขึ้นอย่างมาก
    ผมบอกกับตัวผมเอง..ด้วยคำพูดเดียวกับของคุณแม่ผม..ด้วยความรัก

    ผมรู้ว่าเซลทุกเซลในร่างกายของผม พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตและมีจิตใจด้วย
    พวกเขาคอยรับรู้และรับฟังกระแสความคิด, อารมณ์ และความรู้สึกของผมอยู่ตลอดเวลา
    พวกเขาคอยรับพลัง และคำสั่งของผมอยู่ตลอดเวลา
    พวกเขาต้องการความรัก และต้องการแสงสว่างเช่นเดียวกันกับเรา


    พลังแห่งความรักจากแม่ที่มีต่อลูก มันเป็นพลังแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์
    ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน..มันเป็นพลังที่ทรงพลานุภาพมากๆ

    นี่แหละคือ “สิ่งสำคัญ” ที่ผมบอกว่าอยากจะ “สะกิด” ให้ท่านนึกถึง

    เพราะไม่ว่าท่านจะกำลังเป็น “ผู้ป่วย” เอง หรือมีลูกที่กำลังป่วยอยู่ก็ตาม
    ผมว่าท่านน่าจะรู้จักนำเอา ”พลังแห่งความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูก” นี้
    มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านการรักษาความเจ็บป่วยบ้างนะครับ

    ผมเชื่อเหลือเกินว่าพลังนี้ มันจะสามารถช่วยดึงพลังจิตของเราให้มีกำลังมากขึ้นได้
    เพื่อที่เราจะใช้มันเพื่อเยียวยารักษาตัวเราเองให้หายป่วยได้ในที่สุด

    ด้วยความปรารถนาดีครับ
    .....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  7. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ...จะเกิดอะไรขึ้น..ถ้าผมแยกแยะไม่ออก ว่าอันไหนคือความฝัน อันไหนคือความจริง
    เพราะว่ามันก็ดูจริงจังเหมือนๆกันหมด..แม้แต่ฝันซ้อนฝันก็ตาม


    ปกติในฝัน เราจะไม่รู้หรอกว่าตัวเราจริงๆ กำลังนอนหลับอยู่ที่ไหนซักแห่ง
    เพราะว่าตัวตนที่เราใช้แสดงในฝันนั้น มันกำลังแสดงบทบาทของมันอยู่อย่างออกรสออกชาติ
    แล้วถ้าในกรณีเดียวกันนี้ กำลังเกิดขึ้นกับพวกเราที่เป็นมนุษย์โลกอยู่นี้หละ

    ..มันจะเกิดอะไรขึ้น..มันจะเป็นยังไงกันนะ..


    มันก็จะเป็นอย่างที่เราๆเป็นกันอยู่นี่แหลครับ ไม่สิ้นสุด
    ก่อนนอนก็ลองตั้งจิต ขอให้มีสติสัมปะชัญญะติดตามเข้าไปในฝันด้วยสิครับ

    ฝึกบ่อยๆเราจะชิน และรู้ถึงตัวตนภายนอก(ที่คิดว่านอนอยู่) และตัวตนภายใน (ตัวตนในฝัน) เราจะรู้สึกได้พร้อมกันเลย (ต้องฝึกบ่อยๆครับ)

    แต่พอเราตื่น เรามานึกถึงความฝันต่าง มันจะเรียงเป็นเส้นตรง ให้เราพออธิบายได้
     
  8. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ผมชอบนะครับเรื่องราวที่คุณชยุตเล่าให้ฟัง ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องราว
    เหล่านี้
    เรื่องราวที่คุณแอนนิต้า ได้ถ่ายทอดให้พวกเรารับรู้ เป็นมันประสบการณ์
    และความรู้ที่มีคุณค่าเหลือเกินสิ่งที่เธอพูดนั้นชัดเจนเหลือเกินเกี่ยวกับโลกอีก
    โลกหนึ่ง
    ที่พวกเราส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นโลกแห่งความฝัน พวกเราทุกคนนั้น
    ไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันและเชื่อมต่อกันอยู่เสมอ

    สิ่งที่ทำให้พวกเราต่างกันก็คือของขวัญจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ล้ำค่า

    วันหนึ่งเมื่อเรา
    ละทิ้งตัวตนและกลับสู่ความเป็นหนึ่ง ก็จะมีแต่ความรักเท่านั้นที่โอบกอดและ
    ห้อมล้อมเราในความเป็นหนึ่ง
     
