<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    รับทราบครับผม............................
     
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    ม่ายหว่ายยยยยย
    คับป๋ม
    ............................
     
  3. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    รายการที่43.>>>กุมารดูดทรัพย์ ขนาดกลางนี้ สร้างจากชนวนพระกริ่งตะกูลชินบัญชร บรรจุผงพรายกุมาร ให้บูชาพร้อมสีผึ้ง ภาพยันต์เสกหลวงปู่ทิม และวิธีใช้ ครบชุดครับ
    พรุ่งนี้ผมโอนให้นะครับ คุณโม ด้วยความเคารพครับ
     
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    รับทราบครับ ขอบคุณมากนะครับ:VO
     
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ปัญหานรกสวรรค์มีจริงหรือ โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย

    ถาม ปู่เคยเกิดมากี่ชาติกว่าจะถึงชาติปัจจุบันนี้
    [​IMG]
    ตอบ ก็ บอกแล้วว่านับไม่ได้ จะมาถามพี่ภพกี่ชาติอะไรกันอีก ไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าภพชาติของสัตว์รายหนึ่งๆ ที่ตายเก่าตายใหม่ ถ้ารวมกันเข้าโลกมนุษย์มองเห็นแล้วตับแตก ดีฝ่อ ขาหักวิ่งเตลิดเปิดเปิงเอาตัวรอดเพราะความกลัวซากผีที่ตายเก่าใหม่เกลื่อน แผ่นดินถิ่นอาศัยตลอดแดนโลกธาตุ ไม่มีที่จะจรดลงกระทั่งปลายเข็ม จะว่าไง ยังไม่เชื่อความจริงที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้อยู่หรือ แล้วจะเชื่อใครที่ดีเลิศกว่านี้ ถ้าเชื่อกิเลสดังที่เคยเป็นมา ก็ต้องจมลงไปนับภพชาติของตนไม่จบอีกนั่นแล ความจริงเป็นอย่างนี้ ปู่เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ใครจะว่าโง่ก็ว่าไป แต่ปู่ไม่ยอมแก้ไขโง่แบบนี้เด็ดขาดจะยอมโง่แบบนี้ตลอดไป


    ถาม จะทำอย่างไรจึงจะพ้นจากการนับชาติไม่จบสิ้นเล่าปู่

    ตอบ ก็ต้องทำความดีมีการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งเป็นเหมือนดาบอันคมกล้าตัดกิเลส ตัณหา ตัดภพ ตัดชาติให้เบาบางและสั้นเข้ามา เมื่อบำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ลดละปล่อยวาง ความดีเหล่านี้ย่อมจะมีกำลังกล้าขึ้นโดยลำดับและตัดกิเลสตัดภพชาติให้สั้น เข้ามาจนถึงภพชาติปัจจุบัน และรู้เท่าทันพร้อมทั้งตัดกิเลสอันเป็นเชื้อแห่งภพที่ฝังอยู่ภายในใจให้ ขาดกระเด็นออกเป็นผุยผงไม่มีชิ้นต่อกันกับใจอีกเลย แล้วภพชาติจะเรียกโคตรแซ่ที่ไหนจะมาพาให้เกิดแก่เจ็บตายเพื่อหาบหามกองทุกข์ น้อยใหญ่อีกต่อไปเล่า ถ้าลงใจได้บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว เมื่อใจได้ถึงขั้นนี้แล้ว กิเลสอย่างไรก็เรียกไม่กลับแน่นอน ปู่กับกิเลสมันเคยฟัดกันมาอย่างโชกโชนถึงขนาดใครดีใครอยู่ ใครไม่เก่งจงบรรลัย สุดท้ายกิเลสบรรลัย พระพุทธเจ้าบรมศาสดาของพวกเราเพียงสลบเท่านั้น สำหรับปู่เองเมื่อลมหายใจสิ้นเมื่อไร ไม่อยู่ ปู่ต้องไป ขี้เกียจแบกหามธาตุขันธ์อันนี้เต็มประดาแล้ว


    ถาม ปู่จะกลับมาเกิดให้ลูกหลานได้กราบไหว้อีกหรือเปล่า

    ตอบ ฟัง ธรรมนั่น ฟังให้ดี ฟังเพื่อสติปัญญา อย่าฟังเพื่อกิเลสหัวเราะ ปู่โง่ๆ ยังอดขันไม่ได้ จะสอนอย่างไร สอนโลกจึงจะเข้าใจ ฟังไปเท่าไรๆ ก็ไม่พ้นกิเลสมากอบโกยผลรายได้ไปกินหมด มีแต่ตัวเปล่า กิเลสมันฉลาดดังที่เห็นๆ อยู่นี้แลแต่มันทำสัตว์ให้โง่ไม่มีอะไรเกินมัน


    ถาม คนส่วนมากสงสัยเรื่องบุญ - บาป นรก สวรรค์ นิพพาน ว่าจะมีจริงดังธรรมท่านสอนไว้หรือไม่หนอ พระพุทธเจ้าผู้สอนธรรมเหล่านี้ก็เข้าสู่นิพพานไปนานสองพันกว่าปีแล้ว พระวาจาของพระองค์จะยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่หนอ ดังนี้มีมากในชาวพุทธเราเองนี่แล สงสัยและพูดกันอยู่ทั่วไป

    ตอบ ข้อนี้ก็น่าเห็นใจ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นประจักษ์กับตัวเองตามที่ท่านบอกไว้ ก็อดสงสัยไม่ได้เป็นธรรมดาของคนมีกิเลสตัวมืดมิดปิดทวาร แต่อย่างไรก็ตามถ้าสนใจในเหตุผลอรรถธรรมอยู่แล้วก็มีทางจะรู้จะเห็นและเชื่อ ได้ไม่สุดวิสัย ข้อสำคัญเราเป็นลูกชาวพุทธ ที่ทรงประกาศสอนธรรมะไว้ ด้วยความถูกต้องแม่นยำตามหลักแห่งสวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ทุกแง่ทุกมุม ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย จึงควรยกศาสดาเป็นหลักใจไว้ จะดีกว่ายกความสงสัยไว้ทำลายใจ

    ส่วนความ เข้าใจว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานไม่มี นั้นเป็นเรื่องของกิเลสปิดตั้งใจไว้ ไม่ยอมให้สัตว์โลกรู้เห็นสิ่งมีอยู่นั้นๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีที่เป็น ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศมาปิด เรื่อง บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านั้น แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ตลอดพระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่มีพระองค์ใด องค์ใดเคยรู้เคยเห็นมาก่อนที่ธรรมยังไม่เข้าสู่พระทัยและสู่ใจ ต้องปฏิบัติลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาวไปก่อน

