คลังเรื่องเด่น
-
เคล็ดการสวดอุณหิสวิชัยคาถาต่อชะตา(ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)
วันนี้มีคนถามผมว่าหากไม่มีทุนทรัพย์มากพอจะไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ทำอย่างไร ผมก็เลยนึกถึงการสวดพระคาถาอุณฆิสวิชัยต่อชะตาขึ้นมาได้ แต่คงเป็นคนละฉบับๆแบบที่มีทั่วไป เพราะเป็นฉบับโบราณของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ขั้นตอนมีดังนี้
๑.ชำระกายให้สะอาดก่อนสวด
๒.ให้จัดหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่บูชาพระที่ห้เองพระหรือในบ้านให้เรียบร้อย จัดดอกไม้ใส่แจกัน และที่เชิงเทียนให้ปักเทียนสีผึ้งแท้หนักสองบาท ๑คู่ เตรียมธูปไว้ ๙ดอก
๓.ให้จุดธูปเทียน กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ตามปกติ แล้วสวดมนต์บทพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ บทชินบัญชร เมื่อสวดเสร็จให้ตั้ง นโมสามจบ กล่าวรำลึกถึงสมเด็จโตดังนี้
อิติปิ โส ภะคะวา ราชาโต ท้าวเวสสุวัณโณ พะละสุขัง พรหมรังสี นามะโต อะระหัง พุทธะโต นะโมพุทธายะ
คาถาอาราธนาพระสมเด็จ
โอม ศรี ศรี พรหมรังสี นามเต มหาเถรานุสโต นะเมตตัง
สุขัง อันตรายัง วินาสสันติ ภวันตุเม ฯ กราบสามที
แล้วตั้งนโมสามจบกล่าวดังนี้
คาถาอุณหิสวิชัย(ของเก่า)ได้จากสมุดสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
สัพพะ สัตตะ... -
การอธิษฐานจิตลงสู่พระเครื่อง......โดยหลวงพ่อกัสสปมุนี
ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า "พระเครื่องที่เราๆท่านๆนำมาเลี่ยมขึ้นคอนั้น เขามีวิธีกาปลุกเสกอย่างไรถึงได้มีพุทธคุณคุ้มครองได้" หลวงพ่อท่านจึงกรุณาเล่าให้ฟังประดับความรู้ว่า การเสกพระนั้นมีอยู่สองแบบ คือ แบบแรก ผู้เสกจะเสกด้วยคาถาอาคม มนตราต่างๆที่เรียนมา ประสิทธิลงในพระเครื่องนั้นๆ แบบนี้ถ้าผู้เสกเสื่อมฌาณไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม พระเครื่องนั้นก็มีอันเสื่อมไปด้วย แบบที่สอง ผู้เสกจะอธิษฐานจิตสู่พระเครื่องด้วยการเข้าฌาณอันพึงเกิดจากญาณสมาบัติที่ได้ มีการเข้าฌาณเดินหน้าถอยหลัง ซึ่งสุดวิสัยที่ข้าพเจ้าจะหยั่งถึงหรือจดจำได้ หลวงพ่อบอกอีกว่า การเสกแบบนี้จะไม่มีวันเสื่อมแล้ว นับวันพลังที่ได้รับการบรรจุลงในพระเครื่องนั้นจะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ และหลวงพ่อได้ยกตัวอย่างพระเครื่องที่ได้รับการอธิษฐานจิตแบบนี้ เช่น พระสมเด็จ ของสมเด็จพระพุทธาจารย์(โต) แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม หรือแม้แต่พระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆของหลวงพ่อกัสสปมุนีเอง ท่านก็ใช้วิธีอธิษฐานจิตแบบนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากจะพระสักองค์มาบูชาแทนสมเด็จวัดระฆังที่มีราคาสูงลิ่ว... -
"...หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เหาะไปบิณฑบาต..."
...เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พักภาวนาที่ถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
โดยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตพักภาวนาอยู่ในถ้ำข้างบน พวกพระก็กระจายกันอยู่ที่ต่ำลงมาและออกไปอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง อยู่ตามถ้ำผาปล่อง ถ้ำปากเปียง อยู่กระจายกันออกไป ทำตูบใครตูบมัน
โดยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวเพียงองค์เดียว ท่านพักภาวนาอยู่ข้างบนโดยท่านจะไม่ลงมาข้างล่างเลย เว้นระยะห่าง ๔ - ๕ วันจึงจะลงมาร่วมฉันกับพระลูกศิษย์หนึ่งครั้ง ที่นี้ก็มีเสียงลือว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านภาวนาโดยไม่ฉันอาหารตลอดเวลาที่อยู่ข้างบน พอลงมาจึงจะฉันเสียครั้งหนึ่ง เวลานั้นหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านยังหนุ่มยังแน่น ท่านมาพักภาวนาอยู่ที่นั่นด้วย หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านไม่เชื่อว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านอดข้าวในระหว่าง ๔ วัน ไม่ฉันข้าวไม่ลงมาร่วมฉันเลย
เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านไม่ลงมาติดต่อกันเป็นวันที่ ๕ แล้ว หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านก็เลยแอบขึ้นไปตั้งแต่ตี ๔ โน่น ไปดูหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านคลานขึ้นไปในถ้ำ ไปนอนลี้ (แอบ) อยู่หมอบลี้อยู่... -
อารมณ์จิตที่ต้องการ(เบื้องต้น)
#อารมณ์จิตที่ต้องการ#(เบื้องต้น)
หลับตาก็ดี ลืมตาก็ดี เอาจิตเข้าไปคุมอารมณ์ของศีลให้ปกติอย่างนี้ชื่อว่าเราเป็นผู้ทรงสมาธิ ในสีลานุสสติกรรมฐาน เป็นตัวสมาธิ ที่พระพุทธเจ้าต้องการ
สมาธิลืมตานี่น่ะ พระพุทธเจ้าต้องการ เราให้จิตมันคุมอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ขณะใดที่ยังมีความรู้สึกอยู่ ขณะนั้น จิตเราจะทรงศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ สติจะไม่ยอมปล่อยสิกขาบท
สัมปชัญญะจะรู้ตัว อาการที่แสดงมันออกทางกายและวาจา เพราะเป็นอารมณ์ของจิต อย่างนี้ชื่อว่าท่านมีสมาธิ ในสีลานุสสติกรรมฐานอย่างจริงจัง เมื่อจิตรักศีลเป็นปกติ ก็ชื่อว่า ท่านเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณาคมน์
คนที่เข้าถึงไตรสรณคมน์ คำว่าคนนี่ หมายถึง พระถึงเณรหมด ท่านที่เข้าถึงไตรสรณคมน์ ชาตินี้ จิตมั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ ชาตินี้เวลาที่ตายลงอบายภูมิไม่เป็น ถ้าเวลาตาย จิตอยู่ในไตรสรณาคมน์ ขั้นขณิกสมาธิ หรือ อุปจารสมาธิ ตายแล้วท่านเป็นเทวดาในชั้นกามาวจรสวรรค์
ถ้ากำลังใจของท่าน ตั้งมั่นอยู่ในศีลบริสุทธิ์ คิดว่าร่างกายจะตายก็ช่างมัน สิ่งที่เราต้องการก็คือศีลบริสุทธิ์ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌาน ก่อนจะตายจิตใจเป็นฌาน ตายแล้วท่านก็จะเป็นพรหม... -
อยู่ในกรอบของศีล ถูกมารชักจูงได้ยาก
✨ อยู่ในกรอบของศีล ถูกมารชักจูงได้ยาก ✨
มารอยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะจัดเอาไว้ว่า ✨ เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมมุนา วา ✨ เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา
ถาม : เขามีหน้าที่คอยขวาง ?
