คลังเรื่องเด่น
-
ความมีขึ้นแห่งภพ
( นัยที่ ๑ )
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระผูมี้พระภาคเจ้า กล่าวอยู่ว่า.....‘ภพ–ภพ’ ดังนี้ ภพ ย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า
อานนท์ ! ถ้ากรรมมีกามธาตุ เป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ กามภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
หามิได้ พระเจ้าข้า !
อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช
ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช
วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วย
ธาตุชั้นทราม (กามธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
อานนท์ ! ถ้ากรรมมีรูปธาตุ เป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ รูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
หามิได้ พระเจ้าข้า !
อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช
วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
อานนท์ ! ถ้ากรรมมีอรูปธาตุ เป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
หามิได้ พระเจ้าข้า !... -
นิพพานชาตินี้ หรือ รออีก ๓๐๐ ปีทิพย์
*** นิพพานชาตินี้ หรือ รออีก ๓๐๐ ปีทิพย์ ***
"...และเวลานี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทท่านใดมีความปรารถนานิพพานไว้เป็นเบื้องหน้า แม้จะตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาก็ตาม เป็นพรหมก็ตาม มีหวังพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ก็เพราะว่าในศาสนานี้ยังมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกองค์ หนึ่ง มีนามว่า “ พระศรีอาริยเมตไตรย ” จะตรัสไม่นานนัก สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก บนดาวดึงส์นี่เขามีเวลาอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ แต่ว่าท่านจะอยู่เพียง ๓๐๐ ปีทิพย์ ก็พบ พระศรีอาริย์ แล้ว เมื่อพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ฟังเทศน์เพียงจบเดียว คนที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ก็จะเป็นพระโสดาบัน ถ้าฟังเทศน์เพียงครั้งที่ ๒ เทวดานางฟ้าพวกนั้น ก็จะเป็นพระอรหันต์ ต่อไปเป็นอันว่า ขณะใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงเทศน์จบ เทวดากับนางฟ้าและพรหมเป็นพระอริยเจ้ามากกว่ามนุษย์"
----------------------------------------------
ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๒๖
ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑
หน้า ๓๒-๔๒
********************************************************... -
ปากกาครู วิชาเอก สุดยอดวิชาของหลวงปู่หงษ์
"ปากกาครู วิชาเอก สุดยอดวิชาของหลวงปู่หงษ์"
คราวหนึ่งหลวงปู่เล่าให้ฟังถึงวัยเด็กเมื่อครั้งเป็นเด็กชายหงษ์ อายุประมาณ 14 ปี ท่านได้พบฤาษีนิรนามรูปหนึ่งโดยทางฝัน เมื่อท่านย้ำว่าฝัน ผมกลับนึกถึงคำพูดของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่เล่าถึงวัยเด็กเมื่อบรรพชาเป็นสามเณร อายุได้ 14 ปี จิตของท่านดิ่งลงรวมเป็นสมาธิ เข้าใจไปว่าหลับสนิททั้งที่มีความสว่างปรากฏในจิต
กรณีหลวง ปู่หงษ์ก็ดังนั้น ผมคิดเอาว่าจิตท่านคงสงบเป็นสมาธิระดับหนึ่ง เมื่อใจว่าง ฤาษีก็เข้ามาหาด้วยบุพพกรรมที่ผูกพันกันมา ฤาษีรูปนั้นสอนวิธีการทำวัตถุมงคลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นของหาได้ง่ายในโลก แต่ไม่ปรากฏว่าใครที่ไหนในโลกทำกันนั่นคือ ‘ปากกา’
ปากกา ธรรมดานี้แหละเอามาลงพระคาถาสำคัญ และเสกด้วยพระเวทเฉพาะบท ซึ่งฤาษีรูปนั้นสอนหลวงปู่โดยทางนิมิตไว้อย่างครบถ้วน อธิบายถ่ายทอดให้ฟังละเอียด แม้ครั้งนั้นครั้งเดียวหลวงปู่ในวัยเด็กกลับจำได้หมดสิ้นน่าอัศจรรย์ ก่อนพระฤาษีจากไปย้ำเด็กชายหงษ์ถึงวิชาลี้ลับนี้ว่า ห้ามถ่ายทอดใคร ห้ามสอนใครทั้งสิ้น ปล่อยวิชานี้ตายไปกับตัวดุจดัง ‘ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป’ ของพ่อท่านนอง ธัมมภูโต... -
จิตของผู้มีบุญ : หลวงตาพระมหาบัว
๑. ไม่บ่น
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นปัญญา ทำให้ยอมรับต่อความเป็นจริงของชีวิต ทำให้รู้เห็นและเข้าใจถึงระดับวาสนาของตนและบุคคลอื่น
๒. ไม่กลัว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความเข้มแข็ง กล้าหาญ ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค
๓. ไม่ทำชั่ว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นตัวควบคุม ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดความกลัว ความละอายต่อบาป ต่อกรรม
๔. ไม่คิดมาก
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความสะอาด ความสว่าง ความสงบ
๕. รอได้ คอยได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความใจเย็น มีความยืดหยุ่น
