เรื่องเด่น ☆☣~ พลังจิตสัมผัส ~☣☆

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย interpoo, 25 กรกฎาคม 2011.

  1. dol_by

    dol_by เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +430
    เมื่อคืนฝันว่า..เกิดเหตุการณ์จราจลกลางเมือง เกิดการปะทะกันของกลุ่มคนบางกลุ่ม ในฝันเห็นภาพชัดเจนมากๆ เหมือนนั่งดูข่าวทางทีวีเลยอ่ะคับ เหตุการณ์เกิดตอนกลางวันเพราะยังส่วางๆอยู่ เห็นภาพบุคคลเดินจับแขนกันเรียงแถวหน้ากระดานเข้าปะทะกับอีกฝ่าย แล้วก้มีภาพคนใส่ชุดทหารคนนึงขาหักหลบอยู่ข้างกำแพงริมฟุตบาท เค้าพยายามยิงปืนคุ้มกันตัวเองอีกสักพักก็มีเพื่อนอีก2คนมาพยุงเค้าออกจากที่ข้างกำแพง....ตื่นมาจะรีบไปหยิบโทรศัพท์บอกน้องให้ออกจากพื้นที่แถวนั้น แต่นั่งสักพัก...เอ!!!!นี่เราฝันหนิ ใกล้เช้าพอดี เลยลุกมาทำภารกิจประจำวันต่อซะเลย
    น่าแปลกตรงที่เห็นภาพเหมือนกับเรานั่งดูทีวีเลยคับ ลำดับขั้นตอนทุกอย่างชัดมากๆ ชัดจนรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ...ขอให้เป็นแค่ความฝัน คุณปูคิดว่าไงอ่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2012
  2. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    ก็ระวังเดือนก.พ. ละกันจ้า

    คนเราฝันเห็นล่วงหน้าได้... จริงๆ จ้า
     
  3. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    งวดนี้ยังไม่ฝันเห็นเลขค่ะ... แต่งวดก่อนน้องชายบอกไว้ 497 ค่ะ
     
  4. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล นักวิทยาศาสตร์ และนักเขียน ได้กล่าวว่า เรื่องวันสิ้นโลก วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ก็มีหลายสาเหตุ หลายที่มา ปฏิทินมายาที่กล่าวกันนี้ก็มีจริง แต่ปฏิทินมายาไม่ได้กล่าวว่าจะมีการสิ้นยุคแต่อย่างใด สำหรับชาวมายาในยุคใหม่ เช่น กัวเตมาลาเขาก็ทราบเรื่องปฏิทินเหล่านี้ แต่มันก็เป็นเพียงปฏิทินที่อริยธรรมมายาในอดีตได้สร้างขึ้นมา และปัจจุบันนี้ก็มีใช้กันบ้าง มักจะใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ทางด้านลัทธิความเชื่อต่างๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับวันสิ้นโลกแต่อย่างใด


    2010 วันสิ้นโลก



    ปฏิทินของชาวมายาที่ไม่ได้เกี่ยวกับวันสิ้นโลกแต่อย่างใด

    ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ปรากฏการณ์วันสิ้นโลก 21 ธันวาคม 2012 นั้นก็เป็นกระแสสังคมที่มีที่มาที่อธิบายได้ และควรจะวิตกหรือไม่....2012 จะสิ้นโลกหรือไม่ พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ ได้กล่าวไว้ว่า ให้เราสบายใจเลย ว่าโลกยังไม่ได้ถึงกาลดับสลายหรือแตกไป ถ้าจะเป็นก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนยุคซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเราเอง ว่าจะเปลี่ยนยุคไปสู่ความสว่างไสว งดงาม หรือจะเปลี่ยนยุคไปสู่ความแย่ลงก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองตั้งแต่บัดนี้ไป แต่ว่าโลกยังไม่ได้สูญสลาย มนุษยชาติไม่ได้สูญพันธุ์ไปไหน ทุกอย่างยังคงอยู่

    บ้างก็ว่ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการมาจากลิง

    แล้วมนุษย์เรานี้เกิดมาอย่างไร นักวิทยาศาสตร์บางท่านกล่าวว่าก็เกิดมาจากลิงไง แล้ววิวัฒนาการมาจนเป็นมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่วิวัฒนาการของชาลล์ ดาวิน เป็นไปได้ไหม ความจริงแล้วเป็นไปได้ วิวัฒนาการนั้นเป็นช่วงๆ แต่ไม่ได้ขึ้นขั้นต้องกลับกลายจากลิงมาเป็นมนุษย์ อย่างนั้นไม่ใช่ แล้วคนมาจากไหน?

    2012 วันสิ้นโลก


    คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเกิด ดับของจักรวาลมีปรากฏในพระไตรปิฎก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยตรัสสอนไว้ว่า เริ่มต้นเมื่อกัปทำหลายลงด้วยเหตุต่างๆ ยาวนานมาก แล้วค่อยๆ ฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตเริ่มเกิดขึ้น โดยมีพรหมลงมาบนโลกมนุษย์ โดยเหาะลงมาจากพรหมภูมิลงมาที่โลกมนุษย์ จากที่โลกถูกไฟเผามานานจนกระทั่งว่ามีกลิ่นหอม มีสิ่งที่เรียกว่าง้วนดินที่เป็นดินที่ถูกไฟเผามานานจนมีกลิ่นหอมอย่างมาก หอมยิ่งกว่าน้ำผึ้ง มีรสชาติที่โอชา พอพรหมหยิบเข้าปากก็จะกำซาบลงไปทุกส่วนของร่างกายโดยไม่ต้องใช้อวัยวะใดๆ ในการย่อยสลาย แต่พอทานอาหารที่เป็นของหยาบเข้าไปเรื่อยๆ ร่างกายของพรหมก็เริ่มหนักขึ้น เริ่มเหาะไม่ได้ จึงต้องเดิน จากเดิมเป็นพรหมที่มีรัศมีสว่างไสว ก็กลายเป็นพรหมที่มีผิวพรรณหยาบ บ้างก็มีผิวพรรณดีไม่ถึงกับหยาบตามกำลังบุญของแต่ละคน จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการดูถูกกันเรื่องสีผิว พอเกิดทิฏฐิมานะขึ้น ง้วนดินก็เริ่มหายไป กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ากระบิดิน แต่ยังคงมีรสอร่อย และกลิ่นหอม บริโภคได้เหมือนเดิม ยิ่งมนุษย์ถูกกิเลสครอบงำเท่าไร ความประณีตของอาหารก็น้อยลงทุกที จากกระบิดิน กลายเป็นเครือดิน และต่อมาได้กลายเป็นข้าวสาลี

    ข้าวสาลีในยุคนั้นต่างจากข้าวสาลีในยุคปัจจุบัน เพราะเป็นข้าวที่มีเปลือกบางคล้ายๆ เปลือกของแตงกวา จึงกินได้ทั้งเปลือก มีสีเหลืองอมขาว รู้สึกนุ่มเมื่อเคี้ยว มีกลิ่นหอม มีคุณค่าทางอาหารครบ และมีความอร่อยอยู่ในตัว เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะสามารถดับความหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยได้ ขนาดของเมล็ดประมาณ 1 ศอกของมนุษย์ในยุคนั้น (ศอกที่กำมือแล้ว) 1 เมล็ดสามารถบริโภคได้ 3-5 คน เมื่อจะบริโภคก็นำมาวางไว้บนแผ่นหินชนิดหนึ่ง ข้าวจะสุกเอง

    เนื่องจากมนุษย์ยุคนั้นมีร่างกายที่ใหญ่กว่ายุคปัจจุบันมาก ข้าวสาลีจึงมีลำต้นสูงใหญ่มาก โดยสูงประมาณเท่าต้นยางนา (ยางนาสูงโดยเฉลี่ย 40 - 45 เมตร) และสูงกว่ามนุษย์ในยุคนั้น ปกติรวงข้าว จะตั้งตรง แต่ครั้นเมื่อรวงข้าวสุกก็จะโน้มลงมาจนมนุษย์สามารถเก็บได้ เมื่อเก็บแล้วก็จะงอกออกมาใหม่และขึ้นได้ทั่วไป

    เพราะเหตุที่คุณภาพของอาหารที่มนุษย์บริโภคเข้าไป มีลักษณะหยาบขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เป็นเพราะกิเลสที่เพิ่มมากขึ้นของมนุษย์ ทำให้อาหารที่มนุษย์บริโภคเข้าไปนั้นไม่สามารถถูกดูดซึมได้ดังเดิม เกิดมีกากอาหารขึ้น เสมือนเป็นของส่วนเกินของร่างกาย ร่างกายของมนุษย์จึงปรากฏช่องทางขับถ่าย คือ ทวารหนักและทวารเบา แต่เนื่องจากกรรมที่เคยประพฤติผิดศีลข้อกาเมฯของชาติในอดีต ส่งผลทำให้มนุษย์ มีอวัยวะเพศต่างกัน บางคนเพศหญิงปรากฏ บางคนเพศชายปรากฏ

    เมื่ออวัยวะเพศปรากฏ และด้วยเหตุว่า มีเพศต่างกันเป็นเพศหญิงเพศชาย ทำให้มนุษย์เพ่งเล็งกันและกัน มีความปรารถนาในกาม มีความสนใจในเพศตรงข้าม จึงต่างเข้าหากันและเสพเมถุนธรรมต่อกัน เนื่องจากการเสพเมถุนธรรมนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ ทำให้มนุษย์ส่วนมากเห็นการที่หญิงชายเสพกามกันนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันห้ามปราม จับแยก รวมทั้งติเตียน ด่าว่า จนกระทั่งพากันขับไล่ โดยในพระสูตรได้พรรณนาถึงอาการขับไล่ไว้ว่า

    " สัตว์เหล่าใดเห็นสัตว์เหล่าอื่นกำลังเสพเมถุนกัน ก็โปรยฝุ่นลงบ้าง โปรยขี้เถ้าลงบ้าง โปรยโคมัย ลงบ้าง ด้วยกล่าวว่า คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย คนถ่อย เจ้าจงฉิบหายดังนี้ แล้วกล่าวว่า ก็สัตว์จักกระทำกรรม อย่างนี้แก่สัตว์อย่างไร..."