ตอบ : นั่นเป็นงานเขา เหมือนกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งานที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม
ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?
ตอบ : สร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเราได้ยาก แค่มีศีล ๕ ที่มั่นคงก็พอแล้ว
ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาลโทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขาทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคนรักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิด... -
พระองค์ที่ ๑๐ สอนเรื่องคนเราก็เหมือนดอกบัว
✨ พระองค์ที่ ๑๐ สอนเรื่อง คนเราก็เหมือนดอกบัว ✨
เรื่องดอกบัว พระองค์ที่ ๑๐ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "คนเราก็เหมือนกับดอกบัว เกิดขึ้นมาจากโคลนตม แล้วก็พยายามดิ้นรนจนพ้นน้ำ เมื่อเบ่งบานขึ้นมาก็กลายเป็นสิ่งที่เขานำไปบูชาพระ นำไปถวายพระ"
ท่านยังบอกต่อว่า "ลักษณะแบบนี้ก็เหมือนกับเราสร้างคุณค่าของตนเองให้มากขึ้น ให้มีความดีสูงขึ้น จนในที่สุดก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากรากเหง้าดั้งเดิมของตัวเอง ไปสู่จุดมุ่งหมายซึ่งดีที่สุดเท่าที่จะพึงมีได้"
คนเราก็เหมือนกับดอกบัว ๔ เหล่า
๑. ดอกบัวเหล่าแรก เปรียบเหมือนกับพวก ✨ "อุคติตัญญู" ✨ ฟังธรรมแต่ห้วข้อก็สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าสั่งสมปัญญาบารมีไว้มาก มีความเฉลียวฉลาดมาก เพราะฉะนั้น .. ท่านเปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะเบ่งบานทันทีที่กระทบกับแสงตะวัน
๒. ดอกบัวเหล่าที่ ๒ เปรียบบุคคลเป็น ✨ "วิปจิตัญญู" ✨ ท่านบอกว่าเหมือนดอกบัวที่ปริ่มน้ำ พร้อมที่จะโผล่ขึ้นมาเพื่อรับแสงอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้น บุคคลประเภทนี้ฟังธรรมแล้ว ขยายความเล็กน้อยก็เข้าใจ
๓. ดอกบัวเหล่าที่ ๓ ท่านบอกว่า เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่กลางน้ำ รอเวลาที่จะโผล่ขึ้นไปเบ่งบาน... -
"...ป่าหิมพานต์..."
"...ป่าหิมพานต์..."
“เมื่อขึ้นไปอยู่ริมน้ำแม่งัด บ้านช่อแล ได้ ๔-๕ ปี แต่อยู่บ้านแต วันหนึ่งนึกถึงตาผ้าขาวสุกว่า “เอ ตาเฒ่านี้จะไปเกิดที่ไหนแล้วหนอ เดี๋ยวนี้”
พอเรานึกได้เท่านั้น ก็มีเทวดา ๒ ตน ผู้ชายหนุ่มน้อยอายุ ๑๘-๑๙ ปี นั่งเครื่องยนต์รูปร่างคล้ายกับเรือสุพรรณหงส์มารับ
“นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าเถ๊อะ จะพาไปหาตาผ้าขาวสุก อยู่ป่าหิมพานต์”
“จะนานไหม จะได้เอาผ้าครองไปด้วย”
“ไม่นานหรอก ตี ๔ ก็กลับมาแล้วครับ”
“เอ้า...ไปก็ไป”
พอเราพูดอย่างนี้ กายก็นั่งอยู่ ใจก็เดินขึ้นยนต์สุพรรณหงส์ จากนั้นก็ลอยไปตามอากาศ ช้าก็ได้เร็วก็ได้เหมือนกับคนเขารับรถ แต่ยนต์นี้ไมต้องขับ ไปได้เองตามอานุภาพของบุญ ลอยไปผ่านไปแม่ฮ่องสอน เข้าเขตพม่า เลยพม่าเข้าแคชเมียร์เข้าเขตภูเขาหิมะ เครื่องยนต์นั้นก็ลอยต่ำลงสูงกว่าปลายไม้นิดหน่อย เมื่อเข้าใกล้ที่อยู่ของพ่อขาวสุกแล้วก็ลงจอดยนต์ไว้ เดินเท้าเข้าไป มีหมู่เทวดามาต้อนรับ แล้วเดินกันเป็นกระบวนไป ลึกเข้าไปอีกก็มีพวกสัตว์ป่าหิมพานต์ รูปร่างเป็นตัวสัตว์ต่างๆ มาต้อนรับ สัตว์ที่เหมือนกับในเมืองมนุษย์ก็มี เช่น หมูป่า กวาง เก้ง เสือ ช้าง หมี ๔ เท้า ๒ เท้า เลื้อยคลานมีหมด... -
พระคาถาที่เป็น"หัวใจ"ของสายวิชา"หลวงปู่หงษ์" ขอพรก็ได้ เจริญกรรมฐานก็ดี เพราะแต่ละบทมีความหมายอันลึกซื้งแฝงอยู่!
พระคาถาที่เป็น"หัวใจ"ของสายวิชา"หลวงปู่หงษ์" ขอพรก็ได้ เจริญกรรมฐานก็ดี เพราะแต่ละบทมีความหมายอันลึกซื้งแฝงอยู่!