๖. อดได้ ทนได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นพลังงานเข้มแข็ง
๗. สงบได้ เย็นได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะเป็นสภาพให้เป็นคนที่สงบได้ เย็นได้
๘. ปล่อยได้ วางได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นคนที่รู้จักการละ การวาง
๙. รู้ได้ ตื่นได้ และเบิกบานได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแ ห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความรู้ตื่น
อ้างอิง :
โอวาทธรรม ขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน มหาเถระ
วัดป่าบ้านตาด... -
"ศีลข้อ ๔ มุสาวาท"
"ศีลข้อ ๔ มุสาวาท"
" .. ตามคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง "การโกหก เพื่อทำลายประโยชน์ของผู้อื่น" หรือว่า "เพื่อให้ผู้อื่นหายนะ"
ฉะนั้น "แม้การโกหกเพื่อทำให้ผู้อื่นสบายใจ ก็ยังเป็นการโกหก จึงมีโทษหรือบาป" แต่เนื่องจาก "มิใช่โกหก เพื่อทำลายผู้อื่น" จึงเป็นการโกหกไม่สมบูรณ์ หรือครบถ้วนตามลักษณะของการโกหก "จึงมีโทษน้อย" .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
ประวัติตักศิลาไสยเวทย์เขาอ้อ พระปิดตาพระอาจารย์ทองเฒ่า และ พระเครื่องเครื่องรางผู้สืบทอด
ประวัติศาสตร์ตักศิลาเขาอ้อ
พระปรมาจารย์ทองเฒ่า หรือ “พ่อท่านทองเฒ่า” ชาวบ้านนิยมเรียกว่า " พ่อท่านเขาอ้อ " เป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เชื่อกันว่าเป็นอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมทางไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป ตรงศรีษะของท่านมีเส้นผมสีขาวกระจุกหนึ่ง เล่ากันว่าไม่สามารถโกนหรือตัดให้ขาดได้
ในสมัยของ พระปรมาจารย์ทองเฒ่า สานุศิษย์ของท่านนิยมทำพิธีแช่ว่านยา กินเหนียว กินมัน กันมาก ราวสมัยรัชกาลที่ 5 พระอาจารย์ทองเฒ่า ได้รับแต่งตั้งดำรงสมณศักดิ์เป็น "พระครูสังฆวิจารณ์ฉัตรทันต์บรรพต” เป็นเจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ และเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ท่านได้ปรับปรุงวัดให้มีความเจริญขึ้นเป็นอันมาก และสอนสั่งศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยวิชาพุทธาคม ที่เข้มขลังด้วยการประพฤติตนไว้ในที่ชอบ ไม่เบียดเบียนตนเองและบุคคลอื่นให้ลำบากกายใจ นำวิชาไปใช้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก
พระปรมาจารย์ทองเฒ่า มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ รวมอายุได้ ๗๘ ปี
การสร้างวัตถุมงคล
พระปรมาจารย์ทองเฒ่า ได้จัดสร้างเครื่องรางของขลัง ประเภทตะกรุด... -
หลักวิธีฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ ของท่านพ่อลี ธมฺมธโร
.. หลักในการปฏิบัติ ก็มีดังนี้ คือ
๑. กำจัดอารมณ์ที่ชั่วออกจากจิตให้หมด
๒. ทำจิตให้อยู่ในอารมณ์ที่ดี
๓. อารมณ์ที่ดีต่างๆ ให้ต้อนเข้าไปรวมอยู่ในจุดอันเดียวที่เรียกว่า เอกัคคตารมณ์
๔. พิจารณาอารมณ์หนึ่งนั้นให้เป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคล ว่างเปล่า
๕. วางอารมณ์ที่ดีและอารมณ์ชั่วไปตามสภาพของอารมณ์ เพราะดีและชั่วย่อมอยู่ด้วยกัน มีสภาพเสมอกัน วางจิตไว้ตามสภาพของจิต รู้ไว้ตามสภาพแห่งรู้ รู้นั้น ไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักดับ นั้นแล คือ สันติธรรม
ดีก็รู้ ดีไม่ใช่รู้ รู้ไม่ใช่ดี ชั่วก็รู้ รู้ไม่ใช่ชั่ว ชั่วไม่ใช่รู้ คือ รู้ไม่ติดความรู้ รู้ไม่ติดสิ่งที่รู้ นั่นแหละคือธรรมชาติธาตุแท้อันบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนน้ำที่อยู่ในใบบัว ฉะนั้นจึงเรียกว่า อสังขตธาตุ เป็นธาตุแท้
เมื่อใครทำได้เช่นนี้ ก็จะเห็นของดีวิเศษเกิดขึ้นในใจแห่งตน จะเป็นกุศลวาสนาบารมีของท่านผู้ปฏิบัติในทางสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะได้ผล ๒ ประการดังกล่าวมา คือ โลกิยผลที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์อนามัยของร่างกายแห่งท่านและคนอื่นๆทั่วไปในสากลโลกนี้ประการหนึ่ง ประการที่ ๒... -
กรรม...ที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉาน จำพวกมีหญ้าเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น ย่อมใช้ฟันแทะเล็ม กินหญ้าสด ก็เหล่าสัตว์เดรัจฉาน จำพวกมีหญ้าเป็นภักษาคืออะไร ?
คือ ม้า โค ลา แพะ เนื้อ หรือแม้จำพวกอื่นๆ ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีหญ้าเป็นภักษา.
ภิกษุทั้งหลาย ! ในเบื้องต้น คนพาลนั้น...นั่นแล เป็นผู้กินอาหาร ด้วยความติดใจในรส และทำกรรมอันเป็นบาปไว้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย ของสัตว์จำพวก
ที่มีหญ้าเป็นภักษาเหล่านั้น.
.....................................................................................................................................
