เรื่องเด่น 8 สภาวะทางสมาธิ ที่ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ

อีกอย่าง ผมไม่ศัทธา ผม ไม่เชื่อ

ศัทธาและเชื่อสำหรับพวกชอบเวียนว่ายตายเกิด เพราะไม่เห็นจริง เลยต้องใช้ศัทธา ความเชื่อเป็นเครื่อง ผูก แล้วก็หลงไปเรื่อยๆ ตามกรรม

อยากรู้ต้องทำ ทำให้ถูกทาง ไม่ใช่ เอะอะ ก็ บอก ไม่ใช่ ของกูนี้ละ ถูกทาง

บอกให้เลย ผมผ่านทุกอย่างหมดแล้ว ทำมาทุกอย่าง ถึงรู้ว่าอันไหนจริง ปลอม ถึงมาพูดได้

 

ไอ้ความรู้สึกว่าผ่านมาหมดเเล้ว ยิ่งเพิ่มมานะให้ตัวเองมากขึ้นรึเปล่าครับ
เพราะผมเจอนักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็พูดเเบบงี้พิมพ์เดียวกันเลย
ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน ของเราถูกของเขาผิด
มีอาจารย์ของตัวเอง เเล้วเเบ่งเป็นพรรคเป็นพวก เเล้วพูดว่ากรรมฐานเราเหนือ..กว่า
คิดว่าตัวเองถูกสุดเเล้ว เอาความรู้ไปบลัฟ คนอื่นไปทั่ว.. เพื่อเพิ่มความรู้สึก
ingroup - outgroup เหมือนพวกองค์กรณ์ทางศาสนา.. ต่างๆ

 

ผ่านหมดแล้ว จบหมดแล้ว รู้จริง จึงพูด

หลงงมงาย ก็รู้แบบหลงงมงาย ว่าตนรู้จริง

สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง คนโง่ ย่อมไม่มีวันรู้

สิ่งใดแท้ สิ่งใดเทียม คนมีปัญญา ใช้หลัก ปฏิบัติ พิสูจน์ คำสอน

เมื่อทำตามคำสอน ย่อมรู้ชัด ว่าอะไร หลงงมงาย อะไรที่เป็นตามรู้จริง

ทำไม่ใช่เอาแต่เถียง ทำได้แล้วค่อยมาเถียง

ทำไม่ได้แล้วเถียงเขาเรียกแถ

 

เปิดใจให้กว้างทำตาม, แล้วจ้องจับถูกเถอะครับ.

 

สมาธิเบื้องต้น ง่ายนิดเดียว

อยู่กับลมหายใจ. หายใจเข้า-ออก
และสังเกตุว่า ขณะเราหายใจเข้า-ออก มีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายเราบ้าง...

ขณะอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก.. จิตจะไม่ส่งออกไปโน่น นี่ นั่น..ลืมตาทำก็ได้ จะได้มโนแดก. หลับตามะไหร่ จิตมันไปเที่ยวทันที ฮาาาาาา

นี่แหล่ะจุดเริ่มต้น...รวมจิตเข้ามาสู่กาย

เราทุกคนมี. ทำกันได้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้จักมัน..

เขียนไม่เก่ง..แต่ทำได้จริง...ทำเถิด อย่ามัวแต่ตามอ่าน.....เอิ้กๆๆๆๆๆ

 

ใครก็พูดได้ว่าผ่านมาหมดเเล้วจบมาหมดเเล้ว ทุกอย่าง..
คงมีเเต่คนโง่เท่านั้นเเหละครับ ที่จะเชื่อหมดทุกอย่าง..
สิ่งที่ผมเเย้งคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกๆความเชื่อ 1.คือการเอาความเชื่อตัวเองว่าดีสุด
2.มีการเเบ่งพรรคเเบ่งพวก 3.มีการตั้ง เเละยกตนเองขึ้นเป็นบุคคลสำคัญ

หรือผมเถียงเรื่องปรมัตถ์สัจจะ ..? เพราะที่คุณยกมา ก็รูปพระธาตุ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาพิสูจณ์
เเละไอ้การบอกว่ารู้หมดทุกอย่าง จบเเล้วทุกอย่าง เเหม ดูหรูเลยนะครับ อีกไม่นานคงยกระดับเป็นอาจารย์..

