คลังเรื่องเด่น
-
ฝึกใจไม่ให้โกรธ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
" .. ผู้มีธรรมถือเหตุผลเป็นสำคัญเสมอ ไม่ว่าใครจะทำผิดมาแล้วมากน้อยเพียงไหน หากเห็นเหตุผลที่ทำไปเช่นนั้น จักอภัยให้อย่างง่ายดาย
การตั้งใจจริงที่จะไม่โกรธ พร้อมกับใช้ปัญญาหาเหตูผลมาประกอบเพื่อไม่ให้เกิดความโกรธ ก็คือการตั้งใจจริงที่จะเข้าใจเหตุผลความจำเป็นของคนอื่น ที่ทำสิ่งอันชวนให้โกรธ เมื่อเห็นเหตุผลความจำเป็นของเขาแล้ว ก็จะอภัยให้ได้ ไม่โกรธ
การฝึกใจไม่ให้โกรธจึงเท่ากับเป็นการฝึกให้อภัยในความผิดของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม
ผู้ให้อภัยง่าย ก็คือผู้ไม่โกรธง่ายนั่นเอง ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะฝึกจิตให้ไม่โกรธง่าย จึงควรต้องฝึกตนให้เป็นผู้มีเหตุผล เคารพเหตุผล
นั้นคือให้คิดหาเหตุผลเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจผู้ที่ตนอยากจะโกรธ เมื่อเห็นอกเห็นใจด้วยเหตุผลแล้วจะได้ไม่โกรธ จะได้อภัยในความผิดพลาดหรือบกพร่องของเขา
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือให้คิดหาเหตุผลเพื่อให้เกิดเมตตาในผู้ที่ตนอยากจะโกรธนั่นเอง .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.dhammathai.org/articles/dbview.php?No=572 -
จับยามสามตาดูของหาย
จับยามสามตาดูของหาย
การจับยามสามตาของอีสานเพื่อดูของหายทำได้ง่ายๆดังนี้ พิจารณาจากรูปสามเหลี่ยมข้างบน จะเห็นว่าถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนถูกกำกับด้วยเลข ๑ ๒ ๓ โดยเลขแต่ละตัวมีความหมายดังนี้
๑
กาจับหลัก
ของที่หายนั้นอยู่กับที่ยังไม่ไปไหน ให้หาในบริเวณที่คาดว่าของนั้นหายแล้วจะพบ
๒
ไม้หักทับทาง
ของที่หายนั้นเคลื่อนไปแล้ว อาจจะมีคนเอาไปซ่อนไว้ หาให้ดี มีโอกาสพบ แต่อาจจะต้องใช้เวลา
๓
นกยางคาบหนี
ของที่หายนั้น ถูกโขมยเอาไปไกลแล้ว ของนั้นจะไม่ได้คืน
วิธิการจับยามสามตา มีวิธีการดังนี้
ให้ดูว่า ในวันที่มีคนมาถามเรื่องของหาย เป็นวัน ขึ้น หรือ แรม และกี่ค่ำ จำไว้
ถ้าในวันที่มีคนมาถามเรื่องของหาย เป็นวันข้างขึ้น จากรูปสามเหลี่ยมข้างบน ให้เริ่มนับหนึ่งค่ำที่ตรงเลข ๑ นับสองค่ำที่ตรงเลข ๒ นับสามค่ำที่ตรงเลข ๓ นับสี่ค่ำที่ตรงเลข ๑ นับวนไป วนมา ดังนี้ ๑ -> ๒ -> ๓ -> ๑ -> ๒ .... จนกว่าจะนับได้เท่ากับจำนวนค่ำตามข้อที่ 1 แล้วดูว่าตกที่เลขอะไร แล้วให้ดูความหมายตามตารางข้างบน
ถ้าในวันที่มีคนมาถามเรื่องของหาย เป็นวันข้างแรม จากรูปสามเหลี่ยมข้างบน ให้เริ่มนับหนึ่งค่ำที่ตรงเลข ๒... -
สวรรค์ชั้นดุสิต คือสวรรค์ของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ
สวรรค์ชั้นดุสิต คือสวรรค์ของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ จะสถิตอยู่หลังจากลาโลกมนุษย์ไปแล้ว เพื่อเตรียมการกลับมาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
ท่านปิยโสภณ (พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก)
ในข้อเขียนเรื่อง "ทรงเป็นเทพคุ้มครองไทย" ซึ่งท่านปิยโสภณ (พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก) เขียนขึ้นเพื่อให้หลักธรรมสำหรับบรรเทาเยียวยาจิตใจของคนไทยเมื่อได้ทราบข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น มีข้อความตอนหนึ่งว่า
"ให้คิดว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จอุบัติมาสร้างบุญบารมี ทรงช่วยเหลือประชาชนบนราชบัลลังก์แห่งกษัตริย์มานานถึง ๗๐ ปี ... เมื่อเหนื่อยหนักก็อยากพักผ่อนบ้าง
วันนี้พระองค์ท่านทรงพักพระวรกายให้สบายใจ ... ทรงพ้นทุกข์โศกโรคภัยทุกประการแล้ว
เพียงร่างกายเท่านั้นที่เจ็บป่วย ... แต่ดวงใจยังแจ่มใส สงบนิ่ง อิ่มบุญ
เพียงพระองค์ลงมาสร้างบารมีเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์ชั่วขณะหนึ่ง ... เสร็จภาระแล้ว วันนี้ขอเดินทางกลับไปสู่สวรรคาลัยที่ทรงประทับ
บุญบารมีที่ทรงบำเพ็ญ ๘๙ ปี บนโลกมนุษย์ ก็เพียงพอแล้วที่จะต่ออายุบนโลกสวรรค์
พระองค์ไม่ได้ทิ้งคนไทยไปไหน... -
มหัศจรรย์ในหลวง ทรงทราบล่วงหน้าพายุจะเปลี่ยนทิศทางไม่เข้าไทย เรื่องเล่าจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
20 ต.ค.59 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
บันทึกไว้ในแผ่นดิน...ตามเส้นทางเสด็จฯ ระบุว่า บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียดมากกว่าเราที่อยู่ในพื้นที่
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์จะเสด็จฯ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียงจันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่งว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิดพลาดไปประมาณ 500 เมตร" เราซึ่งอยู่ในพื้นที่ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้งๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS! ไปกันเพียบ พอรุ่งขึ้น...เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริงๆ เมื่อพระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย...บอกผิด" นี่เป็นตัวอย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่านต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
"คุณสมิทธ ธรรมสโรช อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กราบบังคมทูลรายงานพร้อมกับออกโทรทัศน์ประกาศว่า ยังมีไต้ฝุ่นอีกหนึ่งลูก เป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น ชื่อ "แอนเจลล่า" ความเร็วลมใกล้จุดศูนย์กลางถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถล่มฟิลิปปินส์ยับเยิน... -
" หลักในการอธิษฐาน " : หลวงปู่ทวด