พระคาถาหัวใจในสายวิชาหลวงปู่หงษ์
“นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ ปะจะขะ นะเมติ” หรือ
“นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะเมติ ปะจะขะ”
นี้เป็นพระคาถาที่เราคงคุ้นเคยกันดี เพราะมักจะมีกำกับบนวัตถุมงคลของหลวงปู่แทบทุกชิ้น เหตุเพราะว่า พระคาถานี้เป็นคาถาที่สามารถใช้ ท่องเพื่อปลุกเสกสิ่งของก็ได้ ใช้เพื่อเป็นอารมณ์กรรมฐานก็ได้ หรือใช้สำหรับการขอพรต่างๆก็ได้ หลวงปู่ท่านว่าดี 108 ประการ
ตัวคาถาแต่ละบทนั้นมีความสำคัญอยู่ อย่างเช่น “นะโมพุทธายะ”
นั้นก็คือการระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า, พระโคตมพุทธเจ้าและพระเมตไตยพุทธเจ้า เมื่อตั้งต้นด้วยพระพุทธคุณแล้วอะไรๆก็ดีทั้งหมด
“นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ”
นั้นเป็นบทที่ใช้เสกของป้องกันอาวุธ กันปืน กันระเบิดหรือกันภัยต่างๆ สามารถภาวนาเป็นพุทธานุสติกรรมฐานก็ได้ เพราะการระลึกถึงพระพุทธเจ้าย่อมเป็นบุญแน่นอน ภาวนาบ่อยๆดีนักแล
“ปะจะขะ”
นั้นเป็นบทที่ใช้สำหรับ ขอพร ขอโชคลาภ... -
สาธุ! พลังบารมี "หลวงปู่หมุน ฐีตสีโล" ที่ "หลวงปู่หงษ์"ถึงกับพูดว่าในพิธีปลุกเสกให้หลวงปู่หมุนปลุกเสกคนเดียวก็พอแล้ว!
สาธุ! พลังบารมี "หลวงปู่หมุน ฐีตสีโล" ที่ "หลวงปู่หงษ์"ถึงกับพูดว่าในพิธีปลุกเสกให้หลวงปู่หมุนปลุกเสกคนเดียวก็พอแล้ว!
หนึ่งในครูบาอาจารย์ผู้ทรงตบะบารมี และมีจริยวัตรอันงดงาม ซึ่งเป็น นั้น ได้แก่ พระปรมาจารย์ อมตะเถระ ๕ แผ่นดิน “หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล” ปัจจุบันพระเครื่องและเครื่องรางของขลังของท่านได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และแม้ว่าทท่านจะละสังขารไปหลายปีแล้วก็ตาม ปัจจุบันก็ยังมีลูกศิษย์ลูกหาที่หน้าใหม่ๆ ที่หันมาศรัทธา กราบไหว้ มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ทันได้พานพบกับหลวงปู่เลยในชีวิต แต่ความศรัทธานั้น เป็นสิ่งเชื่อมต่อครูบาอาจารย์อย่างดียิ่ง เมื่อศรัทธาขอบารมีหลวงปู่แล้ว หลวงปู่ท่านก็มีเมตตาช่วยเหลือจนปรากฏปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ต่างๆ มากมาย
เมื่อมกราคม ปี 2552 ทางวัดป่าหนองหล่มได้จัดพิธีหล่อพระแก้วมรกตจำลอง เพื่อเป็นพระประธานได้นิมนต์หลวงปู่หมุน หลวงปู่หงษ์และคณาจารย์แถบปราจีนมานั่งปรก ปรากฏว่า ขณะที่หลวงปู่หมุนนั่งสมาธิบริกรรมอยู่นั้น ทางหลวงปู่หงษ์ได้มาถึงบริเวณพิธีช้ากว่ากำหนด แต่ไม่ยอมขึ้นสู่ธรรมาสน์เพื่อปลุกเสก โดยบอกกับทางเจ้าภาพว่า... -
ประสบการณ์และผลที่ได้จากการนั่งสมาธิ
ประสบการณ์การนั่งสมาธิ การปฏิบัติของผม เนื้อหาแบ่งเป็นหลายช่วง ตั้งแต่เริ่มต้น คนธรรมดา จนถึงมีฌานสมผัสโลกทิพย์ ช่วยเหลือคน ภาษาที่ใช้อาจมีไม่สุภาพ ไม่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ในช่วงนั้น เนื้อหาทั้งหมดอาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากผ่านมานาน แต่เรื่องหลักทั้งหมดเกิดจากความจริงทั้งสิ้น การเล่าเรื่องเกิดขึ้นจากเทวดามาหาในสมาธิขอให้ข้าพเจ้าได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองขึ้น
เริ่มต้น ผมเกิดในครอบครัวฐานะที่มีปัญหาทางครอบครัว ทะเลาะกันเกือบทุกวัน เรื่องปัญหาหนี้สินและการใช้เงิน ผมทำทุกวิถีทางที่เป็นทางโลกเพื่อที่อยากให้บ้านสงบสุข หาเงินมาให้ไม่กี่วันหมด ทุกครั้งที่ยุ่งกับการเงินพ่อ แม่ ทำให้ทะเลาะกับพ่อ แม่ ทั้งสิ้น ไม่มีความสุข ผู้ใหญ่ไม่ฟังลูกสักนิด โดนเสมอว่า เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร แต่แล้วผมได้เหมือนเห็นแสงสว่าง เมื่อเจอธรรมมะที่ว่า “นั่งสมาธิเกิดปัญญา” ในเมื่อผมหาทางออกทางโลกไม่ได้ พยายามทุกวิถีทางจนเหนื่อย บางทีปัญญาผมอาจไม่ถึง ผมลองไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย ช่วงนั้นผมคงคิดประมาณแบบนี้ ผมจึงเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังขึ้น ผมดูลมหายใจ เมื่อย เหนื่อย ท้อ... -
ผู้รู้ต้องลงมือปฏิบัติ : พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี
ผู้ รู้ ต้ อ ง ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ
พระครูเกษมธรรมทัต (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรฺสี)
สำนักปฏิบัติกรรมฐาน วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา
การที่จะทำให้จิตใจมีความรู้
เป็นผู้เห็นแจ้ง เป็นผู้ละกิเลสได้
ก็ต้องลงมือปฏิบัติ
ต้องเพียรพยายามปฏิบัติธรรม
จึงเป็นเรื่องของการลงมือกระทำ
เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่เรื่องของการอ่าน การฟัง การพูดไปเฉย ๆ
ธรรมะไม่ได้อยู่ในตำรา
ไม่ได้อยู่ในครูอาจารย์ ไม่ได้อยู่วัด
ไม่ได้อยู่ที่ไหนอื่น แต่อยู่ในตน
การรู้จักธรรมะ....ก็คือการรู้ในตนเอง
(ที่มา : ธรรมะแห่งความดับทุกข์ ดูความปรุงแต่ง
โดย เขมรฺสี ภิกขุ, พิมพ์ครั้งที่ ๖, พ.ศ. ๒๕๔๙, หน้า ๑๗)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21397 -
ทำไม..ยิ่งทำบุญ ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์ ??? โดยหลวงปู่หา สุภโร
โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเ กินครับ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอด ครับผมหลวงปู่
หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงิน ทองหรือเวลาปกติ ของคุณหรือเปล่า
โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว การปฏิบัติของผม ก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้องลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่น ๆ เข้ามาไม่ขาด
หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ
โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด " ปัญหาที่เข้ามาคือ บทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆ ขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย "
ปัญญาคุณแค่อนุบาล ปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล....แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา... -
จิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่หลอกลวง
**** จิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่หลอกลวง ****
______________________________________________
" .. "ปัญญาเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยความสงบ" อาศัยการฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ แล้วก็ทำความสงบจิตให้เข้าถึงสมาธิ จิตถึงสมาธิแล้ว จะเห็นเรื่องการลวงของจิตด้วยตัวเองชัดเจนที่เดียว
"จิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่หลอกลวง" เป็นจิตตรงไปตรงมา เข้าถึงสัจธรรม เห็นทุกข์เป็นทุกข์จริง ๆ เห็นความสงบเป็นสุขจริง ๆ เห็นความทะเยอทะยานดิ้นรนเป็นความเดือดร้อนแท้ทีเดียว .. "
-------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ปกิณกะเทศนา หน้า๕๕
#เผยแผ่เพื่อเป็นธรรมะทาน
https://www.facebook.com/palangjitt/ -
เล่าขานตำนานครูบาเจ้าศรีวิชัย อริยแห่งแดน ล้านนา
เล่าขานตำนานครูบาเจ้าศรีวิชัย อริยแห่งแดน ล้านนา ตอน ปฐมบทพระภิกษุนักบุญ
.. มีใครจะเชื่อหรือไม่ว่า
มีพระภิกษุธรรมดาๆ องค์หนึ่งซึ่งเข้าร่วมห่มผ้าเหลืองมาเป็นพระเข้าบวชเรียน จากสามเณรสู่พระภิกษุ และ ท้ายที่สุดก็สิ้นอายุขัยในผ้าเหลืองในระยะเวลา ๔๒ ปี โดยไม่เคยได้รับสมณศักดิ์ใดๆ ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ไม่เคยมีพัดยศ หรือตำแหน่งทางคณะสงฆ์ แต่ทว่า พระภิกษุรูปนี้กลับเป็นผู้สามารถทำให้วัดต่างๆ ที่เชียงใหม่ และลำพูนพัฒนาขึ้นมาใหม่เป็นจำนวนมากจนกระทั่งท่านได้รับการยกย่องว่า "เป็นนักบุญแห่งล้านนาไทย" ซึ่งทุกท่านที่เคยเดินทางสู่แผ่นดิน อาณาจักรลานนาไทยอันเก่าแก่ไม่ว่าจะเป็นเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย ฯลฯ จะไม่มีวันหนีพ้นนามของ ครูบาศรีวิชัย ได้เลย เพราะจังหวัดของหัวเมืองเหนือที่ได้เอ่ยมานี้ล้วนแต่มีผลงานของท่านปรากฏอยู่ทั้งนั้นตลอดชีวิตของท่านไม่เคยทำบาป สร้างแต่ความดีให้แก่สาธารณชน การถูกใส่ความที่ต้องรอนแรมลงมารับการสอบสวนที่กรุงเทพฯ ถึง ๒ ครั้งในชีวิต แต่ก็พ้นมลทินคือผลตอบแทนที่ท่านได้รับ
ย้อนเวลาหาอดีต
ขอย้อนหลังจากวันนี้ไปสู่เหตุการณ์เมื่อร่วมศตวรรษก่อน ณ วัดบ้านปาง... -
หลวงพ่อกลั่น ไขปริศนา “หลวงปู่ที่มารักษาไข้ให้หลวงปู่ดู่คือใคร?”
หลวงพ่อกลั่น ไขปริศนา “หลวงปู่ที่มารักษาไข้ให้หลวงปู่ดู่คือใคร?”
จากหนังสือ “ตามรอยหลวงปู่ใหญ่ พ.ศ. 2549” โดยคุณพรหมินทร์ อึ้งสกุลรัตน์
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นพระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่เคยพบ หลวงปู่บรมครู “พระครูธรรมเทพโลกอุดร” ดังที่คุณวิรัตน์ โรจนจินดา ได้บันทึกไว้ดังนี้
“จากที่ข้าพเจ้าฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน ข้าพเจ้าก็ได้คอยรับใช้ท่านอยู่หลายปี หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีเมตตาเล่าเรื่องหลวงปู่ใหญ่ให้ข้าพเจ้าฟังว่า สมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรนั้น วันหนึ่งในฤดูหนาว ท่านเดินทางไปถึงดงพญาเย็นแล้วเกิดเป็นไข้มาลาเรียอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบ ท่านคิดว่าคงจะไม่รอดชีวิตแน่แล้ว แต่จู่ๆ ก็มีพระรูปร่างสูงใหญ่องค์หนึ่งเอายาเม็ดกลมๆ ปั้นเหมือนลูกกลอนมาให้ท่านฉัน 2 เม็ด เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วปรากฏว่า อาการไข้กลับทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ พอท่านหาย พระรูปร่างสูงใหญ่องค์นั้นก็จากไป โดยที่ท่านไม่ทราบว่าพระองค์นั้นชื่ออะไร”
“ภายหลังที่หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ กลับมาอยุธยาก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อาจารย์ของท่านฟัง หลวงพ่อกลั่นหัวเราะแล้วบอกว่า... -
เคยสงสัยไหมพลังออร่า คืออะไร?? คุณมีพลังออร่า หรือไม่ วันนี้มีคำตอบ
เคยสงสัยไหมพลังออร่า คืออะไร?? คุณมีพลังออร่า หรือไม่ วันนี้มีคำตอบ
บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินคำว่า ออร่า แต่จะมีสักกี่คนที่จะทราบว่า ออร่า คืออะไร วันนี้ จะได้พาไปทำความรู้จักกัน และ จะได้รู้ว่าคุณมีออร่า แบบใด
ออร่าคืออะไร
พลังออร่าเป็นคลื่นพลังรัศมีของมนุษย์(กายแสงของมนุษย์) มีลักษณะเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยคลื่นไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็ก แสง สี และความร้อน สามารถประเมินโดยวัดด้วยเครื่องวัด ที่แปลผลออกมาเป็นสีต่าง ๆ สีของออร่าสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ของกายและจิต ลักษณะพฤติกรรม การดำเนินอาชีพ ความสามารถทางจิตและการพัฒนาจิต แต่ไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยโรค สีของออร่าจะเปลี่ยนตามอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ลมปราณ บุคคลรอบข้าง ธรรมชาติแวดล้อม