    ดังพระพุทธเจ้าของเราก็เคย ทราบในพระประวัติว่า ทรงบำเพ็ญทดลองหลายวิธี จึงทรงพบเงื่อนแห่งความถูกต้อง อันเป็นสายทางที่จะให้ตรัสรู้ธรรม วิธีนั้นคืออานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยมีพระสติปัญญาสังเกตในวิธีการที่ทรงบำเพ็ญ จนปรากฏผลเป็นความสงบเย็นและแน่พระทัยว่าถูกทาง ปฐมยามก็ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติถอยหลัง ที่ไม่เคยบรรลุมาก่อนได้ ประจักษ์พระทัยหายสงสัยโดยไม่มีใครบอกเล่า มัชฌิมยามก็ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ ทรงรู้ความจุติและความเกิดของสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณได้โดยไม่มีใครบอก เล่า พอปัจฉิมยามก็ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ ญาณความรู้แจ้งความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้งมวล ไม่มีหลงเหลือในพระทัยเลย พร้อมด้วย วิชชา ๓ อภิญญา ๖ เป็นต้น ทะลุถึงโลกวิทู รู้แจ้งโลกในและโลกนอกตลอดทั่วถึง หายสงสัยโดยประการทั้งปวง สิ่งใดมีทั้งดีและชั่วตลอดธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือโลกสงสารก็ทรงรู้เห็น และยอมรับว่ามีว่าเป็นไม่ทรงลบล้าง และทรงปฏิบัติตามสิ่งที่มีที่เป็นนั้นๆ ตามที่ทรงเห็นควรว่าจะควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไรบ้าง และทรงสั่งสอนมวลสัตว์ด้วยวิธีการที่ทรงปฏิบัติและทรงรู้ทรงเห็นมา เป็นศาสนธรรมที่คงเส้นคงวาด้วยความถูกต้องแม่นยำมาตลอดปัจจุบันคือวันนี้

    เพราะ ความจริงไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ ไม่เกี่ยวกับการยังทรงพระชนม์อยู่และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย แต่ขึ้นอยู่กับความจริงที่เคยมีเคยเป็นอย่างไร ก็มีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายได้ทรงปฏิบัติและรู้เห็นบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มาแล้วอย่างเต็มพระทัย จึงทรงนำความจริงนั้นๆ มาประกาศธรรมสอนโลก และทรงเป็นศาสดาเต็มองค์ รู้เห็นธรรมเต็มพระทัย มิได้มีอะไรปลอมแปลงแฝงอยู่ในพระทัยบ้างเลยแม้น้อย ดังนั้นสิ่งที่รู้ที่เห็นและที่สั่งสอนจึงเป็นของจริงเต็มส่วน ควรแก่การปฏิบัติตามด้วยความหายสงสัยกังวลอย่างยิ่ง

    ถ้าลงพระ พุทธเจ้าเป็นที่ลงใจเชื่อไม่ได้แล้ว จะไปเชื่อใครได้ในไตรภพ คนๆ นั้นก็นับว่าหมดหวังและหมดทางเยียวยารักษา ถ้าเป็นโรคก็สุดวิสัย คอยแต่ลมหายใจเท่านั้น ถ้าจะเตรียม:pบเตรียมโลงก็ควรแล้ว เดี๋ยวจะเน่าเฟะเต็มบ้าน ที่กล่าวมาเหล่านี้คือข้อยืนยันของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาและนำธรรมมาสอน โลก

    ส่วนกิเลสตัวพาสัตว์โลกให้สวมแว่นตาดำมองอะไรเป็นหลังหมีไปทั้ง ตัวนั้น มันมีคุณสมบัติอะไร สัตว์โลกจึงเชื่อมันเอานักหนา ถึงกับไม่ยอมรับความจริงอะไรจากธรรมบ้างเลย กิเลสหมดทั้งโคตรแซ่พ่อแม่ลูกเต้าเหล่าหลานเหลนของมันมีกิเลสตัวใดโคตรแซ่ใด บ้างอุตริเกิดไปเห็น สวรรค์ นิพพาน แม้เพียงขณะสายฟ้าแลบ พอจะมีแก่ใจมาบอกและชักชวนสัตว์โลกให้ไปสวรรค์ นิพพาน กันบ้าง มีแต่มันหลอกมันต้มตุ๋นสัตว์โลก ฉุดลากสัตว์โลกให้ไปตกนรกทั้งเป็นทั้งตายเรื่อยมาแต่ต้นกำเนิดของมันโน่น ทั้งที่มันปฏิเสธว่านรกไม่มี แต่แล้วก็มันนั่นแลจับสัตว์โยนลงหม้อนรกทั้งเป็นทั้งตายด้วยความใจดำน้ำ โสโครกที่สุด ไม่มีอะไรจะเป็นจอมหลอกลวงสัตว์โลกอย่างแยบยลยิ่งกว่ากิเลสชนิดต่างๆ

    ความ มุ่งหมายของกิเลสเป็นอย่างนี้ คือ ถ้ามันจะบอกสัตว์โลกตามความจริงว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มี สัตว์โลกก็จะตะเกียกตะกายละบาป บำเพ็ญบุญเพื่อหลีกนรก ไปสวรรค์ นิพพานจากมันเสียหมด มันก็จะขาดผลรายได้จากสัตว์โลกอย่างพินาศขาดสูญ ฉะนั้น มันจึงปิดหูปิดตาปิดใจสัตว์โลกไว้อย่างมิดตัว ไม่ให้มองเห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานนั้นได้เลย มันปิดไว้หมด ดังนั้นแม้สิ่งเหล่านี้จะตั้งขวางหน้าอยู่ก็ตามสัตว์โลกจึงไมมีทางรู้เห็น ได้ เช่นเดียวกับคนที่ถูกมัดตาไว้อย่างมิดชิด แม้จะนำวัตถุหรือสีแสงต่างๆ มาวางขวางหน้าไว้ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ฉะนั้น กิเลสมันผูกมัดตาใจของสัตว์โลกไว้ก็เช่นเดียวกัน

    ดังนั้นชาวพุทธเรา จงพยายามแก้สิ่งมัดตาของมันออกด้วยการปฏิบัติจิตภาวนาเป็น สำคัญ ให้สติปัญญาเกิดภายในใจ จะพังม่านหรือกำแพงแห่งความมืดบอดที่มันปิดให้ออกได้โดยลำดับจนหมดสิ้นไป มองเห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานอย่างทะลุปรุโปร่งประจักษ์ใจหายสงสัยโดยไม่ต้องมีใครมาบอกแหละ หลังจากนั้นจะได้เห็นกลหลอกลวงของกิเลส วิชาต้มตุ๋นของกิเลสได้อย่างชัดเจนหายสงสัย