หลวงปู่ทวดสอนว่าให้กล่าวคำอุทิศอย่างเจาะจงลงไปเท่าที่เราจะนึกได้ จะเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ
สุดท้ายให้กล่าวคำอธิษฐานบารมีว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ และขอบารมีแห่งพระคุณรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ และเทพพรหมทุกพระองค์ ได้โปรดปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าสมปรารถนา โดยสะดวกราบรื่น รวดเร็ว ฉับพลันทันที จงทุกประการเทอญ"
นี้เป็นหลักในการอธิษฐานโดยทั่วไป ถ้าจะปรารถนาไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ก็สามารถปรารถนาได้ และขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ฟังธรรมจากท่านด้วย อย่างนี้รับรองว่าเกิดทันแน่ และเกิดในที่ดี ๆ ด้วย อย่างน้อยก้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคของท่าน อย่างดีก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมไปเลย สบายกว่ามนุษย์เยอะ ส่วนการขอบารมีจากองค์หลวงปู่ทวด หรือครูบาอาจารย์เทพพรหมท่านอื่น ๆ ก็แค่สวดมนต์ระลึกถึงท่านท่านก็รับรู้แล้ว เพราะเบื้องบนท่านมี "ทิพยญาณ" ทุกพระองค์ชัดเจนยิ่งกว่าดาวเทียมซะอีก แต่ขอให้ระลึกถึงท่านด้วยความเลื่อมใสอย่างจริงใจ ไม่ใช่เดือดร้อนทีก็นึกถึงที อย่างนี้ไม่ได้เรื่องหรอก... -
คำยืนยันจากพระพุทธเจ้าและอริยสงฆ์ เรื่องมหาบุญกุศลของศีล
คำยืนยันจากพระพุทธเจ้าและอริยสงฆ์ เรื่องมหาบุญกุศลของศีล
“ศีล” มีความสำคัญมาก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งบุญบารมีและความดีทั้งปวง ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงทำเหตุเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ ก่อนเหตุเบื้องต้นของกุศลธรรม คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง
เมื่อใดศีลของเธอบริสุทธิ์ดีแล้ว และความเห็นของเธอก็ตรงดีแล้ว เมื่อนั้นเธอ อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล แล้วจงเจริญสติปัฏฐาน 4 (วิปัสสนา) ต่อไป...
(สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม)
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรมใหญ่สายพระป่ากรรมฐานท่านกล่าวถึงอานิสงส์แห่งการรักษาศีล 5 เอาไว้ว่า
“ ...ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครองมีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุกไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกลาย ต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ... -
“พระยายมให้ฝากมาบอก ของดีในการทำบุญนะ ถวายสังฆทานนะดีที่สุด”
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอก “พระยายมให้ฝากมาบอก ของดีในการทำบุญนะ ถวายสังฆทานนะดีที่สุด”
(หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
(เรื่องการอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ) ท่านมาสั่งให้หลวงพ่อบอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑
ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้)
พระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา บอกว่า คนที่ผมจะช่วยได้ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ
ถามท่านว่า "ลุงมีข่าวอะไรส่งข่าวบ้างล่ะ?" ท่านบอกว่า "ไม่มี ผมหยุดนรกการ ๓ วัน"
รู้จักไหม...ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้ (ออกพรรษา) วันนี้ (ปวารณา) และพรุ่งนี้
ถาม "ทำไม..?" ท่านบอก "วันสำคัญนี่วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน" เลยถามว่า "ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวนเขามีอิสระ ใช่ไหม?" ท่านบอกว่า "ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่น เขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง" คือว่า ท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฎแห่งกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่ง ท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย ท่านจัดอย่างนั้น
เลยถามท่านว่า "ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้ เขาไปได้ไหม?" ท่านบอกว่า "เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง... -
ฝึกอารมณ์คิดในชีวิตประจำวัน--สำหรับผู้มุ่งพระนิพพานในภพชาติอันใกล้
บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
"...เอาจิตคิดอย่างนี้ไว้ทุกวัน ลืมตาขึ้นมาปั๊บ บูชาพระเสร็จ คิดอย่างนี้และให้นึกต่อไปว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะตายได้ทุกขณะ ที่นั่งคุยเวลานี้คุณอาจจะตายทันทีทันใดก็ได้ อย่าไปรอความป่วย ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นของไม่แน่นอน มันป่วยหรือไม่ป่วยมันก็ตาย เวลาคุณจะตาย
...และอีกประการหนึ่งก็ใช้บังสุกุลเป็นว่า
" อจิรัง วตยัง กาโย ปฏวิง อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรัตถังวะ กลิงครัง ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนักก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว (คือจะหมดวิญญาณ) "
... มันก็จะตายร่างกายนี้เวลาที่เราอยู่ คนนั้นก็บูชา คนนั้นก็รักคนนี้ก็ชอบถ้าเราตายแล้วจริง ๆ แม้แต่เท้าเขาก็ไม่อยากเขี่ยร่างกายของเรา เขาเห็นสภาพร่างกายเป็นของน่าเกลียดเขามีความรังเกียจในร่างกาย มันก็สู้ไม้ท่อนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้ ไม้ท่อนดีกว่า จงคิดว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน
ร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอไปนิพพานจุดเดียว..."
หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี -
เรื่องเล่า "นักขุดกรุ"มือขลัง ขมังเวทย์ที่สุดในแผ่นดิน
ละคร"พิศวาส"จบลงไป ...."นาคี"รี่เข้ามาครองใจครองจอ กลบละครน้ำเน่าแย่งผัว ตีเมียเสียสนิท
ขณะเดียวกัน ก็ปั่นความนิยม เรื่องราวของอาถรรพ์แห่งวิญญาณร้าย ภูติผีปีศาจขึ้นมาอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวเหล่านี้
ทั้งยังปลุกเรื่องขุมทรัพย์ ขุมสมบัติโบราณ ทั้งกรุสมบัติ กรุพระเครื่อง ให้เฟื่องฟูขึ้นมาในความกระหายใคร่รู้สำหรับคนรุ่นหลังที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนั้นแล้วในยุคปัจจุบัน
ที่ความเจริญกลบเกลื่อนโลกโบราณไปทุกหย่อมหญ้า
ตำนานกรุสมบัติเรื่องเล่าเก่าเก็บยุคพระเจ้าเหา ยังมีอีกมากมายบนปฐพีแดนดินถิ่นสยาม ไม่เพียงกรุวัดราชบูรณะตามท้องเรื่อง"พิศวาส"ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศเท่านั้น
ยังมีกรุมหาสมบัติอีกหลายร้อยพันกรุ ใหญ่-เล็กแล้วแต่สถานที่มากมายที่ผ่านการขุดแซะจากนักขุดกรุทั่วประเทศ -
สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท....(หลวงตามหาบัวฯ)
...สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท
ให้พากันจำเอาไว้นะ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว
ถ้าลงขาดสติแล้วอะไรเหลวไหลทั้งนั้น
งานนอกงานในเหลวไหลไปหมด ขาดสติเสียอย่างเดียว
ถ้าสติดี งานใดยิ่งละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ
สติเป็นพื้นฐานทุกด้านทุกทาง ไม่มีคำว่าครึล้าสมัย
ในธรรมทุกขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ถึงขั้นสูงสุด
ปราศจากสติไม่ได้เลย
สติเป็นสำคัญ เป็นพื้นฐานแห่งการชำระล้างกิเลสทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นขอให้พระนำไปปฏิบัติ
ใครมีสติดีคนนั้นแหละจะประคองความเพียรได้ดี สติตั้งให้มั่นคง
เช่นเราอยู่กับคำบริกรรมคำใด ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรม หรือจิตมีความสงบ
ให้ตั้งอยู่ในจุดแห่งความสงบเรื่อย ๆ ไปอย่างนี้
สติติดแนบ ๆ จำให้ดี สติเป็นพื้นฐานแห่งการชำระกิเลสทุกประเภท
ไม่เหนือสติไปได้เลย นี่ได้พิจารณามาแล้ว ได้ปฏิบัติมาแล้วด้วย
ที่ได้มาสอนหมู่สอนเพื่อนจึงองอาจกล้าหาญในการสอน
ว่าไม่ผิด เพราะเราดำเนินมาแล้ว....
แสดงกระทู้ - ...สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท....(หลวงตามหาบัวฯ) • ลานธรรมจักร
https://dhammaforheart.com/archives/471 -
อนาคตวงศ์พระนิยตโพธิสัตว์ ๓๐ พระองค์
เรานี้แปลว่าหน้าที่ของทุกคนนั้นเอง มันต้องผ่านพบปะสิ่งเหล่านี้ตลอดไป ให้เราทุกคนฟังแล้วให้คิดอ่านพิจารณาตัวของตนต่อไป จะได้เป็นปัจจัยเป็นเครื่องเตือนตัวของเราต่อไปภายเมื่อหน้า
หน้าที่นรกไป หน้าที่สวรรค์ไป หน้าที่เป็นผีไป หน้าที่เป็นเปรตไป เอากันอยู่อย่างนี้ตลอดเป็นนิตย์ กลับไปกลับมา ให้นึกถึงคุณงามความดีของตน จึงให้กันพอใจสะสมสมบัติความดีของตน บุญของพวกเราในอดีตได้ทำมาดีแล้ว แต่ก็ให้เพิ่มความดีของตน จึงจะได้ชัยชนะภายในวันข้างหน้า จึงจะได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยะบุคคล พระอริยะบุคคลที่ท่านได้สำเร็จสิ่งความชั่วได้เด็ดขาด ในใจของท่านจึงได้สำเร็จเป็นพระอริยะบุคคล พ้นจากบุญ พ้นจากบาป มีธรรมะเป็นที่อยู่ในใจของตน
มันยังจะได้เกิดในโลกนี้นับบ่ได้ล่ะ ตายเกิด ตายเกิด อยู่จนตลอดไป ชีวิตที่อายุยาว ก็อสงไขยปีตาย ชีวิตที่อายุสั้นๆ ก็ ๑๐ ปีตาย มันจะผ่านต่อไปเมื่อหน้า
พระศรีอารียะฯ ต่อแต่นี้จะไปตรัสรู้เป็น พระศรีอาริยะเมตไตรโยพุทธเจ้า ๒ กัป ๑ คนอายุ ๑๐๐ ปีลง เมื่อครบรอบ ๑ ปี อายุลดลง ๑ ปี ๑๐๐ปี เมื่อรอบหลุด ๑ ปี จนถึงอายุไขยมนุษย์ถึง ๑๐ ปีตาย ปี ทุกๆ ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี... -
ลูกที่ดีต้องดูด่วน!! “3 คาถาบูชาพ่อแม่” สวดทุกวัน แล้วชีวิตจะพบเจอแต่โชคลาภ จากร้ายกลายเป็นดี…
เทศกาลสำคัญที่กระตุ้นความรู้สึกให้หลายคนระลึกถึงความสำคัญของผู้มีพระคุณ คงหนีไม่พ้นวันพ่อ และ วันแม่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราสามารถแสดงออกถึงความรักที่มีต่อพ่อแม่ได้ทุกวัน ไม่ว่าคุณกับพ่อแม่จะอยู่ห่างไกลกันหรือเดินสวนในบ้านเดียวกัน ก็ไม่ควรจะปล่อยละเลย