 

+++ น่าเสียดายในครั้งที่เป็น dota0321 นั้น มีการปฏิบัติที่ดี ออกธุดงค์ และควรจะ "รู้จักพระธาตุ" ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความเป็น Lucid Dream ในระดับหนึ่ง

+++ แต่พอเปลี่ยนมาเป็น Jera รู้สึกว่า "ชุ่ย-เละ" ไปหมด น่าอนาถแท้... เปลี่ยนจาก "สัมมาทิฐิ ไปเป็น มิจฉาทิฐิ" และกลายเป็น Fantasy Imagination ไปเลย

+++ น่าอนาถแท้หนอ... "อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข" ....
==========================================
+++ จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/pierra/2009/07/27/entry-2

"กัมมุนา วัตตติ โลโก"

สัตว์โลกทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม

อุทฺเทส กมฺมปจฺจโย เพราะมีเจตนาตั้งใจเป็นปัจจัย

กัมมปัจจัย หมายถึงการกระทำของจิตใจที่เป็นเหตุให้เกิดผล หรือให้สำเร็จกิจในหน้าที่ของตนเรียกว่า "กรรม"

ดังพุทธภาษิตกล่าวไว้ในอังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาตว่า...

"เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ เจตยิตฺวา กมฺมํ กาเยน วาจาย มนสา"

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาคือตัวกรรม สัตว์ทั้งหลายที่ทำกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี ย่อมมีการปรุงแต่ง คือคิดนึกก่อนแล้วจึงทำ

ดังจะเห็นได้ว่าการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม ต้องอาศัยเจตนาเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในการกระทำนั้นๆ ฉะนั้น เจตนาจึงเป็นตัวกรรม หรือเป็นหัวหน้าของสังขารขันธ์ทั้งหลาย

กัมมปัจจัยที่กล่าวว่า เป็นปัจจัยให้เกิดผล ก็เพราะทำหน้าที่เพาะพืชพันธุ์ให้เกิดผลในอนาคต เรียกว่า พีชนิธานกิจ คือ ทำกิจสั่งสมพืชเชื้อเพื่อให้งอกต่อไปในอนาคต เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย

พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ถือการกระทำเป็นใหญ่ เป็นกรรมนิยม ซึ่งผิดกับศาสนาอื่นที่ถือเทวนิยม เป็นต้น เพราะเข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยการบันดาลของเทพเจ้า

แต่ส่วนของพระพุทธศาสนาถือว่า สัตว์ทั้งหลายจะดีหรือชั่วย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น หรือขึ้นอยู่กับวงศ์ตระกูล เพราะการทำดีทำชั่วต้องทำด้วยตนเอง ไม่ใช่มีผู้อื่นมาทำให้ได้ เหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงมีกรรมเป็นของตน เรียกว่า...

กมฺมสฺสโกมฺหิ เมื่อทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นตามที่ทำไว้

กมฺมทายาโท คือเป็นทายาทของกรรมที่ทำแล้ว จึงจำแนกสัตว์ให้ไปเกิดในที่ต่างๆกัน

กมฺมโยนิ คือมีกรรมเป็นกำเนิด และกรรมที่ทำแล้วยังจะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง จะไม่สูญหายไปใหน

กมฺมพนฺธู คือมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แม้พ่อ-แม่ญาติพี่น้อง ก็ไม่ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง คือชาตินี้เป็นญาติกัน แต่พอตายแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่ส่วนกรรมที่ทำแล้วย่อมจะติดตามตนไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.

ถ้าทำกรรมดีก็เหมือนมีวงศ์ญาติที่ดี ญาติดีก็จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้มีความสุข ความเจริญ แต่ถ้าทำกรรมชั่ว ก็เหมือนมีวงศ์ญาติที่ชั่ว ญาติชั่วก็จะติดตามล้างผลาญให้เป็นทุกข์เดือดร้อนเรื่อยไป กรรมจึงเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์โลก

กมฺมปฏิสรโณ เพราะเมื่อกรรมชั่วให้ผลอยู่ แม้ญาติพ่อ-แม่พี่น้องตลอดจนผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ก็ไม่อาจช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ถ้ากรรมดีให้ผลอยู่ แม้ใครจะคิดร้ายทำลาย ชีวิตก็ไม่อาจถูกทำลายได้เลย.