    ฟังซิ หลานๆ อยากฟัง ปู่พูดให้ฟังอย่างเปิดใจ ใครจะว่าบ้า ปู่ก็ไม่โกรธให้เขา เพราะทราบแล้วว่าเขาคนนั้นคือเครื่องมือทำลายของกิเลส ที่มันพาทำลายศาสนธรรม และทำลายจิตใจสัตว์โลกมามากต่อมากแล้ว ปู่จึงไม่หลงกลมัน ไม่ตื่นมัน แม้มันจะยกมาทั้งโคตรแซ่ มาด่าปู่ ปู่ก็ไม่โกรธ นอกจากจะหัวเราะขบขันเพลงกล่อมของมันที่ร่ายออกมาเพียงตื้นๆ ผิวเผินนิดเดียวเท่านั้น มิได้ลืกซึ้งกว้างขวางและไพเราะจับใจเหมือนศาสนธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือ โลกทั้งสามเลย ทั้งเป็นธรรมรื้อขนสัตว์โลกขึ้นจากนรกเมืองคนและนรกเมืองผีที่กิเลสตบตาปิด ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมามากต่อมากแล้ว บาป บุญ นรก สวรรค์นิพพาน เหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิม กิเลสทุกประเภทจะเสกสรรให้มีขึ้นและจะลบล้างทำลายให้ฉิบหายไปไม่ได้ เพราะเป็นของธรรมชาติและมีอยู่ดั้งเดิม ปราศจากสิ่งใด ผู้ใดไปก่อไปสร้างไปปรุงไปแต่งไปลบล้างทำลาย

    บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน อยู่เหนืออำนาจกิเลสที่จะไปอาจเอื้อมทำลายได้ แต่อยู่ตามหลักธรรมชาติของตน หลานๆ และชาวพุทธผู้เรียนและปฏิบัติธรรมอันเป็นธรรมมีอำนาจและสว่างกระจ่างแจ้ง เหนือกิเลสทั้งปวง จงเรียนและปฏิบัติให้ถึงใจ ถึงธรรม อย่ามัวมั่วสุมอยู่ในห้องขังของกิเลสให้มันกดขี่บังคับและร้องเพลงขับกล่อม ให้เราเคลิ้มหลับไม่มีวันตื่นจากหลับจากหลงอยู่ร่ำไปนัก จะเสียใจให้ตัวเองภายหลัง จะว่าปู่ไม่บอก

    ปู่น่ะเห็นทุกข์ที่มันโยน ให้แบกหามอย่างล้นหัวใจไม่มีที่เก็บมาแล้ว กลัวหลาน ๆ และชาวพุทธทั้งหลายจะแบกหามทุกข์ที่มันโยนมาให้แบกหามไม่มีวันปลงวางต่อไป ได้ตลอดอนันตกาลและไม่มีวันจบสิ้นลงได้ จึงได้เตือนแล้วเตือนเล่า ราวกับว่าตะโกนบอกว่าอันตรายอันใหญ่หลวงมาแล้ว รีบพากันหาที่หลบภัยโดยด่วน เดี๋ยวอันตรายจะเข้าถึงตัว ที่หลบภัย คือ ศีล ทาน การกุศลทุกประเภทจงจับให้มั่น ถ้าอยากแคล้วคลาดปลอดภัย อย่าดื้อรั้นเชื่อกิเลสจนไม่ยอมฟังเสียงธรรมตะโกนบอก จงรีบฟังรีบตั้งตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมเสียแต่บัดนี้จะไม่สียกาลเวลา ไปเปล่า



    ถาม ฟังปู่เทศน์โปรดคราวนี้ ราวกับฟ้าดินถล่มทีเดียวแหละ หลานชื่นใจ ไม่เสียชาติเกิด ได้ดื่มธรรมที่ปู่เทศน์โปรดวันนี้อย่างถึงใจ แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่นิดๆ ปู่ ขอได้โปรดเมตตาด้วย

    ตอบ โปรดละไรอีก ก็โปรดมามากต่อมากจนไม่มีอะไรจะไปรดแล้ว เหลือแต่ขันธ์ที่หาบใจแขม่วๆ รอเวลาจะแตกดับอยู่เท่านั้น จะให้ไปรดเรื่องอะไรว่ามา


    ถาม คำว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านี้ มีอยู่โลกไหนกันแน่ ปู่

    ตอบ มีอยู่ในท่ามกลางแห่งโลกมนุษย์ แต่มิใช่มนุษย์มิใช่สัตว์ มิใช่เปรต ผี เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม มิใช่ ต้นไม้ ภูเขา มิใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ มิใช่วัตถุแร่ธาตุต่างๆ ในโลกสมมุติ นิพพานมีอยู่ในวิมุตติสถาน แต่มิใช่มีอยู่ในชื่อที่ว่า นิพพาน

    นิพพาน และวิมุตติธรรมที่กล่าวถึงเหล่านี้ มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน มิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ บุคคลใด สิ่งใดทั้งสิ้น สิ่งที่จะรับทราบธรรมเหล่านี้ได้ มิใช่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมิใช่วิชาทางโลกทุกๆ แขนง และเรียนวิชาธรรมจนจบพระไตรปิฎกแต่มิได้ปฏิบัติ ตลอดเครื่องพิสูจน์ใดๆ ที่โลกใช้กัน มีใจเท่านั้นที่ปรับตัวด้วยหลักธรรม คือ ด้วยการปฏิบัติจิตภาวนาดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านปฏิบัติและรู้เห็น ประจักษ์พระทัยและใจมาแล้วมากต่อมากจนไม่อาจนับอ่านจำนวนท่านได้ ท่านเหล่านี้แม้พระองค์และองค์เดียวมิได้ถามกันและถามใครเลย ทรงปฏิบัติจิตภาวนาโดยหลักธรรมที่จะทำให้รู้ให้เห็น ก็ทรงรู้ทรงเห็น และรู้เห็นขึ้นกับตนเอง

    ฉะนั้น การที่จะแก้ความสงสัยให้หายในบาป บุญเป็นต้นนั้น ต้องพิสูจน์กันด้วยการปรับจิตใจโดยการปฏิบัติธรรม มีจิตภาวนาเป็นสำคัญ จนรู้เห็นประจักษ์ใจแล้ว ความสงสัยแม้จะเคยครองหัวใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์หรือตั้งแต่วันเกิดก็ดับวูบลง ในทันที มิได้อ้างกาลเวลาที่เคยยึดครองหัวใจมาเลย เช่นเดียวกับความมืดแม้จะเคยมืดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ตาม เพียงเปิดไฟสว่างจ้าขึ้นเท่านั้น ความมืดก็หายไปเองโดยมิได้อ้างกาลเวลาที่เคยมืดมาฉะนั้น