  9. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ภาพ "มายา" ตามความคิดเห็นของแอนนิต้าก็คือ "การสมมติ" หรือ "การปรุงแต่ง" ในทางพุทธศาสนา ถ้าเราวางสมมติก็จะได้ "วิมุติ" และเข้าสู่ความว่างเปล่า(ตัดอาสวกิเลสทั้งหมดได้) ก็จะเข้าสู่แดนนิพพานนั้นเอง การมองเห็นภาพมายาที่เกิดจากทั้งการรับรู้มวลรวมร่วมกันของมนุษย์ และการรับรู้ที่เป็นปัจเจก ล้วนเป็นสิ่งสมมติขึ้นมาทั้งนั้น เมื่อผู้มีปัญญาสามารถเรียนรู้เท่าทันความจริง (สัจธรรม) ทั้งโลกธาตุและธรรมธาตุ โดยอาศัยหลักวิปัสสนากรรมฐานด้วยญาณรู้แจ้งแล้ว ก็ละวางสิ่งสมมติทั้งหมดนั้นเสียว่า มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสามารถหลุดพ้นจากภาพมายาหรือสิ่งสมมตินั้นได้
    ผมเองเคยได้รับพลังจากจักรวาล (สิ่งสมมติ) จากผู้ที่ฝึกฝนมาช่วยรักษาโรคให้ มันก็เป็นอีกมิติหนึ่งที่ผมสามารถรับรู้ถึงพลังเหล่านั้นได้ด้วยญาณพื้นๆที่ผมมีอยู่ขณะนั้น มันจึงเป็นทั้งสิ่งที่บัญญัติและปรมัตถ์ที่เราเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง และเมื่อผมนอนอยู่เฉยๆ หลังจากการลองรักษา ก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งมาถ่ายทอดพลังบางอย่างเข้ามาทางเกศธาตุอย่างหนักหน่วงแต่สบาย และรู้สึกตัวลอยขึ้นทั้งที่ร่างกายยังอยู่ปรกติ ในจิตบอกว่าเป็นผู้ที่อยู่นอกจักรวาล (ไครออน) ผมรับรู้ความรู้สึกนั้นได้เพราะผ่านการฝึกกรรมฐานมาบ้างพอสมควร อย่างไรก็ดี นั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสมมติหรือภาพมายาที่เรารับรู้ได้ ซึ่งมันก็เป็นเสมือนกับภาพความฝัน (จากความเก็บกดภายในจิตใจ) กับภาพนิมิต (ที่เกิดทั้งจากความฝันและฌาน) ความฝันของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงเน้นไปทางภาพนิมิตที่มักตรงความจริง ซึ่งผมเองก็มีประสบการณ์บางอย่างอย่างแม่นยำ ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น
    ประสบการณ์ของคุณแอนนิต้านั้น ถ้าหากเธอนับถือพุทธศาสนา เธอคงจะอธิบายให้เราเข้าใจได้มากกว่านี้ เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของบุญเก่าสะสม การระลึกชาติ และการรู้อนาคต ล้วนเป็นเรื่องของฌานสมาบัติที่ติดตัวเธอมาทั้งนั้น ผนวกกับการวิปัสสนาร่างกายในขณะที่ป่วยใกล้ตายเป็นเวลาถึงสี่ปี จึงทำให้เธอไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย (ในสิ่งสมมติ) จึงละวางมันเสีย จนทำให้สภาวะจิตของเธอเข้าสู่สภาวะความว่างเปล่า (ขณะหนึ่งเพราะยังไม่นิพพาน) จึงทำให้เธอเข้าไปสู่มิติของฌานเดิมของเธอได้โดยไม่รู้ตัว การเข้าใจว่าทุกสิ่งมีทั้ง "ความเป็นจริง" และ "ความไม่เป็นจริง" ก็คืออุเบกขา จึงทำให้เธอเข้าถึงปัญญาฌานได้ บังเอิญฌานของเธอนั้นมีฤทธิ์สามารถเปลี่ยนจากความตายมาสู่การเกิดขึ้นใหม่ได้ ก็ล้วนได้รับอานิสงส์มาจากการบำเพ็ญบุญบารมีมาแต่อดีตชาติทั้งนั้น เรื่องราวของปาฏิหารย์และอจินไตยย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติทุกคน แต่เหตุการณ์และการรับรู้จะไม่เหมือนกันซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจริตและการบำเพ็ญมาของแต่ละคน
    ผมเองก็ขออนุโมทนากับคุณชยุตเจ้าของต้นโพสต์ที่ดีนี้ รวมทั้งผู้เข้ามาอนุโมทนาทุกคนครับ (ผมเขียนไปตามสติปัญญาที่มีอยู่ตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นเพียง "มายา" ที่ผมปรุงแต่งขึ้นมาก็แล้วกันนะครับ)
     
  10. ongsoffer

    ongsoffer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +484
    ไครออน คืออะไรครับ เป็น จิตจักรวาล หรือ จิตเฉพาะของวิญญาณขั้นสูง
    บ่อยครั้งครับ ที่ผมฝัน แล้วมีสติ คือรู้ว่าฝันอยู่ แล้วก็สามารถ กำหนดในความฝันได้ บางครั้งก็เป็นเรื่องราว ที่ร้อยเรียง จากสิ่งที่ผมเคยประสบมา ผาดโผนบ้าง แปลตามสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาบ้าง แต่ทุกๆเรื่องราว ก็ได้สอนผมเสมอ
    ผมเคยคิดว่าตัวเองไม่กลัวตาย แต่หลายครั้งที่ผมลองกลั้นหายใจในน้ำ พอจะขาดอากาศก็ต้องรีบร้อนตัวเองขึ้นมาหายใจทุกที
    อย่างบทความนี้ก็เช่นกัน ผมเชื่อว่า หลายท่านคงเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว แต่อธิบายไม่ได้ ด้วยอินทรีย์อย่างไม่แกร่งพอ การได้อ่านข้อความนี้จึงเปรียบเสมือนของขวัญสำหรับผม ต้องขอขอบคุณ คุณชยุตมากครับ มันเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งบทความที่คุณนำมาลง และประสบการณ์ของคุณ และได้รับรู้ว่า สิ่งที่ผมเป็นยังมีอีกหลายท่าน ที่เป็นเหมือนผม
     
  11. ซีดีธรรมะ

    ซีดีธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +821
    ผมเคยเห็น มายาการ หนึ่งครั้งครับ...