นอกจากการนำพวงมาลัยและรดน้ำขอขมาแล้ว ก็ยังมีการสวด คาถาบูชาพ่อแม่ ทุกครั้งก่อนนอนโดยอานิสงค์ที่สวดจะทำให้คุณและครอบครัวมีความสุข หรือหากว่าในวันแม่ที่จะถึงนี้ คุณจะนำพวงมาลัยพร้อมกับ คาถาบูชาพ่อแม่ ไปสวดพร้อมกันเลยก็ได้ จำไม่ได้ก็จดใส่กระดาษเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถตอบแทนบุญคุณพ่อกับแม่ได้แล้ว ขอให้ทุกๆ วัน เป็นวันแม่
1. อิมินาสักกาเรนะ ข้าขอกราบสักการะบูชา อันพระบิดร มารดา ตัวข้าขอน้อมระลึกคุณ ท่านมีเมตตาการุณ อุปการะคุณต่อบุตรธิดา
ท่านให้กำเนิดลูกมา ทั้งการศึกษาและอบรม ถึงแม้ลำบากขื่นขม ทุกข์ระทมสักเพียงใด ท่านไม่เคยหวั่นใหว ต่อสิ่งใดที่ใด้เลี้ยงมา
พระคุณท่านล้นฟ้า ยิ่งกว่าธาราและแผ่นดิน ข้าขอบูชาเป็นอาจิณ ตราบจนสิ้นดวงชีวา ขอปวงเทพไท้รักษา อันพระบิดรมารดาของข้า เทอญ..
2. มัยหัง มาตาปิตูนังวะปาเทสุ วันทามิ สาทะรัง (กราบ 1... -
อาถรรพ์คำพูด
ตอนเด็กๆ ลุงพราหมณ์เคยกล่าวสอนฉันเสมอ “จงเมตตาให้มาก เมตตาเป็นธรรมะปกครองคน และจงพูดจาเปี่ยมด้วยความเมตตา” หลายๆอย่างที่ลุงพราหมณ์สอนฉัน และสิ่งหนึ่งที่ฉันจำได้คือทุกครั้งเวลาที่ลุงพราหมณ์ทำพิธี ลุงจะห้อยสร้อยคอ มีรูปเศียรช้างสีขาว แกว่งไกวไปมาเมื่อลุงเริ่มสวดอัญเชิญเทวดา ดูมีพลังและมนต์ขลังเสมอ เสียงเป่าแตรสังข์ ขั้นตอนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธ์ ชายชราในชุดขาววัยเก้าสิบสองปีทำพิธีดูราวกับหนุ่มๆ ท่านมักสอนข้อคิด สอนการสวดมนต์ และพิธีอัญเชิญต่างๆ อาจเป็นเพราะความเอ็นดูหรือรู้ว่าฉันสนใจเรื่องพิธีกรรมของคนโบราณก็เป็นได้ องค์พระคเณศสีดำที่ลุงมอบให้ มักเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันมักพกไปไหนเสมอ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพระลึกถึงครูบาอาจารย์ทางวิชาชีพและเตือนตัวเองไม่ให้ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ
ฉันชอบตัวอักษรที่ท่านมักเขียนบ่อยๆ ท่านกล่าวว่าทั้งตัวอักษรและคำพูดล้วนมีความศักดิ์สิทธ์ และคำหยาบคายต่างๆล้วนไม่เป็นมงคล เช่นเดียวกับก๋งของเพื่อน ฉันชอบเวลาที่ท่านหยิบ “จื่อหนานเจิน” หรือเข็มทิศจีนเวลาที่จะอ่านชะตาฟ้าดิน หรือเหตุมงคลต่างๆ ให้เพื่อนของฉันฟัง ฤกษ์มงคลหรืองานแต่งงานต่างๆ ทุกคนล้วนจะเดินทางมาหาก๋ง... -
เรื่องเล่าจากห้อง ไอซียู***ประสบการณ์จากการสวดคาถาพระมหาจักรพรรดิ***
ประสบการณ์จากการสวดคาถาพระมหาจักรพรรดิ เรื่องเล่าจากห้อง ไอซียู
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม่เพื่อนของข้าพเจ้า ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องผ่าตัดสมองด่วน หลังจากผ่าตัดอาการโดยรวมยังคงตัว สามารถลืมตาได้เป็นระยะ เริ่มหายใจเองได้ แต่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู และมีไข้เป็นระยะ เพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้ นับถือหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ข้าพเจ้าจึงวานให้เพื่อนข้าพเจ้าอีกท่าน ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล ให้นำรูปหลวงปู่ดู่ไปติดให้ผู้ป่วยมองเห็น และนำซีดีบทสวดพระคาถาจักรพรรดิ ไปเปิดฟังในห้องรักษา พร้อมกับแจ้งให้เพื่อนๆช่วยกันสวดมนต์ให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หลังจากผ่านไปสองวัน ผู้ป่วยก็มีอาการละเมอ(ขณะนี้สติยังไม่กลับมา)พูดกับบุรุษพยาบาลว่า
ผู้ป่วย: พระมา พระมา
บุรุษพยาบาล: ไหนๆ
ผู้ป่วย :ชี้ไปที่รูปหลวงปู่
บุรุษพยาบาล:ไหน หลวงปู่ที่ไหน
ผู้ป่วย :ชี้ไปที่เก้าอี้ และบอก พระมา
เพื่อนข้าพเจ้าได้ส่งข้อความนี้มาให้ข้าพเจ้าอ่าน ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า หลวงปู่ดู่ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นจริงๆ มาเพื่อที่จะช่วยเหลือตามคำร้องขอ ของเหล่าลูกหลานพรหมปัญโญ ที่ช่วยกันอธิษฐาน ท่านไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือ... -
เป็นประธานถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3 วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้ - หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
" ลูกเอ๋ย..บุญที่เราทำชาตินี้ชาติหน้าจะเริ่มส่งผล
แต่เป็นประธานถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3 วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้เลยนะ..."
หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
ถ้าทอดแล้วถึง๒-๓ครั้งความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม
แต่ ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้นรู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้นหาลาภสักการคล่องตัว ขึ้นท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล
-- หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน -- -
อานิสงส์ของการทอดกฐิน สามารถบันดาลคนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จผล
" ลูกเอ๋ย..บุญที่เราทำชาตินี้ชาติหน้าจะเริ่มส่งผล
แต่เป็นประธานถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3 วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้เลยนะ..."
หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
ถ้าทอดแล้วถึง 2-3 ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม
แต่ ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้นรู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้นหาลาภสักการคล่องตัว ขึ้นท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล
-- หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน -- -
การขนศิษย์ไปนิพพาน คุณวิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
การขนศิษย์ไปนิพพาน (คุณวิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม)
ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ)
พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีขั้นวิริยาธิกะใช้เวลาสิบหกอสงไขย กับแสนกัป และปรมัตถบารมีเต็มแล้วนั้น ย่อมมีบริวารที่ปรารถนาจะเป็นสาวกร่วมกันมากมายมหาศาล
และเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ลงมาเกิดแต่ละชาตินั้น บริวารส่วนใหญ่จะตามลงมาเกิดด้วย เพื่อสร้างบารมีให้เต็ม แต่จะมีบริวารอีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจติดอยู่ในภพภูมิอื่น ๆ หรือลงมาเกิดไม่ทัน
ดังนั้น บริวารของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงตกค้างวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เป็นจำนวนมากนับตั้งแต่บริวารของสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นมา
จนกว่าบารมีจะเต็มหรือมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มาโปรดและได้ตามลงมาเกิดด้วย เพื่อเร่งบำเพ็ญบารมีจนบรรลุอรหัตตผลในพุทธกาลนั้น ๆ
ผู้เขียนเคยถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า ท่านจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหน (ที่เหลือก็ฝากพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป)
ท่านตอบว่า "ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่"
ท่านยืนยันว่าลูกศิษย์ของท่าน หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสี่ร้อยคนเศษนี้
ท่านพบหมดแล้ว (ในภพภูมิต่าง ๆ) ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. ๒๕๓๓... -
รักษาอภิญญาสมาบัติและปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา
ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ
และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้
ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้
รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์
ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก
ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ
อ่านเพิ่ม การขนศิษย์ไปนิพพาน คุณวิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
คัดลองบางส่วนจากหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
โดย...ศ.ดร. ปริญญา นุตาลัย -
★ บุญบารมีกับการบรรลุธรรม (วิถีแห่งการบำเพ็ญ)
ถาม: เห็นพระท่านว่าคนมีบุญบารมีจะรวย รักษาศีลก็จะรวยแนะนำให้ทำบุญไว้เยอะๆ
แต่ทำไมพระที่ท่านสำเร็จอรหันต์จึงมักเกิดในตระกลูยากจน ก็เลยทำให้เราไม่มั่นใจ
อาจารย์: เป็นคำถามที่ดีมากนะ มันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการเกิดแต่ละชาติของท่าน
ถ้าเป็นชาติสุดท้าย หลายท่านเลือกเกิดในที่กันดารเพื่อจะไม่จมในโลก ปล่อยวางได้ง่าย แต่พอท่านสำเร็จแล้วดูซิ
คนก็แห่เอาของมาประเคนให้ท่านเพราะบุญบารมีเดิมท่านมีแต่ท่านจะใช้ในยามเหมาะสม
หรือถ้าเป็นชาติที่บำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะถูกจัดสถานการณ์บีบคั้นไว้ให้เพื่อเจริญธรรม
เช่น พระแม่กวนอิม เคร่งครัดในศีลจนเกินกว่าที่จะอยู่ในโลกตามปกติได้ พ่อขอร้องก็ไม่เลิก บังคับก็ไม่เลิก ถูกพ่อสั่งประหาร
ท่านยอมตายดีกว่าเสียศีล จนข้างบนทนไม่ได้ต้องพาไปไว้บนเกาะ ท่านก็บำเพ็ญจนมีฤทธิ์