    การรู้เห็น บาปบุญเป็นต้น ตลอดสัจธรรมทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่จำต้องมีกาลสถานที่มาเกี่ยวข้องและกีดกัน ความจริงเท่านั้นจะเปิดความจริงขึ้นมาให้ผู้ปฏิบัติจริง ได้รู้เห็นความจริงที่มีอยู่ทั้งหลายได้ประจักษ์แจ้งโดยไม่อ้างกาลว่าสมัย โน้นสมัยนี้ เพราะกรรมเป็นปัจจุบันธรรมตลอดมาแต่กาลไหนๆ แม้สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ก็เป็นปัจจุบันธรรมสดๆ ร้อนๆ ควรแก่การนำมาพิสูจน์สิ่งลี้ลับทั้งหลาย ซึ่งก็เป็นปัจจุบันธรรมเช่นเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหา

    ที่เป็นปัญหา อันใหญ่โตในหัวใจสัตว์ไม่ให้มองเห็นความจริงทั้งหลายได้ ก็มีกิเลสตัวทำให้มืดบอดอย่างเดียวเท่านั้น พาสร้างบาปและลงนรก ทั้งที่มันโกหกว่าบาปไม่มี นรกไม่มี แต่สัตว์โลกโดนไม่หยุดหย่อนผ่อนคลายบ้างเลย ส่วนบุญ สวรรค์ นิพพานไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเป็นธรรมชาติที่มันไม่ต้องการให้สัตว์โลกคิดและ สนใจอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะขาดผลรายได้และนโยบายของมัน

    ว่าไง ที่นี่ ปู่ได้อธิบายให้จนหมดพุงแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ธรรมก็มีเท่านี้ไม่สามารถจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้ ประการหนึ่งจงทำความเข้าใจไว้ว่า คำว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมีนั้น ธรรมชาติเหล่านี้มีอยู่ทำนองเดียวกันกับคำว่า ”ธรรมมีอยู่” แต่ไม่สามารถสัมผัสธรรมชาติเหล่านี้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายได้ เพราะมิใช่วิสัยของกันและกัน มันเป็น อฐานะ คือเป็นไปไม่ได้ มีใจเท่านั้นสามารถสัมผัสได้แต่ผู้เดียว เมื่อปรับใจด้วยภาคปฏิบัติให้เหมาะสมกับธรรมชาตินั้นและธรรมขั้นนั้นๆ แล้ว ความจริงก็มีเท่านี้

    <table style="table-layout: fixed;" width="100%" border="0"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_26604" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" valign="bottom" align="right">
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    <b><big><big>ทางจะไปพระนิพพานมีเท่านี้แหละ หลวงปู่ขาว อนาลโย </big></big></b>

    ทางจะไปพระนิพพานมีเท่านี้แหละ
    : หลวงปู่ขาว อนาลโย

    เรื่องทุกขสัจจ์นี้ให้มันรู้ พิจารณามันทั้งนอกทั้งใน
    หรือจะออกพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการสามสิบสองน่ะ
    กระจายออกทุก ๆ ส่วนแล้ว มันเหลือเป็นคนไหม บ่มีคนแล้ว
    กำหนดออกไป ๆ จนเหลืออายตนะของมัน

    บัญญัติ ความสมมุติ สมมติคือขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
    รูปขันธ์ก็คือธาตุสี่ประชุมกันเป็นรูปขันธ์ ถ้ามีรูปก็มีเวทนาเกิดขึ้น ต่อไปสัมผัสมันต่อกันเกิดขึ้น

    พระพุทธเจ้าไม่บอกให้พิจารณาไปอื่น ให้พิจารณาที่นี่
    หมดก้อนของเราของเขานี่แหละแม่นก้อนธรรม
    อย่าไปหาที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น มันไปยึดไปสร้างไปเสีย มันจะเป็นเหตุให้เจ้าของติดอยู่
    ให้พิจารณาอันนี้ ทางจะไปพระนิพพานมีเท่านี้แหละ.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    เรื่อง “มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี”
    [​IMG]
    บางส่วนจาก หนังสือ“มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี” เป็นการตอบคำถาม 20 ข้อ ที่น่าสนใจมาก
    ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?

    ไม่ อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
    ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

    ๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
    (๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
    (๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
    (๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
    (๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

    ๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
    ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
    ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
    ปัญหาทำให้ คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

    ๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
    งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
    รู้จัก แบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
    อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
    ๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
    โบราณ ว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
    คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
    คุณ เป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
    ให้เห็นความ บกพร่องของตัวเอง

    ๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
    (๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
    (๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
    (๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
    ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

    ๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
    เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
    แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจาก เราได้

    ๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
    (๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
    (๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
    (๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
    สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

    ๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
    โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
    คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
    คน ทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
    เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
    ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

    ๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
    (๑) หางานใหม่
    (๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
    (๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
    (๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
    จ่ายมากกว่ารับนับ ว่าแย่

    ๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
    คนที่ด่าคนอื่น สะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
    คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
    แสดงว่าระบบ ของตัวเองก็พังตามไปด้วย

    ๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
    ถ้า ไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
    แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
    แทน ที่จะไถ่โคกระบือ
    คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

    ๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
    ขอให้คิดว่า อย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
    ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

    ๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
    มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มี ใครแวะเวียน
    ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
    ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

    ๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
    (๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
    (๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร
    (๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

    ๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
    (๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
    (๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
    จง เว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
    (๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
    คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

    ๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
    (๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
    (๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
    (๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
    เนื่อง เพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

    ๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
    (๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
    (๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
    (๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

    ๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
    ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
    ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

    ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
    ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
    ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
    มองอย่างพินิจจะ พบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
    บางส่วนจาก หนังสือ“มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี” เป็นการตอบคำถาม 20 ข้อ ที่น่าสนใจมาก
     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    ปิดรายการนี้ื จัดส่งEMSให้คุณงูขาวแล้วนะครับ เช้านี้
     
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    ปิดรายการนี้ ให้คุณชายชุดขาวครับ
     
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    หลวงพ่อนารถ นาคเสโน หรือ พระครูโสภณประชานารถ พระครูชั้นเอก วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี.