    เมื่อชายหญิงเหล่านั้นเสพเมถุนธรรม จึงถูกรังเกียจและขับไล่ ได้เสาะแสวงหาและสร้างที่มุงบังเพื่อ ปกปิดในเวลาเสพเมถุนธรรม ทำให้มีการสร้างบ้านเรือนตามมา เมื่อมนุษย์ต่างก็ซ่องเสพกามกัน ทำให้ การเกิดแบบชลาพุชะ คือ การเกิดในมดลูก มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ซึ่งถือได้ว่ามนุษย์ได้เริ่มเกิดจากครรภ์ ตั้งแต่ครั้งนั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีการเกิดแบบโอปปาติกะในหมู่มนุษย์อีก

    เมื่อมนุษย์สร้างบ้านเรือน มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง จึงเกียจคร้านในการออกไปแสวงหาข้าวสาลีบ่อยๆ เกิดความโลภขึ้น เมื่อออกไปเก็บข้าวสาลีก็นำมาทีละมากๆ นำมาสะสมไว้ ยิ่งความโลภมากเท่าไรความประณีตของอาหารก็ยิ่งน้อยลง ข้าวสาลีจึงเริ่มเสื่อมคุณภาพลงไปเรื่อยๆ ลำต้นมีขนาดเล็กลง ปรากฏมีเปลือกขึ้น และเมื่อเก็บไปแล้วก็ไม่งอกออกมาอีก ที่เคยขึ้นอยู่ทั่วไป ก็เริ่มลดน้อยร่อยหรอลงไปเรื่อย และหาได้ยากขึ้น

    เมื่อข้าวสาลีเริ่มปรากฏน้อยลง ซ้ำยังห่างไกลออกไปจากที่อยู่อาศัยขึ้นเรื่อยๆ จึงเริ่มมีการจับจองพื้นที่และแบ่งปันเขตแดนกัน แต่เนื่องจากมีผู้ที่อยากได้ข้าวของผู้อื่นจึงทำการลักขโมย เมื่อมีการจับได้ก็จะตัดพ้อต่อว่า ครั้นบ่อยครั้งเข้าก็มีการทำร้ายร่างกาย เกิดความเดือดร้อนขึ้น มนุษย์จึงปรึกษากัน และตกลงให้มีการตั้งผู้ทำหน้าที่ปกครองพวกตนขึ้นเป็นหัวหน้า

    ในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองนั้น มนุษย์จะเลือกผู้ที่มีสติปัญญา มีรูปร่างลักษณะและกิริยาสง่างามน่าเกรงขาม สามารถปกครองคนทั้งปวงได้ เมื่อพบผู้ใดที่มีคุณสมบัตินี้แล้ว ก็จะเลือกให้เป็น พระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศ ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะทรงวางระเบียบแบบแผน และออกกฎข้อบังคับต่างๆ ให้ประชาชนปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีการจัดแบ่งปันเขตแดนต่างๆ อย่างยุติธรรม จึงทำให้ได้รับการยกย่องขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งแปลว่าผู้เป็นใหญ่ในการเกษตร ระบอบกษัตริย์จึงเป็นการ ปกครองระบอบแรกของมนุษยชาติ แต่กษัตริย์ในยุคนั้น ปกครองผู้ใต้ปกครองแบบพ่อปกครองลูก


    2012 วันสิ้นโลก



    ลักษณะของมนุษย์ในแต่ละยุค มนุษย์ในยุคแรกๆ มีอายุเป็นล้านๆ ปี

    มนุษย์ในยุคแรกๆ อายุยืนเป็นล้านๆ ปี แต่พอสิ่งแวดล้อมแย่ลงอายุก็ค่อยๆ น้อยลง ในครั้งพุทธกาลมนุษย์มีอายุเฉลี่ย 100 ปี เนื่องจากเป็นช่วงอายุไขลง เพราะสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย 100 ปี อายุมนุษย์ก็จะลดไป 1 ปี ตอนนี้หลังพุทธกาลประมาณ 2,500 ปี ตอนนี้อายุมนุษย์ก็จะเฉลี่ยลดลงเหลือ 75 ปี ในพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ตั้งแต่กำเนิดโลก จนพัฒนามาต่างๆ ไปจนถึงสิ้นยุค แต่ถ้าถามว่าอีก 3 ปี จะสิ้นยุคไหม ตอบได้เลยว่า ไม่ แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงคืออายุมนุษย์ก็จะค่อยๆ น้อยลงจนเหลืออายุประมาณ 10 ปี ในยุคนั้นคนเกินมาพอตั้งหลักได้สักพักก็เริ่มมีลูกมีเต้า มนุษย์เพศหญิงจะมีสามีตั้งแต่อายุเพียง 5 ปี อาหารต่างๆ ที่ประณีตที่เคยมี คือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ จะอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น อาหารที่ดีที่สุดในยุคนั้น คือ หญ้ากับแก้ ซึ่งเปรียบได้กับ ข้าวสาลี ข้าวสุก และเนื้อที่ถือว่าเป็นอาหารอย่างดีที่สุดในยุคปัจจุบัน

    ในยุคนี้ กุศลกรรมบถ 10 จะไม่มีเหลือเลย โลกจะมีแต่อกุศลกรรมบถ 10 มนุษย์ทั้งหลายต่างไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ในบิดา ในสมณพราหมณ์ และไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น มนุษย์ที่ประพฤติเช่นนั้นกลับได้รับการบูชาสรรเสริญ ทั้งนี้เป็นเพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใด เป็นอกุศล ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์ในยุคนี้จะเสพอสัทธรรม สมสู่กันไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาต มิตร ศิษย์ อาจารย์ ต่างสมสู่กันเช่นกับอาการของสัตว์ทั้งหลาย

    นอกจากจะสมสู่กันไม่เลือกหน้าแล้ว มนุษย์ในยุคนี้ยังเกิดความอาฆาต พยาบาท คิดร้ายต่อกันอย่างแรงกล้า ประดุจพรานเห็นเนื้อ ด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างแรงกล้านี้เอง มนุษย์จึงต่างประหัตประหารกัน โดยที่ไม่เลือกว่าผู้นั้นจะเป็น บิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา พี่ หรือน้อง ต่างก็คว้าอาวุธ ของมีคมต่างๆ ฆ่ากันดุจเห็นกันและกันเป็นเช่นเนื้อ


    ลักษณะของมนุษย์ในยุคกัปไขลงที่มีอายุขัยเฉลี่ย 10 ปี

    ช่วงของการเข่นฆ่ากันนี้เรียกว่า สัตถันตรกัป จะกินเวลา 7 วัน ระหว่าง 7 วัน ที่มนุษย์ฆ่ากันนี้ จะมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งคิดว่า เราอย่าฆ่าใคร และใครอย่าฆ่าเรา แล้วชวนกันหลบเข้าไปอยู่ตามป่า ซอกเขา หรือระหว่างเกาะ ดำรงชีพโดยมีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร จนกระทั่งครบ 7 วัน จึงออกมาจากที่ซ่อน เมื่อพบกันต่างก็สวมกอดกันและกัน แล้วก็คิดขึ้นว่า การที่ความเสื่อมทั้งหลายเกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล จึงชวนกันทำสิ่งที่เป็นกุศล งดเว้นปาณาติบาต


    ในยุคมิคสัญญี จะมีมนุษย์ที่มีจิตใจดีงามกลุ่มหนึ่งที่หนีเข้าป่าไป

    เมื่อมนุษย์เหล่านั้นต่างก็ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล อายุและผิวพรรณจึงเจริญขึ้น บุตรของมนุษย์เหล่านั้นจึงมีอายุมากขึ้น เป็น 20 ปี และเมื่อมนุษย์ในยุคถัดๆ มา ประพฤติกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป อายุ และผิวพรรณของเขาก็เจริญขึ้นไปอีก บุตรของเขาก็อายุมากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อมนุษย์ต่างก็กระทำในสิ่งที่เป็นกุศล ความเจริญก็เกิดขึ้น อายุขัยมนุษย์ยาวขึ้น มนุษย์ยุคถัดจากนั้นบำเพ็ญกุศลธรรมมากขึ้นไปอายุขัยก็มากขึ้นตามลำดับ สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โลกเจริญขึ้น จนกระทั่ง มนุษย์มีอายุยืนถึงอสงไขยปี โดยอายุมนุษย์จะไขขึ้นไขลงอีกหลายรอบกว่าจะถึงวันที่กัปจะแตก

    ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของมนุษย์ อาจจะไม่ต้องรอให้อายุขัยไปถึง 10 ขวบ กัปก็จะดีขึ้นได้ หากเราทำแต่ความดีอย่างเต็มที่ มีหวัง 21 ธันวาคม 2012 จะไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่จะเป็นวันเปิดศักราชยุคใหม่ คือยุคแห่งความสว่างไสวของแสงธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนำธรรมให้โลกสงบเย็น ดีขึ้น

    ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คือกรอบใหญ่ๆ แต่กรอบนี้มีความยืดหยุ่นตัวเองได้ พฤติกรรมของชาวโลกโดยรวมนั้นถ้าหากว่าดี วงจรลบก็จะชะลอลงและอาจจะพลิกเป็นวงจรบวก แต่ถ้าเกิดเป็นทางไม่ดีก็อาจจะไปทางวงจรลบเร็วขึ้น เช่น ในยุคที่เกิด มิคสัญญี 7 วัน 7 คืนนั้น แต่ถ้าเกิดเป็นคนที่มีคุณธรรมต่อให้การฆ่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายก็ไม่กล้าทำ เพราะฉะนั้นเราเองต้องตรวจสอบตัวเราเองว่าในยุคปัจจุบันคนไทยที่เป็นเมืองพุทธ เรายังรักษาคุณธรรมในตัวเองได้หรือเปล่า ใจเราเปลี่ยนไปเหมือนคนยุคมิคสัญญีหรือเปล่า ใครที่ไม่ใช่พวกของเรา เราอยากให้เขาตายๆ ไปซะหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็อันตราย ใครที่คิดอย่างนี้ละก็ถือว่าเป็นคนที่เสื่อมก่อนวัย เสื่อมก่อนยุค เป็นตัวถ่วงสิ่งแวดล้อม เป็นตัวถ่วงสังคม แต่ถ้าเกิดใครที่มีเมตตาจิต หวังดี ปรารถนาดีต่อกัน อย่างนี้ล่ะก็เราถือเป็นตัวช่วยที่จะยกสังคมให้สูงขึ้นมา


    21 ธันวาคม 2012 จะไม่ใช่วันสิ้นโลกถ้าเราพร้อมเพรียงกันทำความดีตั้งอยู่ในศีลธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นสังคมไทยดีขึ้นมา เราต้องร่วมแรงร่วมใจประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่างเต็มที่ ถึงอย่างนี้เพื่อที่จะยอยกเอาบุญมาช่วยประเทศให้สูงขึ้น ยกโลกให้สูงขึ้น ไม่ยอมให้โลกตกต่ำลง ถ้าทำได้อย่างนี้ละก็ 2012 ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่จะกลายเป็นวันแห่งความสว่างไสวและนำโลกไปสู่ยุคใหม่คือยุคทองของพระพุทธศาสนา
     
  5. d_thep

    d_thep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +170
    สาธุธรรม ในแง้คิดและบทดีๆครับ ดังนั้นเราพุทธบริษัททั้งจงตะหนักและร่วมกันปฏิบัติแด่กรรมดีกันเทรดครับท่านทั้งหลาย.....
     
  6. JAMESBOND1966

    JAMESBOND1966 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +100
    โอวาทธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร
    ที่ให้ไว้แก่ศิษยานุศิษย์
    บันทึกโดย หลวงปู่หลุย จันฺทสาโร จากสถานที่ปฏิบัติธรรมหลายแห่ง
    _______________________________________________​


    -ธรรมะ ธัมโม เรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์

    -อย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรมมากจึงดี เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม

    -อรหันต์ก็เป็นคุณอนันต์ นับหาประมาณมิได้ พระอรหันต์ตรัสรู้ในตัว เห็นในตัวมีญาณแจ่มแจ้งดี ล้วนแต่เล่าเรียนธรรมชาตินั้นๆ

    -ธรรมะชี้เข้ากายกับจิตเป็นคัมภีร์เดิม

    -ภูเขาสูงที่กลิ้งมาบดสัตว์ให้เป็นจุณไปนั้นอายุ ๗๐ ปี แล้วไม่เคยเห็นภูเขา เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล ทิฐิมานะเป็นภูเขาสูงหาที่ประมาณมิได้

    -ธรรมะเป็นต้น เอโกมีอันเดียว แต่แสดงอาการโดยนัย ๘๔,๐๐๐ ธาตุ ๔ ธาตุ ๖ ธาตุ ๑๘ ให้เห็นด้วยจักษุด้วย ให้เห็นด้วยญาณ คือปัญญาด้วย นโม ดิน น้ำ บิดา มารดา ปั้นขึ้นมา

    -๘๔,๐๐๐ เป็นอุบายที่ให้พระองค์ทรมานสัตว์ สัตว์ย่อมรู้แต่ ๘๔,๐๐๐ เท่านั้น จะรู้ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไม่มี เว้นแต่นิสัยพุทธภูมิฯ รู้อนันตนัยหาประมาณมิได้ พ้นจากนิสัยของสาวก สาวกรู้แต่ ๘๔,๐๐๐ เท่านั้น จะรู้ยิ่งไปกว่านั้นมิได้

    -ให้รู้ นโม นะ น้ำ โม ดิน ( อิ อะ ) อิติปิโสฯ อรหํ เมื่อรู้แล้วความรู้หาประมาณมิได้ อะ อิ สำคัญนัก เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ฯ

    -ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ นี้เองทำให้บุคคลเป็นพระอรหันต์

    -ญาณ ของพระพุทธเจ้า ท่านหมายเอา สกนธ์กาย เช่น นิมิตธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุดิน และอาการ ๓๒ เป็นนิมิต ท่านบอกว่ารู้เห็นเช่นนี้ บรรดาท่านเจ้าคุณทั้งหลายไม่คัดค้านเลยฯ

    -สัตว์เกิดในท้องมารดาทุกข์แสน กามเป็นของต่ำช้า เป็นของที่นำทุกข์เดือดร้อนฯ

    -โลกสันนิวาส มีความแปรปรวนตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แต่จิตของเรารักษาไว้ให้ดีอย่าให้ติด ถ้าไม่ติดก็ได้ชื่อว่าเป็นสุข ในตอนนี้ท่านแสดงทบไปทบมาเพื่อให้ศิษย์รู้

    -พิจารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ไม่เป็นปัญหาขึ้นมาได้ ถ้าไม่ถูก ย่อมเป็นปัญหาขึ้นมา

    -ค้นดูกายถึงหลัก และเห็นอริยสัจของจริงแล้ว เดินตามมรรคเห็นตัวสมุทัยเห็นทุกขสัจ

    -ต้องทำจิตให้เป็นเอก ต้องสงเคราะห์ธรรมให้เป็นเอกเสมอๆ

    -อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือ กาย วาจา ใจ เป็นมรรค เข้าไปดับทุกข์ ดับสมุทัย ดับนิโรธ นิโรธดับไม่เอา เอาที่ไม่ดับ คือดับนั้นยังเป็นตัวมรรค เอาสิ่งที่ไม่ดับ สิ่งที่ตั้งอยู่นั้นแหละเป็นตัวให้สิ้นทุกข์

    -ปฏิภาค นั้นอาศัยผู้ที่มีวาสนา จึงจะบังเกิดขึ้นได้ อุคหนิมิต นั้นเป็นของที่ไม่ถาวร พิจารณาให้ชำนาญแล้วเป็น ปฏิภาคนิมิต ชำนาญทาง ปฏิภาค แล้วทวนเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนาฯ

    -ท่านพิจารณาร่างกระดูกได้ ๕๐๐ ชาติมาแล้ว ตั้งแต่เกิดเป็นเสนาบดีเมืองกุรุราชเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัย

    -เจริญทางจิตอย่างเดียว ตั้งแต่ อุปจารสมาธิ รู้วาระจิตของผู้อื่นได้ แก้นิวรณ์ได้แต่โมหะคุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนา ถึง อัปปนาสมาธิ ท่านอาจารย์บอกเช่นนั้น และบอกว่าทำความรู้ให้พอเสียก่อนจึงไม่หวั่นไหว

    -ให้รู้ที่จะแก้จิตของตน ให้รู้จักภพของตนที่จะไปเกิดฯ ท่านอาจารย์ได้พิจารณาวัฏฏะ ๕๐๐ ชาติ

    -ต้องผ่านความผิดมาเสียก่อนจึงปฏิบัติถูก ความผิดเป็นเหตุเความถูกเป็นผลของความทั้งหลาย ต้องเดินมรรค ๘ ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสายหนทางของพระอริยเจ้า ใช้ตบะอย่างยิ่งคือ ความเพียร จึงจะสอนตนได้ โลกีย์ โลกุตระ ๒ อย่างประจำอยู่ในโลก ๓ ภพ

    -ปัญญามีสัมปยุตทุก ๆ ภูมิ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระเหล่านี้ล้วนแต่มีปัญญาประกอบ ควรที่เป็นเสียมก็เป็น ควรที่เป็นขวานก็เป็น ส่วนที่เฉย ๆ เรื่อย ๆ นั้น เช่น เหล็กเป็นแท่งกลม จะเอามาใช้อะไรก็ไม่ได้ นี้ฉันใด