ภิกษุทั้งหลาย ! มีเหล่าสัตว์เดรัจฉาน จำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น ได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ แล้ว ย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้
เปรียบเหมือนพวกพราหมณ์ เดินไปตามกลิ่นเครื่องบูชา ด้วยตั้งใจว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้ ฉันใด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันนั้น เหมือนกันแล มีเหล่าสัตว์เดรัจฉาน จำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น ได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ แล้ว ย่อมวิ่งไป ด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้... -
นั่งสมาธิแล้วขาชาควรเปลี่ยนท่าได้มั้ยคะ
รบกวนสอบถามค่ะ ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วขาชาถึงสะโพก จนเรารู้สึกกลัวว่าเลือดจะไม่ไปเลี้ยงช่วงขา เราสามารถประคองจิตนิ่งๆ หลับตาเหมือนเดิมแล้วค่อยๆขยับเปลี่ยนท่าเป็นพับเพียบจนขาหายชาแล้วค่อยๆเคลื่อนขากลับมาท่าเดิมได้มั้ยคะ รู้สึกว่าพอมันชานานๆแล้วจิตเราไปกังวลอยู่ตรงนั้น หรือเราปล่อยให้ชาไปเรื่อยๆจนทนไม่ไหวเองคะ แต่ตรงจุดนี้ทำให้นั่งสมาธิไม่ไปถึงไหนเลยค่ะ รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ -
แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตา!! เผยโฉมหน้าฝรั่ง 4 คนแรกของโลกที่บวชอุทิศชีวิตให้พุทธศาสนา...จนกลายมาเป็นผู้บุกเบิกตำนาน "พระฝรั่ง"!!
แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตา!! เผยโฉมหน้าฝรั่ง 4 คนแรกของโลกที่บวชอุทิศชีวิตให้พุทธศาสนา...จนกลายมาเป็นผู้บุกเบิกตำนาน "พระฝรั่ง"!!
การศึกษาพุทธศาสนาในโลกตะวันตกเริ่มขึ้นในยุคต้น ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ แต่พุทธศาสนาตามความเข้าใจของชาวตะวันตกในตอนนั้นยังพร่ามัวอยู่มาก และส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักพุทธศาสนาแบบมหายานมากกว่าพุทธศาสนาแบบเถรวาท ส่วนพุทธศาสนาแบบเถรวาทนั้นก็เพิ่งได้รับความสนใจและมีการศึกษาอย่างจริงจังเมื่อประมาณร้อยกว่าปีมานี้เอง
แรกเริ่มเดิมที การศึกษาพุทธศาสนาของโลกตะวันตกเป็นการศึกษาที่จำกัดอยู่ในแวดวงของชาวตะวันตกที่มีความสนใจร่วมกันเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาจึงได้เข้ามาศึกษาพุทธศาสนากันอย่างจริงจังในดินแดนที่เป็นถิ่นของพุทธศาสนาโดยตรง เช่น ลังกา พม่า ไทย
เมื่อการศึกษาพุทธศาสนาในหมู่ชาวตะวันตกเป็นไปอย่างแพร่หลายก็ทำให้ชาวตะวันตกบางคนเกิดความศรัทธามากขึ้นจนสามารถสละโลกแล้วเข้ามาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ทำให้เราทราบว่า ชาวตะวันตกคนแรกที่บวชเป็นพระในพุทธศาสนานั้นคือชายชาวอังกฤษที่ชื่อ “กอร์ดอน... -
"พุทธธรรม" หนังสือธรรมะที่พระไพศาลยกย่องว่าดีที่สุด!!
"พุทธธรรม" หนังสือธรรมะที่พระไพศาลยกย่องว่าดีที่สุด!!
“พระไพศาล วิสาโล” คือพระนักคิดและนักเขียน หนังสืออันเป็นผลงานการเขียนของท่านนั้นมีมากมายกว่าร้อยเล่ม ทั้งในนามของพระไพศาล วิสาโล และในนามปากกาอื่น ๆ แต่ในฐานะนักอ่าน มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ท่านยกย่องมากถึงขนาดว่า ถ้ามีหนังสือเพียงเล่มเดียวที่สามารถนำติดตัวไปได้ในชีวิต หนังสือเล่มที่ท่านเลือกก็คือ “พุทธธรรม” ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
พระไพศาลเล่าถึงหนังสือ “พุทธธรรม” ว่า
“หนังสือเล่มนี้อาตมาอ่านจบช่วงเข้าพรรษาสมัยที่เป็นฆราวาสเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ตั้งใจว่าจะอ่านให้ได้วันละสิบหน้าก็อ่านได้ทุกวัน พรรษาหนึ่งประมาณเก้าสิบกว่าวัน หนังสือมีความหนาประมาณพันกว่าหน้า อ่านตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายก็พอดี เป็นการฝึกความเพียรและวินัยด้วย บางทีเราเดินทางไปต่างจังหวัด ก่อนหน้านั้นวันหนึ่งจะต้องอ่านเพิ่มอีกสิบหน้าเพื่อชดเชยกับวันที่ต้องเดินทาง”
นอกจากความเพียรในการอ่านแล้ว ช่วงนั้นพระไพศาลซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยยังได้รับความเมตตาจากพระราชวรมุนี (สมณศักดิ์ในขณะนั้นของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)... -
"จิตใจมันวุ่นวายมาก"
"จิตใจมันวุ่นวายมาก"
" .. ถ้าหากว่าจิตใจมันวุ่นวายมาก "ก็ตั้งสติขึ้น สูดลมเข้าให้มันมากจนไม่มีที่เก็บ แล้วก็ปล่อยให้มันหมดจนกว่าที่มันไม่มีในนี้แล้ว" ก็หายใจเข้ามาอีก "สูดให้มันเต็มที่ แล้วก็ปล่อยไปสามครั้ง" ตั้งจิตใหม่มีความสงบขึ้น
ถ้ามีอารมณ์วุ่นวายอีก "ก็ทำอย่างนี้อีกทุกครั้ง" จะเดินจงกรมก็ตาม จะนั่งสมาธิก็ตาม "ถ้าเดินจงกรมมันวุ่นวายมากก็หยุดนิ่ง" กำหนดให้ลงในที่สงบ "ตั้งใหม่ให้รู้ จิตจึงจะเกาะ" แล้วก็เดินต่อไป
"นั่งสมาธิก็เหมือนกันอย่างนั้น เดินจงกรมก็เหมือนกันอย่างนั้น" มันต่างกันแต่อิริยาบถนั่งกับอิริยาบถเดิน เท่านั้น .. "
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
จิตเดิมประภัสสร คือ อวิชชา เป็นจิตดั้งเดิมแห่งวัฏฏะ
"จิตเดิมประภัสสร คือ อวิชชา เป็นจิตดั้งเดิมแห่งวัฏฏะ"
(คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
“จิตดั้งเดิม” หมายถึง จิตดั้งเดิมแห่ง “วัฏฏะ” ของจิตที่เป็นอยู่นี่ ซึ่งหมุนไปเวียนมา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในหลักธรรมว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมแท้ผ่องใส” นั่น! “แต่อาศัยความคละเคล้าของกิเลสหรือกิเลสจรมา จึงทำให้จิตเศร้าหมอง” ท่านว่า
“จิตเดิมแท้” นั้นหมายถึง เดิมแท้ของสมมุติต่างหาก ไม่ได้หมายถึงความเดิมแท้ของความบริสุทธิ์ เวลาท่านแยกออกมา “ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ภิกฺขเว” “ปภสฺสร” หมายถึง ประภัสสร คือความผ่องใส ไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์ นี่หลักเกณฑ์ของท่านพูดถูกต้องหาที่แย้งไม่ได้เลย ถ้าว่าจิตเดิมเป็นจิตที่บริสุทธิ์นั้นจะมีที่ค้านกันว่า “ถ้าบริสุทธิ์แล้วมาเกิดทำไม?” นั่น แน่ะ!