    ตอนผมไปร่วมงานบุญที่สนามหลวง...

    และมีช่วงที่หยุดพัก พูดคุย สนทนาธรรมกัน ... กับพี่ๆเพื่อนๆ

    ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องพระสูตรที่พระพุทธเจ้า โปรดพระพาหิยทารุจีริยะ
    http://www.tipitaka.com/prapahiya.htm

    ขอนำวรรคสำคัญมาเล่าเลยนะครับ

    ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล
    ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
    เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
    เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
    เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
    ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
    เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
    เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
    เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
    เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
    ในกาลใด ท่านไม่มี
    ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
    ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    พอผมฟังธรรมในส่วนนี้ ก็พิจารณาต่อเองในใจ แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ
    ขณะที่เดินไปก็ยังพิจารณาอยู่...

    ก็ได้ความรู้ในใจว่า ... เท่ากับ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิด ไม่ได้ปรุงแต่ง

    แค่นั้น...

    แล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเช่นเดิม ทามกลางเพื่อนๆพี่ๆเช่นเดิม

    แต่...ขณะนั้น โลกทั้งโลกเปลี่ยนไป มันกลายเป็นมายา...ไปเองเลย

    เห็นคนเดินผ่านมา ความรู้สึกที่เห็น มันเป็นเหตุปัจจัยของมันเช่นนั้นเอง

    สภาวะจิตขณะนั้น แม้ใครจะมาทำร้าย ก็ไม่โกรธ เพราะว่ามันไม่ใช่ของจริง

    พวกเราโดนโลกแห่งมายาหลอกอยู่

    ยังหันไปบอกเพื่อนๆพี่ๆในกลุ่มเลย... จิตอยู่ในสภาวะนี้ประมาณ 10 กว่านาทีได้

    หลังจากนั้น...ก็กลับมาเป็นโลกใบเดิม ถูกปรุงแต่งเช่นเดิม

    เคยสอบถามครูบาอาจารย์ ...ท่านบอกว่าจิตมันเกิดปัญญาขึ้นในขณะนั้น

    อาจจะด้วยความเข้าใจในธรรม + กุศลผลบุญที่ทำในวันงาน

    ก็ประมาณนี้ครับ... เคยเล่าให้ใครฟัง ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อ อ่านกระทู้นี้แล้วโดนใจมากกับคำว่า มายาการ นี้ละครับ

    เลยนำมาเล่าบ้าง เผื่อจะมีคนชอบใจ

    ขอขอบคุณๆ ชยุตด้วยครับ ที่นำมาให้ศึกษากันครับ
    หวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้แก่คุณชยุตด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2010
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตอนที่ 17: แถมอีกนิดครับ

    คำถาม: คุณได้เห็นรูปธรรมชีวิตอื่นๆไหม?

    แอนิต้า: เห็นค่ะ ตอนนั้นฉันถูกห้อมล้อมไปด้วยรูปธรรมชีวิตมากมาย
    รวมถึงพ่อและเพื่อสนิทของฉันที่ตายไปแล้วด้วย แต่รูปธรรมอื่นๆฉันจำพวกเขาไม่ได้
    แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉันมาก และก็คอยปกป้องฉันตลอดมา

    ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลา
    แม้ว่าฉันจะไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยก็ตาม

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->


    คำถาม
    : คุณได้เห็นเหตุการณ์ในอนาคตด้วยไหม?


    แอนิต้า
    : เห็นค่ะ ตอนนั้นฉันรู้ว่าร่างกายของฉันจะหายเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว และมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

    ฉันรู้ว่าผลการตรวจร่างกายของฉันทุกๆรายการ จะให้ผลที่น่าแปลกประหลาดออกมา ซึ่งมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
    เพราะว่าพวกเขาตรวจสอบแล้วไม่พบโรคใดๆในร่างกายของฉันเลย ไม่ว่าจะเป็นผลการสแกนร่างกายของฉัน,
    การตัดชิ้นส่วนเนื้อเยื่อไปตรวจ และจากการตรวจด้วยวิธีอื่นๆก็ตาม

    ความอยากอาหารของฉันก็กลับคืนมาด้วย และฉันก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้น



    ตอนนี้ฉันก็เพิ่งผ่านการเฉียดตายมาได้แค่ 6 เดือนเท่านั้น และฉันก็กำลังรอของขวัญชิ้นอื่นๆ
    ที่จะตามมาอยู่อีกมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันก็เริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของฉัน
    ที่กำลังเป็นไปในทิศทางที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามานี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้นจริงๆแล้ว

    และหนึ่งในนั้นก็คือ “ฉันเห็นว่าฉันจะมีอายุขัยที่ยืนยาวมากๆ!”