    -จะบอกการดำเนิน วิปัสสนา และ สมถะ โดยเฉพาะนั้นมิได้ เพราะมันไปหน้าเดียว จริตของคนต่าง ๆ กัน แล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะดำเนินจิตหลายแง่แล้วแต่ความสะดวก

    -อย่าให้จิตเพ่งนอก ให้รู้ในตัว เห็นในตัว เมื่อรู้ในตัวแล้วรู้ทั่วไป เพราะตัวเป็นต้นเหตุ

    -เทศน์เรื่องมงคลวิเสส ที่มนุษย์ เทวดามีความสงสัย มิได้แก้อัตถะแปลได้เหมือนพระพุทธองค์ มนุษย์เป็นสถานกลาง อะไรดีหรือชั่วก็ต้องกลั่นออกไปจากมนุษย์นี้ทั้งนั้น ทำให้เป็นดีก็มนุษย์ ทำให้ชั่วก็มนุษย์ จะเป็นปุถุชนก็มนุษย์ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็มนุษย์

    -ท่านเทศน์ให้สงเคราะห์เข้าตนทั้งนั้น สุกะ เป็นธาตุบูดเน่าเป็นธรรมชาติของเขา ร้ายแต่มนุษย์ จิตติดสุภะ ดื่มสุรา ท่านยกพระโพธิสัตว์ยกเป็นกษัตริย์ มีเมีย ๖ หมื่น บุตรราหุล ท่านก็ไม่เมา ไหนเรามีเมียตาเปียกคนเดียวติดกันจนตาย ธาตุเมาอันนี้เป็นธรรมชาติไม่ให้คนสิ้นสุดทุกข์ไปได้

    -บุคคลรักษาจิต ได้แล้วทั้งศีล แม่รักษาทางปัญญา ได้แล้วทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ดุจข้าวสุกที่สำเร็จแล้ว เราจะตวงกิน ไม่ต้องไปกังวลทำนาเก็บเกี่ยว และข้าวเปลือก ข้าวสารเลย กินข้าวสุกแล้วก็เป็นพอนี้ ก็ฉันได้ เป็นสถานที่สำรวม

    -ภายนอกให้ละเอียดเสียก่อน(ข้อวัตรปฏิบัติ) แล้วภายในจึงละเอียด

    -ครั้งพุทธกาล บางองค์ติดทางสมาธิ ๕๐ ปี จึงสำเร็จก็มี

    -พระอานนท์ เป็นคลังแห่งพระธรรม อะไรท่านรู้หมด ทำเนิ่นช้า เพราะท่านติดพระสูตร พระอภิธรรม ไม่น้อมลงมาปฏิบัติ จึง-สำเร็จช้าอายุ ๘๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน

    -พระอานนท์ทำความเพียรในกายวิปัสสนา กำหนดจิตโดยมิได้ละ จนขาตรงทีเดียว จึงได้ทอดกายด้วยสติ หัวยังไม่ทันถึงหมอนจิตก็เข้าสู่ภวังค์ ภวังค์หายไป เกิดความรู้ เญยธรรมทั้งหลายฯ

    -พระโมคคัลลาน์ สารีบุตร ล้วนแต่เกิดในตระกูลมิจฉาทิฐิ โมคคัลลาน์สั่งสอนแม่ไม่ได้เลยทีเดียวฯ

    -เหตุปจฺจโย โหติ ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุฯ

    -อย่าเชื่ออภิญญาฯ ปฏิบัติเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นอาบัตอทุกกฏ

    -ธรรมเป็นของเย็น พระกรรมฐานอยู่ที่ไหน สัตว์ป่าต้องอาศัยอยู่ หมูป่าเห็นคฤหัสถ์เป็นยักษ์เป็นมาร เบียดเบียนสัตว์ ยิงจนไม่มีเหลือ เสียภูวัว ท่านอาจารย์ทำอุโบสถ มันมาร้อง เมื่อฟังปาฏิโมกข์จบแล้วมันก็หายไป ท่านอาจารย์มั่นคุ้นเคยสัตว์เหล่านี้ ท่านรู้วาระจิตสัตว์เหล่านี้ เป็นมิตรสหายกันด้วยธรรมเครื่องเย็นใจ

    -สัตว์เดรัจฉาน เขาก็มีสัญญา ปัญญา นามธรรม รู้เหมือนกับมนุษย์ แต่เขาพูดไม่ได้

    -ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นนั้นอย่าย้าย มันเต็มแล้วมันย้ายเอง ท่านเตือนท่านมหาบัวฉะนั้นพระโยคาวจรเจ้า ละกิเลสส่วนใดได้แล้วท่านไม่กลับมาละอีก เพราะมรรคประหารสิ้นไปแล้ว เดินหน้าแก้กิเลสใหม่เรื่อยไป จนละกิเลสรอบ ไม่เกิดอีก นี้ก็เป็นอัศจรรย์

    -ให้ม้างกายเป็นนิจนั้นดี อย่าให้มันหุ้ม

    -สถานที่เข็ดขวาง ท่านบบอกว่าเป็นพวกเปรต ต้องทำบุญให้ทานอุทิศถึง เขาก็ได้รับอนุโมทนา หายไปเกิด ณ ที่อื่นๆ

    -ท่านไม่ชอบฤทธิ์ ชอบภาวนาให้สิ้นกิเลส ฤทธิ์ทั้งหลายเกิดด้วยกำลังสมถะ ฌาณสมาบัติ ทั้งนั้น ใช้วิปัสสนาอย่างเดียวไม่มีฤทธิ์สำเร็จอรหันต์

    -ฝึกหัดจิตดีแล้ว จิตเข้มแข็งมีอำนาจมาก ย่อมกระทำจิตสารพัดได้ทุกอย่าง เมื่อเห็นอำนาจของจิตแล้ว แลเห็นกายเป็นของอ่อนจิตบังคับกายได้ฯ

    -เขาโกรธเรา แต่เราอย่าตอบ ให้พิจารณาความบริสุทธิ์ละลาย แล้วยกธงชัยขึ้น และมีอะไรก็สงเคราะห์เขาผู้ประมาณ ไม่นานเขากลับคืนดี ไม่กลับคืนดีก็วิบัติถึงตายทีเดียว

    -ใครจะไปบังคับจิต นั้นไม่ได้เลย ต้องสอนจิตให้อยู่ด้วยอุบาย แม้คำสั่งสอนของพระองค์ ล้วนแต่เป็นนโยบายทั้งนั้น เหตุนั้น--ท่านจึงไม่ชี้อุบายตรง ๆ ลงไปทีเดียวจึงชักอื่นมาเปรียบเทียบฯ

    -นิมิตทั้งหลายเกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว การภาวนาอย่าให้ทิ้งกายกับจิต นี้เป็นกรรมฐานเดิม แต่ให้จิตเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุดจึงเป็นผู้ที่รู้ธรรมในธรรมฯ

    -ให้เป็นมหาสติ มหาปัญญา รอบกาย รอบจิต มรณะร้ายมาถึงแล้ว ต้องเข้าแย่งกันในช่องแคบ แม้โพธิสัตว์ชนะมาร ชนะในช่องแคบ

    -ปฏิภาคนิมิตเกิดเฉพาะผู้ที่มีวาสนาอย่างเดียว การภาวนาอย่าให้ทิ้งกายกับจิต นี้เป็นกรรมฐานเดิม แต่ให้จิตเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุดจึงเป็นผู้ที่รู้ธรรมในธรรมฯ

    -สนิมมันเกิดในเนื้อเหล็ก กิเลสมันเกิดในดวงจิต ต้องประหารจิตให้เป็นธรรม

    -ในโลกนี้เป็นอนัตตาหมด ไม่มีต้นไม้และภูเขา วิปัสสนาลบล้างหมด ไม่มีเชื้อโรคอยู่ในโลกชื่อว่า โลกุตระ

    -เรื่อง กัมมัฏฐาน ๕ ภาวนาให้มาก ในร่างกาย เห็นอสุภะเป็นยาปรมัตย์แก้จิตพระเณรที่บรรพชาอุปสมบท ล้วนแต่พระอุปัชฌายะให้กรรมฐาน ๕ มาทั้งนั้น เป็นหลักสำคัญที่กุลบุตรจะภาวนา รู้แจ้งในรูปธรรมเป็น สนฺทิฏฐิโก เห็นเอง เบื่อหน่ายรูปธรรม อรูปธรรม แลเห็นนามธรรมไปพร้อมกัน
    การนอน การสงบเข้าฌาณ เป็นอาหารของจิตและร่างกายอย่างหนึ่ง สมถะ ต้องพักจิตสอบอารมณ์ ส่วน วิปัสสนา จิตเดินไตรลักษณ์ให้รู้อริยสัจ เหนื่อยแล้วเข้าพักจิตพักจิตหายเหนื่อยแล้ว จิตตรวจอริยสัจอีกดังนี้ ฉะนั้นให้ฉลาดการพักจิต การเดินจิต ทั้งวิปัสสนาและสมถะ พระโยคาวจรเจ้าทิ้งไม่ได้ ชำนิชำนาญทั้งสองวิธี จึงเอาตัวพ้นจากกิเลสทั้งหลายไปได้ เป็นมหาศีล เป็นมหาสมาธิ เป็นมหาปัญญา มีศีลทั้งอย่างหยาบอย่างกลาง อย่างละเอียด พร้อมทั้งจิตเจตสิก พร้อมทั้งกรรมบถ ๑๐ ไม่กระทำผิดในที่ลับและที่แจ้ง สว่างทั้งภายในและภายนอก มีมหาสติรอบคอบหมด วิโมกข์ วิมุติ อกุปธรรม จิตบริสุทธิ์ จิตปกติเป็นจิตพระอรหันต์ สว่างแจ้งทั้งภายนอกภายในสว่างโร่ ปุถุชนติเตียนเกิดบาป เพราะพระอรหันต์บริสุทธิ์ กายเป็นชาตินิพพาน วาจา ใจ เป็นชาตินิพพาน นิพพานมี ๒ อย่าง นิพพานยังมีชีวิตอยู่ ๑ นิพพานตายแล้ว ๑ พระอรหันต์ขึ้นรถขึ้นเรือไปนิพพานฉะนั้น