ท่านผู้ชำระจิตบริสุทธิ์แล้วท่านไม่ได้มาเกิดอีก ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วชำระกันทำไม มันมีที่แย้งกันตรงนี้ จะชำระเพื่ออะไร? ถ้าจิตผ่องใสก็ชำระ เพราะความผ่องใสนั้นแลคือตัว “อวิชชา” แท้ไม่ใช่อื่นใด ผู้ปฏิบัติจะทราบประจักษ์ใจของตนในขณะที่จิตได้ผ่านจากความผ่องใสนี้ไปแล้วเข้าถึง “วิมุตติจิต” ความผ่องใสนี้จะไม่ปรากฏตัวเลย... -
ทางเกิดของปัญญา : พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
.. ถ้าหากเรายังยึดติดอยู่ในโลกธรรมแปด เราก็ละไม่ได้ มันก็ยังติดอยู่ พระอริยเจ้าท่านรู้แจ้งเห็นจริงท่านก็หลุดไปได้ละไปได้ ไม่รู้ว่าท่านจะมีความสุขแค่ไหนพระอริยเจ้าทั้งหลาย พระพุทธองค์ เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อพระพุทธองค์รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็ได้ตรัสเทศนาสั่งสอน ภิกขุโณ ภิกขุณี พุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องอย่างนี้ก็มีผู้รู้ผู้เห็นตามที่พระองค์สั่งสอน ก็บรรลุธรรมไปได้มากมาย ในสมัยครั้งพุทธกาล
.. ครูบาอาจารย์ท่านบวชสืบศาสนามาจนมาถึงพวกเราปัจจุบัน ก็มีครูบาอาจารย์หลายท่านรู้แจ้งเห็นจริงละปล่อยวางพ้นทุกข์ไปได้ ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ที่ท่านพ้นทุกข์ไปก่อนพวกเรา พวกเรานี้ก็ยังล้มลุกคลุกคลานกันอยู่ในการบำเพ็ญนี้ไม่รู้กี่ชาติ จนมาถึงขนาดนี้ก็คงทำความดีมาหลายชาติบ้างล่ะ เราก็ได้ปลื้มใจว่าเราได้ติดตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ปล่อยปละละเลยในชีวิตของตน ไปอยู่ที่ไหนบ้านใดเมืองใดตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่เห็นแก่หลับแก่นอน ปลุกตนเองให้ชื่นอยู่ ตลอดเพราะต้องการพ้นทุกข์ มันเป็นเรื่องของตนเอง จะให้คนอื่นไปปลุกเราทำไม เราต้องปลุกตนเองและคุมตนเอง... -
ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว "ครูบาชัยยะวงศา"สอนวิธีทำบุญ ทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก!
ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว
"ครูบาชัยยะวงศา"สอนวิธีทำบุญ ทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก!
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจาก “ครูบาวงศ์ หรือครูบาชัยยะวงศา” พระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรม ครูบาวงศ์ หรือท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน
ครูบาวงศ์ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่ขอเมตตามาเล่าให้กำลังใจกันในวันนี้ชื่อเรื่องว่า
“ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว “
ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ เมื่อคิดอย่างนั้น ผู้เป็นผัวจึง ชวน... -
"ชนะแบบไหนไหนแม้ชนะสงครามโลก ก็ยังสู้ชนะในแบบหลวงตามหาบัวไม่ได้" ชนะอะไรที่ท่านบอกเป็นการชนะที่ประเสริฐสุด สาธุ!!!
"ชนะแบบไหนไหนแม้ชนะสงครามโลก ก็ยังสู้ชนะในแบบหลวงตามหาบัวไม่ได้" ชนะอะไรที่ท่านบอกเป็นการชนะที่ประเสริฐสุด สาธุ!!!