ออร่ากับสุขภาพ
พลังออร่าที่เข้มแข็งสามารถสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค หรือถ้าอ่อนแอระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงทำให้เกิดโรค และเป็นโรคเรื้อรังได้ สีออร่าของความคิดและอารมณ์จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่วนสีออร่าพื้นฐานจะค่อนข้าง
พลังงานในออร่ามาจากไหน
คลื่นพลังงานในออร่ามาจากหลายแหล่ง เช่นจากธรรมชาติรอบกาย จากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อากาศที่หายใจ... -
การตัดทางเพื่อเข้านิพพานแบบง่ายๆ - หลวงพ่อฤาษีฯ
บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
***เรื่อง การตัดทางเพื่อเข้านิพพานแบบง่ายๆ***
***ลูกพ่อทุกคนมีอารมณ์เข้มแข็ง มั่นคงต่อพระนิพพาน ด้วยเราตั้งใจมาอย่างนั้น ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา ที่เจ้าหนี้คือ กิเลสมันตามทวงมีอะไรบ้าง มันก็มารวมทวงกันชาตินี้แหละ **ตัดใจเสียนะลูกรัก คิดว่าเรารวมใช้หนี้มันเท่าที่เราจะพึงมี มันอยากทวงก็เชิญให้มันทวง คือเข้านิพพานกันเสียก็หมดเรื่อง จงคิดว่าขณะนี้เรากำลังถูกเจ้าหนี้ใช้งานเราเพื่อลบล้างหนี้** เมื่อหนี้หมดเรามีความสุข คิดอย่างนี้ใจจะสบาย
***เรื่องการตัดทางเพื่อเข้านิพพานแบบง่ายๆ คือ :-
..... ๑. รักษาอารมณ์คิดว่าเราตายแน่ และตายวันนี้ เพื่อความไม่ประมาท
..... ๒. ก่อนตายเราจะอยู่อย่างคนดี คือมีศีลเป็นปกติ เคารพพระรัตนตรัยเป็นปกติ
..... ๓. เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ เท่านี้เป็นจุดแรกที่ **เข้าเขตพระนิพพาน**
..... ๔. มีความรู้สึกเสมอว่า โลกไม่มีความสุข มันมีการเปลี่ยนแปลงผันผวนเป็นปกติ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ อะไรเกิดขึ้นถือว่า **เป็นเรื่องธรรมดา ช่างมัน ต่อสู้กับมันโดยธรรม จนกว่าจะสิ้นลมปราณ ใจจะมีอารมณ์เป็นสุข**
..... ๕. เมื่อโลกมีความผันแปรอย่างนี้... -
วิธีแก้อาการขี้น้อยใจ - พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
วิธีแก้อาการขี้น้อยใจ
ถาม : อย่างเรื่องสัญญาที่เราจำได้ อย่างเราน้อยใจใครสักคนนี่ เรารู้ว่าทำไม แต่ทำไมเราตัดไม่ได้คะ?
ตอบ : เพราะว่าสติและปัญญายังมีกำลังไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตให้มากกว่านี้ด้วยการภาวนา
การภาวนาจะสร้างสติของเราให้มั่นคง ทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็ง พอถึงเวลาเราต้องรู้จักพิจารณาดูว่าเราน้อยใจเขาแล้วได้ประโยชน์อะไร เขาก็ตายเราก็ตาย ในที่สุดก็ต่างคนต่างตาย ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ เราเองเราน้อยใจเขา เราโกรธเขา เราคิดมากอยู่คนเดียว เขานอนสบาย เราหาเรื่องทุกข์ใส่ตัวหรือเปล่า?
พอปัญญาเกิดก็จะค่อยๆละ ค่อยๆตัดไปเรื่อย แล้วในที่สุดพอเจอหน้าก็รู้สึกเฉยๆไม่กระเทือนอีก แผ่เมตตาให้เขาบ่อยๆ
แรกๆก็ให้คนที่เรารักก่อน ถ้าไปให้คนที่เราเกลียดมากๆจะต่อต้าน แรกๆให้คนที่เรารักก่อน แล้วหลังจากนั้นพอกำลังใจมั่นคงค่อยให้คนที่เราไม่รักเราไม่เกลียด คือบรรดาเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเป็นคนก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นภพใดภูมิใดก็ตาม
แล้วหลังจากนั้น ให้คนที่เราเกลียดน้อย แล้วค่อยให้คนที่เราเกลียดมากๆ... -
เสียงธรรม รวมไฟล์เสียงของ หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก
พระกรรมฐานแห่งเมืองสุพรรณ
วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก สุพรรณบุรี
###ธรรมะทุกอย่างมีลิขสิทธิ์ ห้ามใช้ในการเชิงพาณิชย์ ห้ามดัดแปลงแก้ไขหรือตัดต่อแต่อย่างใด อนุญาตเผยแพร่ต่อเป็นธรรมะทานเท่านั้น###
วัตถุประสงค์หลัก
จัดทำขึ้นมาโดยเน้นสื่อธรรมะที่สามารถดาวน์โหลดได้ เพื่อแจกให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายไม่มีประมาณ ช่วยให้ธรรมะขยายออกไปวงกว้างให้มากที่สุด
1.(เพื่อนักภาวนา) พยายามเน้นธรรมะที่นำไปใช้เพื่อการดับทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฝึกสติและธรรมะจากพระอริยะเจ้า” ทั้งหลายเพื่อให้นักภาวนาทุกท่านมีเส้นทางธรรมที่ชัดเจน และมีครูอาจารย์ไว้เสริมกำลังใจยามท้อแท้
2.(เพื่อชาวพุทธทั่วไป) รวบรวมสื่อธรรมะบันเทิงที่ง่ายต่อการศึกษา เช่น นิยาย, การ์ตูน, คลิปวีดีโอ ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างศรัทธาแก่ชาวพุทธทั่วไป เป็นอีกมุมจิ๋วที่ช่วยให้พระศาสนามีความเข้มแข็งแม้สักน้อยนิดก็ยังดี
3.จัดทำเพื่อธรรมทานเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อการพาณิชย์ เรี่ยไร หรือเพื่อชื่อเสียงใด ๆ ไม่มีเจตนาอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเพื่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา
หากสื่อธรรมเรื่องใด สงวนลิขสิทธิ์หรือเจ้าของไม่อนุญาติ
โปรดกรุณาแจ้งมายัง ผู้ดูแลเว็ปบอร์ด... -
ปรากฏการณ์ข้ามทวีป!! หลวงปู่ชอบจิตสัมผัสถึง "พญานาคแห่งน้ำตกไนแอการา" ... อายุหลายหมื่นปี อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนเกิดอเมริกา!!