    นามเดิมของท่านคือ นารถ เพิ่มบุญ เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2444 ตรงกับวัน ศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปี ฉลู ที่บ้าน หุน้ำส้ม (เข้าใจว่าอยู่แถว ลำห้วยสะด่อง เลย บ้านท่าทุ่งนาขึ้นไปพอสมควร) อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี โยมบิดา และมารดา ชื่อ นายพิมพ์ เพิ่มบุญ และ นางสมบุญ ตามลำดับ
    ได้เข้าอุปสมบท เมื่อ วันที่ 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2465 ณ. พัทธสีมา วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง โดยมีพระวิสุทธิรังษี ( เปลี่ยน ) วัดใต้ เป็นพระอุปัชฌาย์ และมี พระครูยติวัตรวิบูลย์ ( พรต ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระปลัดจู แห่งวัดใต้ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ในแผ่นพับของทางวัด ศรีโลหะนั้น บอกว่าท่านได้รับการถ่ายทอดวิชา และพุทธาคมจาก หลวงพ่อพรต แห่งวัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง หลวงพ่อเปลี่ยน-วัดใต้ หลวงปู่ยิ้ม-วัดหนองบัว และหลวงพ่อนาก วัดท่าน้ำตื้น นอกจากนั้นยังได้รับการชี้แนะเรื่อง การวิปัสสนากรรมฐาน จาก หลวงพ่อสด แห่งวัดปากน้ำภาษีเจริญ อีกด้วย
    ท่านได้ละสังขาร มรณภาพไปเมื่อ วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2530 รวม สิริอายุได้ 86ปี พรรษา 65พรรษา



    เหรียญหลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะ ที่ระลึกฉลองสมณศักดิ์ ปี 2522 เนื้อทองแดงรมดำ จ.กาญจนบุรี


    [FONT=&quot]ให้บูชา 750บ. ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2011
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ประวัติ อาจารย์ชุม ไชยคีรี

    ประวัติ อาจารย์ชุม ไชยคีรี
    1. 2. 3. 4.
    <iframe title="YouTube video player" width="480" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/jN5RldS2fuo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    อาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้สุนัขก็เช่นกัน อาจารย์ชุมได้เรียนวิชาอาคมจากพ่อของท่านตั้งแต่ยังเ ด็กๆ ท่านเรียนวิชาได้เร็ว ทำอะไรก็ขลัง มีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมจนได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน เมื่ออาจารย์ชุม อายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง เกิดมาเพื่อ "เป็น" โดยแท้

    จนอายุครบบวชก็ได้ไปบวชที่วัดไชยมงคลกับพระอาจารย์คง อาจารย์ชุมหลังจากบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรม จนต่อมาท่านได้ไปที่พัทลุง ท่านจึงไปขออยู่ร่วมสำนักเขาอ้อ ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์เอียด วัดดอนศาลา โดยมีท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นผู้รับรองความประพฤติ อาจารย์ชุมได้รวบรวมตำราเขาอ้อที่กระจัดกระจายไปอยู่ ยังที่ต่างๆ ในระหว่างบวชท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนและมีความเคารพซึ่งกันและกัน ต่อมาอาจารย์ชุมบวชอยู่ 15 พรรษา ลาสิกขาบทเมื่ออายุ 35 ปี และได้แต่งงานมีครอบครัว แต่ก็ยังคงติดต่อกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนอย่างสม่ำเสมอ อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง อาจารย์ชุม ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
    โดยพื้นฐานของจริต นิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม
    อาจารย์ชุม ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลยไม่ออกสักกระบอกเดียว

    อาจารย์ ชุม เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมด เป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ
    อาจารย์ชุม ไชยคีรี

    ประวัติ อาจารย์ชุม ไชยคีรี
    อาจารย์ ชุม ไชยคีรี เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้สุนัขก็เช่นกัน อาจารย์ชุมได้เรียนวิชาอาคมจากพ่อของท่านตั้งแต่ยังเ ด็กๆ ท่านเรียนวิชาได้เร็ว ทำอะไรก็ขลัง มีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมจนได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน เมื่ออาจารย์ชุม อายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง เกิดมาเพื่อ "เป็น" โดยแท้

    จนอายุครบบวชก็ได้ไปบวชที่วัดไชยมงคลกับพระอาจารย์คง อาจารย์ชุมหลังจากบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรม จนต่อมาท่านได้ไปที่พัทลุง ท่านจึงไปขออยู่ร่วมสำนักเขาอ้อ ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์เอียด วัดดอนศาลา โดยมีท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นผู้รับรองความประพฤติ อาจารย์ชุมได้รวบรวมตำราเขาอ้อที่กระจัดกระจายไปอยู่ ยังที่ต่างๆ ในระหว่างบวชท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนและมีความเคารพซึ่งกันและกัน ต่อมาอาจารย์ชุมบวชอยู่ 15 พรรษา ลาสิกขาบทเมื่ออายุ 35 ปี และได้แต่งงานมีครอบครัว แต่ก็ยังคงติดต่อกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนอย่างสม่ำเสมอ อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง อาจารย์ชุม ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
    โดยพื้นฐานของจริต นิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม
    อาจารย์ชุม ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลยไม่ออกสักกระบอกเดียว

    อาจารย์ ชุม เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมด เป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ต้นตระกูล อาจารย์ชุม ไชยคีรี
    ต้น ตระกูลไชยคีรีคือ “ขุนไชยคีรี” เป็นนักรบคนสำคัญของเมืองพัทลุงในอดีต ขุนไชยคีรีเป็นศิษย์เขาอ้อที่มีวิชาอาคมขลังมากคนหนึ่ง อาจารย์ชุมเป็นหลานทวดของขุนไชยคีรี เหตุที่ชื่อว่า “ชุม” ก็เพราะว่าท่านเกิดในระหว่างที่พ่อของท่านกำลังร่วมการประชุมผู้หลักผู้ใหญ่ ของเขาชัยสน พระอาจารย์คง วัดไชยมงคล ซึ่งมีความสนิมสนมชอบพอกับพ่อของอาจารย์ชุมจึงตั้งชื่อท่านว่า “ชุม”
    อาจารย์ ชุม พิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกสถานที่นี้เอง เป็นเหตุให้อาจารย์ชุมปรากฏชื่อลือชาไปทั่ว ได้รับเชิญไปงานพุทธาภิเษกและสาธิตวิชาต่างๆ ไม่ว่างเว้น แลท่านก็สามารถแสดงจิตตานุภาพให้เป็นที่ตื่นตะลึงมาแล้วหลายต่อหลายพิธี ท่านได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัตถุมงคลของเขาอ้อหลายครั้ง และได้รับการยกย่องว่าเป็นฆราวาสผู้มีอาคมขลังมากผู้หนึ่ง ในบั้นปลายชีวิตของท่านตาม"ประวัติ อาจารย์ชุม ไชยคีรี" ท่านย้ายครอบครัวมาอยู่กรุงเทพ และอยู่มาจนเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2525

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ประวัติหลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร วัดหนังราชวรวิหาร