หรืออย่างพระเวสสันดร ถูกประชาชนประท้วงที่ยกช้างคู่บ้านคู่เมืองให้คนอื่น
ขอให้พระมหากษัตรย์ซึ่งเป็นพระราชบิดาเนรเทศออกจากเมืองต้องไปอดอยากตกระกำลำบากอยู่กลางพงไพรกับคู่ทุกข์คู่ยาก
แต่ในที่สุดคนก็อภัยให้ท่านและไปรับท่านกลับมาครองเมือง ถ้าขืนไม่รับกลับนี่บ้านเมืองคงเสียหาย... -
คาถาอภิญญา ๒ บท ที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ
พระคาถาอภิญญานั้นแบ่งออกเป็น ๒ บทด้วยกัน บทแรกคือ สัมปะจิตฉามิ ถ้าจะภาวนาคาถาบทนี้ ให้ขึ้นต้นด้วยนะโมฯ ๓ จบ พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ แล้วภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ จนครบก่อน หลังจากนั้นจึงภาวนา สัมปะจิตฉามิ ถ้าหากว่าเราทำคาถาบทนี้ขึ้น จะมีความสามารถคล้ายกับผู้ที่ฝึกอภิญญาจากพื้นฐานของกสิณ ๑๐
ส่วนพระคาถาอภิญญาอีกบทหนึ่ง เรียกง่าย ๆ ว่าพระคาถาอภิญญาใหญ่ ก็คือบท โสตัตตะภิญญา บทนี้ถ้าเราภาวนาแล้วทำขึ้น ก็จะมีฤทธิ์ มีอำนาจเหมือนกับใช้กสิณ ๑๐ ได้โดยตรง พระคาถาบทนี้วิธีการง่ายกว่า คือน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วก็ภาวนาได้เลย
คาถาทั้งสองบทนี้เมื่อภาวนาไปแล้วจะเกิดผลสองประการ ประการแรก ก็คือ พอภาวนาไปแล้ว เราจะเห็นแสงสีทอง จะเป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่นผืน หรือสว่างโดยไม่มีประมาณ หรือเหมือนกับฟ้าแลบก็ตาม
เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราเห็นแสงสีทองแล้ว ให้น้อมใจค่อย ๆ ตะล่อมเอาแสงนั้นเข้ามาในอกของเรา ถ้าสามารถรวมเป็นดวงโตสว่างไสวสีทองอยู่ในอกของเราเมื่อไร ร่างกายของเราจะลอยพ้นพื้น ต้องตั้งสติให้ดี ๆ... -
เทวดาผู้ทรงฌาน มาทดสอบผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และวิธีแก้ไข
การต้องถูกพิสูจน์นี่มีน้อยคน ไม่ใช่ทุกคน ท่านที่ถูกพิสูจน์อย่างหนักจริงๆ หนักมาก ก็ต้องเป็นพวกที่มาจากพระโพธิสัตว์ อดีตเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน อยากเป็นพระพุทธเจ้า การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องถือว่าจอมทัพ ท่านที่จะเป็นจอมทัพ ปราบข้าศึกคือ กิเลส ต้องมีความเข้มแข็งมาก
ท่านพวกนี้จะถูกพิสูจน์ด้วยเทวดาชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเป็นเทวดาผู้ทรงฌาน แต่เทวดาเขาจะพิสูจน์เรา ก็ต่อเมื่อเราไม่กลัว ถ้าเรายังกลัวอยู่เขาไม่มาหรอก เสียเวลา และท่านพวกนี้ต้องมาจากสายพุทธภูมิ สายสาวกภูมิเขาไม่ลองมากเดี๋ยวเป็นบ้าไปเลย ดีไม่ดีเดี๋ยวเลิก เพราะกำลังใจอ่อนการทดลองของเขาก็ไม่ซ้ำแบบ ถ้าเรากลัวเขาก็เลิก หรือเราไม่รู้จักกลัวเขาก็เลิก คนไม่กลัวจริงๆ นี่เลยบาท
กำลังใจของคนทุกคน อาจสู้กันไปสู้กันมา สู้ให้พ้นความตายเหมือนสู้กับข้าศึก คนเลยบาทคิดสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าร่างกายนี้นี่จะตายก็ช่างมัน แต่ความดีส่วนหนึ่งต้องเอาให้ได้ ถ้าความดีส่วนนี้เราไม่ได้เพียงใดเราจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด มันจะตายก็ยอม เรียกว่า รักธรรมะยิ่งกว่ารักชีวิต อย่างนี้เขาเรียก "คนเกินบาท" มีกำลังใจเข้มแข็งมาก
บทพิสูจน์ของเทวดา... -
พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)
ปี พ.ศ. 2560 คือ กึ่งพุทธกาล ครบ 2,500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
การใช้ พ.ศ. ของประเทศไทยคลาดเคลื่อน
1). The Cambridge and Oxford histories of India ยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน 483 ปีก่อน คริสตศักราช
ปีนี้ 2017 + 483 = ปี 2500
พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี
พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี
The Cambridge and Oxford histories of India accept 483 B.C as the date of Buddha’s nirvana.
He was 80 years old when he died, so this puts his birth year at 563 BCE
2). ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บอกว่า การเรียก พ.ศ.ผิดนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตามชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่า พระเจ้าอโศกเสวยราชย์ ระหว่าง พ.ศ.214-255
ที่ทราบว่าผิดความจริง ก็เพราะพระองค์ส่งสมณทูตไปตามเมืองต่างๆ (กระทั่งสุวรรณภูมิ) เมืองเหล่านี้มีศักราชจดไว้แน่นอน เทียบศักราชดูแล้ว พบว่า นับ พ.ศ.มากเกินไป 1 รอบ คือ 60 ปี
อ้างอิง
3). ถ้า พ.ศ. ของไทยคลาดเคลื่อนตามเหตุผลข้างต้น
ปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 2,500 ปี
ดังนั้นปี พ.ศ. 2560 ครบ 2,500 ปี... -
ระหว่างกรรมฐาน ๔๐ กองกับมโนมยิทธิ ผมควรจะฝึกอะไร ?
ถาม : ผมขออนุญาตถามเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาครับ ?