ปรากฏการณ์ข้ามทวีป!! หลวงปู่ชอบจิตสัมผัสถึง "พญานาคแห่งน้ำตกไนแอการา" ... อายุหลายหมื่นปี อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนเกิดอเมริกา!!
๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๔ "หลวงปู่ชอบ ฐานสโม" รับนิมนต์จากลูกศิษย์ที่เมืองบัฟฟาโลเพื่อเดินทางไปชมน้ำตกไนแอการา คณะติดตามท่านไปชมน้ำตกประกอบด้วยท่านเจ้าคุณมหาสมาน (วัดธรรมบูชา) ท่านเจ้าคุณมหาประสาท (วัดสังฆะบูชา) พระอาจารย์เฉลียว วรกิจโจ พระอาจารย์แสง จิรวัฒฑโก พระอาจารย์อำนวย กันตจาโร พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท (ครูบากล้วย ผู้บันทึก) ลูกศิษย์ฆราวาสผู้ติดตามมีคุณแม่จ้อย (อาจารย์จันทน์นวล พรมมาส) ท้าวกุ้ง ชาวลาวสัญชาติอเมริกัน และโยมชาวลาวที่อยู่เมืองบัฟฟาโลอีกสี่คน ร่วมเดินทางไปชมน้ำตก
คณะเดินทางออกจากเมืองบัฟฟาโลมาที่น้ำตกไนแอการาใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที วันนั้นแสงแดดแรงมากจนหลวงปู่ชอบต้องใส่แว่นตากันแดด ก่อนถึงน้ำตกอีกไม่กี่ไมล์ก็เริ่มเห็นไอน้ำลอยฟ่องบนอากาศ โยมที่มาด้วยชี้บอกพิกัดของน้ำตกให้ท่านดู ท่านก็มองดูไอน้ำบนอากาศอย่างสนใจ
เมื่อถึงน้ำตก...เป็นที่น่าสังเกตว่า หลวงปู่ชอบดูเงียบขรึม ไม่พูดจากับใคร ไม่ว่าโยมจะว่าหรือพระจะถามอะไร ท่านก็ไม่พูดด้วย... -
หลวงปู่ดู่ รู้วาระจิตศิษย์ แนะ! "พุธธังของเรา ก็ไปได้ทั้งสามโลกนะ" นำกราบพระถึงสะดือทะเล!
“หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” นับเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่มีบารมีเต็มอีกพระองค์หนึ่ง ท่านได้รับการยืนยันจากนักปฏิบัติหลายท่านว่า “เป็นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดกลับชาติมาเกิด” หรือ จะกล่าวว่าท่านเป็นภาคหนึ่งขององค์หลวงปู่ทวดก็ได้
หลวงปู่ดู่ท่านมีเมตตาจิตต่อทุกๆ คนที่ไปหาท่าน ตั้งแต่เช้าท่านจะคอยนั่งรับแขกคนโน้นคนนี้ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหรือความลำบากของสังขารแต่อย่างใด ท่านให้ความเมตตาต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ท่านไม่เคยรังเกียจว่าคนโน้นคนจนหรือยกย่องว่าคนนี้มีเงินท่านไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ ทั้งสิ้น
ว่ากันว่าเมตตาอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ดู่นั้น แม้ลูกศิษย์ของท่านจะตกระกำลำบากพลาดพลั้งไปในนรกก็ดี ท่านก็จะยังคงมีเมตตาตามไปสงเคราะห์อยู่เสมอ นอกจากนี้ สมัยที่หลวงปู่ยังดำรงสังขาร ก็ยังเคยพาไปไหว้พระอรยะในแดนต่างๆ ด้วย ดังเช่นเรื่องที่ “คุณอุ๋ย” ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่ ได้ถ่ายทอดไว้ดังนี้
สมัยที่หลวงปู่ยังดำรงสังขาร ก็เคยพาไปกราบ “พระอุปคุต” ใต้สะดือทะเล เวลาลงไปจะรู้สึกถึงน้ำหมุนเป็นเกลียวลงไปน่ากลัวมาก แล้วจะเห็นพญานาค เห็นปราสาทของพระอุปคุต... -
เคล็ดบูชาพระอุปคุตเพื่อขอลาภและความสำเร็จต่างๆ(ตำรับสมเด็จพระสังฆราชแพ)
เคล็ดบูชาพระอุปคุตเพื่อขอลาภและความสำเร็จต่างๆ(ตำรับสมเด็จพระสังฆราชแพ)
สวัสดีครับ หลายท่านคงรู้จักองค์พระอุปคุต กันนะครับ ว่าท่านเป็นพระมหาลาภ ในบรรดาพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า จะมีพระไตรภาคีมหาลาภอยู่ก็คือ
1.พระสังกัจจายน์ หรือพระมหากัจจายนะ
2.พระสีวลีเถระเจ้า และ
3. พระอุปคุต โดยพระอุปคุตนอกจากท่านจะเด่นทางลาภแล้ว ท่านยังเด่นในเรื่องการปราบอุปสรรคคือเน้นในด้านความสำเร็จด้วยนั่นเอง ดังมีเรื่องเล่าในสมัยพระเจ้าอโศกสังคายพระไตรปิฏก พระยามารจะมาแกล้งพอดีพระอุปคุตท่านได้รับความไว้วางใจแห่งมูลพระสงฆ์ให้คอยปราบพระยามารผู้มีฤทธิ์ซึ่งท่านสามารถจับพระยามารผูกไว้ถึง7ปี 7เดือน 7วัน จนกระทำสังคายนาเสร็จ ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระอุปคุตท่านเลิศในด้านลาภและขจัดอุปสรรคต่างๆด้วย ฉะนั้นการไหว้ท่านก็ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จไร้ข้อข้องขัดและเสริมลาภในชีวิตของท่านด้วย แต่น้อยคนนะครับที่จะรู้ว่าการขอบารมีหลวงพ่อชนะจน หรือพระอุปคุตนั้นมีพิธีการไหว้ขอพรอย่างไร ในที่สุดเพจพุทธคุณและเว้บพลังจิตก็ไปค้นมาให้ท่านจนได้ โดย เคล็ดนี้บันทึกโดยท่านอาจารย์ อุรคินทร์ วิริยะบูรณะ... -
เครื่องชี้ว่าจิตสงบ : หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
เมื่อปฏิบัติจนจิตเริ่มสงบแล้ว จะเกิดความสว่างขึ้นที่จิต พร้อมกันนั้นจะมีสิ่งที่เป็นตัวชี้บอกว่า จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง อันได้แก่ปิติต่างๆ เช่น อาการขนลุก ตัวเบา น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง รู้สึกเหมือนกายขยายใหญ่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวชี้ถึงจิตว่า เริ่มจะสงบแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติวางใจเฉยๆ อย่าไปยินดีหรือยินร้าย บางท่านที่มีนิสัยวาสนาบารมีทางรู้ทางเห็นภายใน ก็อาจจะเกิดองค์พระปรากฎขึ้นจากแสงสว่างเหล่านั้น