    [​IMG]หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร หรือ พระภาวนาโกศลเถระ เดิมชื่อเอี่ยม เป็นชาวบางขุนเทียนโดยกำเนิด บ้านอยู่ริมคลองบางหว้า หลังวัดหนัง กำเนิดเมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๙ ปีมะโรง จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และมีนามสกุลว่า “ทองอู๋” ชาวบ้านบางขุนเทียนเรียกกันว่า “หลวงพ่อปู่เฒ่า” ส่วนบุคคลทั่วๆ ไป และนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย เรียกว่า “หลวงพ่อวัดหนัง” โยมบิดามารดามีชื่อว่า นายทอง และนางอู่ ซึ่งเป็นต้นตระกูล “ทองอู๋” ในขณะนี้ โยมทั้งสองท่าน ประกอบอาชีพเป็นชาวสวนและมีฐานะมั่นคง เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุลขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ บุคคลชั้นหลังของตระกูลนี้ขอใช้นามสกุลว่า “ทองอู่” อันเป็นนามรวมของโยมทั้ง ๒ แต่ต่อมาไม่นานนัก ก็ได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ทักท้วงว่าไปพ้องกับพระนามของเจ้าต่างกรมพระองค์เข้า จึงต้องเปลี่ยนมาเป็น “ทองอู๋” สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้

    เครือญาติพี่น้องร่วมท้องเดียวกับพระภาวนาโกศลเถระ มีอยู่ด้วยกัน ๓ คนคือ โยมพี่สาวชื่อ นางเปี่ยม ทองอู๋ เป็นผู้รักษาศีลอุโบสถและไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ดังนั้นเมื่อสิ้นโยมบิดามารดาแล้ว จึงมาฝากไว้ในความอุปการะของนายทรัพย์ ทองอู๋ บิดาของนายพูน ทองพูนกิจ ผู้เป็นบุตรผู้พี่ของพระภาวนาโกศลเถระ คือนายเอม ทองอู๋

    การศึกษา
    การศึกษาอักขร สมัยเมื่อพระภาวนาโกศลเถระ ยังเด็กอายุ ๙ ปี โยมทั้ง ๒ ของท่านได้นำมาฝาก เรียนหนังสือ ในสำนักพระครูธรรมถิดาญาณ หรือหลวงปู่รอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนัง ราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ ในสมัยต่อมา ได้เป็นพระอาจารย์ วิทยาคม ของพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) การศึกษาพระบาลีปริยัติธรรม เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี ท่านได้ศึกษาพระบาลีปริยัติธรรม ในสำนักพระมหายิ้ม วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อจากนั้น ได้ไปอยู่ในสำนัก พระปิฎกโกศล (ฉิม) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)

    บรรพชา
    ต่อมาท่านได้กลับมาบรรพชาเป็นสามเณร และศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดหนัง ราชวรวิหาร สำนักเดิม ของท่าน อีกวาระหนึ่ง การศึกษาในระยะนี้ ดำเนินมาหลายปี ติดต่อกันจนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๙๔ เมื่อท่าน อายุได้ ๑๙ ปี จึงได้เข้าสอบ แปลพระปริยัติธรรมสนามหลวง ซึ่งสมัยนั้น ต้องเข้าสอบแปลปากเปล่า ต่อหน้าพระพักตร์ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่น่าเสียดายที่ท่านสอบพลาดไป เลยลาสิกขาบทกลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพอยู่ระยะหนึ่ง

    อุปสมบท
    อาจจะเป็นด้วยบุญกุศลที่จะต้องเป็นสมณะเพศเพื่อพระศาสนา เพื่อการฟื้นฟูปฏิสังขรณ์สังฆาวาส เสนาสนะ แห่งวัดนี้ ให้ฟื้นฟูคืนจากสภาพอันเสื่อมโทรมขึ้นสู่ยุคอันรุ่งเรืองสูงสุด ในกาลสมัยต่อมา หรือเพื่อความเป็น พระเกจิอาจารย์ ชั้นเยี่ยมแห่งองค์พระกษัตราธิราชเจ้า และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลาย ท่านจึง หันกลับเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้จากไปเพียง ๓ ปีเท่านั้น ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ท่านได้เข้ามาอุปสมบท ตามขนบจารีตอันดั้งเดิมของชาวไทย เพื่อสืบต่อพระบวรพุทธศาสนา และเพื่อแสดง กตเวทิตธรรม แด่โยมผู้บุพการีทั้งสอง ซึ่งได้ทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราชโอรสาราม (วัดจอมทอง) อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี (เขตจอมทอง กรุงเทพฯในปัจจุบัน)
    พระอุปัชฌาย์ได้ขนานนามว่า “สุวณฺณสโร”
    พระสุธรรมเทพเถระ (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระธรรมเจดีย์ (จีน) กับพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์
    เมื่อ อุปสมบทแล้วหลวงปู่เฒ่าได้ไปอยู่วัดนางนอง ตรงข้ามกับวัดหนังและได้เริ่มลงมือศึกษาคันถธุระต่อไป ณ สำนัก พระธรรมเจดีย์ (จีน) และพระสังวรวิมล (เหม็น) ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ได้เข้าสอบแปลพระปริยัติธรรม สนามหลวงอีกครั้ง แต่คงสอบไม่ได้อีกเช่นเคย เรื่องนี้ท่านต้องนั่งคุกเข่าประนมมือตลอดเวลา ที่แปลต่อหน้าพระคณาจารย์ผู้ใหญ่ พระมหาเถระผู้เป็นกรรมการองค์หนึ่งบอกกับท่านเมื่อแปลจบว่าแปลได้ดี แล้วก็ชวนท่านให้ไปอยู่ในสำนักเดียวกัน แต่ท่านปฏิเสธ