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด เรื่อง"ปลุกใจสู้กิเลส"
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙ โดยหลวงตาได้กล่าวว่า
"การชนะสงครามที่คูณด้วยล้าน ถึงขนาดนั้น ล้วนแต่เป็นการก่อเวรทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นของดีเลย การชนะตนนี่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุด”
ชนะตนหมายถึงอะไร? ก็หมายถึงชนะสิ่งที่ตัวเราเคยแพ้มาอยู่ภายในใจของเรานี้แล เราแพ้อะไรบ้าง เราทราบเราเองเรื่องอย่างนี้ กิเลสทั้งหมดไม่ว่าแง่ใด ลูกมันเราก็แพ้ หลานมันเราก็แพ้ เหลนมันเราก็แพ้ พ่อแม่ของมันเราก็แพ้ ปู่ย่าตายายของมัน เราก็แพ้ เราแพ้เสียทั้งหมด แพ้อย่างหลุดลุ่ยยังงี้ อะไรๆ ของมันแพ้หมด ถ้าสมมุติว่ามันมีมูตรคูถเหมือนอย่างคนเราธรรมดานี้ มูตรคูถของมันเราก็แพ้อีก แต่นี่มันไม่มี ก็มีแต่ “ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง” ว่าไปยังงั้นเสีย เราแพ้มันแล้วทั้งนั้นนี่
ความแพ้นี่มันเป็นของดีหรือ? อยู่กับผู้ใดไม่มีดีเลย คำว่า “แพ้” นั่งอยู่ก็แพ้ นอนอยู่ก็แพ้ ยืนอยู่ก็แพ้ เดินอยู่ก็แพ้... -
"คาถาดับไฟนรก"
"คาถาดับไฟนรก"
" .. เอ้า .. ใช้คาถาดับไฟนรก เสกคาถาดับเลย "เอาพุทโธ พุทโธ นี่แหละดับ" เราเสกคาถาพุทโธ บริกรรมเท่านั้นแหละ "ความวุ่นวายเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ หายหมด"
"ตั้งสติคุมจิตใจให้แน่วแน่ เอาเฉพาะ พุทโธอันเดียว" ส่งออกไปข้างหน้าข้างหลังก็ไม่มี "ทั้งคิดนึกโน่นนี่ก็ไม่มี ให้ใจอยู่เป็นกลาง" ไม่กระทบกระเทือนอะไรทั้งหมด
เราเกิดขึ้นมาในโลกมันต้องทำตัวเป็นกลาง "ถ้าไม่เป็นกลางไม่เหนือโลก ไม่พ้นจากโลกไปได้" ต้องมีทุกข์อยู่อย่างนั้นร่ำไป "ใจที่เป็นกลาง ๆ แล้วจะมีอะไรกระทบกระเทือนอีก" ขอให้รักษาความเป็นกลางนั้นไว้ให้มั่นคงเถอะ "ไฟนรกต้องดับลง ณ ที่นั่นแหละ"
ลองคิดดู "โกรธ มันต้องเพ่งคนโน้น คนนี้ สิ่งโน้นสิ่งนี้" มันไม่เป็นกลาง เพ่งอดีตเพ่งอนาคต มันไม่เป็นกลาง "ความเป็นกลางไม่มีอะไร ถูกต้อง อยู่คงที่"
"พุทโธ ตั้งมั่นในคำบริกรรมแล้ว กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายดับไปหมด" ถึงหากไม่ดับสนิทตลอดเวลา "ก็ดับขณะนั้นก็เอาล่ะ" ให้ดับได้เสียก่อนขณะนั้น "ถ้าหากดับนาน ๆ หลายครั้งหลายหนเข้า หรือดับบ่อย ๆ เข้า ก็อาจสามารถจะดับสนิทได้เลย" อย่าเพิ่งดับมันทีเดียวก่อนเลย .. "... -
ทำบุญด้วยอะไรจึง มีอำนาจมาก และอานิสงส์ของการทำบุญในแบบต่าง ๆ
ทำบุญด้วยอะไรจึง มีอำนาจมาก และอานิสงส์ของการทำบุญในแบบต่าง ๆ
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง มีอำนาจมาก
ตอบ : ถวายพระพุทธรูป สร้างพระพุทธรูป
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง เป็นมหาเศรษฐี
ตอบ : ถวายสังฆทาน ทำบุญงานกฐิน
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง มีอาวุธเทพประจำกาย
ตอบ : ถวายเครื่องมือช่าง เครื่องมือสำหรับก่อสร้างให้แก่วัด
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง จึงมีปัญญามาก อัจฉริยะ
ตอบ : ถวายพระไตรปิฏก หรือ ให้หนังสือเรียน หนังสืออื่น ๆ ที่ให้ความรู้ แต่ที่มีผลมากที่สุดก็ถวายพระไตรปิฏก ถวายไปแล้วบุญมาตรฐานเราก็ได้อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีคนมาใช้ของเราด้วยบุญก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนมาใช้ของเราที่เราถวายไป เพราะบุญมาตรฐานเราได้อยู่แล้ว
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง เป็นคนสวยคนหล่อ
ตอบ : สร้างพระพุทธรูป ถวายพระพุทธรูป มีจิตใจที่เมตตาเสมอ
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง มีบริวารมาก
ตอบ : ชักชวนคนอื่น ๆ ให้มาทำบุญ บอกบุญคนอื่น ๆ
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง ได้คู่ครองที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว
ตอบ : ถวายดอกไม้สดแก่พระภิกษุ
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง มีอิทธิฤทธิ์มาก
ตอบ : ฝึกกสิณ 10 ให้ได้ฌาน 4 ทั้งหมด
ถาม : ทำบุญด้วยอะไรจึง... -
เคล็ดบูชาพระสังกัจจายน์ให้มีโชคลาภร่ำรวย (ตำรับหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม)
เคล็ดบูชาพระสังกัจจายน์ให้มีโชคลาภร่ำรวย (ตำรับหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม)
ชาวพุทธกราบไหว้สักการบูชาพระสังกัจจายน์เพื่อให้บังเกิดความเป็นสิริมงคล 3 ประการแก่ตนเองและครอบครัว ดังนี้
1. โชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ พระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ และลาภสักการะเสมอด้วยพระสิวลี รูปลักษร์ท่านแสดงถึงความมีลาภพูนทวี