อีกนัยหนึ่ง ท่านเปรียบกรรมคือการทำกุศล อกุศล ส่วนผลคือวิบาก เปรียบเหมือนเงา เมื่อมีคนที่ใหนก็ต้องมีเงาที่นั่น คือมีกรรมก็ต้องมีวิบากรับผล.
==========================================
+++ เมื่อสมัยที่ยังเป็น dota0321 นั้น อยู่ที่นี่

https://palungjit.org/threads/คืออย...รู้ตัว-มันต่างกันไหมครับ.552151/#post-9692771
https://palungjit.org/threads/เดินธุดงค์-กับเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยดอกดาวเรือง.567149/

+++ แต่หลัง ๆ มานี้ "มีอาการ แถ เป็นพิเศษ" การพูดจามีอาการ "กลับกลอกไป-มา" พิกลพิการทางคำพูด ค่อนข้างจะชัดเจน

+++ หลังจาก "โดนมโนแดกไปแล้ว" ก็เลือกทางเดินเอาเอง ไปตามกรรม ก็แล้วกันนะ

 

5555 ก็คนมันทำได้ไม่จริง มันก็ เห่าแบบนี้ละ ขอบอกว่าผมไม่รับสอนคับ ไม่ต้องเรียกผมเป็น อจ.คับ เพราะว่าคนส่วนมากมันโง่ แบบคุณนี่ละ

บอกยังไงก็ไม่เชื่อหรอก ผมเลยชอบด่า มากกว่าชอบสอน เพราะมันสบายใจดี ส่งพวก บ้าๆ ลงนรก ให้คนดี มีที่อยู่เยอะขึ้น

ยิ่งด่าคนโง่ยิ่งสบายใจ 555 เหมือน เร่งให้พวกนี้ ตายไวๆ ลงนรกไวๆ 5555

 

คุณธรรม-ชาติ มีเจโตปริยญาณรึเปล่าครับ ถึงกล้าฟันธงไปว่าผู้เขียนทำไม่ได้
เพียงเพราะการอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร มันไม่ถูกใจคุณ

ตอนนั้นผมเคยไปตั้งกระทู้ในหมวด อภิญญา ตอนที่สงสัยเรื่อง ปัญญาญาณ

ผมเคยทำความเข้าใจผิดในเรื่อง ญาณ กับ ปัญญา
ตอนแรกผมเข้าใจผิดว่ามันคงจะเป็นตัวเดียวกัน ที่ใช้ทำงานกับขันธ์5

ทีนี้ท่านอาจารย์ธรรมชาติ ก็ชี้แจงโดยแยกให้ว่า ญาณ นั้นคือ จิตหรือรู้
ส่วนการทำความเข้าใจในขันธ์ 5 นั้นคือ ปัญญา

การที่จะรู้ได้ว่าผมเข้าใจผิดในส่วนนี้ คือ ท่านอาจารย์ธรรมชาติ นั้นมี เจโตปริยญาณ
การชี้แจงแก้ข้อผิดให้ตรงแก่จิตบุคคลที่ท่านกล่าวสอนด้วยอยู่ ในส่วนนี้ผมมองว่าเป็น
อนุสาสนีปาฏิหารย์ คือสอนให้ตรงแก่จิตแล้วเดินตามได้ในส่วนที่เข้าใจผิดอยู่

มันไม่ได้เกี่ยวแต่ว่าเมื่อมีผู้มาแย้งว่าไม่ใช่ทาง นั้นจะแปลว่าท่านที่มาแย้งนั้น จะไม่ถูกใจ

แต่มันขึ้นอยู่กับผู้ที่รับฟังอยู่ด้วยว่าจะรับฟังตามความเป็นจริงของตัวเองด้วยรึเปล่านะครับ

 

เเหมๆ ก็ว่าอยู่ว่าต้องออกเเนว ad hominem ถึงขั้นขุดกระทู้
ผมมองเห็นความขัดเเย้ง ของคนที่เรียกว่าตัวเองคือผู้ที่ "ผ่านมาซะทุกอย่าง"
ยังนั่งขุดกระทู้คนอื่นด้วยจิตอยากรู้ อยากเอาเหนือ .. เเต่ดันใช้ "สภาวะ ที่ตัวเองอ้างว่ารู้หมดทุกอย่างไม่เป็น"
ถ้าผม จะเอาตัวบุคคลมาเป็นเเก่นสารในการนั่งโต้เเย้ง
.. ผมหาข้อมูลได้มากกว่าเอา กระทู้ใน เว็บพลังจิตมาเถียงอ่ะครับ..

 

+++ "ศาสนาพุทธ ไม่ใช่เรื่องถูกใจ แต่มันเป็นเรื่อง ถูกต้อง" ไม่งั้นมันจะกลายเป็น "ศาสนาแห่งความเพี้ยน" ไปหมด

ชอบประโยคนี้จัง.....