    การศึกษาวิปัสสนาธุระและพุทธาคม
    ปรากฏตามหลักฐานชัดเจนว่าท่านได้ศึกษาวิปัสสนาธุระ และพุทธาคม กับพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) เจ้าอาวาสวัดนางนอง ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านเอง จากการศึกษา ชีวประวัติของท่าน จะเห็นได้ว่า ท่านเจริญรอยตามพระอาจารย์รูปนี้มาโดยตลอด เช่นเดียวกับ พระพุฒาจารย์ (โต) เจริญรอยตามสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ผู้สร้างพระสมเด็จ “อรหัง” และพระสมเด็จฯ วัดพลับ เช่นในการที่ท่าน ได้สร้างพระปิดตา และพระปิดทวาร ฯลฯ ขึ้น ก็ถอดลักษณะมาจากพระเครื่องทั้ง ๒ ชนิดของหลวงปู่รอด และในสมัยที่พระภาวนาโกศลเถระ (รอด) ถูกราชภัยถูกถอดสมณศักดิ์ลงเป็นขรัวตาธรรมดา ในกรณีที่ ไม่ยอมถวายอดิเรกแด่รัชการที่ ๔ คราวเสด็จพระราชทานผู้พระกฐินที่วัดนางนอง และถูกย้ายไปครองวัดโคนอน ในขณะนั้นท่านบวชได้ ๑๖ พรรษา เป็นพระปลัดฐานานุกรมของพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) และฐานะศิษย์ใกล้ชิด ก็ได้ย้ายจากวัดนางนองติดตามไปปรนนิบัติอาจารย์ของท่าน ณ สำนักใหม่อย่างไม่ลดละ แสดงถึงน้ำใจอันประเสริฐ ของท่านที่ไม่ยอมพรากเอาตัวออกห่าง นับว่าจัดเป็นคุณธรรมที่ปรากฏเล่าขานสรรเสริญกันมาจนทุกวันนี้
    “พระครูธรรมถิดา” (รอด) เป็นบุตรใครไม่ทราบ ภูมิลำเนาเดิมอยู่คลองขวาง ตำบลคุ้งเผาถ่าน อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี เป็นฐานานุกรมใน พระนิโรธรังสี พระราชาคณะ เจ้าอาวาสองค์แรก (ของวัดหนัง) เป็นผู้เชี่ยวชาญในฝ่ายวิปัสสนาธุระที่สำคัญรูปหนึ่ง เมื่ออยู่วัดหนัง อยู่คณะสระ พระนิโรธรังสีมรณภาพแล้ว ได้รักษาวัดอยู่คราวหนึ่ง ภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนางนองและพระราชทานสมณศักดิ์เป็น ที่พระภาวนาโกศล ในรัชกาลที่ ๔ เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินวัดนางนอง เล่ากันว่า ท่านไม่ถวายอดิเรกนับเป็นความผิด ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทางราชการถอดออกจาก สมณศักดิ์ ท่านจึงไปอยู่วัดโคนอนซึ่งอยู่ในคลองขวาง ฝั่งตะวันตก ต.บางหว้า อ.ภาษีเจริญ จ.ธนบุรี และมรณภาพที่วัดนี้ หลวงปู่รอดองค์นี้เป็นผู้สร้างวัดอ่างแก้ว ในวันที่เกิดเหตุนั้น หลวงปู่เฒ่าก็อยู่ในที่นั้นด้วยสมัยที่ยังเป็นพระปลัดได้เตือนให้พระภาวนา โกศลเถระ (รอด) ถวายอดิเรก แต่ท่านยังเฉยเสียพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วมาก เสด็จออกมานอกพระอุโบสถ แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “เขาถอดยศเรา” เกล่ากันว่าสาเหตุที่ไม่ยอมถวายอดิเรกนั้น เนื่องด้วยท่านไม่สบอารามณ์ในเรื่องการแบ่งแยกนิกาย ธรรมยุตกับมหานิกาย อันเป็นสาเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน
    ต่อมาหลังจากพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) ถูกเรียกพัดยศคืนไม่นานนัก วันหนึ่งสังฆการีก็ได้รับ พระบรมราชโองการให้นำพัดยศมาถวายคืนให้ท่าน แต่ท่านไม่ยอมรับและพูดกับสังฆการีว่า ใครเป็นผู้ถวายพัด แต่อาตมาและใครเล่าที่เอาคืนไป บุรุษจงเอากลับไปเสียเถิด

    สมณศักดิ์
    พระใบฎีกา และพระปลัด ขณะอยู่ที่วัดนางนอง ฐานานุกรมในพระภาวนาโกศลเถระ (รอด) จนย้ายไปอยู่วัดโคนอน

    พระครูศีลคุณธราจารย์ ในระหว่างอยู่วัดโคนอนเมื่อหลวงปู่รอดเจ้าอาวาส (อดีตพระภาวนาโกศลเถระ) ถึงแก่มรณภาพ ท่าก็ได้ครองวัดเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน จนในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ในแผ่นดินของ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้รับพระกรุณาโปรดพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูศีลคุณธราจารย์ แล้วให้อาราธนามาอยู่วัดหนัง สาเหตุที่ย้ายมาอยู่วัดหนัง ก็เนื่องมาจาก กรมพระจักรพรรดิพงษ์เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินหลวง ณ วัดหนัง ทางวัดไม่มีจำนวนสงฆ์ อันพึงรับผ้ากฐินได้ ต้องทรงเปลี่ยนเป็นพระราชทานผ้าป่าแทน ภาวะแห่งวัดทรุดโทรมถึงที่สุด เมื่อเสด็จกลับ จึงกราบทูล ภาวะแห่งวัด แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้กระทรวงทำการติดต่อ ทางสมเด็จ พระวันรัต (แดง) วัดสุทัศน์ เพื่อหาตัวเจ้าอาวาสใหม่ สมเด็จพระวันรัตเลือก ได้พระอธิการเอี่ยม เจ้าอาวาสวัดโคนอน จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์ พระครูศีลคุณธราจารย์ อาราธนามาครองวัดหนัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑

    พระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม) เมื่อหลวงปู่เฒ่าได้มาครองวัดปีหนึ่ง พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพิจารณาปีพรรษามากแล้ว กอปรด้วยศีลาจริยาวัตรอันงดงาม สมบุรณ์ไม่ด่างพล้อย หาตำหนิมิได้ กลับเป็นที่เคารพสักการะแด่ชนทั้งหลายโดยทั่วไป ทั้งพระองค์ทรงเคารพ นับถือในส่วนพระองค์ เป็นกรณีพิเศษอีกด้วยสมควรจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ในฐานะหลวงปู่เฒ่าเป็น พระราชาคณะผู้ใหญ่ จึงทรงพระกรุณาปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นพระราชาคณะที่ “พระภาวนาโกศลเถระ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒

    หลวงปู่เอี่ยม สุวณฺณสโร ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 รวมอายุได้ 94 ปี
     
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    ปิดรายการนี้ให้พี่นอกเว็ปครับ
     
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ชุดสุดคุ้ม สุดยอดวัตถุมงคลของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระคำข้าว พระหางหมาก แหนบหลวงพ่อ มาเป็นชุด อยากใ้ห้มีไว้บูชา ประสบการณ์มากมาย