ตอบ : ชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นไปได้ก็คือ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงอย่าทิ้งการภาวนา แต่ส่วนใหญ่พวกเราทำครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงแล้วก็ทิ้ง เหลืออีก ๒๐ กว่าชั่วโมง ก็เลยไม่พอรับประทานสักที
ถาม : ระหว่างกรรมฐาน ๔๐ กองกับมโนมยิทธิ ผมควรจะฝึกอะไร ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก เพราะสร้างสติและทำให้เกิดกำลังในการต่อต้านกิเลส
สำหรับมโนมยิทธิ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง จะหลงทางได้ง่ายที่สุด
ให้เข้าใจไว้ว่ามโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นกรรมฐานที่ช่วยให้เราตัดกิเลสได้ง่ายที่สุด
แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ยึดติดได้ง่ายที่สุด หลงผิดได้ง่ายที่สุด
เป้าหมายที่แท้จริงของมโนมยิทธิ คือ รู้พระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง
จดจำเอาอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสข้างบน แล้วมาปฏิบัติต่อข้างล่าง
พอซักซ้อมจดจำอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสไว้บ่อย ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
ท้ายสุดก็จะหมดสภาพไปเอง
แต่เท่าที่เจอมาร้อยละ ๙๙.๙๙ ก็คือ พอรู้แล้วแทนที่จะละ กลับรู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นอย่างโน้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา... -
ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ถาม : ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ตอบ : คนเรามีคนตามรักษาเป็นปกติ แล้วอีกอย่างหนึ่ง บรรดาผี บรรดาเทวดาต่าง ๆ มีอยู่รอบตัวของเรา มีโอกาสเห็นเขาถือว่าโชคดีแล้ว
ถาม : เขาจะทำอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งแต่เห็นมา เขาทำอะไรเราหรือยัง ? แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปทุกวัน ๆ ส่วนใหญ่พวกเรากลัวจนเกินเหตุ ถ้าเห็นอย่างอาตมาก็คงจะช็อกตายไปแล้ว เหมือนอย่างกับคนเห็นมากจนเลิกกลัวไปเอง
เอาเป็นว่า ถ้าเราสามารถทำใจได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัย แล้วยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ต่อให้โคตรผีก็ทำอะไรไม่ได้...! เรื่องของผีเรื่องของเทวดา เขามีกฎของภพภูมิคอยขวางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาจะมากลั่นมาแกล้ง มาทำอะไรเราได้ง่าย ๆ ใครอยากซวยก็ลองทำดูเถอะ
หรือไม่ก็หัดสวดภาวนาคาถาภาณยักษ์ไปเรื่อย ๆ ตัวไหนอยากลองดีให้มาลอง ดูว่าเจ้านายท่านจะเฉ่งไหม ? เพราะคาถาภาณยักษ์เป็นคาถาที่ท้าวเวสสุวรรณท่านมอบให้กับพระ ถ้าหากว่าใครสวดคาถานี้แล้วผีหรือเทวดายังกลั่นแกล้ง ท่านถือว่าตั้งใจขบถต่อท้าวมหาราช เท่ากับหาเรื่องซวย..!
วัดท่าขนุนเขาสวดกันทุกวันแหละ ขึ้นด้วย นะโม เม สัพพะพุทธานัง... -
การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ถาม : การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีเลย ถ้าไม่เอาอานาปานสติก็หยุดความฟุ้งซ่านไม่ไหวหรอก อานาปานสติเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง ยิ่งมีความฟุ้งซ่านยิ่งจำเป็นจะต้องหยุดด้วยอานาปานสติ บางคนบอกว่าผมไม่เห็นต้องใช้อานาปานสติเลย แค่คิดก็หยุดได้แล้ว อันนั้นแสดงว่าข้ามขั้นไปจนเป็นฌานแล้วแต่ตัวเองไม่รู้
ถาม : บางท่านก็บอกว่า อารมณ์นี้ละเอียดเกินไป อย่างนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของเขา กำลังใจของเขายังไม่ถึงตรงจุดนั้น ก็จะรู้สึกว่าละเอียดเกินไป หนักเกินกำลังของตน แปลว่ากำลังใจต่ำมาก
ถาม : ....(ไม่ชัด).....อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าช่วยได้ก็ช่วยได้ แต่ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุมอยู่ สติก็ไม่มั่นคง ไปกำหนดทีเดียวหมดก็พลาดจนได้
ถาม : ขนาดเดินอยู่ก็พลาดจนได้ ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุม ?
ตอบ : ใช่...คุณเดินอยู่ก็คิดไปหลายร้อยเรื่องแล้ว บางทียังไม่รู้ตัวเลย
ถาม : แสดงว่าขณะกำหนดสติ ก็จำเป็นต้องมีอานาปานสติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วจำเป็นต้องมีเลย เพราะว่าสติจะรู้ตัวก็ต้องมีตัวควบคุม... -
จะแก้ความโกรธต้องเอาพรหมวิหารสี่มาแก้ใช่ไหมคะ ?
ถาม : จะแก้ความโกรธต้องเอาพรหมวิหารสี่มาแก้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เอาแค่สมาธิก็ได้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ก็โกรธใครไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นการแก้โดยตรง
ถาม : แต่เวลาบางครั้งที่โกรธขึ้นมา จะวิ่งไปหาสมาธิ เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความเคยชิน สภาพจิตโกรธด้วยอำนาจกิเลส อีกส่วนหนึ่งคือรู้ว่าต้องมาทางนี้ถึงจะปลอดภัยก็วิ่งไปหาสมาธิ คือถ้าทางนี้กำลังสูงกว่าก็ชนะ ก็ไม่ต้องไปโกรธใคร ฉะนั้น...ต้องซักซ้อมเอาไว้ เอาให้กำลังสูงกว่าชนิดที่ไม่ต้องไปคิดโกรธใครเลย
ถาม : แต่ถ้าเราไม่พูด คนอื่นก็จะเสียหายด้วย ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทนให้คนอื่นโกรธ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะทำเพื่อคนอื่นก็ต้องเสียสละตัวเอง
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน) -
บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่จิตฟุ้งซ่านก็จะห่างจากสมาธิ
อย่าพูดในเรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกัน
ถาม: ...