2. สติปัญญา เนื่องเพราะพระสังกัจจายน์ได้รับการยกย่องจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศในทางอธิบายความพุทธภาษิต ท่านเป็นอรหันต์ผู้มีปฎิภาณเฉียบแหลม
3. ความงามและความมีเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยม เนื่องจากเพราะก่อนที่ท่านจะอธิษฐานจิตให้รูปร่างเปลี่ยนแปลง พระสังกัจจายน์มีผิวดั่งทองคำและมีรูปงามละม้ายเหมือนพระพุทธเจ้า จนแม้แต่เทพยดา พรหม มนุษย์ทั้งปวงพากันรักใคร่ชื่นชม เคล็ดการบูชา
ในการบูชาพระสังกัจจายน์นั้นบูชาด้วยธูป 3 ดอก พร้อมดอกไม้สีขาวมีกลิ่นหอมต่างๆ หรือดอกบัว๗ดอก มิว่าจะบูชาด้วยดอกใดให้ใช้ 7 ดอก และควรบูชาสองเวลาคือเช้าก่อนไปทำงานและเย็นก่อนนอน เพื่อขอให้ท่านประสาทพรโชคลาภพูนทวี... -
"อย่าขยันทำแต่บาป"
"อย่าขยันทำแต่บาป"
" .. เราอย่าหมั่นขยันแต่ทำบาป "ให้ขยันแต่ทำดี ทำความบริสุทธิ์ ทำบุญทำกุศลนี้" ให้หมั่นทางนี้ "บาปด่ากัน บาปมันขึ้นมาหน้าแดง เรานี้เฮ็ด(ทำ)บาป คือขยันแท้ ไปขยันใส่บาป"
ครั้นรู้จักว่า บาปก็บ่ขยันแล้ว "จึงว่าให้กลัวบาป คำเถียงกันด่ากัน ทะเลาะวิวาทเบียดเบียนกัน เป็นบาป" อย่าไปขันใส่มัน ให้หลีกไปไกล "ให้เอาใจเว้น อย่าเอาใจใส่" ครั้นเว้นแล้วมันก็บ่มีความเดือดร้อน
ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เราบ่ว่าใส่เขาดอก "เขาติฉินนินทา เขาก็ว่าใส่เขาเอง" ปากของเขาก็อยู่ที่เขา หูเขามันก็อยู่ที่เขา .. "
"อนาโยวาท" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
โดย อวย – ส่งศรี เกตุสิงห์ -
"กรรม ของคนที่ฆ่าตัวตาย" จะทำบุญอุทิศอย่างไร ถึงจะถึงคนที่ฆ่าตัวตาย? พระอาจารย์สุชาติ!!! มีคำตอบ
"กรรม ของคนที่ฆ่าตัวตาย" จะทำบุญอุทิศอย่างไร ถึงจะถึงคนที่ฆ่าตัวตาย? พระอาจารย์สุชาติ!!! มีคำตอบ
คนที่ฆ่าตัวตาย เป็นการก่อกรรมที่หนักมากในพุทธศาสนา กรรม ของคนที่ฆ่าตัวตายจึงเป็นกรรมที่ทำบุญให้ได้ยากแต่มีคำถามเกี่ยวกับการส่งผลบุญให้คนตายกันในหมู่คนเป็นมากดังมีคนถามพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี พระอาจารย์ได้ตอบคำถามน่าสนใจดังนี้
ถาม : จะทำบุญอุทิศอย่างไร ถึงจะถึงคนที่ฆ่าตัวตาย
พระอาจารย์ : คนฆ่าตัวตายคงไม่มีกระจิตกระใจที่จะมารอรับบุญของใคร เพราะเขาตายด้วยความเครียดแค้น ด้วยความทุกข์ พวกนี้ไม่ได้ไปเป็นเปรตนะ ไปตกนรก นรกก็เป็นเหมือนคุกตะราง เขาไม่ให้ใครเข้าไปเยี่ยม ไม่ให้ส่งของไปเยี่ยม จิตของเขาตอนนั้น มันมีแต่ความเครียดความโกรธ ไม่เหมือนกับพวกเปรต พวกเปรตนี้เป็นพวกหิว พวกทำอะไรด้วยความโลภ อยากได้มากๆ อยากได้เเต่ไม่อยากเสีย พวกนี้จึงไม่ชอบทำบุญ ไม่ชอบทำทาน เวลาเป็นมนุษย์นี่จะเสียดายเงินเสียดายทอง เพราะอยากจะได้เงินมากๆ และเวลาทำก็หามาด้วยวิธีถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ถ้าไปโกหกไปทำบาปเพื่อให้ได้เงินทองมา มันก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต ถ้าโลภแต่ยังไม่ทำบาป... -
แม่นจนน่าขนลุก!!! พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ เริ่มปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป!!
แม่นจนน่าขนลุก!!! พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ เริ่มปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป!!
พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)
ปี พ.ศ. 2560 คือ กึ่งพุทธกาล ครบ 2,500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
การใช้ พ.ศ. ของประเทศไทยคลาดเคลื่อน
1). The Cambridge and Oxford histories of India ยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน 483 ปีก่อน คริสตศักราช
ปีนี้ 2016 + 483 = ปี 2499
พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,499 ปี
พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2559 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี
The Cambridge and Oxford histories of India accept 483 B.C as the date of Buddha’s nirvana.
He was 80 years old when he died, so this puts his birth year at 563 BCE
2). ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บอกว่า การเรียก พ.ศ.ผิดนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตามชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่า พระเจ้าอโศกเสวยราชย์ ระหว่าง พ.ศ.214-255
ที่ทราบว่าผิดความจริง ก็เพราะพระองค์ส่งสมณทูตไปตามเมืองต่างๆ (กระทั่งสุวรรณภูมิ) เมืองเหล่านี้มีศักราชจดไว้แน่นอน เทียบศักราชดูแล้ว พบว่า... -
พระอาจารย์เล็กตอบเรื่อง "แค่ไหนถึงเรียกว่าอิจฉา ?"