 

+++ อีกประการหนึ่ง "เขียนโดย จีร ปราชญ์" ซึ่งมันก็คือ Jera นั่นแหละ
+++ ดังนั้น "คนที่ไม่พอใจ" จะเป็นใครซะอีกล่ะ เถียง-แถ ไปเรื่อย ๆ
+++ ไอ้ "หน้าส้นตีน" ตัวไหนล่ะ ที่บอกว่า

+++ ก็ตัวมันเอง "ยังไม่รู้จัก ฌาน 3" เอาเลย แถมยัง "เสือก" มาแสดง "ธรรมบิดเบือน" ที่นี่ซะอีก

+++ ดังนั้น "ทุกอย่าง มันชัดเจนอยู่ในตัวมันเอง อยู่แล้ว"

+++ มิน่าเล่า ทำไมกระทู้นี้จึงเป็น "หมาขี้ ไม่มีใคร ยกหาง"

+++ "แถ" อย่างเดียวยังไม่พอ ยัง "อ้าง" คนอื่นมาอีก

+++ ก็มันนั่นแหละ Jera = จีร ปราชญ์ (น่าอนาถจริง ๆ ว่ะ) ทุเรศสิ้นดี

 

กว่าจะรู้นะครับ อุตสาห์ เปลี่ยนชื่อให้เป็นที่สังเกตุเเล้ว...
เเหมๆ นึกว่าจะมี ความรอบรู้ อย่างที่ตัวเองอ้างซะอีก..
เเล้ว ใครเอามาเเสดงที่นี่หว่า ผมก็เขียนในเว็บของผม..
ใครอยากอ่านก็เข้ามาอ่าน ...หืมๆ
สำนวนเหมือน คนที่เขียนหนังสือ ล้างสต๊อกเลยอ่ะครับ

 

ที่นี้ พอเข้าถึงฌานที่ 3 จะรู้สึกว่าทางกายมันเครียด

กล่าวเองเออเอง แล้วก็มาแอบอ้างว่าเป็นคำกล่าวของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ

นาทีที่ 11.53 ถึง 12.05 12 วินาทีคงไม่ยาวเกินไป
อย่าไปตั้งหน้าตั้งตาว่าเรานั้นต้องการได้ฌาณนั้นเราต้องการทรงฌาณนี้
มันจะเกิดอารมณ์กลุ้ม ถ้าอารมณ์กลุ้มนั้นมันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นการตัดความดีทั้งหมด

 

ไม่พูดเยอะครับ ...เเต่ที่รู้ๆ ในหนังสือกรรมฐานของหลวงพ่อปานก็อธิบายไว้เเบบนี้ >> ลิงค์

 

หึหึ...ผ่านมาดูพวกหูหนวกกับตาบอด มันทะเลาะกัน
คนนึงกูเห็นมาแบบนี้ เลยไม่ฟังใคร (หูหนวก)
อีกคนกูฟังมาแบบนี้ ใครไม่เหมือนกูมันผิด (ตาบอด)

 

จะว่ามาช้วย ชี้แจงเพื่อยกความดีให้ในเรื่องที่ท่านอาจารย์ธรรมชาติกล่าว ก็ไม่ใช่
จะว่ามาช้วยแก้ต่าง ให้หลวงพ่อฤษีลิงดำ ก็ไม่ใช่

นิสัย ดิสเครดิต ผู้อื่นแต่มาแสดงตัวให้ตัวเองดูดี นี้ตัวใครตัวมันนะ

เก่งกาจเหลือเกินรู้ด้วยว่าผู้ที่ถกกันอยู่เป็นพวก หูหนวก และ ตาบอด ฮ่าๆๆๆ

 

อีกคนมากูไม่รู้กูไม่เกี่ยว กูจะหล่อ(พลิกลิ้น)
นี่คนหรือตัว...กันละเนี่ย?

ไหนครับคุณปฐมรังสี มาโชว์ตัวหล่อขนาดนี้ ก็แสดงธรรมเสียหน่อยสิครับ เพราะที่เขาถกกันอยู่ว่าธรรมของใครใช่จริงและมโนมานะครับ คนที่ไม่ยุ่งตูยุแยงอย่างเดียวนี่มันอะไรกันละเนี่ย

มีคำแนะนำนะครับ ดื่มวีต้าแล้วไปนอนซะจะเป็นผลดีกับชีวิตมากกว่าครับ ด้วยความเป็นห่วงครับ

 

ไอ้คนจำพวก! บอก “ปิด ตา หู จมูก” มันก็ไม่รู้ หอกอะไรหรอก เพราะมันยังมืดบอด จมปลักกับตัวเองอยู่ ทั้งที่มันก็ปิดตัวมันเอง! ยังสาระแน มาเที่ยวบอกคนอื่น “ปิด ตา หู จมูก” สมควรอย่างยิ่ง! มันต้องพิจรณา ตัวมันเอง ก่อนเป็นที่สุด!