    -สุทโธทนะห้ามพระองค์ไม่ให้ไปบิณฑบาต กรุงกบิลพัสดุ์ เราไม่อด พระองค์ตอบว่าไปตามประเพณีพระพุทธเจ้า สุทโธทนะฟังโอวาทแล้วได้โสดาบัน

    -ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน พิจารณากาย จิต ความไม่เที่ยงของสังขารเป็นธรรมะสื่อให้เห็นเรื่อย ๆ ทำความรู้ในนั้น เห็นในนั้น

    -มหาสติเรียนกายจิตให้มาก ๆ ให้เห็นจริง ธรรมะจริง สมมุติ อย่าหลงรูป เสียง กลิ่น รส ของอันนี้เต็มโลกอยู่เช่นนั้นฯ

    -พระอานนท์ทรงไว้ซึ้งพระสัทธรรม ว่าเป็นของภายนอก ต่อหันเข้ามาปฏิบัติภายในจึงสำเร็จฯ

    -หนัง คนในโลกยินดีในหนังและเครื่องอุปโภคบริโภค หนังอันนี้ทำให้มนุษย์หลงยินดี พากันทุกข์กันมากฯ

    -ธรรมธาตุ สัตว์หลงธาตุ ชมธาตุ ยินดีธาตุ ยินร้ายธาตุ จึงได้ทำกรรรมไปต่างๆ ฯ

    -เรียนแบบตำราเป็นของที่ไม่แน่นอน สู้เรียนทางกายและจิตให้เป็นธรรมชาติไม่ได้ฉะนั้น ผู้เรียนกายวาจาจิตไม่ใคร่สึก ปฏิบัติแต่ธรรมที่รู้ยิ่งเห็นจริงฯ

    -ปัจจุบันให้รู้ทางจิตฯ

    -ปฏิภาคเป็นเรื่องของปัญญาฯ

    -ให้เรียนทางจิตทวนกระแส ตัดรากเหง้าเครื่องผูกดุจรื้อเครื่องฟัก

    -ปฏิภาคนิมิต เป็นปาฏิหาริย์ของจิต มีอำนาจทำให้เป็นอากาศสว่างเปล่าได้อันเป็นอัศจรรย์ใหญ่หลวงฯ

    -ผู้มีราคะ ย่อมเศร้าโศกเสียใจเพราะราคะฯ

    -ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้ เพราะคนอื่นไม่เห็นตามธรรมจะเสีย ต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน

    -ให้ถือตามมีตามได้ หันหาธรรมชาติ อย่าก่อความกังวลนั้นดีมาก เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็ไม่ดีใจ เสียใจ

    -มรรค โลก เทวทูต ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ ให้โพธิสัตว์ออกบวชพระองค์บวชแล้ว ทำทุกรกิริยา ในวันที่ตรัสรู้ ปฐมยามราคะเกิดในดวงจิตของพระองค์ป่วนปั่น พระองค์ทวนกระแสว่า เราเห็นแล้วไม่ใช่หรือ ที่เราออกบวชเราจะไม่กลับแน่ ต่อนั้นทำจิตเข้าสู่ภวังค์ สงบ อยู่ในอัปปนาสมาธิ ต่อนั้นถึงเกิดปัญญาความรู้ขึ้นมา ระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้ ในมัชฌิมสมัย ต่อนั้นพระองค์ตรวจปฏิจจสมุปบาททวนไปทวนมาด้วยปัญญาอันยิ่ง จิตลงสู่ภวังค์ เกิดความรู้ขึ้นมาตรัสรู้ ดับอวิชชาตัณหา เป็นสยมภู พุทธปัจฉิมสมัยกาลครั้งนั้น

    -เพ่งนอกนั้นไม่สิ้นสงสัย เพราะยังหมายนอกหมายในอยู่ ตกอยู่ในกระแสของสมุทัย

    -ให้ระงับสังโยชน์ ที่ละเอียดสิงอยู่ในดวงจิตนั้นฯ

    -บริจาคทาน โลภนั้นคือปรารถนา เมื่อไดแล้วปรารถนาอยากได้มาก พระเวสสันดรท่านไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านปรารถนาโพธิญาณ เป็นปรมัตถบารมี

    -มรรค ๘ ใครภาวนาเจริญดีแล้ว แก้โลกธรรม ๘ ประการ ฉะนั้นจิตท่านอรหันต์ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘ ประการ มีไตรลักษณ์บังคับ แม้โลกีย์ทั้งหลาย มีไตรลักษณ์บังคับอยู่เสมอ ไตรลักษณ์บังคับไม่ได้นั้น มีโลกุตระเท่านั้น โลกุตระอันนี้อยู่เหนือไตรลักษณ์สถานที่เกษมบุคคลที่จะพ้นโลกโลกีย์ไปถึงโลกุตระ ต้องสร้างพระบารมีเป็นการใหญ่ บุคคล ๓ จำพวกคือ พระพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจก ๑ พระอรหันต์ ๑ พระพุทธเจ้าสร้างบารมี ๓ ชนิด ปัญญาบารมี ๔ อสงไขย แสนกำไรมหากัป ศรัทธาบารมี ๘ อสงไขย แสนกำไรมหากัป วิริยบารมี ๑๖ องไขย แสนดำไรมหากัป พระปัจเจกสร้างบารมี ๒ อสงไขย แสนกำไรมหากัป พระอรหันต์สร้างบารมี ๑ อสงไขย แสนกำไรมหากัป ดังนี้ สร้างพระบารมีมิใช่น้อยกว่าจะสำเร็จพระนิพพานได้ดังนี้ ชำนาญมากที่สุด ๑ อสงไขย เหลือที่จะนับนั้นประการหนึ่ง เอาสวรรค์ เอานรกเป็นเรือนอยู่สร้างพระบารมี พระนิพพานเป็นของที่แพงที่สุด ต้องสร้างบารมีแลกเปลี่ยนเอาจึงจะได้พระนิพพาน

    -ชิวิตและนิพพาน ธาตุขันธ์มิจิตสิงอยู่เรียกว่า ชีวิต เมื่อพิจารณาวางตามสภาพได้แล้ว จิตหดหาจิตเดิมเข้า รู้เห็นในปัจจุบันเจริญมหาสติรอบในสติ มหาปัญญารอบในปัญญาแล้วเห็นปกติ

    -อคฺคํ มนุสฺเสสุ ( มาจากประโยคเต็ม ซึ่งปรากฏในหนังสือ มุตโตทัย ว่า อคคํ ฐานํ มนุสเสสุ มคคํ สตตวิสทธิยา ) มนุษย์เลิศมนุษย์น้ำใจสูง มีทุกข์ มีสมุทัย มีมรรค มีนิโรธ ครบทุกอย่าง จึงสำเร็จนิพพานได้ พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้น บวชเป็นพระเป็นเณรไม่ได้เหมือนมนุษย์ มนุษย์เป็นธาตุพอ ดุจแม่ครัวแกงช่างเอร็ดอร่อย มันพอพริกพอเกลือ จึงให้สำเร็จมรรคผลได้ ไม่ขัดข้องด้วยประการใด ๆ ฉะนั้นมนุษย์ไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจ ปฏิบัติให้ได้สวรรค์ นิพพาน ได้ธาตุพอเป็นชนิดที่สูงสุด

    -นิพพาน นั้นคือจิตหดโดยเห็นธาตุ รู้แจ้งธาตุ จิตฐีติภูตํ รู้อยู่นั้นเป็นตัวนิพพานฯ

    -วิชชา ๓ ของพระพุทธเจ้า ลึกลับสุขุมมาก ในยามที่ ๓ พระองค์ทำความรู้เท่าอย่างนั้น ยามที่ ๒ พระองค์ทำความรู้เท่านั้น นั้นยามที่ ๓ พระองค์ทำความรู้เท่าคือแก้อวิชชาและปฏิจจสมุปบาทในของจิตในช่องแคบมารแย่งไม่ได้ มีความรู้อันพิเศษขึ้นมาว่า พระองค์เป็นสยมภูความที่ท่านแก้อวิชชาเป็นของขั้นละเอียดยิ่งนัก บุคคลจะรู้เห็นตามนั้นน้อยที่สุด สุดอำนาจของจิต เมื่อกำหนดรู้ลงไปเป็นของว่างหมด ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคลเราเขา ไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชาย ธาตุสุญโญ เป็นธาตุสูญ แล้วกำหนดจิต รู้จิต ตั้งอยู่ใน ฐีติธรรม