    (ปล. ตรงนี้ถ้าใครเคยอ่าน หรือเคยรู้เรื่อง "กระบวนการเลื่อนระดับขึ้น" หรือ Ascension ของโลกและมนุษย์
    ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ และจะเริ่มเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ในปี 2012 ซึ่งพวกผมได้แปลและโพสต์ไปมากมายแล้วนั้น
    ก็คงจะเห็นความเชื่อมโยงกันตรงนี้ของข้อมูลนะครับ

    เพราะแอนิต้าเธอบอกว่า เธอเห็นว่าในอนาคต อายุขัยของเธอจะยืนยาวมากๆ
    นั่นแหละที่ผมบอกว่าข้อมูลมันสอดคล้องกันพอดี เพราะว่าในยุคพลังงานใหม่นั้น
    สุขภาพร่างกายของมนุษย์จะดีขึ้นมากๆ โรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ก็จะค่อยๆหายไป
    โครงสร้างร่างกายของมนุษย์จะค่อยๆถูกเปลี่ยนจากคาร์บอนเบส เป็นคริสตัลไลน์เบส
    สมอง, DNA, ระบบออร่า, ระบบจักระ และระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ที่เคยถูกบล็อกไว้
    หรือยับยั้งการเจริญเติบโตไว้ หรือบิดเบือนศักยภาพไว้ ก็จะค่อยๆถูกฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
    อันนี้คือสิ่งที่รูปธรรมจากต่างมิติทั้งหลาย ที่สื่อสารมา และพวกผมก็แปลกันอยู่นี่ พวกเขาบอกแบบนี้ตรงกันทั้ง 100%

    ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังบอกอีกว่า เมื่อระดับจิตของมนุษย์ถูกยกขึ้นสูงขึ้นได้แล้ว
    ความสามารถทางจิตของมนุษย์ที่เคยถูกยับยั้งไว้ ก็จะกลับคืนมาเหมือนเดิม เช่นการโทรจิต เป็นต้น

    รวมถึงเมื่อไม่มีโรคภัยไข้เจ็บแล้ว และ DNA ของมนุษย์กลับมาใช้งานได้เต็มศักยภาพของมันเหมือนเดิม
    อย่างที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่แรกแล้ว เซลต่างๆของร่างกายมนุษย์ ก็จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้เต็มศักยภาพ
    และเมื่อนั้น พวกเขาบอกว่า "ความแก่ก็จะเกิดขึ้นช้าลง" และแม้แต่ "เกิดขึ้นย้อนกลับ"
    ไปเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่มีอายุขัยยืนยาวมากๆ อะไรแบบนั้นหนะครับ แต่อย่าถามผมนะครับว่าจะจริงหรือไม่ อย่างไร

    รอดูเอาเองนะครับ เพราะพวกเขาบอกว่า กระบวนการนี้มันกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วในขณะนี้
    และจะเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ในปี 2012 ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ได้แปลว่าเราจะเห็นผลแล้วหรอกนะครับ
    เพราะว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง แต่พวกเขาบอกประมาณว่า ภายใน 20 ปีหลังจากเริ่มต้นแล้ว
    คือน่าจะราวๆปี 2032 ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นแล้ว และพวกเขาย้ำอยู่เสมอว่า

    "ตอนนี้ทั้งกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้ และเหตุการณ์ต่างๆกำลังถูกเร่งให้เร็วขึ้นอยู่ทุกขณะๆ"

    เพราะฉะนั้น วิวัฒนาการที่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ว่านี้ มันจึงอาจจะเทียบกับที่เกิดขึ้น
    ในช่วง 20 ปีแบบปกติธรรมดาไม่ได้หนะครับ

    รอดูกันเอาเองนะครับ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมว่าหลายๆท่านที่กำลังอ่านกระทู้นี้อยู่
    ก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ รอดไปจนถึงวันนั้นใช่ไหมครับ - ผู้แปล)

    ................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2010
  13. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    การตายคือการเกิด การเกิดคือการตาย หากฌานเข้าไปสู่ระหว่างนั้นได้จะมีลักษณะคล้ายอมตะ โดยไม่ละสังขาร จิตสังขารไม่แยกกัน บางองค์เปลี่ยนรูปได้ เรื่องนี้เด่นมากในทิเบต เป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมาโดยคุรุจะเป็นผู้เลือกศิษย์ที่จะถ่ายทอดให้ สมัยก่อนคุรุหลายองค์ของทิเบตจึงสำเร็จฌานแบบนี้ หรือกระทั่งครูบาอาจารย์บางองค์ของไทยทำได้มีค่ะ สันนิษฐานว่าพระอาจารย์สายในดงลึกอาจมีสภาวะแบบเดียวกันนี้รึปล่าว
    ขอบคุณคุณชยุตที่นำสิ่งดีๆมาถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์ค่ะ
    “เธอไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ..แต่เธอคือจิตวิญญาณที่กำลังมีประสบการณ์ในร่างกายมนุษย์”
    ประโยคนี้ของคุณชยุต ทำให้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ระหว่างความเป็นจิตวิญญาณกับสังขาร เป็นความรู้สึกที่แปลกดีค่ะ จะพยายามค้นหาต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2010
  14. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    ขอบคุณมาก ๆ คะ