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_4246.jpg
      SAM_4246.jpg
      ขนาดไฟล์:
      211.9 KB
      เปิดดู:
      333
    • SAM_4247.jpg
      SAM_4247.jpg
      ขนาดไฟล์:
      223.2 KB
      เปิดดู:
      261
    • SAM_4248.jpg
      SAM_4248.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97 KB
      เปิดดู:
      73
    • SAM_4249.jpg
      SAM_4249.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.8 KB
      เปิดดู:
      68
    • SAM_4252.jpg
      SAM_4252.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.5 KB
      เปิดดู:
      106
    • SAM_4254.jpg
      SAM_4254.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.8 KB
      เปิดดู:
      63
    • SAM_4259.jpg
      SAM_4259.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.7 KB
      เปิดดู:
      85
    • SAM_4260.jpg
      SAM_4260.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140.7 KB
      เปิดดู:
      68
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    พระขุนแผนเกศา รุ่น2 ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง
    ถือว่าเป็นพระผงขุนแผนเกศา รุ่น2 ของครูบากฤษดาแห่งวัดสันพระเจ้าแดงครับโดยขุนแผนรุ่นแรกได้หมดไปอย่างรวด เร็วและเป็นที่ต้องการแก่ลุกศิษย์อย่างมากมาย...มีค่านิยมสูงเป็นหลักหลาย พันบาทเลยที่เดียวครับครูบาท่านเลยจัดสร้างขุนแผนรุ่น2ขึ้นมาโดยใช้แบบพิมพ์ และทรงเดียวกันขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์ต่างได้บูชาพระผงขุนแผนรุ่นนี้ครูบา ท่านนำเอาเกศามาผสมกับว่าน 108 และนำมากดเป็นพระพิมพ์ขุนแผนเกศาขึ้น โดยท่านได้ให้นาม พระขุนแผนเกศาจัดสร้างไว้จำนวนน้อยองค์มากๆๆครับในพระเครื่องชุดนี้นะครับ ไม่ธรรมดามากๆๆๆ ครูบากฤษดา ท่านได้กล่าวว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทางภาคเหนือนิยมนำเกศามาบรรจุในพระ นอกเหนือจากเพื่อป้องกันเกศาสูญหายและตกหล่นแล้ว อีกประการหนึ่งยังมีอุปเท่ห์ในเรื่องของการหนุนดวงและความเป็นสิริมงคลแก่ ผู้ บูชา เนื่องจากเกศานั้นเป็นของสูงและมีแต่งอกยาวขึ้น ซึ่งแสดงถึงความรุ่งเรืองงอกงามครับ
    ปกติท่านเป็นพระที่ไม่ยอมให้เกศาใครง่ายๆแม้นกระทั่งลูกศิษย์ก้นกุฏิก็ยังขอ ยากอยู่ครับ มาพักหลังท่านคงทนคณะผู้คนไม่ไหว พระเครื่องชุดหลังนี้จะมีเส้นเกศาผสมอยู่ครับ และการเสกพระท่านทำไม่นานครับ แค่อึดใจเดียว เพี้ยง จบ ขุนแผนรุ่นนี้ก็เหมือนกัน เพี้ยงเดียว จบ พระขุนแผนชุดนี้เมตตามหานิยมสุดยอดครับ ใครมีไว้ย่อมไม่หลุดมือกันง่ายๆครับ ของดีไม่จำเป็นต้องดัง ระฆังดีไม่ตีก็ดังครับ จำนวนจัดสร้าง พิมพ์ใหญ่ + พิมพ์เล็ก รวมกัน 300 องค์ "" พิเศษมีจาร มีเส้นผมจะๆ"" ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง สายตรงไม่ควรพลาดเก็บของสวยของดีราคาถูกอนาคตดีแน่นอนครับ



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2014
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    [FONT=&quot]พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ อาจารย์หม่อม นิรนาม ไตรภูมิ [FONT=&quot]
    - ผงสำคัญที่ผสมเป็นมวลสาร ฯลฯ
    - ผงสำคัญของบุคคลระดับประเทศ
    - น้ำตาปลาพยูน หายาก แรงทางเมตตามากๆ[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ มวลสารมากมาย วัตถุมงคลล่าสุด ท่านอาจารย์หม่อม [FONT=&quot]

    พระพุทธนิมิตรวิชิตมาร เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ประดิษฐานอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ มีพุทธลักษณะงดงามมาก สันนิษฐานว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากมีพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปปูนปั้น ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน เมรุทิศ เมรุมุมของระเบียงคตวัดไชยวัฒนาราม ที่สร้างขึ้นในรัชกาลของพระองค์ รุ่นนี้ท่านอาจารย์อธิฐานจิตก่อนพิธีปลุกเสกใหญ่มาหลายวาระแล้วครับ ท่านใด ปีชง ควรมีไว้คุ้มครองป้องกันเป็นอย่างยิ่งครับผม[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ [FONT=&quot],พุทธมหายันต์ งดงามลายวิจิตร พระพุทธรูปทรงเครื่องที่ใหญ่ที่สุดแห่งกรุงศรีอยุธยา แกะอย่างปราณีต พร้อมลงอักขระมหายันต์ ทั้งสองหน้า
    ปลุกเสกพิธียิ่งใหญ่ด้วยเกจิสายป่า ตามตำหรับ อ.หม่อมสร้าง
    มีน้อยและหายาก เนื้อผง ขนาด 4.5x5.0 ซม. ครับ[/FONT]
    [/FONT]



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • am1.jpeg
      am1.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      185
    • am2.jpeg
      am2.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      157
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2011
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]

    รูปหล่อ เนื้อนวโลหะ "หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร" วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี ก้นอุดกริ่งตอกโค๊ต สภาพสวย พร้อมกล่องเดิม

    หลวง ปู่พรหมมา ท่านเป็นพระเกจิที่มีอิทธิญาณบารมีแก่กล้า เป็นพระลึกลับอยู่บนยอดเขาห่างไกลผู้คน มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นสำคัญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2440 บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนาตามป่าเขา หลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา กล่าวกันว่าหลวงปู่พรหมมา ท่านมีครูบาอาจารย์เป็นฤาษีตาไฟ มีวิชาอาคมเข้มขลัง ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ เหมาะแก่การฝึกปฏิบัติตน จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 หลวงปู่พรหมมาได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ สิริอายุรวม 105 ปี ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างมีด้วยกันหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์และสร้างอภินิหารให้แก่ผู้บูชาอย่างมากมาย

    เมื่อ ประมาณปี 2536 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวนักการเมืองท้องถิ่น นครสวรรค์โดนยิงขณะรถติดไฟแดง เห็นสภาพรถแล้วกระจกแตกหมด แต่คนที่โดนยิงไม่เป็นไร(โดนหน่ะโดนอยู่แต่ไม่เข้า) เพราะว่าเค้าแขวนพระหลวงปู่พรหมมาฯ

    วัตถุมงคลของท่านเป็นจึงที่นิยม และต่างแสวงหามาเพื่อบูชาเป็นสิริมงคลแก่ตัว ทำให้พระที่ท่านสร้างทุกรุ่น นับวันยิ่งทวีค่าและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ

    สำหรับรูปหล่อองค์นี้ เป็นเนื้อนวโลหะ สร้างน้อย หายาก ออกวัดองค์ละ 599บาทแล้ว
    ให้บูชาในราคาต่ำ่กว่าราคาวัดเลยครับ แบ่งของดีกันไปใช้



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pm1.jpeg
      pm1.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      59.7 KB
      เปิดดู:
      984
    • pm2.jpeg
      pm2.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      57.6 KB
      เปิดดู:
      162
    • pm3.jpeg
      pm3.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      36.5 KB
      เปิดดู:
      144
    • pm4.jpeg
      pm4.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      55.6 KB
      เปิดดู:
      172
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...