    -ธาตุกับจิตติดกัน จึงวนเวียนแก่ เจ็บ ตาย อยู่ทุกชาติหาที่สิ้นสุดมิได้ ธาตุเป็นของที่มีอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ดั้งเดิมมา และแปรปรวนอยู่เช่นนั้น จิตของคนไม่ไปยึดไปถือ ก็เป็นจิตสิ้นทุกข์ได้ฯ

    -อายตนะภายในภายนอกแปรปรวนอยู่เป็นนิจ สว่างโร่ ทั้งภายนอกและภายในไม่ขาดระยะของ ทุกขํ อนิจจํ อนตตา ฟังเทศน์ธรรมชาติแสดงเรื่อย ๆ พระโยคาวจรฟังเทศน์ในตอนนี้ ฉลาดในตอนนี้ สิ้นกิเลสในตอนนี้ เป็น ปจฺจตฺตํ ความเพียร มรรคผล ถือ-สมถะพอ วิปัสสนาพอ มันผลักกิเลสมันเอง

    -บรรพชิตจะต้องปฏิบัติตรงต่อพระนิพพาน

    -พุทธองค์เกิดในป่าลุมพินีวัน ปลงสังขารในป่า ให้โอวาทปาติโมกข์ในป่า ตรัสรู้ในป่าเปลี่ยว นิพพานในป่าเปลี่ยว วิจัยธรรมในป่า ชนะมารในป่า ธรรมทั้งหลายล้วนแต่เกิดในป่า เป็นธรรมราคาสูง ธรรมโลกุตระเหนือโลกีย์

    -จิตตั้งจิตมิได้ ตั้งจิต ตั้งธาตุ จึงแสดงรู้เห็นด้วยกันได้ เพราะจิตมันเป็นนามธรรม

    -อย่าถอนทำความเพียร มันจะเคยตัว ให้ทำจนชิน ให้ได้เนื้อหรือคุ้นเคย จึงจะเห็นมรรคผลเห็นผล

    -ปัญจวัคคีย์นั้นทางปรมัตถ์ว่า หัว๑ แขน ๒ ขา ๒ เป็นห้า ภิกษุ แปลว่าคนต่อยกิเลส ปัญจวัคคีย์ก็เป็นภิกษุเหมือนกะเราฯ

    -วาจาของท่านเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีลาภ ยศ อามิสเจอวาจาของท่าน เทศน์จึงขลังดี พูดถูกธรรม ตรงไป ตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าบุคคลและอามิส

    -ท่านไม่ให้ศีลแก่โยมที่รู้ศีล อ้างว่าแม้พระภิกษุที่บวชนั้นก็ไม่ให้ศีล ๒๒๗ เลย ให้แต่เพียง ศีล ๑๐ ชั้นสามเณรเท่านั้น ต่อนั้นประกาศสงฆ์ตั้งสมมติให้กันเอง แล้วก็พากันรักษาพระปาฏิโมขก์ นี้ฉันใด เพียงศีล ๕ ให้เจตนารักษาแต่เฉพาะตนเอง เท่านั้นก็เป็นพอ

    -จิตนั้นเมา สุราไม่ได้เมา สุราไม่ติดคน คนติดสุราต่างหาก เมื่อคนดื่มไปแล้ว ทำให้เป็นบ้าไปต่าง ๆ ฯ

    -เรื่องของโลกย่อมมีการยุ่งอยู่เรื่อย ๆ มาตั้งแต่ไหน ๆ

    -วิธีละกิเลสฝังแน่นอยู่ในสันดานนั้น ตีลิ่มใหม่ใส่ลงไปลิ่มเก่ากระดอนออกนี้ฉันใด มรรค เข้าไปฟอกกิเลสเก่าออกมาแล้วจึงเห็นความบริสุทธิ์

    -จิตเสวยเวทนาอย่างละเอียดนั้น ให้ละลายเวทนาเข้าไปอีกเอามรรคเข้าไปฟอกแล้วทำความรู้อยู่แทนเวทนา จึงจะเห็นตน เห็นธรรม เห็นความบริสุทธิ์ฯ

    -สมณะ พราหมณ์ มีการเพ่งอยู่เป็นนิจ มันไม่รู้ไม่ฉลาดแล้ว จะไปอยู่ ณ ที่ไหนอาพาธก็หาย บุญก็ได้ด้วย พระองค์ตรัสให้พระสารีบุตรทำเช่นนั้น แท้ที่จริงพระสารีบุตรก็ทำชำนาญมาแล้ว แล้วทำอีก อาพาธก็หายฯ

    -ให้พิจารณาธาตุ เมื่อเห็นธาตุแปรปรวนอยู่เป็นนิจ เรียกว่า สัมมาทิฐิ เห็นชอบ

    -ภุมเทวดา อยากดื้อ ทดลองเสมอทีเดียว ไปอยู่ที่เข็ดขวางต้องระวัง ต้องตรวจจิตเสมอฯ

    -มนุษย์เป็นสัตว์เลิศ เป็นที่ตั้งพระพุทธศาสนา ทวีปทั้ง ๓ ก็เป็นมนุษย์ เช่น อุดร กุรุทวีป แต่ไม่สมบูรณ์ พระองค์ไม่โปรดตั้งศาสนา เทวดาก็เหมือนกัน มนุษย์ที่มาเกิดในชมพูทวีปเป็นมนุษย์วิเศษ รับรัชทายาท

    -อารมณ์ภายนอกและภายใน เป็นของที่ตั้งอยู่เป็นธรรมดา แต่จิตเป็นของที่รับรู้ ฉะนั้นต้องทรมานทางจิตให้มาก ๆ แก้อวิชชา แก้อาสวะ แก้ทุกข์ แก้สมุทัย นิโรธ เกิดญาณตั้งอยู่เป็นอมตธรรมที่ไม่ตายฯ

    -แก้โทษคือแก้อาบัติ ให้แก้ปัจจุบันจิต อย่าส่งจิตอดีต อนาคต แล้วบอกจิตว่าไม่มีโทษ เมื่อท่านไปจำพรรษาอยู่เทือกเขาใหญ่ท่านเกิดอาบัติจนฉันอาหารเข้าไป ก็เป็นอันนั้นออกมา เพราะจิตวิบัติแล้ว ธาตุก็วิบัติด้วย ต่อนั้นแก้จิตได้แล้ว อาพาธ ๓ วัน หายเป็นปกติดี การอาบัติเช่น อาบัติอุกฤษฏ์ อย่าพึงล่วงง่าย ๆ เพราะมันเคยตัวฯ

    -อจินไตย เกิดความรู้ ความฉลาด นั้นหาประมาณมิได้ฯ

    -ปฏิบัติผิดนั้น ลบสังขารด้วยไตรลักษณ์ไม่ได้ ประพฤติไปตามสังขาร ปฏิบัติถูกนั้น คือลบสังขารด้วยไตรลักษณ์ได้

    -พวกสุทธาวาสทั้งหลาย คือ เจริญฌานและวิปัสสนาต่อไป จึงสำเร็จได้ในที่นั้น

    -ผู้ที่รู้ธรรมแล้ว เป็นผู้วิเศษ อานิสงส์หาประมาณมิได้

    -สกลกายอันเดียวนี้แหละเป็นตัวธรรม

    -ละกิเลสด้วยสติ สติฟอกอาสวะกิเลสเอง

    -ธรรมเป็นฐีติธรรม ตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แปรปรวนอยู่เช่นนั้น ให้รู้ให้เห็นเฉพาะที่เกิดกับจิต

    -คณาจารย์บางองค์แสดงอริยสัจ มีลาภ ยศ เจืออริยสัจ เป็นส่วนมาก

    -จิตเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ หมดจดทุกอย่าง มนุษย์ เทวดา ไม่มีที่ครหาเลย

    -บรรดานักปฏิบัติให้เฉลียวฉลาดรู้เท่าทันโจร เมื่อรู้เท่าทันโจรแล้ว โจรย่อมไม่มีโอกาสลักสิ่งองไปได้ แม้ฉันใด ปฏิบัติให้มีสติและปัญญารักษาตน กิเลสมิอาจเข้าถึงได้ฯ

    -ที่แผ่นดินย่อมเป็นฝุ่นผีทั้งสิ้น ให้จิตพิจารณาตกลงถึงฐานฯ จิตจึงไม่กังวลฟุ้งซ่านกระสับกระส่ายฯ

    -มนุษย์ตาย จะเอาไปกินและเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่เหมือนวัวควายวัวควายเนื้อกินได้

    -ในขณะที่มีชีวิตนั้นทำบุญดีมาก การทำศพถึงผู้ตายนั้นไม่ได้เป็นส่วนมาก แต่ทำตามประเพณีเท่านั้น พระอรหันต์นิพพาน ภูเขา-ถ้ำต่าง ๆ ใครทำศพให้ท่านเล่า---ท่านทำไมถึงนิพพาน