พระอาจารย์ตอบเรื่อง "แค่ไหนถึงเรียกว่าอิจฉา ?"
ถาม : แค่ไหนถึงเรียกว่าอิจฉาคะ ?
ตอบ : ไม่พลอยยินดีกับเขาก็เป็นอิจฉาแล้ว หลุดจากมุทิตาเมื่อไรก็เป็นอิจฉาเมื่อนั้น ให้ดูในลักษณะว่าเราต้องทำให้ได้อย่างเขา ถ้าดูในลักษณะนั้นก็จะกลายเป็นตัวนำเราที่จะก้าวไปสู่ความเจริญ แล้วก็ประสบความสำเร็จ อิจฉาอย่างเดียวจะไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากใจเศร้าหมอง มีแต่จะพาไปอบายภูมิ..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม -
สาธุ!! น่าศรัทธายิ่งนัก “เจ้าอาวาส” เมืองอ่างทอง ปันอาหารที่ได้รับจากการบิณฑบาตแก่ผู้ยากไร้ ร่วม 10 ปี !!
สาธุ!! น่าศรัทธายิ่งนัก “เจ้าอาวาส” เมืองอ่างทอง ปันอาหารที่ได้รับจากการบิณฑบาตแก่ผู้ยากไร้ ร่วม 10 ปี !!
พระอภิชัย ปริปุณโณ (หลวงพี่เต้ ) อายุ 38 ปี เจ้าอาวาสวัด กล่าวว่า อาตมา นำอาหารคาวหวาน รวมทั้งสิ่งของ ที่ได้จากการทำบุญ ตักบาตร จากญาติโยม ในส่วนที่เหลือใช้ นำไปแจกจ่าย ให้กับ ผู้ยากไร้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เทศบาลศาลาแดง ได้ช่วยอำนวยความสะดวกส่งเจ้าหน้าที่ มารับ ข้าวปลาอาหารและนำไปแจกจ่าย ยังบ้านต่างๆ ที่ยากไร้ ซึ่งปัจจุบัน มีทั้งหมด ประมาณ 4 หลังคาเรือน ที่นำไปมอบให้ในทุกๆวัน ยกเว้นวันพระ ซึ่งอาตมา ปฏิบัติแบบนี้ มาประมาณ 10 ปีได้แล้ว
ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าให้ฟังว่า แนวความคิดนี้เริ่มมาจาก พระอภิชัย ปริปุณโณ เจ้าอาวาส วัด หรือที่รู้จักกันดี ในนามหลวงพี่เต้ ที่ท่านมีจิตใจเมตตา นำข้าวปลาอาหาร ของญาติโยม ที่ได้รับจากการบิณฑบาต ท่านจะนำ ไปให้กับผู้ยากไร้ หรือ ใครมาขอความช่วยเหลือท่านก็จะช่วยเหลือทุกครั้ง ซึ่งทำมาแล้วนานหลายปี
โดยเฉพาะช่วงเทศกาล วันสำคัญทางศาสนา หรืองานบุญใหญ่ ที่มีญาติโยมต่างนำข้าวปลาอาหารมาร่วมทำบุญที่วัด ท่านจะนำ ไปแบ่งมอบให้ ตามโรงเรียน และ เรือนจำ นำไปให้... -
พระอาจารย์เล็กสอนเรื่อง "เรื่องสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ"
ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น เรื่องสำคัญที่สุด ก็คือ สามารถใช้งานได้จริง งานจะหนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม ถ้ามีสติ..เราก็จะลำดับความ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของงานได้ งานไหนมาก่อนก็ทำงานนั้นก่อน งานที่มาทีหลัง แม้จะหลังเพียงนาทีเดียวเราก็ทำทีหลัง ถ้าอย่างนี้เราจะมีงานตรงหน้าครั้งละงานเดียว และไม่หนักเกินกำลังของเรา
อาตมาเองต้องไปแก้โครงร่างวิทยานิพนธ์ ที่อาจารย์ ๕ ท่านให้ความเห็นมา แล้วต้องส่งภายในวันที่ ๒๕ นี้ พรุ่งนี้ ๒๓ กฐิน แปลว่ามีเวลาวันที่ ๒๔ วันเดียว แต่..ตั้งวันที่ ๒๔ ..เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปเดือดร้อน..ทิ้งไว้ก่อน นี่คือการจัดลำดับงาน ก่อน หลัง เร็ว ช้า แล้วก็ทำสิ่งที่มาถึงก่อน เราจะมีงานอยู่ตรงหน้างานเดียวตลอดเวลา และไม่หนักเกินกำลังของเรา
โดยเฉพาะว่าเรื่องของการปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราอยากได้ดี แต่ว่าอยากไม่จริง ถ้าคนที่อยากได้ดีจริง ๆ ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ทุ่มเทขนาดไหน ? ก็ต้องขนาดที่คนรอบข้างลงความเห็นว่า “บ้าไปแล้ว” ขนาดนั้นบางทียังทุ่มไม่จริงเลย เพราะปากคนบางทีก็ชิงว่าไปก่อน เราต้องต่อสู้กับแรงกดดันสารพัดอย่างที่มารอบข้างเรา
แม้กระทั่งฝรั่งเขาก็ทำงานวิจัยว่า... -
หลวงพ่อ กับ หลวงปู่บุดดา เทศน์แจง 2 ธรรมมาสน์
หลวงพ่อฤาษี กับ หลวงปู่บุดดาเทศน์แจง 2 ธรรมมาสน์ โยมหอย 11 พฤศจิกายน 2524 (01)
prachak chaichan :- Published on Dec 26, 2014 -