    ขอบคุณจริง ๆ คะ
     
  15. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    ไครออน หรือ ครายออน (Kryon) คืออะไร
    ตอนแรกผมก็ไม่ทราบว่าคืออะไร บังเอิญผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบรรยายเรื่องพระเครื่องคือ พระสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตและพระชุดเบญจภาคีหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯและหลายจังหวัด และได้เขียนบทความเกี่ยวกับพลังออร่า (Aura) และพลังสเคล่าร์ ที่มีอยู่ในพระสมเด็จฯและพระชุดเบญจภาคี โดยการตรวจสอบพลังในพระเครื่องทั้งจากผู้ที่มีฌานและผู้มีองค์บารมี จนทราบว่าพลังออร่านั้นนอกจากจะมีในสิ่งที่มีพลังงานแล้ว ในพระเครื่องที่ผ่านพิธีปลุกเสกด้วยผู้ทรงอภิญญาชั้นสูงแล้วย่อมมีพลังออร่าแตกต่างกันไปตามพลังจิตของพระอริยสงฆ์ เช่น พระสมเด็จวัดระฆังและพระนางพญาพิษณุโลกมีรัศมีของพลังออร่าเป็นวงกลมรอบองค์พระ มีสีออกนวลสว่าง พระรอดวัดมหาวันและพระผงสุพรรณมีรัศมีเป็นรูปวงรีคล้ายมีดปลายแหลม ส่วนพระซุ้มกอมีรัศมีเป็นตาข่ายยืดหยุ่นได้ ซึ่งบังเอิญมาตรงกับการตรวจสอบพลังออร่าของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านพลังออร่าที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในประเทศไทย ผมจึงได้ศึกษาการตรวจสอบพลังออร่าในพระเครื่องจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์จากท่าน ปรากฏว่าได้ผลตรงกัน
    นอกจาก อ.สถิตธรรม จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบพลังออร่าแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติที่สามารถติดต่อกับผู้มีฌานชั้นสูงจากนอกจักรวาลดังข้อความตอนหนึ่งของท่านที่ผมคัดมาจากนิตยสาร Secret ว่า "ครายออน บอกผมว่า เขาเป็น "จิต" ที่ไม่ได้อยู่ในโลก เขาไม่ใช่เทวดาหรือภูติผี ถ้าคุณจะเรียกเขาว่า "มนุษย์ต่างดาว" ก็อาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ผมขอให้คำนิยามอย่างย่นย่อที่สุดว่า ครายออนคือ จิตวิญญาณชั้นสูงรูปแบบหนึ่ง ผมถามเขาว่า ทำไมจึงติดต่อผม ครายออนตอบว่า เขารักมนุษย์และพยายามติดต่อกับมนุษย์มาตลอด แต่น้อยคนจะรับสัญญาณจากเขาได้ เขามาเพื่อบอกว่า มนุษย์กำลังทำลายสมดุลของโลกด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้เกิดพลังงานทางลบสะสมเป็นจำนวนมาก และในที่สุด พลังงานเหล่านี้จะย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์เอง" ...
    "งานที่คุณทำเป็นงานที่มีคุณค่า การให้ความรักความเมตตาแก่โลกผ่านการทำสมาธิอย่างที่คุณทำช่วยโลกได้ ที่ผ่านมาฉันอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนงานของคุณอยู่"
    ปัจจุบัน อ.สถิตธรรมเป็นผู้นำเอาการทำสมาธิ การปรับพลังออร่า การใช้ดนตรีบำบัด และการสะกดจิต มาใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคซึมเศร้า เป็นต้น ที่จริงฝรั่งเขาได้ศึกษาด้านนี้มานานแล้วครับ ซึ่งผมเองก็ได้รับประสบการณ์จากการลองรักษาโรคจากลูกศิษย์ของท่านหลายคนโดยใช้พลังจากครายออนหนึ่งครั้ง รู้สึกและสัมผัสได้ด้วยฌานเดิมที่เรามีอยู่ จึงแน่ใจว่ามีจริงครับ อ.สถิตธรรมบอกว่า ปัจจุบันมีผู้ติดต่อกับครายออนได้ประมาณ 7 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ รวมทั้งมีหนังสือเกี่ยวกับครายออนออกมาหลายเล่ม ลองเข้าไปค้นใน www.kryon.com นะครับ อนึ่งผมเคยลองใช้พลังจักรวาลและหลักมโนมยิทธิของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ หลักการวิปัสสนา การแผ่เมตตา มาใช้รักษาโรคลำไส้ที่เป็นมานาน ก็รู้สึกดีและกำลังใกล้หายขาดแล้ว ก็ลองใช้ดูนะครับ