    -ใช้ไหวพริบเป็นอาชาไนยอยู่เนืองนิจฯ

    -ธรรมทั้งหลาย จิตประกอบกายยกขึ้นแสดง ปราศจากกายแล้วจะยกนามธรรมขึ้นแสดงไม่ได้เลย

    -เหตุเกิดก่อน ปัจจัยเกิดทีหลังฯ

    -จิตเป็นคนเรียกสมมุติเอง จิตเป็นเหตุที่กระสับกระส่าย จิตปกติดีแล้วก็เป็นอันได้รับความสุขฯ

    -ทำจิตให้สว่างโพลง กำหนดรู้ฐีติธรรม นั้นเรียกว่าปัญญาโดยแท้

    -ให้แก้อวิชชา แก้อนุสัยความไม่รู้ไม่ฉลาดนั้นให้กลับเป็นคนฉลาดฯ

    -พระโมคคัลลาน์ สารีบุตร พระองค์เกิดในตระกูลมิจฉาทิฐิ ดุจดอกบัวย่อมเกิดในตมฉันใด

    -ต้องเจริญทุกข์ให้พอเสียก่อน ดับต้องอยู่ในที่นั้น ดุจตีลิ่มลงไป ลิ่มเก่าถอน ลิ่มใหม่เข้าแทน คือกิเลสออก ความบริสุทธิ์เข้าแทน ดุจของดีอยู่ในของชั่ว คืออวิชชาออกวิชชาเข้าแทนฯ

    -เดินมรรคให้เห็นทุกข์ ให้เดินมรรคเห็นสมุทัย ให้ยิ่งในมรรคให้ยิ่งมรรคนิโรธ จึงจะพ้นทุกข์ฯ

    -โลกียสัจจะคือโพธิสัตว์เห็นเทวทูต โลกุตรสัจจะคือโพธิสัตว์ตรัสรู้ฯ

    -ข้อเปรียบชั้นนิพพาน คือ นับ ๑ ไปถึง ๐ ๐ ( สูญ ) โลกเขาแปลว่าไม่มี แต่สูญมีอยู่นี้ฉันใด นิพพานเป็นของที่มีอยู่ฯ

    -ความรู้ความฉลาด มีอยู่ในสถานที่ไม่รู้

    -ธรรมทั้งหลายมาจากเหตุ คือจิตออกจากจิตเรียกเจตสิก ต่อนอกนั้นเป็นอาการทั้งหมด ดุจสันหรือหรือคมของดาบมาจากเหล็กฉะนั้นฯ

    -มีแต่จิต รูปไม่มี แสดงไม่ได้ ต้องอาศัยกันเป็นไปจึงแสดงได้ฯ

    -พระอรหันต์ทั้งหลาย จิตไม่มี มีแต่สติ เพราะจิตสังขารมันเป็นตัวสังขาร สังขารไม่มีในจิตของพระอรหันต์

    -เอกมูลา เหตุผลมาจากความที่เป็นหนึ่งของจิต เป็นเหตุเป็นปัจจัย (เหตุ ปัจจโย ) ประกอบกัน จึงตั้งเป็นบทบาทคาถาฯ
    มีนัยหลายนัย ถึงแปดหมื่นสี่พันประการฯ

    -มนุษย์วยเวียนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ติดของเก่ากามาวจรสวรรค์ ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๑ มนุษย์ ๑ ท่านพวกนี้ติดของเก่า พระไตรปิฏก มีกิน ๑ มีนอน ๑ สืบพันธ์ ๑ แม้ปู่ย่าตายายของเราล้วนแต่ติดของเก่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อท่านยังไม่ตรัสรู้ก็ติดของเก่า เพลิดเพลินของเก่าในรูป เสียง กลิ่น รสของเก่าทั้งนี้ไม่มีฝั่งไม่มีแดน ไม้มีต้น ไม่มีสาย ย่อมปรากฏอยู่เช่นนั้น ตื่นนเต้นกับของเก่า ติดรสชาติของเก่า ใช้มรรค ๘ ให้ถอนของเก่า ให้อิทธิบาท ๔ ตีลิ่มสะเทือนใหญ่ปัง ๆ ลิ่มเก่าถอนคืออวิชชา ลิ่มใหม่คือวิชชาเข้าแทนดังนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูด ใช้ตบะความเพียรอย่างยิ่ง ที่จะถอนได้ต้องสร้างพระบารมีนมนาน จึงจะถอนได้ เพราะของเก่ามันบัดกรีกันได้เนื้อเชื้อสายของกิเลสมาพอแล้ว ย่อมเป็นอัศจรรย์ของโลกนนั้นทีเดียว

    -แก้บ้านั้น ให้ทวนกระแสเข้าจิตเดิม แก้ได้ เสือมาเฝ้าเราที่เป็นพระโยคาวจรเจ้าเป็นเทพโดยมาก ถ้าเป็นเสือ มันเอาไปกินแล้ว

    -ธรรมแสดงอยู่เรื่อย ๆ เว้นแต่นอนหลับโดยมิได้กำหนดจะไม้รู้ไม่เห็นขณะนั้น

    -ส่งจิตออกนอกกาย ทำให้เผลอสติฯ

    -มัคโคหนทางดำเนินมีที่สุด ส่วนหนทางเดินเท้าไม่มีที่สิ้นสุดฯ

    -น้ำใจของสัตว์ยุ่งด้วยธาตุ ระคนอยู่ด้วยธาตุ ธาตุไม่มีที่สิ้นสุด แม้จิตก็ไม่มีสิ้นสุดฯ

    -จิตรับธุระหมดทุกอย่าง จิตเป็นแดนเกิด รู้เท่าอาการของจิตได้แล้ว รู้ปกติของธาตุฯ

    -เอโก มคฺโค หนทางอันเอก วิสุทธิยา เป็นหนทางอันบริสุทธิ์มีทางเดียวเท่านี้ มโน ปุพฺพํ จิตเป็นบุพภาคที่จะได้เป็นใหญ่ จิตถึงก่อนสำเร็จด้วยจิตฯ ( มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนมยา)

    -จิตเป็นเครื่องบังคับกายกับวาจาให้พูดและให้ทำงานฯ

    -จิตที่ไม่ติดพัวพันในอารมณ์ทั้งปวง เรียกว่า บริสุทธิ์

    -มีแป้น ( ไม่กระดาน ) แล้วก็มีบ้าน มีบ้านแล้วก็มีแป้น พูดอย่างนี้จึงแจ่มแจ้งดี

    -พระองค์แสดงอนุปุพพิกถาไปโดยลำดับ ยกทานขึ้นก่อนดุจบันไดขึ้นต้น แม้ฉันใด โลกุตระ โลกีย์ก็ดี ก็ต้องเจริญต้นขึ้นไปก่อน -ไม่เจริญขึ้นต้นไปก่อนเป็นผิด จะกระโดดขึ้นสูงทีเดียวไม่ได้ตายกัน

    -ธรรมเป็นของธรรมดาตั้งอยู่อย่างนั้น คือตั้งอยู่ด้วยความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงได้ชื่อว่าธรรมเป็นของจริง ไม่มีอาการไป ไม่มีอาการมา ไม่มีขึ้น ไม่มีลง เป็นสภาพที่ตั้งไว้ดุจกล่าวไว้ ข้างต้นฯ

    -ไม่อ้างสวรรค์ นิพพาน ไม่อ้างทุคติ อ้างความเป็นไปทางปัจจุบันอย่างเดียว เพราะชั่วดีก็ปัจจุบันที่ยังเป็นชาติมนุษย์

    -เอาธรรมชิ้นเดียวนี้เอง คือกายนี้เองไปเจ็บ กายชิ้นเดียวนี้เองไปแก่ กายชิ้นเดียวนี้เองไปตาย เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดอีก ล้วนแต่ตื่นเต้นอยู่ด้วยธาตุอันนี้เอง หาที่จะจบไม่ได้และสิ้นสุดมิได้ฯ

    -เรื่องของโลกธาตุนั้น กระทบกระเทือนกันหมด กำหนดรู้ เฉพาะจิต ก็รู้สิ้นทางอื่นหมด

    -พระธรรมแสดงทั้งกลางวันและกลางคืน อกาลิโก กำหนดกาลเวลามิได้ แสดงทั้งภายนอกและภายใน

    -ให้กำหนดจิตให้กล้าแข็ง เรียนมรรคให้แข็งแรง จึงจะเห็นทางสิ้นทุกข์ไปได้

    -ให้ปล่อยจิต อย่ากดจิต เหตุผลเคลื่อนคลื่นอยู่ใน ให้พิจารณาความรักความชัง พิจารณานิสัยของตน จิตดื้อ บริษัทมากพึ่งนิสัยเดิมมิได้ ตะครุบจิตจึงมีกำลัง

    -คนในโลก หลงของเก่า คือหลงธาตุนั้นเองแหละ ชังแล้วมารัก รักแล้วมาชัง หาที่สิ้นสุดมิได้ พระองค์ไม่หลง