ในเรื่องการเห็นแสงสว่างนี้ บางสำนักท่านว่าอย่าไปสนใจ เอามืดดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะหลง แต่ตามความเห็นของผู้เขียน นึกถึงคำบาลีที่ว่า “นัตถิ ปัญญา สมาอาภา” แสงสว่างเทียบด้วยปัญญาไม่มี ดังนั้น ผู้ที่เห็นแสงสว่างปรากฎขึ้น ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ซึ่งแสดงให้รู้ประจักษ์อยู่ที่ตัวเราต่างหากว่า จะใช้แสงสว่างนี้ไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะหลวงปู่ท่านบอกว่า การปฏิบัติต้องทำให้รู้ เห็น เป็น และได้ สำหรับในขั้นต้นนี้ “รู้” หมายถึง ให้มีสติรู้อยู่กับคำภาวนา เมื่อ “เห็น” ก็ให้รู้ว่า “เห็น” อะไร รู้จักกลั่นกรองด้วยสติปัญญา และเมื่อมีความชำนาญแล้วก็จะเป็น “เป็น” นั้นคือเห็นองค์พระได้ทุกครั้ง... -
เหตุที่ทำให้ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “ตถาคต”
เหตุที่ทำให้ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “ตถาคต”
พระตถาคต คือคำแทนชื่อที่พระพุทธองค์ทรงเรียกพระองค์เอง แปลว่าผู้เสด็จมาและไปอย่างนั้น อันมีความหมายเชิงลึกซึ้งคือ ผู้ที่ไม่ยึดมั่นในสิ่งใดในโลกนี้
ภิกษุทั้งหลาย โลกเป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงเป็นผู้ถอนตนจากโลกได้แล้ว.
เหตุให้เกิดโลก เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงละเหตุให้เกิดโลกได้แล้ว.
ความดับไม่เหลือของโลกเป็นสภาพที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้แจ้งความดับไม่เหลือของโลกได้แล้ว.
ทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลก เป็นสิ่งที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้เกิดมีขึ้นได้แล้ว ซึ่งทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลกนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันใด ที่พวกมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม, ที่หมู่สัตว์พร้อม ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ได้เห็นได้ฟัง ได้ดม-ลิ้ม-สัมผัส ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ
ได้แสวงหา ได้เที่ยวผูกพันติดตามโดยน้ำใจ, อายตนะนั้น ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้วทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้น เราจึงได้นามว่า “ตถาคต”.
ภิกษุทั้งหลาย ในราตรีใด ตถาคตได้ตรัสรู้ และในราตรีใด ตถาคตปรินิพพาน,... -
สอนตนเองเสียก่อน (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ความเป็นจริงต้องสอนตนเองเสียก่อน แล้วจึงค่อยสอนคนอื่น
เราปฏิบัติอย่างไร ? เรารู้อย่างไร ? เราเข้าใจอย่างใด ?
การสอนคนอื่นก็ไม่ใช่ไปตั้งหน้าตั้งตาสอนแต่คนอื่น เราปฏิบัติเห็นดีเห็นชอบ เห็นว่าเป็นธรรมเป็นวินัย เห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นธรรมเป็นวินัย เราก็เอาอันนั้นแหละมาสอน
ไม่ยากหรอกสอนคน ถ้าเราสอนตนเองได้แล้วมันไม่ยาก เว้นแต่เราไม่สอนตนเอง ที่เราไม่สอนตนเองนั่นอยู่เฉย ๆไม่รู้เรื่องรู้ราว อยู่เฉย ๆ เรื่อยไป ตนเองก็ไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้ ก็เลยไปทราบว่าจะเอาอะไรไปสอน
เราเห็นตัวของเราเข้าใจตัวของเราดีแล้ว สอนตัวของเราให้รู้สึกเห็นดีเห็นชอบเราจึงเอาอันนั้นแหละไปสอนคนอื่น มันก็ได้ความเข้าใจน่ะซี ที่สอนเขาไม่เข้าใจก็เพราะเหตุที่เราไม่เข้าใจตัวเราเอง
: สอนตนเองเสียก่อน
: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21018 -
เคล็ดการบูชาพระเจ้าทันใจเพื่อความสำเร็จ(ตำรับ วัดเจดีย์เจ็ดยอด เชียงใหม่)
เคล็ดการบูชาพระเจ้าทันใจเพื่อความสำเร็จ(ตำรับ วัดเจดีย์เจ็ดยอด เชียงใหม่)
การ ไหว้พระเจ้าทันใจ ที่วัดเจดีย์เจ็ดยอด นั้นเป็นเคล็ดล้านนามาแต่โบราณว่า สิ่งที่ขอจะสำเร็จต้องตามประสงค์ได้ดั่งใจ ทางเหนือจึงมีพระเจ้าทันใจมากมาย แต่พระเจ้าทันใจที่ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์มาก นั้นอยู่ที่เชียงใหม่ คือ พระเจ้าทันใจ อายุ๘๐๐ปี สร้างโดยพระเจ้าสิริธรรมจักวรรดิติโลกราช จักพรรดิล้านนาเป็นพระเจ้าทันใจที่ชาวเหนือเคารพนับถือ เขาว่ากันว่าขออะไรจะได้เร็วทันใจ เพราะ พระเจ้าติโลกราชได้ทรงอธิษฐานว่าหากยกทัพไปตีเมืองเชียงตุงชนะจะสร้างกลับ มาสร้างพระพุทธรูปให้เสร็จให้เสร็จในวันเดียว ซึ่งต่อมาพอยกทัพไปเชียงตุงเจ้าหลวงเชียงตุงยอมสวามิภักดิ์พระองค์เมื่อกลับ มาเชียงใหม่จึงทรงสร้างพระเจ้าทันใจให้เสร็จในวันเดียว พระมหาเมธังกรเจ้าสังฆราชจึงนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ พระเจ้าทันใจที่นี่จึงเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ตลอดมามีเรื่องเล่าว่า พระพุทธยอดฟ้ารัชกาลที่๑และเจ้าหลวงกาวิละก้อธิษฐานต่อพระเจ้าทันใจยกทัพขับ ไล่พม่าไปจากล้านนา ได้สำเร็จเช่นกัน จึงเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่ควรไปขอพร การไปไหว้พระเจ้าทันใจเตรียมดังนี้... -
อดีตชาติของพระศรีอาริยเมตไตรย
** หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ..เล่าให้ฟัง **
เรื่อง.. ** อดีตชาติ ของ พระศรีอาริยเมตไตรย **
... " *พระศรีอาริยเมตไตรย* ในสมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระ มีนามว่า "อชิตะภิกขุ" เดิมที ท่านเป็นลูกศิษย์ของ *พราหมณ์พาวรี* ท่านไปบวชเพื่อเสริมสร้างบารมี ต่อมา เมื่อ *พระนางกีสาโคตมี* ได้ทอผ้าจีวรด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า.
.. เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้า เรียกพระ มาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อ *พระนางกีสาโคตมี* ถวายผ้าแก่ พระพุทธเจ้า .. พระพุทธเจ้า ก็ส่งให้ *พระสารีบุตร* .. *ท่านพระสารีบุตร* ก็ส่งให้ * พระโมคคัลลน์* .. *ท่านพระโมคคัลลาน์* ก็ส่งต่อๆ กันไปหมด จนถึงองค์สุดท้าย คือ *ท่านอชิตะภิกขุ* ท่านไม่รู้ว่าจะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายสุด.
<><> เป็นอันว่า ท่าน ก็รับไว้ *พระนางกีสาโคตมี* ก็เสียใจว่า อุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดี มาทอกับมือเอง เพื่อถวาย พระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับ กลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ ฌานสมาบัติ มากมายอะไรนัก คือว่า ยังเป็นพระปุถุชน คนธรรมดา.
.. องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงทราบอัธยาศัย จึงเทศนาโปรด ว่า :... -
"ทำไมคนที่ทำบาปกรรมอย่างเดียวกัน แต่รับวิบากกรรมต่างกัน"
"ทำไมคนที่ทำบาปกรรมอย่างเดียวกัน แต่รับวิบากกรรมต่างกัน"
เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดคนสองคนสร้างกรรมในลักษณะอย่างเดียวกัน แต่ได้รับผลแห่งกรรมต่างกัน
ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นไปเพราะ พื้นฐานบุญ บาป เจตนา และวัตถุในการสร้างกรรมต่างกันไป
คนที่จิตได้รับการอบรมมาดี มีศีลธรรมมาก มีคุณความดีมาก หรือมีบุญเก่าเกื้อหนุนนำอยู่มาก เจตนาแห่งการทำบาปน้อยหรือแทบไม่มี ก็ได้รับผลกรรมน้อย หรือแทบไม่มีผลในชาติปัจจุบันเลย
ขณะที่ คนที่จิตใจไม่เคยได้รับการอบรม ไม่มีศีลธรรม ไม่เคยสร้างคุณงามความดี เจตนาแห่งกรรมแรง ความพยายามแรงกล้า ทำชั่วเพียงนิด จิตก็นำพาไปนรกได้
พระพุทธองค์ตรัสเป็นพุทธวจนะว่า
บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดไร ทำแล้ว บาปกรรมนั้นจึงนำเขาไปนรกได้ ?
บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้มีกายมิได้อบรม มีศีลมิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม มีปัญญามิได้อบรม มีคุณความดีน้อย
เป็นอัปปาตุมะ ( ผู้มีใจคับแคบ ใจหยาบ ใจต่ำทราม )
เป็นอัปปทุกขวิหารี ( มีปกติอยู่เป็นทุกข์ด้วยเหตุเล็กน้อย คือเป็นคนเจ้าทุกข์ )
บาปกรรมแม้ประมาณน้อย บุคคลชนิดนี้ทำแล้ว บาปกรรมนั้นย่อมนำเขาไปนรกได้
บาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกัน.
บุคคลชนิดไร... -
วิปัสสนาญานมีตัวเดียว(พิจารณาขันธ์ 5) - พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี)
วิปัสสนาญานมีตัวเดียว(พิจารณาขันธ์ 5)
คนที่เห็นอริยสัจนี้ ถ้าเราพูดตามแบบก็เห็นยาก ให้หาจุดปลายทางจริงๆ ก็คือมรณานุสติกรรมฐาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นี่ก็ไปๆมาๆเราก็ทิ้งสมถะไม่ได้ อริยสัจนี่เป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าเราทิ้งสมถะเสียแล้ว วิปัสสนาญาณไม่มีผล ผมเคยบอกมาแล้ว สมถะมีความสำคัญมาก เป็นตัวกล่อมจิตให้ทรงตัวอยู่ ให้จิตมีกำลัง และก็เป็นพื้นฐานของวิปัสสนาญาณ
ฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเก่งในสมถะ และมีความคล่องแคล่วในสมถะ สามารถจะเข้าฌานแต่ละระดับได้ตามปกติ คำว่าปกติก็หมายความว่า คิดจะเข้าฌานเมื่อไหร่จิตเข้าเป็นฌานทันที ไม่ยอมเสียแม้แต่เวลาครึ่งของวินาที ครึ่งวินาทีนี่อย่านึกว่ามันเร็ว มันช้าไปนะ แม้แต่นิดหนึ่งของวินาที พอคิดว่าเราจะเข้าฌาน จิตก็เข้าถึงฌานเต็มที่ จะเข้าฌาน ไหนก็ได้
การทรงฌาน จะเป็นการทรงแบบไหนก็ได้ เรียกว่า ในกรรมฐาน 40 กอง กองใดกองหนึ่งก็ได้ตามอัธยาศัย นี่ถ้ากำลังจิตเราแบบนี้นะ ถ้าเป็นฌานในส่วนของรูปฌาน แต่นี่ผมมวยหมู่ ล่อกรรมฐาน 40 ได้แบบนี้เข้าให้ กรรมฐาน 40 นี่หมายถึงอรูปฌานด้วย ถ้าหากว่าเราสามารถทรงฌานในกรรมฐาน 40 ก็ได้อรูปฌานด้วย คล่องตามอัธยาศัย... -
สาธุ! ตำนาน"พระอุปคุตเถระ" ผู้อาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่จะขึ้นมาปกป้องเมื่อเกิดเภทภัยกับพุทธศาสนา!
สาธุ! ตำนาน"พระอุปคุตเถระ" ผู้อาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่จะขึ้นมาปกป้องเมื่อเกิดเภทภัยกับพุทธศาสนา!
" ตำนานพระอุปคุตชนะมาร "
ท่านเกิดหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบภูมิเดิมของท่านละเอียดว่าเป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำ ที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ
เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชย์สมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป...
หน้า 389 ของ 412