    ที่จริงเรื่องของอจินไตยหรือปาฏิหารย์นั้น ผมเองพบเจออยู่เป็นประจำ ผมเพิ่งรู้ตัวและได้ปฏิบัติธรรมเอาเมื่อตอนที่กำลังศึกษาปริญญาเอกเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง (สัญญาและความจำดั้งเดิมถูกปิดไว้) ต่อมาจึงมีโอกาสได้ลงไปขุดเอาลูกแก้วขนาดใหญ่ รวมทั้งพระกรุสมัยทวารวดี จ.มหาสารคาม และอยู่กับพระสายวัดป่าที่สามารถเรียกเอาลูกแก้ว เพ็ชรนาคา แร่มหาลาภ(เหล็กไหล) พระแก้วรัตนมณี ซึ่งร่วงหล่นลงมาให้เป็นที่อัศจรรย์ ทั้งจากถ้ำในประเทศลาว และในอีกหลายๆแห่งในประเทศไทย รวมทั้งที่ในบ้านผมเองก็มีพระแก้ว ลูกแก้ว เพ็ชรนาคา เสด็จมาจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ผมเองเมื่อตัดสินใจที่จะก้าวเข้าสู่แดนนิพพานแล้ว จึงมองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ยึดติดในวัตถุเหล่านั้น (แม้สิ่งที่หายากๆก็หลั่งไหลมาอยู่กับผมเป็นจำนวนมาก) ฉะนั้น ความมหัศจรรย์ในจักรวาลนี้ยังมีอีกมากมายที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ จนกว่าเราจะมีฌานหยั่งรู้ได้เองนั้นแหละ จึงจะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริง ซึ่งพระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์สาวกของท่านเห็นมาหมดแล้ว ถ้าหากพวกเราอยากจะเห็นก็เร่งปฏิบัติเอาเองนะครับ ส่วนผมเองก็พยายามไต่ระดับเพื่อให้ถึงแดนพระนิพพานเป็นอะกาลิโก

    ขอย้อนกลับมาเรื่องของคุณแอนิต้า เกี่ยวกับการหายจากโรคร้ายนั้น การเป็นโรคร้ายต่างๆนั้น ในศาสนาพุทธเราเชื่อว่า เป็นบุพกรรมของแต่ละคน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หากพิจารณารายของคุณแอนิต้าก็คือ เธอได้รับการเสวยกรรมทุกข์จากโรคร้ายนั้นในภพนี้ และได้ชดใช้กรรมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ส่วนการหายจากโรคร้ายนั้นได้ หากพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อร่างกายของเราหยุดทำงานหรือตายไปแล้ว เซลล์ต่างๆในร่างกายย่อมตายไปด้วย เซลล์ของมะเร็งก็ย่อมตายไปด้วยพร้อมกัน แต่เนื่องด้วยบุญเก่าของเธอสั่งสมมามาก จึงทำให้ร่างกายฟื้นกลับมาได้ด้วยดวงจิตที่เข้มแข็งและการเลือกที่จะไม่ตาย แต่การชดใช้กรรมได้หมดสิ้นไปตั้งแต่ตายครั้งแรกแล้ว สมบูรณ์แล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมา (เกิดใหม่) เชื้อโรคร้าย (กรรม) จึงไม่ได้ติดตามมา จึงตรวจหาเชื้อนั้นไม่เจอ (อันนี้ผมใช้หลักวิปัสสนาตามสติปัญญาที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ จงใช้วิจารณญาณเอาเองนะครับ)

    ส่วนข้อความเดิมของคุณโมกที่ว่า "การตายคือการเกิด การเกิดคือการตาย หากฌานเข้าไปสู่ระหว่างนั้นได้จะมีลักษณะคล้ายอมตะ โดยไม่ละสังขาร จิตสังขารไม่แยกกัน บางองค์เปลี่ยนรูปได้ เรื่องนี้เด่นมากในทิเบต เป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมาโดยคุรุจะเป็นผู้เลือกศิษย์ที่จะถ่ายทอดให้ สมัยก่อนคุรุหลายองค์ของทิเบตจึงสำเร็จฌานแบบนี้ หรือกระทั่งครูบาอาจารย์บางองค์ของไทยทำได้มีค่ะ สันนิษฐานว่าพระอาจารย์สายในดงลึกอาจมีสภาวะแบบเดียวกันนี้รึปล่าว ขอบคุณคุณชยุตที่นำสิ่งดีๆมาถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์ค่ะ"
    จากข้อความข้างต้น ผมก็เคยศึกษามาบ้าง ความเชื่อดังกล่าวเป็นหลักของการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ซึ่งชาวทิเบตและชาวจีนนับถือกันมาก เพราะพระโพธิสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสั่งสมบารมีอีกมาก ฉะนั้นการระลึกชาติ และการหยั่งรู้อนาคต จึงเป็นเรื่องธรรมดาของเหล่าพระโพธิสัตว์ และยังสามารถแบ่งภาคไปจุติในร่างใหม่หลายๆร่างได้ในคราวเดียวกัน รวมทั้งการอวตารลงมาก็มี ฉะนั้นในรายของคุณแอนิต้า ก็อาจอยู่ในขอบข่ายนี้ก็ได้ ในเมืองไทยที่เราได้ยินเรื่องราวของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ท่านก็เป็นอมตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างมาในภาคใดๆก็ได้ ในสายศิษย์ของท่านจึงมักจะได้กราบท่านอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจารย์ที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้กราบท่านมาแล้ว เวลาท่านจะปรากฏกายให้เห็นจะมีแสงติดกระพริบเหมือนรันเวย์เครื่องบิน ประตูบ้านสามารถเปิดเองได้ อาจารย์ท่านนั้นเล่าให้ผมฟังว่า เท้าของท่านก็เป็นเนื้อหนังของมนุษย์เรานี่เอง จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ทั้งที่ท่านมีอายุมากกว่าพันปี
    ขอความสุขและสันติจงมีแด่ชาวโลกทุกคน และขออนุโมทนาบุญกับผู้โพสต์และผู้อ่านทุกท่าน