    -ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นอื่นเหมือนนาค เทวดาทั้งหลายที่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ มนุษย์มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จง่ายกว่าภพอื่น อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคคํ สตตวิสุทธิยา มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคมคอยประดิษฐ์ กุศล อกุศล สำเร็จอกุศล…มหาอเวจีเป็นที่สุด ด้วยกุศลมีพระนิพพานให้สำเร็จได้ ภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่องไม่เฉียบขาดเหมือนชาติมนุษย์ ไม่มีปัญญากว้างขวางพิสดารเหมือนมนุษย์ มนุษย์ธาตุพอหยุดทุกอย่าง สวรรค์ไม่พออบายภูมิธาตุไม่พอ มนุษย์มีทุกข์ สมุทัย…ฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี…กุศลมรรคแปด นิโรธ รวมเป็น ๔ อย่าง มนุษย์จึงทำอะไรสำเร็จ ดังนี้ ไม่อาภัพเหมือนภพอื่น

    -สติปัฏฐานเป็นความรู้อนันตนัย หาประมาณมิได้ ไม่เหมือนความรู้ชนิดอื่น สนทิฏฐิโก เห็นด้วยเฉพาะนักปฏิบัติ ปจจตตํ รู้เฉพาะในดวงจิต รู้ธรรมลึกลับสุขุมคัมภีรภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  7. ดอกไม้แก้ว

    ดอกไม้แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +453
    ขอเลขเด็ดทาง PM ด้วยคนค่ะคุณปู
     
  8. ncis9

    ncis9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +136
    -ให้รู้ นโม นะ น้ำ โม ดิน ( อิ อะ ) อิติปิโสฯ อรหํ เมื่อรู้แล้วความรู้หาประมาณมิได้ อะ อิ สำคัญนัก เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ฯ


    อะ อิ อยากทราบว่าคืออะไรครับ
     
  9. JAMESBOND1966

    JAMESBOND1966 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +100
    ----------------------------

    อิ ย่อมาจากคำ "อิติปิโส ภะคะวา " = เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

    อะ ย่อมาจากคำ "อะระหัง" = ผู้ไกลจากกิเลส


    เป็นบทกล่าวพระพุทธคุณสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าครับ ว่าเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบด้วยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ฯลฯ รายละเอียดลองศึกษาจากหนังสือสวดมนต์แปลดูนะครับจะมีเนื้อหาที่ให้ความหมายที่ลึกซึ้งทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jhgref.jpg
      jhgref.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.6 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  10. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    ไม่ได้มา 3 วัน... เป็นไงสบายดีกันไหมค่ะ... ยังวิตกกะ 21 ธ.ค. กันอยู่ไหม... แต่ปูไปวิตกวันอาทิตย์มากกว่าค่ะ แหะๆ ... ถ้านิวซีแลนด์เกิด ก็ ใจหายละคะ
     
  11. น้ำกับพายุ

    น้ำกับพายุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +2,452
    แสดงว่า เป็นวันอาทิตย์อันใกล้ ที่ไม่ใช่วันที่21 นี้ รอติดตามเช่นกันครับ
     
  12. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    23 30 เดือนนี้ ก็ วันอาทิตย์ใช่ป่ะ รอต่อไป ... เพราะภาพที่เห็นไม่บอกว่า เป็นช่วงไหน แต่รู้ว่า เป็น วันอาทิตย์เพราะเห็นโบสถ์ที่นิวซีแลนด์ มีคนเต็มโบสถ์ มันพัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. น้ำกับพายุ

    น้ำกับพายุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +2,452
    คิดเหมือนกัน กลัวมีเฮ วันส่งท้ายปี สังเกตุมาหลายครั้งเหมือนกัน เวลาจะมีเรื่องใหญ่ๆ คนตายเยอะๆ ชอบเป็นปลายปี เช่น เกิดTsunami 2547 ก็วันที่26
    อยู่ในช่วงเวลาอาทิตย์สุดท้ายก่อนสิ้นปี
     
  14. JINKLE

    JINKLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,226
    อาจจะเป็นวันคริสต์มาสได้ไม๊คะคุณปู
     
  15. ncis9

    ncis9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +136

    ขอบคุณมากครับ
     
  16. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    อยากขอเฉลิมฉลอง... วันปีใหม่ แบบโล่งอกมากกว่าค่ะ... แต่ แผ่นดินไหว ไม่ใช่ภัยธรรมชาติที่แปลกประหลาด... ฉะนั้นถ้ามันจะเกิดวันนั้น ก็ ไม่แปลก... แต่อย่างที่หลายๆ บอกไว้แบบแรงๆ โลกแตก แบบไม่มีอะไรๆ แล้ว ไม่เห็นอ่ะ... แค่เห็นว่า จะมีแผ่นดินไหวหนักๆ ในตอนกลางคืน และนิวซีแลนด์ในวันอาทิตย์... มีคาร์บอมหมู่... ระวังทางใต้เยอะๆ ช่วงนี้
     
  17. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    มีคนตายแถวชายหาดเยอะ... (ฝัน)
     
  18. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    วันที่ 21 ธ.ค. มีอย่างมาก ก็ จะมีแผ่นดินไหวใหญ่ๆ ในบริเวณพื้นที่ดังนี้ นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น อลาสก้า ... แต่ในฝันจะเป็นวันอาทิตย์ ฉะนั้น ให้ระวังวันอาทิตย์ ตอนเช้าถึงเย็น ที่นิวซีแลนด์ ... และกลางคืนจนถึงรุ่งเช้าของวันจันทร์ที่อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของเรา จะเป็น การนัดหมายคาร์บอม และการลอบเผาหลายๆ สถานที่ในจังหวัดเดียวกัน หรือเวลาเดียวกัน ช่วงปีใหม่... และหลังปีใหม่ ต้องระวังเยอะๆ

    มีสื่อสารล่มบ่อยๆ ในช่วงเดือนนี้ อาจมีไฟฟ้าดับในบางประเทศ และเรื่องหิมะถล่มจนถึงพายุหิมะ จะแรงขึ้นอีกในเดือนมกราคม... แย่กว่าปีที่แล้ว

    แต่ลองใช้วิจารณญาณ อย่าไปตื่นตระหนกเกินเหตุ... ที่ปูกลัวสุด คงเป็น สึนามิที่อินโด ทางซ้ายของประเทศ ทำให้คนตายเยอะมากกว่า และเป็นคนที่ฝันได้แม่นยำด้วย... ปีหน้า ฝันเห็นน้ำท่วมในไทยด้วย เป็นน้ำป่าไหลหลากผ่านแม่น้ำปิง มาถึงกทม.เลย พังกันเป็นแถบๆ
     
  19. JAMESBOND1966

    JAMESBOND1966 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +100
    ปีหน้าหลังสงกรานต์ไปแล้วผมว่าภัยธรรมชาติและภัยการเมืองคงจะคงจะร้อนแรงและหวาดเสียวพอๆกันมั้งครับคุณปู

    ที่คุณปูกังวลเรื่องเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์เดือนนี้ ก็มีส่วนใกล้เคียงกับหลักโหราศาสตร์ไทยเหมือนกันครับ เพราะปีนี้วันอาทิตย์เป็นอุบาทว์ และหากย้อนไปดูปี 2547 ที่เกิดสึนามิภาคใต้ก็เกิดในวันอาทิตย์เช่นกัน แต่วันอาทิตย์ในปีนั้นเป็นโลกาวินาศตามหลักวิชากาลโยค

    แต่ความหนักเบาน่าจะเป็นปีหน้าหลังสงกรานต์ไปแล้วมากกว่า เพราะปีหน้าดาวเสาร์ให้โทษเป็นกาลกิณีจรกับดวงเมืองเหมือนปี 47 แล้วก็โคจรมาทำมุมฉากกับดาวจันทร์ของดวงเมือง พร้อมกับเล็งลัคน์ด้วย เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าจะเกิดเหตุร้ายที่เกี่ยวกับภพพันธุของดวงเมือง(ภพพันธุ มีความหมายถึง แผ่นดิน ความมั่นคงของบ้านเมือง บ้านเรือน ความมั่นคงของรัฐบาล)อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาอะไรที่รัฐบาลคิดว่าจะหมูเหมือนปี 54 มันคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้

    เพราะเมื่อใดที่ดาวเสาร์โคจรมาทำมุมฉากกับดาวจันทร์(เจ้าเรือนพันธุ)ของดวงเมืองมันหมายถึงการตกจากตำแหน่งของนายกฯ หรืออาจมีเหตุวุ่นวายต่างๆนาๆจนเกิดการยุบสภาฯก็เป็นได้ เหมือนดังเช่น ปี49 ดาวเสาร์จรมาทับดาวจันทร์ เกิดเหตุวุ่นวายต่างๆทางการเมืองจนทำให้รัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจ รวมทั้งภัยจากแผ่นดินไหวก็จะมีความชัดเจนและรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมาได้ครับ

    ดังนั้น ช่วง 2 ปีครึ่งจากนี้ไปจะเป็นช่วงแห่งความยากลำบากต่างๆทั้งภัยธรรมชาติและการเมืองจะระส่ำระสายกันไปทั่วโลก(เพราะลัคนาดวงเมืองเราอยู่ในตำแหน่งเดียวกับลัคนาดวงโลก) วิเคราะห์ตามหลักโหราศาตร์ไม่รู้ว่าจะใกล้เคียงกับที่คุณปูนิมิตฝันไว้รึเปล่า ก็คงต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  20. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,781
    ขอบคุณที่ช่วยกันวิเคราะห์จ้า... ปูก็หวังว่า ความฝัน จะเป็นความฝันต่อไป เพราะถ้ามันเป็นจริง สึนามิที่น่ากลัว จะมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...