"ใจนั้น ฝึกอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น"
"ใจนั้น ฝึกอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น"
" .. ความสุขอย่างยิ่งของเราทุกคน อยู่ที่ใจดวงนี้ "ใจเป็นสิ่งที่บังคับได้ด้วยการฝึก" สามารถฝึกให้อยู่ในอำนาจได้ "ใจนั้นฝึกอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น"
ฝึกให้เป็นใจที่ดี .. ก็จะเป็นใจที่ดี
ฝึกให้เป็นใจที่ร้าย .. ก็จะเป็นใจที่ร้าย
ฝึกให้เป็นใจที่สงบเย็น .. ก็จะเป็นใจที่สงบเย็น
ฝึกให้เป็นใจที่วุ่น .. ก็จะเป็นใจที่วุ่น
ฝึกให้เป็นใจที่สว่างด้วยปัญญา .. ก็จะเป็นใจที่สว่างด้วยปัญญา
ฝึกให้เป็นใจที่มืดด้วยไม่มีปัญญา .. ก็จะเป็นใจที่มืดด้วยไม่มีปัญญา .. "
"ใจฝึกได้ บังคับได้ ถ้าตั้งใจฝึกให้จริง"
ตน อันเป็นที่รักยิ่งของตน
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
เมื่อมีพระเถระมาถามหลวงปู่ดูลย์ว่า อยู่กับ “รู้” มีอาการเป็นเช่นไร? ลองมาดูสิว่าหลวงปู่ดูลย์จะตอบว่าอย่างไร
เมื่อมีพระเถระมาถามหลวงปู่ดูลย์ว่า อยู่กับ “รู้” มีอาการเป็นเช่นไร? ลองมาดูสิว่าหลวงปู่ดูลย์จะตอบว่าอย่างไร
จำได้ว่าเมื่อปี ๒๕๑๙ มีพระเถระ ๒ รูป เป็นพระฝ่ายวิปัสสนา กัมมัฏฐานจากทางอีสานเหนือ แวะไปกราบนมัสการหลวงปู่ แล้วสนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติ เป็นที่เกิดศรัทธาปสาทะและดื่มด่ำในรสพระธรรมอย่างยิ่ง ท่านเหล่านั้นกล่าวย้อนถึงคุณงามความดี ตลอดถึงภูมิธรรมของครูบาอาจารย์ ที่ตนเคยไปพำนักศึกษาปฏิบัติมาด้วยเป็นเวลานานว่า อาจารย์องค์นี้อยู่กับพรหมวิหารเป็นปกติ คนจึงนับถือท่านมาก หลวงปู่องค์นั้นอยู่กับอัปปมัญญาพรหมวิหาร ลูกศิษย์ของท่านจึงมากมายทั่วสารทิศไม่มีประมาณ ดังนี้เป็นต้น ท่านจึงมีแต่ความปลอดภัยจากอันตรายตลอดมาฯ
หลวงปู่กล่าวว่า
“เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยู่กับภูมิธรรมนั้นเถอะ เราอยู่กับ “รู้””
ครั้งเมื่อพระเถระทั้ง 2 รูปได้ฟังคำพูดของหลวงปู่ว่า หลวงปู่ท่านอยู่กับ “รู้” ต่างองค์ก็นิ่งสงบชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า อาการที่ว่าอยู่กับรู้ มีลักษณะเป็นอย่างไรฯ
หลวงปู่ตอบอธิบายว่า
“รู้ (อัญญา) เป็นปกติจิตที่ ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา... -
กราบสาธุ!! "หลวงปู่ครูบาบุญยัง" พระแท้กลางป่าใหญ่ อาศัยกุฏิไม้เรียบง่าย อายุยืนถึง ๑๐๙ ปี เผยเคยร่วมธุดงค์กับหลวงปู่แหวน และหลวงปู่ตื้อ!!
กราบสาธุ!! "หลวงปู่ครูบาบุญยัง" พระแท้กลางป่าใหญ่ อาศัยกุฏิไม้เรียบง่าย อายุยืนถึง ๑๐๙ ปี เผยเคยร่วมธุดงค์กับหลวงปู่แหวน และหลวงปู่ตื้อ!!
เมื่อวันที่๒๖ มีนาคมที่ผ่านมา ทาง พระมหาไกรพิทักษ์ จิตฺตีกาโร ได้เดินทางไปกราบไหว้หลวงปู่ครูบาบุญมีอายุตั้ง ๑๐๙ ปี ที่วัดบ้านหนองโค อำเภอแจ้โด่ง จังหวัดกอกะเร๊ ประเทศพม่าเเละกว่าจะดั้นด้นเข้าไปถึงได้กราบผู้เฒ่า สุดเเสนจะลำบากบุกป่าฝ่าดงเข้าไปและได้กราบสมใจตามความตั้งใจของตัวที่ตั้งไว้เเละยังกล่าวอีกว่า…
“กว่าจะดั้นด้นเข้าไปถึงได้กราบผู้เฒ่า สุดแสนจะลำบากบุกป่าฝ่าดงเข้าไปและได้กราบสมใจหลวงปู่ครูบาบุญยัง อายุ ๑๐๙ ปี วัดบ้านหนองโค อำเภอแจ้โด่ง จังหวัดกอกะเร๊ ประเทศพม่า หลวงปู่มีเชื้อสายบรรพบุรุษเป็นชาวเวียงจันทร์ประเทศลาวที่อพยพมาอยู่พม่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หลวงปู่เล่าประวัติการออกปฏิบัติกรรมฐานเดินธุดงค์อยู่รุกขมูลในป่าเขาปฏิบัติเอาเป็นเอาตายแลกเอาธรรม เคยเดินธุดงค์พบกันและสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน,หลวงปู่ตื้อ,หลวงปู่ครูบาพรหมจักร และครูบาอาจารย์สายกรรมฐานของประเทศไทยอีกหลายองค์ หลวงปู่เปรียบดังช้างเผือกที่เก็บตัวอยู่ในป่าเขาไม่ปรากฎตัว...
หน้า 379 ของ 413