    "นนตญาณ"
     
  16. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    ครูอาจาย์ผมท่านหนึ่งสอนว่า
    1 เราเป็นจิตวิญญาณอันประภัสสร และกำลังเรียนรู้สภาพของมนุษอยู่
    ความสมบูรณ์
    2 ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น ศีล สติ สมาธิ ปัญญา นั้นมีอยู่แล้วอยู่ที่จิต สมบูรณ์พร้อมแล้ว
    3 ร่างกายมนุษย์นี้แค่เป็นเพียงเสื้อผ้าหรือเครื่องมือในการเรียนรู้ เท่านั้น
    4 ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ให้ใช้เครื่องมือแต่ละประภทให้ตรงกับปัญหาในปัจจุบัน
    5 ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    6 บุญ บาป ไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอเลือก ขึ้นอยู่กับจิตเธอเอง
    7 ทุกศาสนาคือหนึ่งเดียว ล้วนสอนไปสู่สิ่งเดียวกัน คือ ศาสนาแห่งจักรวาล
    แต่ที่แตกต่างกันเนื่องจาก อยู่คนละภูมิประเภท วิถีที่จะเข้าสู่จุดสูงสุด คือ สิ่งเดียวกัน คือมีความรัก โดยไม่มีเงื่อนไข มีความเมตตา อันหาประมาณไม่ได้
    8 ทุกสรรพสัตว์ล้วนมาจากที่เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคุณกินเขา ย่อมหมายถึงกินตัวเอง คุณทำร้ายเขา เหมือนทำร้ายตัวเอง
    9 ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนเป็นภาพมายา คือ มีอยู่จริง แต่เหมือนไม่มีอยู่จริง เหมือนพยับแดด ที่ตั้งอยู่ชั่วครู่แล้วหายไป
    10 เราจะต้องดำเนินวิถีทางแห่งความตระหนักรู้ ให้ชัดแจ้งในปัจจุบัน
    11 เราต้องดำเนินวิถีทางแห่งความเบิกบานตลอดเวลา จิตเดิมเราเบิกบานอยู่แล้ว
    12 การเกิดมนุษย์นั้นเป็นความสุข เมื่อเราตระหนักรู้คุณค่าแห่งการเกิด แล้วเราจะไม่ต้องมาเกิดอีก
    13 เราต้องมีความศรัทธาและความรัก อันไม่มีเงื่อนไขในทุกๆสิ่ง จะก่อเกิดเป็นพลังงานขับเคลื่อนในทุกๆสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จได้ต้องมีความรัก เห็นประโยชน์ในสิ่งนั้น ความศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งนี้จะนำพาโลกให้เป็นไปตามจิต
    (พักไว้ก่อนนะครับ เอาเลข 13 นะครับ ไม่รู้ว่าทำไหม ผมชอบเลข ที่สุด ชอบมาตั้งแต่เกิด ทำอะไรจะตกเลขนี้ทุกที)

    > เราไม่เคยเกิดมา และ เราไม่เคยตายจริงซักครั้งหนึ่ง
    > กฎแห่งกรรม เรีกกว่า กฎแห่งการกระทำ เราให้สิ่งไหนแก่ใคร เราย่อมได้สิ่งนั้นกลับคืนมา เมื่อเราเบียนเบียนชีวิตคนอื่น จิตเราจะชื่นชมการเข่นฆ่า และเบียนเบียน เมื่อนั้นจิตจะน้อมเราให้เปลี่ยนสภาวะ กลับฝ่าย โดยเป็นฝ่ายถูกเบียนเบียนบ้าง บุญ บาป ดี ชั่ว ล้วนไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งสมมุติที่เรามาตีค่าแล้วยึดมั่นเองว่าสิ่งไหนดี หรือไม่ดี บุญ บาป วิถีทางออกจากวงจรอุบาท หรือวัฎฎะนี้คือ ไม่ยึดบุญ บาป สงบ นิ่ง แล้วมองทุกอย่างด้วยใจที่เป็นกลาง จะเห็นจิตกระเพิ่ม แล้วจิตจะเห็นการเปลี่ยนแปลง แล้วจะคลายพลังงานแห่งความยึดมั่นถือมั่นเอง