ตอบ: ทำเว็บก็อย่าไปเถียงกันกับเว็บอื่น ...(หัวเราะ)... ดู ๆ แล้วน่าเบื่อเหมือนกัน มีอยู่ ๒ สถานด้วยกัน
สถานแรกคือ พอคุยไปคุยมา ต่างคนเกิดทิฏฐิขึ้นมา
อย่างที่สองคือ ความรู้ยังไม่ถึงจุดนั้น ก็ชี้แจงแสดงเหตุให้เด็ดขาดลงไปไม่ได้ เลยกลายเป็นที่ถกเถียงกันไปเรื่อย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า จงอย่าพูดในเรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่จิตฟุ้งซ่านก็จะห่างจากสมาธิ ท่านตรัสเอาไว้ชัดเลย
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3904 -
"การขอขมากรรมกับบิดามารดา" ทำแล้วชีวิตดีขึ้นทันตา
"การขอขมากรรมกับบิดามารดา" ทำแล้วชีวิตดีขึ้นทันตา
สาเหตุสำคัญที่เป็นกรรมหนักที่ขัดขวางไม่ให้คนนั้นเจริญและร่ำรวยได้ มาจากความไม่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้ที่มีพระคุณ ผลของกรรมหนักนี้จะไปเป็นอุปสรรคกรรมสำคัญที่ปิดกั้นหรือขวางทางชีวิตไว้
ครูบาอาจารย์ท่านเน้นเลยว่า ต้องทำเป็นเรื่องแรก ก่อนไปปลดกรรมลดกรรมอื่นทั้งปวง ถ้าทำเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นๆ จะสำเร็จโดยง่ายดาย
คนที่เป็นลูกที่ทำความช้ำใจให้พ่อแม่อยู่เนืองๆ นั้น ได้สร้างบาปกรรมให้กับตัวเองตลอดเวลาจนอยากที่มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าได้ ประเภทอยากได้อะไรก็จะบังคับขู่เข็ญพ่อแม่ไม่ได้ดูเหตุผลอะไรเลย พูดจากก้าวร้าวเอาแต่ใจตัวเอง ประพฤติตนไปในทางเสื่อม ทำให้พ่อแม่ช้ำใจอยู่เนื่องๆ ไม่เลี้ยงดูตอบแทนท่านทอดทิ้งท่านหลายครอบครัวซ้ำร้ายไปกว่านั้นอีก แยกไปมีครอบครัวใหม่ยังไม่พอ ยังเอาลูกหรือหลานมาให้พ่อแม่เลี้ยงดูอีกโดยไม่ดูแลค่าใช้จ่าย คิดเอาแต่ได้เอาความสบาย ลูกแบบนี้สร้างเวรกรรมไม่ดีกับพ่อแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โบราณท่านกล่าวว่า ผู้ใดทำให้พ่อแม่ร้องไห้น้ำตาตกนั้น คนผู้นั้นไม่มีวันเจริญได้ในชาตินี้
สำหรับคนที่อยู่ในข่ายนี้... -
นิมิตกรรม หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยนได้รับนิมิตว่า มีผู้หญิงอายุมากแล้วคนหนึ่งใส่บาตรท่านเพียงครั้งเดียว ได้เคยคิดจะถักหมวกถวายท่านเพื่อสวมในหน้าหนาว ท่านเห็นในนิมิตว่า เขาไปหาท่านและพูดว่า
“จะขอลาแล้ว”
พระอาจารย์เปลี่ยนจึงส่งจิตไปดูที่บ้าน พบว่ากำลังใกล้จะตาย ลมหายใจสั้นลง และสิ้นในที่สุด พอตายแล้วมีผู้หญิงสองคนมาจับแขนผู้หญิงที่ตาย แล้วเอาแส้เฆี่ยนตีด้วย รุ่งขึ้นเช้า พระอาจารย์เปลี่ยนออกบิณฑบาตได้พบลูกเขยของผู้หญิงคนนั้น
จึงถามว่าแม่เสียแล้วใช่ไหม ลูกเขยแปลกใจที่ท่านทราบ พระอาจารย์เปลี่ยนจึงบอกว่าเขาไปลาท่านที่วัด เขาไปไม่มีสุข เขามีทุกข์ ทำบุญอุทิศให้เขาบ้าง และใส่เสื้อให้เขาด้วย
ปกติผู้หญิงคนนี้ชอบทำแต่ปาณาติบาต แต่ลูกเขยและลูกสาวชอบทำบุญอยู่เสมอ นิมิตในเรื่องนี้จึงเป็นทุคตินิมิต
ส่วนสุคตินิมิตนั้นพระอาจารย์เปลี่ยนได้พบในเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งชอบถวายดอกไม้ ธูปเทียน ทุกครั้งที่ไปวัดหรือไปหาพระอาจารย์เปลี่ยน เมื่อตายแล้วปรากฏว่ามีดออกไม้เคารพศพเป็นจำนวนมาก หญิงผู้นี้ได้ไปสู่สุคติ
นอกจากนั้นชาวบ้านหลายคนที่เคยถวายปัจจัยค่ารถ ค่ายานพาหนะแก่พระ เมื่อเวลาจะละสังขารไป... -
คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 3 ประการ
คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 3 ประการ
1. มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
2. มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
3. มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม
คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
.
.
หน้า 402 ของ 412