    Note
    พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรครับ ยิ่ง 2 วันน้หนักมา เมื่อยแขนขวา และกระดูกฝั่งขวาเป็นพิเศษ เดี่ยวนี้มีพลังไฟฟ้า หรือ สนามแม่เหล็กเขามาที่ตัวเยอะมาก รู้สึกเป็นหนึ่งกับจักรวาล มีความเบิกบานมากขึ้น ความรักตนเองและสรรพสัตว์เยอะขึ้น รู้สึกทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด รู้สึกว่าปาฎิหารไม่มีอยู่จริง รู้สึกอยากเหาะได้ หายตัวได้ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา หน้าตา ผิวพรรณเปลี่ยนขึ้นชัดมาก แล้วเมื่อวานซืน รู้สึกมวนท้อง เหมือนมีคลื่นอะไรเข้ามาในท้องไม่รู้สาเหตุ เห็นมันซักครึ่งชั่วโมง ก้อหายไป ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบของการปรับโลกธาต หรือเปล่า

    มาเล่าสูกันฟัง
    ใครไม่เชื่อ ก้อให้เห็นเป็นเรื่องขำ ๆ เพ้อเจอไปนะครับ อย่าไปยึดติด หวังว่าผมจะเหาะไปป่าหิมพานได้ในเร็ววัน ฝันไว้ตั้งแต่เด็กแล้วครับ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2010
  17. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณบทความดีๆครับคุณชยุต
    อ่านไป ขนลุกไป ถึงพลังอำนาจของคุณแอนนิต้า ที่เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของจิตเดิมแท้
    มันไม่ง่ายเลยนะครับ ที่จะมองทะลุมายาในมายา
     
  18. nrongrit

    nrongrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +546
    การข้ามพ้นมายาของโลกที่เราทุกคนคิดว่าเป็นจริงนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนครับ

    พระองค์ตรัสเสมอว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร จิตสร้างสรรพสิ่ง สร้างจักวาล จิตนั้นเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง จิตคือธรรมชาติอันไม่ตายเป็นอกาลิโก เป็นหนึ่งเดียวกัน

    อาจารย์ที่ผมนับถือ บอกว่า

    การที่จะเข้าแจ้งชัด ตระหนักรู้ในสรรพสิ่งตามเป็นจริง ต้องวางขอบเขตจำกัดความเชื่อต่างๆ ที่ได้เคยเล่าเรียนมา ทั้งหมด ให้เปลี่ยนความเชื่อในด้านต่างๆ ศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม อารยธรรมต่างๆในทุกๆด้านในจักวาลนี้ให้เป็นเพียงความรู้ อันเป็นความรู้ส่วนหนึ่งในจักรวาลนี้ ในจักรวาลนี้ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้กันเป็นเอนกอนันต์ สมกับพุทธพจน์ที่ว่า สิ่งที่พระองค์สอนนั้นเป็นเพียงใบไม้หนึ่งกำมือ ถ้าจะเทียบกับจำนวนใบไม้ในป่าใหญ่

    ถ้าเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้ เราจะพบความเป็นไปได้อย่างมากมาย ไร้ขอบเขต
    เมื่อเชื่ออย่างตระหนักรู้อย่างแรงกล้าว่า สรรพสิ่งดำเนินในวิถิอันหลากหลาย ได้อย่างไม่จำกัด ไม่ยึดติดกับความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง แม้จะเป็นธรรมะจากพระพุทธองค์ก็ตาม

    จากความไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวงนี้แหละครับ จึงตระหนักรู้ จิตประภัสสร จิตสร้างสรรพสิ่งและจักรวาล ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง

    อาจารย์ของผมท่านบอกว่า มีสิ่งเดียวที่ทำให้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว และพลังแห่งพลังทั้งปวงคือ ความเมตตาไร้ขอบเขต หรือ ความรักไร้ขอบเขตนั่นเองครับ

    อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกิดพร้อมกันครับ ดำเนินไปพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์บอกว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นำไปสู่ความเป็นนิรันดร์คือ

    พลังแห่งการตระหนักรู้ชัดซึ่ง การเกิด ว่าสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ล้วมกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน มีพลังแห่งต้นกำเนิดเช่นเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ภพใด ภูมิใด

    พลังแห่งการตระหนักรู้ชัดซึ่งความเชื่อ

    พลังแห่งตระหนักรู้ชัดซึ่งปัจจุบันขณะ

    พลังแห่งการตระหนักรู้ชัดซึ่งธรรมชาติแห่งจิต

    พลังแห่งการตระหนักรู้ชัดแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง

    รายละเอียด ผมคงอธิบายได้ไม่หมดครับ
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    รู้ธรรมชาติของจิตว่าเป็นอนันตาเช่นกัน
    ไม่ยึดติดกับจิต
    วางจิตคืนให้กับธรรมชาติ
    จบกิจ
     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    จิตทุกขณะเกิดแล้วดับ บังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา

    <INPUT class=noborder value=1454 align=middle type=checkbox name=t_sel>



    พระพุทธองค์แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา จิตเป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยง เป็น

    ทุกข์ เป็นอนัตตา จิตที่เที่ยงและเป็นอัตตาไม่มี จิตทุกขณะ เกิดแล้วดับทันที บังคับ

    ไม่ได้ จิตเมื่อเกิดที่ใดก็ดับที่นั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...